Skip to content

พลิกปฐพี 198-2

ตอนที่ 198-2

ข้าจะพาเจ้าไปฆ่าล้างตระกูล!

“มหาปราชญ์!”

“มหาปราชญ์ไว้ชีวิตด้วย!”

“มหาปราชญ์ไว้ชีวิตด้วย—–”

“คุณชายมู่ไว้ชีวิตด้วย!”

“คุณชายมู่ข้าผิดไปแล้ว!”

ขุมอำนาจทั้งสามดุจดั่งเป็นบ้านเดียวกัน คุกเข่าก้มหัวอ้อนวอนให้มู่ชิงเกอไว้ชีวิตอย่างทุลักทุเล

ซือมั่วที่กำลังหวานชื่นกับมู่ชิงเกอถูกรบกวน ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจก่อนจะสบถว่า “หนวกหู”

คำพูดของเขาพอหลุดออกไป กู่หยากับกู่เย่ก็หายวับไปพร้อมกัน เงาสีดำไหววูบไปมาภายในกลุ่มของขุมอำนาจทั้งสาม ในตอนที่พวกเขากลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม นั้น ทุกคนก็เห็นพวกเขาเอาดาบเก็บเข้าฝัก

จากนั้น พวกเขาก็ค่อยมองไปทางขุมอำนาจทั้งสาม ก่อนจะพบว่าปากของพวกเขาทุกคนล้วนแต่มีเลือดไหล ออกมาไม่หยุด ครวญครางด้วยความเจ็บปวด

บนพื้นเต็มไปด้วยลิ้นตกอยู่!

เฮยมู่เป็นเช่นนี้ โหลวเสวียนเถี่ยก็เป็นเช่นนี้ อดีตประมุขตระกูลหลาน หลานเสวียนเฟิง หลานกัง รวมถึงประมุขตระกูลหลานก็กลายเป็นสติหลุดเช่นเดียวกัน โหดร้ายเกินไปแล้ว! บ้าเลือดเกินไป! ใช่หรือไม่!

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลอบกลืนนํ้าลาย อยู่ต่อหน้าเทพแห่งความตายรีบลดการคงอยู่ของตนเองลง

“ตอนนี้ค่อยสงบหน่อย” ซือมั่วยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ

คนจำนวนนับไม่ถ้วนหมดหวังแล้ว!

พวกเขาเมื่อครู่ยังคาดหวังว่ามหาปราชญ์จะรู้สึกว่าคุณชายมู่โหดร้ายเกินไป แล้วลดความรักต่อนางลง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่โหดร้ายอย่างแท้จริงก็คือมหาปราชญ์

คนที่อยู่สูงส่งเป็นราชาที่แท้จริงแห่งแผ่นดินหลินชวน!

เพื่อรอยยิ้มเดียวของสาวงาม เขาถึงกลับทำเรื่องเช่นฆ่าล้างคนบนโลกได้!

ทันใดนั้น คนที่อยู่รอบๆ ก็มีความเข้าใจถึงแก่นแท้! พวกเขาล้วนแต่เข้าใจถึงหลักการข้อหนึ่ง…นั้นก็คือ หากว่าล่วงเกินมหาปราชญ์ก็อาจจะสามารถตายอย่าง กะทันหัน แต่หากล่วงเกินคุณชายมู่แล้วก็จะตายอย่างไม่ครบส่วน!

ใครให้ผู้ชายของนางเป็นมหาปราชญ์เล่า?!

“ใช่ สงบลงแล้ว และก็สะดวกที่จะทำเรื่องต่อไป” มู่ชิงเกอพยักหน้า

ดวงตางดงามของนางกวาดมองไปถึงร่างของเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ย

ทั้งสองร่างสั่นขึ้นพร่อมกัน รับรู้ในทันทีว่าเวลานั้นของตนเองมาถึงแล้ว!

เวลานี้ในใจของพวกเขาเกิดรู้สึกเสียใจ หากว่ารู้ก่อนว่า จะเป็นเช่นวันนี้ พวกเขามีหรือจะเป็นศัตรูกับมู่ชิงเกอ? มีหรือจะแค้นจนอยากให้นางตาย?

