ตอนที่ 206-1
ท่านอาของข้าเจ้าสามารถลบหลู่ได้อย่างนั้นหรือ?
“ชิง…ชิงเกอ!” เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน แฝงไว้ด้วยความไม่แน่ใจ แต่ก็มีความตกตะลึงมากยิ่งกว่า
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคย เดินผ่านกลุ่มคนออกมาอย่างตื่นเต้น กึ่งวิ่งเข้ามาหาตนเอง
มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเบาๆ เพียงแต่นางยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปรับ ก็มีเสียงอันเย็นชาสายหนึ่งดังขึ้นมา
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงนี้พอดังออกมา เซวียฉงที่ยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอที่มีใบหน้าประดับรอยยิ้มมาโดยตลอด ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นซีดลง สายตาฉายแววตักเตือนมองไปยังคนในตระกูลของตนเอง
มู่เหลียนหรงได้ยินแล้วก็ยืนอยู่ที่เดิม ไม่อาจเข้าใกล้และก็ไม่อาจถอย ดูกระดากใจไปบ้าง
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไป มองเห็นคนที่เอ่ยปากคนนั้นในบรรดากลุ่มคน
เป็นฮูหยินคนหนึ่ง อายุประมาณราวๆ ห้าสิบ ดูสง่า มีใบหน้าท่าทีของคนในตระกูลใหญ่ เพียงแต่หว่างคิ้วนั้นดูค่อนข้างเข้มงวด ไม่เพียงเท่านั้น คำที่นางตะโกนออกมาเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม
สายตาของมู่ชิงเกอ ออกจากร่างกายของนางก่อนจะร่วงตกไปยังร่างของท่านอาตนเอง
“เหลียนหรง เจ้าวิ่งช้าๆ หน่อย ระวังร่างกาย” เวลานี้ เสียงของเซวียเฉียวดังเข้ามา เขาเดินออกมาจากกลุ่มคน กุมมือของมู่เหลียนหรง ใช้แผ่นหลังของตนเองบดบัง สายตาที่ดูกดขี่ผู้คนของฮูหยินผู้นั้น
การปลอบโยนอันไร้เสียงของเซวียเฉียวทำให้สายตาของมู่เหลียนหรงฉายแววซาบซึ้งใจ แต่ว่าสายตาที่หันไปมองมู่ชิงเกอนั้น กลับทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกถึงความรู้สึกที่ดูวุ่นวายซับซ้อน
มีความคิดถึง มีความสุข และก็มีความทุกข์
ความทุกข์?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง หันมองเซวียฉงที่อยู่ข้างกาย ขมวดคิ้วถามออกไปว่า “เสนาบดีเซวีย นี่หมายความว่าอย่างไร? ข้าตอบรับคำเชิญมาจวนตระกูลเซวี ยของเจ้าก็เพื่อเยี่ยมท่านอาของข้า อาเขย เหตุใดตอนนี้กลับทำได้เพียงยืนอยู่เฉยๆ เช่นนี้ละ?”