หากรู้ถึงวันนี้ก่อน พวกเขาก็จะทำเพียงประจบสอพลอนาง ทำให้นางดีใจ

น่าเสียดาย บนโลกนี้ไม่มียาแห่งความเสียใจ แม้ว่าพวกเขาในตอนนี้จะหวาดกลัวมาก เสียใจมาก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ดวงตาของกู่หยาและกู่เย่มีแววตาที่เฉียบคม ในตอนที่สายตาของมู่ชิงเกอกวาดไปมองเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยนั้น ทั้งสองคนก็ลงมืออีกครั้ง แบ่งกันจัดการคนละคน นำสุนัขทั้งสองโยนมาที่ใต้เท้าของมู่ชิงเกอ

“อ้า อ้า—–!”

“อ้า—–!”

ลิ้นของเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยล้วนถูกตัดขาดไปแล้ว ไม่สามารถพูดได้อีก ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้น ส่งเสียง ‘อ้อแอ้’ เท่านั้น แต่จากอารมณ์ในแววตาของพวกเขาก็ สามารถรู้ได้ว่าพวกเขากำลังขอร้องอ้อนวอน

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเย็นชา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มลงมองพวกเขาแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าต้องการให้ข้าตายไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง พวกเจ้าคิดว่า ข้าควรจะตอบแทน อย่างไรดี?”

ดูเหมือนว่าเรื่องที่น่ากลัวที่สุดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดวงตาของเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว พวกเขาได้ละทิ้งสถานะทำตัวดุจดั่งบ่าวรับใช้ไปนานแล้ว คุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้ามู่ชิงเกอ แม้ว่าหน้าผากจะมีเลือดไหลออกมาก็ไม่รู้สึกตัว

คนที่เคยเป็นศัตรู มาตอนนี้คุกเข่าต่อหน้าตนเองร้องขอความเมตตา

แม้ว่าจะไม่ใช่เพราะกำลังของตนเองทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ แต่มู่ชิงเกอก็ยังรู้สึกว่าความโกรธในใจทุเลาลงไปมาก

มุมปากของนางเผยรอยเยียบเย็นเอ่ยถามออกมา “สัตว์อสูรวิญญาณของเขตต้องห้ามในช่องว่างทดสอบนั้นอยู่ระดับไหน?”

คำถามนี้ของนางคือถามซือมั่ว

ซือมั่วก็เอ่ยตอบ “หากต้องการจัดการพวกเขาก็เพียงพอ” นัยน์ตาของเขาสั่นไหว มีความอ่อนโยน ดูเหมือนจะเดาได้ว่าเสี่ยวเกอเอ่อร์ของเขาจะทำอะไร

“ดีมาก!” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นมีเลศนัย

นางล้วงห่อยาออกมาอันหนึ่ง “กู่หยา”

กู่หยารีบก้าวออกมา

เมื่อตกตะลึงไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ ตอนนี้เมื่อมองเห็นใต้เท้าทมิฬที่ดูอ่อนน้อมเช่นนี้แล้วคนอื่นๆ ยังจะสามารถพูดอะไรได้อีก?

มิน่า ไม่น่าแปลกใจที่เริ่มแรกตระกูลหลานคิดหาทางส่งบุตรสาวตระกูลตนเองขึ้นสู่ตำหนักหลีกงอย่างลำบากลำบน ดูๆ เบื้องหน้าไม่ใช่ว่าเป็นตัวอย่างของการเป็นที่โปรดปรานมิใช่หรือ?

มู่ชิงเกอเอาห่อยาโยนลงไปในมือของกู่หยา มองไปทางเฮยมู่ก่อนจะยิ้มแปลกๆ จากนั้นนัยน์ตาของนางก็เย็นยะเยือกขึ้น “นำเขาไปช่องว่างแห่งการทดสอบ

หาสถานที่ที่มีสัตว์อสูรวิญญาณดุร้ายที่สุด เอาผงยาพวกนี้สาดไปที่สัตว์อสูรวิญญาณ”

กู่หยารู้สึกแปลกใจมองไปที่นาง แต่ก็ไม่ได้ลังเล นำร่างของเฮยมู่ที่ขัดขืนหายตัวไปจากที่เดิม

หลังจากกู่หยาและเฮยมู่หายไปแล้ว ภายในแววตาของหวงฝู่เฮ่าเทียนแล้วก็ยังมีอีกสามตระกูลใหญ่ก็ฉายแววอิจฉา ดูๆ แล้วนี่ก็คือช่องว่างของแต่ละคน

พวกเขาเหล่านี้พยายามดิ้นรนเป็นอย่างมากเพื่อจะเปิดประตูช่องว่างแห่งการทดสอบ ส่วนใต้เท้าทมิฬที่อยู่ข้างกายของมหาปราชญ์กลับสามารถนำคนเข้าไปได้ง่ายๆ

ช่างเป็นคนเหนือคนที่ทำให้คนอิจฉายิ่งนัก!

กู่หยาไม่ได้ไปนานมาก เขากลับมาอย่างรวดเร็ว

ตอนกลับมาในมือของเขาก็ไม่มีเงาร่างของเฮยมู่แล้ว

“ผงยานั้นของเสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ซือมั่วเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างลึกลับ เอากระจกเงาออกมา แล้วโยนไปในอากาศ “อีกครู่เดียวเจ้าก็จะรู้แล้ว”

นางเคลื่อนพลังจิตเข้าสู่กระจกเงา กระจกส่องเทพก็เผยให้เห็นร่างของเฮยมู่ในทันที ตอนนี้ทุกคนล้วนสามารถมองเห็นภายในกระจก เฮยมู่ถูกสัตว์อสูรวิญญาณที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งล้อมรอบ ดวงตาของสัตว์อสูรวิญญาณเหล่านั้นล้วนแต่แดงฉาน สายตาที่มองดูเฮยมู่ ดูเหมือนว่ากำลังมองสาวงามล่มเมือง

ทันใดนั้น ในใจของคนจำนวนไม่น้อยก็เหมือนว่าจะคิดอะไรได้

ในตอนที่สัตว์อสูรวิญญาณพุ่งเข้าใส่เฮยมู่ ทำให้เขาล้มลง มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยตอบคำถามของซือมั่ว “นั้นเป็นผงสวาท”

พรู่ด!

ทุกคนรู้สึกเจ็บที่หน้าอก เหมือนจะกระอักเลือดออกมา!

โหดร้ายเกินไปแล้ว!

ท่าทางที่ดูน่าสังเวชของเฮยมู่ล้วนถูกเปิดเผยออกมาผ่านทางกระจกส่องเทพ ภาพที่ไม่น่าดูแต่มู่ชิงเกอกลับดูอย่างสนใจ

สีหน้าของซือมั่วมืดคลํ้าลง ใช้มือปิดตาของนางเอาไว้

“ทำอะไร?” ดวงตาถูกปิด มู่ชิงเกอจับมือของซือมั่วจะเอามันออก

แต่ว่ามือของซือมั่วกลับไม่ขยับเลย เสียงที่ทำให้คนหลงใหลดังขึ้นมาที่ข้างหูของนาง “เด็กดี อย่าดู”

เอ่อ!

มู่ชิงเกอชะงัก ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงการผสมพันธุของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น มีอะไรที่ไม่ควรดู?

แต่ว่า เมื่อได้ยินคำยืนยันจากคำพูดของชายผู้นั้นแล้ว มู่ชิงเกอก็ขบริมฝีปาก หลุบตามองนิ้วมือของตนเอง ดูอดสูเป็นอย่างมาก

ท่าทางของนางทำให้ซือมั่วมองแล้วเจ็บปวดใจ ความรักในดวงตาแทบจะล้นออกมา

เขาเหลือบมองไปที่กระจกส่องเทพแวบหนึ่ง กระซิบกับหูของนาง “ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่ข้ารู้สึกว่ามีคนแอบมอง หรือจะเป็นของสิ่งนี้? หรือว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์แอบมองข้า?”