สีหน้าของเซวียฉงฉายแววกระดากใจผ่านไปแวบหนึ่ง เขากำลังจะอธิบาย ฮูหยินเฒ่าผู้นั้นก็แย่งเอ่ยปากออกมา “ในเมื่อมู่เหลียนหรงแต่งเข้ามาในตระกูลเซวียของข้าแล้ว กลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเซวีย เช่นนั้นก็ต้องยอมรับกฎของตระกูลเซวีย ผู้อาวุโสยืนอยู่กลับไม่มีมารยาทพุ่งตัวออกไป ก็คือไม่รู้จักกฎระเบียบ”
นํ้าเสียงของฮูหยินผู้นั้นฉายแววเข้มงวดมาก
บนร่างของนางเดิมทีก็ไม่มีพลังใดๆ แต่ไอกดดันรอบกายกลับแหลมคมและแข็งแกร่ง ดูแล้วคงเป็นคนที่ครอบครองอำนาจมาอย่างยาวนาน
หลังจากคำพูดของนางหลุดออกมา สีหน้าของมู่เหลียนหรงก็ซีดขาวขึ้นไม่น้อย หลุบตาลง ไม่รู้ว่าจะมองไปทางไหนดี
ท่าทางที่ดูข่มกลั้นของนางทำให้เซวียเฉียวเผยอาการเจ็บปวดใจออกมา
และก็ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น
ท่านอาของนาง คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลมู่แคว้นฉิน แม่ทัพหญิงที่ร่าเริงแห่งแคว้นฉิน กลายมาเป็นสะใภ้น้อยที่ต้องข่มกลั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
“มารดา!” เซวียเฉียวอดไม่ได้เอ่ยปากออกมา
“เจ้าหุบปาก!” ฮูหยินเซวียส่งสายตาคมดังมีดเข้ามา ตัดบทคำพูดของเซวียเฉียว
“ท่านพี่…” มู่เหลียนหรงจับชายเสื้อของเซวียเฉียวแน่น ส่ายๆ หน้าไปให้เขา นางไม่อยากให้เขาล่วงเกินมารดาของตนเองเพื่อนาง และก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่า มู่เหลียนหรงต้องการให้เรื่องสงบลง แต่กลับลืมมู่ชิงเกอที่เป็นคนที่ชอบปกป้องคนของตนเองไป!
หากว่าไม่ได้พบเจอก็ถือว่าแล้วไป ตอนนี้ต่อหน้านางก็รังแกท่านอาของนางถึงขนาดนี้แล้ว ถือว่าจะทำอย่างไรกับนางก็ได้งั้นหรือ?
แล้วก็ยังมีเซวียเฉียว ตอนนั้นที่จะแต่งกับท่านอาก็เคยกล่าวคำสาบานไว้มิใช่หรือ? เหตุใดพอกลับถึงตระกูลกลับกลายเป็นนกกระทาไร้นํ้ายาไปแล้ว?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น ยิ้มให้กับเซวียฉงขึ้นมา “เสนาบดีเซวีย ท่านนี้คือ…”
สายตาของนาง กวาดตาไปมองที่ร่างของฮูหยินเซวีย คำพูดของเซวียเฉียว ที่จริงก็ทำให้นางเดาสถานะของฮูหยินผู้นี้ออกแล้ว แต่ว่า นางทำเป็นถามไปงั้นเอง
เซวียฉงมุมปากกระตุก หลุบตาลงเอ่ยตอบว่า “เป็นมารดาของข้า เป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเซวียคนปัจจุบัน”
“ที่แท้ก็เป็นฮูหยินเซวีย” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอฉายแววเยาะเย้ย เอ่ยเบาๆ ว่า “อยู่ในตระกูลเซวีย ประมุขของตระกูลยังไม่ทันได้ออกปาก ฮูหยินก็เอ่ยออกมาก่อนแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่”
ยายแก่ของตระกูลเซวียผู้นี้พูดว่าท่านอาของตัวเองไม่เคารพกฎ นางก็จะเอากฎมาตบหน้านาง!
กฎของตระกูลเซวียของพวกเจ้าใหญ่นักมิใช่หรือ?
เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้าที่ประมุขตระกูลฝ่ายชายยังไม่ได้พูด เจ้าที่เป็นแค่นายหญิงผู้จัดการเฉพาะเรื่องภายในเรือนจึงเริ่มสั่งสอนคนต่อหน้าแขกก่อนได้?
สีหน้าของเซวียฉงเปลี่ยนไปทันที ท่าทางที่บ่งบอกว่า ‘เกิดเรื่องแล้ว’ เผยออกมา
เสียงของมู่ชิงเกอเพิ่งจะหลุดออกไป เสียงของฮูหยินเซวียก็เปลี่ยนเป็นแหลมขึ้น “เจ้ากลับหาว่าข้าไม่ทำตามกฎงั้นหรือ? เห็นผู้อาวุโสไม่รู้จักเคารพ ชิ ตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินเลี้ยงผู้เยาว์เช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?”