เมื่อเรื่องเก่าถูกรื้อฟื้นขึ้นมา แผ่นหลังของมู่ชิงเกอก็พลันแข็งทื่อ ใบหูค่อยๆ ขึ้นสี

นัยน์ตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย ทำเป็นพูดอย่างแน่ใจว่า “มีหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่อง”

“ไม่รู้เรื่องหรือ?” นํ้าเสียงของซือมั่วแฝงอารมณ์หยอกเย้า

มู่ชิงเกอกลอกตามองเขาอย่างจริงจัง “ในเมื่อมีคนแอบมองเจ้า ดูท่าแล้วคงจะมีที่มาไม่ธรรมดา เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

ซือมั่วมองนางอย่างขบขัน พยักหน้า “อืม เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ ตอนนี้ดูแล้วคงไม่ใช่ เช่นนั้นคงจะต้องสืบหาดูให้ดีแล้ว จะต้องจับตัวคนผู้นั้นออกมาให้ได้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าว่าดีหรือไม่?”

ถูกสายตาของผู้ชายมองจนทำให้รู้สึกสับสน มู่ชิงเกอเชิดคางตอบ ‘อืม’ ไปคำหนึ่ง การเกี้ยวพาราสีของคนทั้งสอง ไม่ได้ช่วยขจัดความหวาดกลัวที่เกิดจากภาพในกระจกส่องเทพเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวเสวียนเถี่ย เขามองไปที่ความทุกข์ทรมานของเฮยมู่ ในใจเกิดความคิดที่อยากจะฆ่าตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้ง

เฮยมู่เป็นผู้อาวุโสของสำนักหมื่นอสูร ทั้งชีวิตก็ต้องยุ่งวุ่นวายกับสัตว์อสูรวิญญาณ แต่ไหนแต่ไรมามีแต่เขาที่ควบคุมสัตว์อสูรวิญญาณ ตอนนี้มู่ชิงเกอกลับทำให้เขาถูกสัตว์อสูรวิญญาณลบหลู่ จนตายต่อหน้าผู้คน น่ากลัวเกินไปแล้ว! จิตใจของ ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

นางใช้วิธีการที่โหดร้ายเช่นนั้นเพื่อฆ่าคน แต่ก็ยังสามารถที่จะพูดคุยและหัวเราะกับมหาปราชญ์ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

จิตใจของนางทำขึ้นจากอะไร!

ความน่าสังเวชของเฮยมู่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเย็นยะเยือก มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่ดูเกรงกลัว

พวกเขาชื่นชมพรสวรรค์ของมู่ชิงเกอ และก็เกรงกลัวความโหดร้ายของนาง!

การค้นพบของพวกเขา คุณชายมู่ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนและความสามารถในการหลอมยา แต่ยังมีพรสวรรค์ในการทรมานคน!

ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยก็ลอบมองไปทางโหลวเสวียนเถี่ย ในใจล้วนแต่กำลังคาดเดาว่าคุณชายมู่จะจัดการเขาอย่างไร!

โหลวเสวียนเถี่ยอยากตายมาก แต่เพราะว่ามีกู่หยาและกู่เย่ดูอยู่ เขาแม้แต่จะฆ่าตัวตายก็ยังไม่สามารถทำได้!

เฮยมู่ตายแล้ว ตายด้วยวิธีที่อัปยศอดสู

เขาถูกสัตว์อสูรวิญญาณลบหลู่จนตาย จากนั้นก็ถูกแบ่งเป็นอาหารของสัตว์อสูรวิญญาณ สุดท้ายแล้ว แม้แต่กระดูกหรือชิ้นส่วนเสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่มีเหลือ

คนของสำนักหมื่นอสูรมองเห็นความทุกข์ทรมานของเฮยมู่แล้ว ในใจก็เกิดความสิ้นหวัง

พวกเขาเสียใจที่มายังที่แห่งนี้ เสียใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งมา ยังคงอยู่สำนักหมื่นอสูรต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสหนีได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version