“หุบปาก!” หัวหน้าแห่งตระกูลเซวีย บิดาของเซวียเซียวและเซวียฉงในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา
ที่เขาหยุดยั้งแน่นอนว่าเป็นภรรยาเอกของเขาผู้นั้น
“นายท่าน ท่านขึ้นเสียงใส่ข้างั้นหรือ? หรือว่าที่ข้าพูดนั้น มีอะไรผิดไปงั้นหรือ?” ฮูหยินเซวียเอ่ยอย่างไม่พอใจ ภายในการอธิบายของนาง ไม่ว่าอยู่ภายนอกมู่ชิงเกอจะถูกร่ำลือว่าร้ายกาจแค่ไหน เมื่อมาถึงตระกูลเซวียก็เป็นแขก แขกก็ต้องมีกิริยาของแขก
อีกอย่าง นางเป็นผู้เยาว์ของมู่เหลียนหรง ทั้งมู่เหลียนหรงยังเป็นลูกสะใภ้ของนาง มู่ชิงเกอสำหรับนางและต่อตระกูลเซวียแล้วก็ล้วนแต่ต้องมีความเคารพ
อีกอย่าง เมื่อครู่นางหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของมู่เหลียนหรง นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าทำผิดอะไร
มู่เหลียนหรงเป็นสะใภ้ของตระกูลเซวีย ก็ต้องวางตระกูลเดิมไว้อีกทาง จะรำลึกถึงความหลังนั้นไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องรอจนฉากที่สมควรนั้นผ่านไปก่อน จากนั้นค่อยขออนุญาตนางไปพูดคุยกับญาติ นางที่เป็นฮูหยินใหญ่ของบ้านอนุญาติแล้ว นางถึงสามารถไปพบมู่ชิงเกอได้ นี่ก็คือกฎ! สิ่งที่สืบทอดกันมาของตระกูลชั้นสูง!
“ถอยออกไป ที่นี่เป็นสถานที่ที่แค่เพียงฮูหยินคนหนึ่งเช่นเจ้าสามารถเอ่ยปากได้รึ?” ผู้เฒ่าเซวียเอ่ยติเตียนฮูหยินเซวีย
ฮูหยินเซวียคอยจัดการเรื่องภายในตระกูลมาโดยตลอด ไม่เข้าใจเรื่องฐานอำนาจภายนอก แต่ว่าเขาที่เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลเซวียกลับไม่สามารถไม่รู้ได้!
มู่ชิงเกอเป็นที่รู้จักในแคว้นระดับสาม ภายในงานชุมนุมใหญ่หลินชวนครั้งนี้ก็โด่งดังไปทั่ว
แม้แต่บุตรชายที่ตนเองภาคภูมิใจมากที่สุดอย่างเซวียฉง ก็ยังชื่นชมยกย่องมู่ชิงเกอไม่หยุดปาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวมู่ชิงเกอเองร้ายกาจก็แล้วไป ครอบครองกองกำลังที่แข็งแกร่งสามารถกวาดล้างองครักษ์ประจำตัวของแคว้นระดับสองได้ทุกกลุ่มก็ถือว่าแล้วไป แต่ความสัมพันธ์ของนางกับมหาปราชญ์กลับทำให้คนไม่อาจดูเบาได้!
หากว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมหาปราชญ์นั้นเป็นความจริง เช่นนั้นอย่าว่าแต่ตระกูลเซวีย ต่อให้เป็นทั้งหลินชวนก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน!
ครั้งนี้ให้เซวียฉงอ้างเรื่องเยี่ยมญาติ เชิญให้มู่ชิงเกอมาตระกูลเซวีย ก็เพื่อจะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้าน ไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินที่เถรตรงนั้นทำให้เรื่องเสียได้
“นายท่าน…” ฮูหยินเซวียมองผู้เฒ่าเซวียอย่างตกตะลึง ผู้เฒ่าเซวียกลับขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้มงวดขึ้นว่า “ยังไม่ถอยไปอีก!”
ในใจของฮูหยินเซวียรู้สึกโกรธ แต่ก็ถูกสามีกดดันจนไม่อาจไม่ถอยได้
ฮูหยินเซวียที่ชอบข่มเหงคนซ่อนตัวเข้าไปในกลุ่มใหญ่ของคนตระกูลเซวีย
ส่วนมู่ชิงเกอกลับ เพียงแต่ยิ้มเยาะมองไปทางผู้เฒ่ เซวีย
เจ้าเฒ่าผู้นี้วางแผนอะไรไว้ในใจเหตุใดนางจะดูไม่ออก?
มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ตกลงเดินทางมาพร้อมกันกับเซวียฉงแล้ว
หยุดยั้งความขัดแย้งแล้ว ผู้เฒ่าเซวียถึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่เดินทางมาไกล คิดว่าคงจะเหนื่อยแล้ว ไม่สู้เข้าพักผ่อนก่อน รอพักผ่อนดีแล้วแล้ว พวกเราค่อยต้อนรับคุณชายมู่อีกครั้ง”
พูดแล้ว ก็ไม่ให้โอกาสมู่ชิงเกอได้เอ่ยปาก มองไปทางเซวียเฉียวสองสามีภรรยา “เจ้าเจ็ด อาศัยเจ้ากับภรรยาของเจ้า นำคุณชายมู่ไปเรือนขับกลอนพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ”
เซวียเฉียวมองไปทางบิดาอย่างตกตะลึง รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังคงพยักหน้า
เซวียเฉียวคนนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถด้านพลังฝีมือที่ไม่เลว แต่ในด้านความสัมพันธ์กับบุคคลกลับไม่ค่อยมี
เขาไม่เข้าใจความหมายที่ผู้เฒ่าเซวียจัดการเช่นนี้ เพียงแต่ทำตามคำสั่ง ต้อนรับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มที่มุมปาก และก็ไม่ได้ปฏิเสธการจัดการของตระกูลเซวีย ยอมติดตามเซวียเฉียวและมู่เหลียนหรงไปโดยดี
นางไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เฒ่าเซวียถึงได้หายไป เหลือบตามองเซวียฉงแวบหนึ่ง มีคำบางคำใช้สายตาสื่อสารหากันแล้ว
พิธีต้อนรับอย่างดีกลับถูกทำลายโดยฮูหยินของตนเอง เดิมที่คิดจะแนะนำลูกหลานตระกูลเซวียคนอื่นๆ ตอนนี้หมดทางเลือกก็ได้แต่พิงฝาผนังต้อนรับแล้ว
“เหอะ แยกย้ายกันไปเถอะ กลับไปเรือนใครเรือนมัน เก็บความหยิ่งผยองในตัวพวกเจ้าลงให้ข้า คิดว่าตระกูลเซวียของพวกเรายิ่งใหญ่คับฟ้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ผู้เฒ่าเซวียสั่งสอนไปประโยคหนึ่ง สะบัดเสื้อจากไป เซวียฉงรีบไล่ตามไป
เขาพอไปแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามไป จากนั้นรุ่นเยาว์ของตระกูลเซวียก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
พวกเขาถูกเรียกมารวมตัวกัน บอกว่าจะต้องเจอคนใหญ่คนโต
แต่ว่า คนใหญ่คนโตยังไม่ทันได้แนะนำก็จบลงแล้ว สามารถพูดได้ว่าความประทับใจครั้งแรกที่พวกเขามีต่อมู่ชิงเกอก็คือหญิงงามที่หาพบได้ยากยิ่งผู้หนึ่ง
ความงามของนาง แม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอวี่ คู่หมั้นของพี่ชายใหญ่เซวียฝานที่เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นอวี่เมื่อเทียบกับนางแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นด้อยไป เทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย