ตอนที่ 215
ทัพฟ้าจัดตั้งขึ้นแล้ว
เรือลำใหญ่ลอยล่องไปบนเกลียวคลื่นสีเขียวเข้ม
ทะเลฝัjงนี้สีคลํ้ากว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านี้อยู่มาก ราวกับว่าใต้ท้องทะเลมีการดำรงอยู่ของโลกอีกใบหนึ่งแอบซ่อนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
บนดาดฟ้า คุนกับมู่ชิงเกอยืนประจัญหน้ากัน
อืม…
น่าจะพูดว่ามู่ชิงเกอเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างสบายอารมณ์ชมทัศนียภาพของทะเลแห่งทุกข์ ส่วนคุนนั้น กลับเขม็งเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่าง ยืนอยู่ตรงหน้านาง ท่าทางระแวดระวังภัย ปฏิเสธการเชิญนั่งของมู่ชิงเกอ
เขาถูกมู่ชิงเกอเรียกชื่อขึ้นมาบนเรือ
ที่ว่าจะซุ่มโจมตี ที่ว่าจะทำลายให้สิ้น ล้วนแต่ถูกมู่ชิงเกอล้มกระดานลงอย่างง่ายดาย
ครั้งนี้ เผ่าปีศาจทะเลพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน
“ถึงเจ้าจะข้ามผ่านน่านน้ำอาณาเขตของเผ่าปีศาจทะเลไปได้ แต่ก็ยังมีอันตรายอื่นๆ รออยู่เช่นกัน ไม่มีทางไปถึงโลกแห่งยุคกลางได้” ท่าทีของมู่ชิงเกอทำให้คุนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอกลับยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้น “โลกแห่งยุคกลางอย่างไรข้าก็ต้องไปให้ถึง ใครก็ขวางไม่ได้ อันตรายที่เจ้าพูดหมายถึงสัตว์อสูรใต้ท้องทะเล แล้วก็เผ่าอี๋ใช่หรือไม่?”
ดวงตาของคุนนิ่งขรึม เขามองมู่ชิงเกอเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่า เจ้าเองจะหาข้อมูลมาอย่างละเอียดแล้ว”
“เป็นธรรมดานะ” มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันสังเกต
ความจริง จะรู้หรือไม่นางก็ต้องมุ่งหน้าไปอยู่ดี รู้ข้อมูลภายในมาบ้างเพียงแค่ทำให้นางทำงานได้อย่างมั่นใจขึ้น
มู่ชิงเกอหลุบตาลง สายตาหยุดที่กระดิ่งที่ผูกอยู่ข้างเอว นางกุมกระดิ่งไว้ในฝ่ามือ สัมผัสกระดิ่งเบาๆ การกระทำเช่นนี้ราวกับว่านับแต่ที่นางได้กระดิ่งมา ก็ทำเช่นนี้จนเคยชินอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าการสัมผัสเบาๆ เช่นนี้ของนาง คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งจะรับรู้ได้หรือไม่
เงาสีขาวสายหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ ร่วงลงมาจากบนฟ้ากลายร่างเป็นไป๋สี่
ไป๋สี่เดินมาหยุดอยู่ข้างมู่ชิงเกอ มองคุนแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงตํ่า “คนของเผ่าปีศาจทะเลล่าถอยกลับไปหมด แล้ว”
ประโยคนี้ของนางทำเอาคุนเงยหน้ามองไป๋สี่
“เจ้าไม่ใช่คน” เขาเอ่ย
ไป๋สี่มองหน้าเขา มอบรอยยิ้มทรงเสน่ห์แต่ดูแคลนให้เขา ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ “สามารถแปลงร่างเป็นคนได้มีเพียงสัตว์อสูรระดับขั้นเทวะหรือระดับสูงขึ้นไปกว่านั้น” คุนเอ่ย มองมู่ชิงเกอด้วยความตื่นตระหนก เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? มีเบื้องหลังเช่นไร? คิดไม่ถึงว่าจะมีสัตว์อสูรเทวะเป็นพวก”
สายตาของเขากวาดตามองมู่ชิงเกอ ปรายตามองมั่วหยาง องครักษ์เขี้ยวมังกร แม้กระทั่งหยินเฉินที่เฝ้าเสากระโดงเรือ
ยิ่งมองในใจของเขายิ่งตื่นตระหนก
เพราะเขาค้นพบว่าบนเรือลำนี้ไม่ใช่มีเพียงมู่ชิงเกอที่แข็งแกร่ง
แต่ว่าทุกคนล้วนแข็งแกร่ง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีอาภรณ์สีขาวที่กลายร่างเป็นคนตรงหน้านี้ เขายิ่งดูไม่ออก ใต้ใบหน้าเย็นชาทรงเสน่ห์นั่น พาให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ถูก
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ” มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง หน้าเขา จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “เจ้ากลับไปได้แล้ว”
คุนชะงัก เลิกคิ้วน้อยๆ
เขาจ้องหน้ามู่ชิงเกอ ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าเขาพูดจริงพูดเล่น
เห็นท่าทางของเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้มกว้างขึ้น เอ่ยเน้นยํ้าอีกรอบว่า “ข้าบอกว่า เจ้า กลับไปได้แล้ว”
พอถึงนาทีนี้ ราวกับคุนถึงจะยอมเชื่อว่ามู่ชิงเกอไม่ได้มีใจเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจทะเลจริงๆ สิ่งที่นางต้องการ พูดชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ
นางเพียงแค่ยืมเส้นทาง!
“เอายาถอนพิษมาให้ข้าแล้วข้าจะไปทันที ข้าก็สัญญาว่าจะไม่มีคนของเผ่าปีศาจทะเลตามมาสร้างความรำคาญให้เจ้าเด็ดขาด” คุนยื่นมือมาทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยความงงงวย เอ่ยถามขึ้นว่า “ยาถอนพิษอะไร?”
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขา ทำเอาแววตาของคุนพาดผ่านด้วยความกรุ่นโกรธ ในขณะที่เขาจะระเบิดอารมณ์โกรธ มู่ชิงเกอก็ฉีกยิ้ม หัวเราะขึ้นมา “ข้าบอกว่าวางยาพิษ พวกเจ้าก็เชื่อว่าข้าวางยาพิษหรือ? กลับไปถามทาลิซ่าดูแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
“หมายความว่าอย่างไร?” แววตาคุนนิ่งขรึม มองหน้าเขาอย่างตั้งใจ
มู่ชิงเกอนวดลำคอเบาๆ ด้วยท่าทีเกียจคร้าน เก้าอี้โยกด้านล่างโยกไหวขึ้นมา “ไป๋สี่ โยนเขาออกไป”
“เฮ้! เจ้าหมายความเช่นไรกันแน่?” คุนรีบเอ่ยถาม แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับหลับตาลง ไม่ปรารถนาจะเอ่ยสิ่งใดต่อ
ชั่วพริบตาไป๋สี่โผล่มาหยุดตรงหน้าคุน ไป๋สี่เผยรอยยิ้มเย้ายวนให้เขา เอ่ยด้วยความดูแคลนว่า “เด็กน้อย ข้าส่งเจ้ากลับล่ะนะ เตรียมตัวให้ดี”
พูดแล้ว ภาพก็พร่ามัวไปครู่หนึ่ง หางอสรพิษของนางทันใดนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าคุน หางอสรพิษสะบัดหนึ่งครา ก็สะบัดร่างของคุนบินถลาออกไป ปรากฏวัตถุลอยละลิ่วจากเรือลำใหญ่ กลายเป็นจุดสีดำบนท้องฟ้าสุดท้ายก็ หายไปมองไม่เห็นอีก
หลังจากจัดการเสร็จแล้ว ไป๋สี่ก็ปัดมือกลับมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
“มั่วหยาง” จู่ๆ มู่ชิงเกอที่หลับตาทั้งสองข้างก็เอ่ยปากขึ้น เมื่อได้ยินว่าเรียกชื่อตนเอง มั่วหยางก็ยืดตัวขึ้นหันหน้าไปทางมู่ชิงเกอ
“ไปดูสิว่าด้านหน้ามีเกาะร้างหรือไม่ พวกเราจะอาศัยบนเกาะพักผ่อนชั่วคราว” มู่ชิงเกอหลับตาทั้งสองข้างลง
พร้อมเอ่ยสั่งความมั่วหยาง
จู่ๆ จะพักผ่อน?
มั่วหยางไม่เข้าใจความคิดของมู่ชิงเกออยู่บ้าง แต่กลับไม่ขัดขวาง เขาทำตามที่มู่ชิงเกอบอก
หลังจากที่มั่วหยางจากไปแล้ว ไป๋สี่ก็ย่อตัวลงข้างกายมู่ชิงเกอมองดูโย่วเหอและฮวาเยวี่ยปรนนิบิตนาง เบ้ปาก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้านี่ช่างเพลิดเพลินกับการเสวยสุข”
แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับดูคล้ายเหนื่อยล้าเสียอย่างนั้น เพียงแค่ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา ก่อนจะหลับลึกลงไป
มู่ชิงเกอที่เป็นเช่นนี้ทำให้ไป๋สี่แปลกใจ
นางขมวดคิ้วมองโย่วเหอและฮวาเยวี่ย เอ่ยถามขึ้นว่า “นางเป็นอะไรไป?”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ มือยังคงนวดบ่านวดไหล่ไม่หยุดมือ
ไป๋สี่มองดูด้วยความประหลาดใจยากที่จะเข้าใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปรายตามองไปรอบๆ บริเวณ
ไม่มีสตรีเผ่าปีศาจทะเลเหล่านั้น เรือลำใหญ่หวนคืนสู่ความสะอาดโปล่งโล่งดังเช่นแต่ก่อน
ทันใดนั้น นางก็พลันรู้สึกว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองดูหอสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ ร่างของไป๋สี่หายวับไปจากดาดฟ้าเรือ เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่บนหอสังเกตการณ์แล้ว เมื่อเห็นไป๋สี่ปรากฏตัว หยินเฉินก็จ้องเขม็ง
“มองอะไรเจ้าสุนัขจิ้งจอกหน้าเหม็น” ไป๋สี่ถลึงตาใส่หยินเฉิน ขณะที่หยินเฉินหรี่ตาลงจนเหลือเป็นเส้นยาว นางก็เบียดกายมาอยู่ตรงหน้าหยินเฉิน เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถึงตาข้าแล้ว เจ้าลงไปพักผ่อนเถอะ”
คำพูดของนางทำเอาดวงตาหยินเฉินเป็นประกายประหลาดใจแกมสงสัยพาดผ่าน “อสรพิษจอมตะกละ รู้จักคิดแทนผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เมื่อโพล่งคำว่า ‘อสรพิษจอมตะกละ’ ออกมาก็นำมาซึ่งการถลึงตาด้วยความโมโหของไป๋สี่ทันที “สุนัขจิ้งจอกหน้าเหม็น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเมื่อไรที่มู่ชิงเกอไม่สังเกต ข้าจะควักลูกตาของเจ้า”
หยินเฉินยิ้มเยือกเย็นชั่วครู่ เอ่ยขึ้นอย่างไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย “เช่นนั้นเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าก่อนหน้าที่เจ้าจะควักลูกตาของข้า ข้าจะให้เจ้าลองลิ้มรสชาติของการหางขาดก่อน?”
ดวงตาของไป๋สี่ปรากฏให้เห็นเป็นสีทองอมม่วง นัยน์ตาของมนุษย์กลายเป็นดวงตาเลือดเย็นของอสรพิษ
ดวงตาสีเลือดของหยินเฉินก็ยิ่งแดงก่ำ กลิ่นไอปีศาจ พลิกตลบไม่เหมือนเดิม
ทั้งสองคนจ้องหน้ากันและกัน สงครามที่ไร้เสียงปรากฏในสายตาของพวกเขาทั้งสอง
ชั่วครู่หนึ่งหยินเฉินส่งเสียงสบถออกมาด้วยความขุ่นเคือง ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวชนเข้ากับเสารั้วบนหอสังเกตการณ์ แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชากดดัน เขามองดูสายตาพึงพอใจของไป๋สี่
ไป๋สี่ยกยิ้มมุมปากเย้าแหย่ สายตาเต็มไปด้วยแววท้าทาย
“หยินเฉิน ลงมาพักผ่อน” ทันใดนั้น ก็มีเสียงมู่ชิงเกอดังแว่วมาจากดาดฟ้า
เสียงราบเรียบเอื่อยเฉื่อยนี้ทำเอาหนึ่งสุนัขจิ้งจอกหนึ่ง อสรพิษชะงักลงพร้อมกัน คล้ายกับว่าเป็นเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
หยินเฉินรีบเก็บความเยือกเย็นในแววตา ไป๋สี่เองก็เก็บความท้าทาย
ลอบมองไป๋สี่เงียบๆ แวบหนึ่ง หยินเฉินหมุนตัวกระโดดจากหอสังเกตการณ์ลงบนดาดฟ้าแผ่วเบาดุจขนนก ทันใดนั้นร่างเขาก็ปรากฏแสงสีเงินกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกหิมะ
หางจิ้งจอกฟูปุกปุยสะบัดเบาๆ สี่ขากระโจนซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของมู่ชิงเกอ ขดตัวเป็นก้อนบนตักของนาง หลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์
สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจหรือว่าต่อต้าน ราวกับยอมรับวิธีการของหยินเฉินกลายๆ
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยจ้องหยินเฉินด้วยความประหลาดใจ ราวกับรู้สึกสนใจวิธีการเล่นมายากลของเขาอย่างมาก
ไป๋สี่ที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์พอเห็นฉากนี้ ก็โกรธจนต้องขบฟัน เอ่ยเสียงแค้นเคือง “สุนัขจิ้งจอกหน้าเหม็น สมควรตาย! คิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีเจ้าเล่ห์เช่นนี้คิดว่า แค่นี้จะชนะข้าหรืออย่างไร?”
สูดลมหายใจลึกๆ อยู่หลายครา ไป๋สี่ถึงได้ข่มไฟโกรธลง ไป
หากไม่ใช่ว่าต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ นางเองก็จะแปลงเป็นอสรพิษน้อยสีขาว มุดเข้าไปในแขนเสื้อของมู่ชิงเกอ เหอะ เหอะ!
สุดขอบฟ้าห่างไกลกับเรือลำใหญ่ ปรากฏให้เห็นจุดสีดำเล็กๆ
จุดสีดำเล็กๆ นั้นพุ่งตกลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับค่อยๆ ใหญ่ขึ้น
พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นรูปร่างคน ตกลงสู่ทะเลแห่งทุกข์
ในขณะที่เขาจมลงไปนั้น ในทะเลลึกก็มีอสูรทะเลว่ายเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ผ่านใต้ร่างเขาพยุงตัวเขาลอยขึ้นมาบนผิวนํ้า
“พรวด” คุนพ่นนํ้าออกมา ยกมือขึ้นลูบหยาดนํ้าบนใบหน้าออก
เขามองดูน้ำทะเลไกลโพ้นก่อนจะก้มหน้าลงมองสัตว์อสูรใต้ร่าง ตบศีรษะมันอยู่หลายทีเอ่ยเสียงทุ้ม “ขอบใจเจ้ามาก โยวถง”
ราวกับว่าได้ยินคำขอบคุณของเขา สัตว์อสูรใต้ร่างเขาเปล่งเสียงตอบรับออกมา
“คุน—–!”
ในเวลานี้เอง ด้านหลังคุนก็มีเสียงร้องด้วยความยินดี
คุนหันหลังกลับไปมอง ก็มองเห็นหัวหน้าเผ่าใหญ่ แล้วก็พลทหารเผ่าปีศาจทะเลนับหมื่นนายที่ทาลิซ่าพามา มุ่งหน้ามาทางเขาอย่างรีบเร่ง
เมื่อมองเห็นญาติที่คุ้นเคย คุนก็ยืนขึ้นบนสันหลังของสัตว์อสูร
หลังจากที่ผู้มาเยือนเข้ามาใกล้ เขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยกับหัวหน้าเผ่าใหญ่ “พ่อบุญธรรม”
หัวหน้าเผ่าใหญ่เอ่ยปลอบโยนว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“คุน เขาไปแล้วหรือยัง?” ทาลิซ่าเอ่ยถามด้วยความร้อนรน
เสียงนั่นแฝงความอาลัยอาวรณ์อย่างปิดไม่มิด ทำให้คุนเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัยแกมประหลาดใจ
ถูกคุนมองจนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทาลิซ่าก้มหน้าเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เขาปล่อยเจ้าแล้ว ต้องไปไกลแล้วอย่างแน่นอน”
คุนมองดูทาลิซ่านิ่งๆ ก่อนจะละสายตามองไปที่หัวหน้าเผ่าใหญ่ เอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อบุญธรรม คุนไร้ความสามารถ ไม่ได้ยาถอนพิษ ข้าจะกลับไปหาเขาเดี๋ยวนี้ เอายาถอนพิษกลับมาให้ได้”
“เดี๋ยวก่อนคุน” หัวหน้าเผ่าใหญ่รั้งเขาไว้
คุนมองหัวหน้าเผ่าใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจแกมสงสัย
หัวหน้าเผ่าใหญ่กลับเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราแค่มารับเจ้ากลับบ้านเท่านั้น”
คุนยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
ทันใดนั้น ทาลิซ่าก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “ความจริงเขาไม่ได้วางยาพวกเรา แต่ว่าช่วยพวกเราไว้”
อะไรนะ!
คุนดวงตาเขม็งเกร็ง ยิ่งเพิ่มความไม่เข้าใจไปใหญ่
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง คำพูดของมู่ชิงเกอก่อนจะจากไปขึ้นมาได้ที่ว่าเขามีอะไรไม่เข้าใจให้กลับไปถามทาลิซ่า
“ทาลิซ่าเจ้ารู้อะไรมา? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” คุนรีบร้อนเอ่ยถาม
ทาลิซ่าก็ไม่ได้ปิดบังอีกต่อไปพูดเรื่องทั้งหมดออกมา โดยเฉพาะเรื่องที่มู่ชิงเกอมอบยาให้ยิ่งพูดออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีตกหล่น
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” คุนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ปัญหาที่สร้างความลำบากใจให้เผ่าปีศาจทะเลมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะจัดการเช่นนี้เอง?
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งหมด แต่ก็พอจะเป็นความหวังให้พวกเขาขยายเผ่าพันธุ์ขึ้นมาใหม่!
หัวหน้าเผ่าใหญ่พยักหน้า “หลังจากนำสตรีเหล่านั้นกลับไป ก็เชิญท่านหมอของเผ่ามาตรวจดูอย่างละเอียด ไม่มีร่องรอยของการโดนวางยาจริงๆ แต่ว่าการแก้ปัญหาเรื่องสืบเผ่าพันธุ์จะเป็นจริงดังที่เจ้ามนุษย์นั้นพูดหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้”
“เขาไม่มีทางพูดโกหก และก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหก!” ทาลิซ่าไม่ยอมให้ใครก็ตามสงสัยในตัวมู่ชิงเกอ
แต่นี่กลับทำให้หัวหน้าเผ่าใหญ่มองหน้านางด้วยความกังวล “บุตรสาว เจ้าต้องรู้ว่าถึงแม้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เขาสามารถแก้ไขปัญหาของเผ่าปีศาจทะเลเราได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงว่าเขาเป็นมนุษย์ใปได้ เจ้ากับเขาไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน”
“ข้ารู้” ทาลิซ่าพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตอนที่นางลงเรือก็รู้แล้วว่ามู่ชิงเกอไม่ได้คิดอะไรกับนาง อีกอย่างจากกันครั้งนี้ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร อย่าไปพูดถึงเรื่องราวต่อจากนั้นเลย
นางเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าใหญ่ของเผ่าปีศาจทะเล แบกรับภาระการสืบทอดทายาท เรื่องราวมากมายไม่อาจทำตามใจตนเองได้
นางสามารถคาดหวัง แต่ก็ทำอะไรลงไปจริงไม่ได้
คุนเองก็มองหน้าทาลิซ่าแวบหนึ่ง เอ่ยบอกกับหัวหน้าเผ่าใหญ่ว่า “ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของเผ่าปีศาจทะเล”
หัวหน้าเผ่าใหญ่เองก็พยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดออกมา “ถ้าหากเรื่องทั้งหมดเป็นจริงดังที่เขาว่า เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของเผ่าเรา ผู้มีพระคุณที่เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียว”
ทันใดนั้นคุนก็นึกขึ้นมาได้ว่า “ในเมื่อพวกเรารู้แล้วว่านั้นไม่ใช่ยาพิษ เผ่าอื่นก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกล้อเล่น ส่งทหารติดตามไล่ตามไป”
“นี่ก็เป็นเป้าหมายที่ข้ามาที่นี่” หัวหน้าเผ่าใหญ่เอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า “เผ่าปีศาจทะเลของเราแต่ไหนแต่ไรมาก็แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนในเมื่อเขาไม่ได้ทำร้ายทำร้ายสตรีของข้า ยังช่วยรักษาพวกนาง เช่นนั้นก็เป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเรา ข้าจะไม่ให้คนอื่นไปแก้แค้นตอบแทนคุณหรอก”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ทะเลด้านหลังของเขาก็เป็นระลอกคลื่น
ไม่นาน หัวหน้าเผ่าอื่นก็นำพลทหารปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขา
“พี่ใหญ่!”
การดำรงอยู่ของหัวหน้าเผ่าใหญ่ทำเอาพวกเขาล้วนมีอาการตกตะลึง
หัวหน้าเผ่าห้าพูดออกมาอย่างขวานผ่าซากว่า “พี่ใหญ่ พวกเราถูกเจ้ามนุษย์นั่นหลอกเล่นแล้ว จริงๆ พวกนางไม่ได้ถูกวางยาพิษ! เร็วเข้า พวกเรารีบตามไปยังทันอยู่ จะต้องหักคอเจ้ามนุษย์น่ารังเกียจนั่นให้ได้!”
“ห้ามใครไปทั้งนั้น!” หัวหน้าเผ่าใหญ่ออกอาการโมโหทันที
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ต่างพากันตะลึง มองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
หัวหน้าเผ่าใหญ่เอ่ยกับทาลิซ่าว่า “ทาลิซ่า บอกความจริงกับพวกอาๆ ไปสิ”
ทาลิซ่าเดินออกมาทันที นำความที่บอกแก่คุนเมื่อครู่นี้ เอ่ยขึ้นมาอีกรอบ
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในแววตาฉายชัดว่า ไม่เชื่อ
หัวหน้าเผ่าสี่คิดๆ แล้ว เอ่ยบอกกับหัวหน้าเผ่าใหญ่ว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้มันห่างไกลจากความเป็นจริง พวกเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเพียงแค่พูดออกมาพล่อยๆ หรือว่าเป็นเช่นนั้นจริง ไม่สู้พวกเราไล่ตามไปก่อน จับตัวคนมาขังไว้ รอให้พิสูจน์ได้ว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เรื่องหลอกลวง พวกเราค่อยปล่อยเขาไป?”
หัวหน้าเผ่าใหญ่ขมวดคิ้วมองหัวหน้าเผ่าสี่ “เจ้าสี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนขยันขันแข็งอีกทั้งเฉลียวฉลาด เจ้าจะจัดการเรื่องราวเช่นนี้? เรื่องเช่นนี้ต้องรอถึงเมื่อไร? คงมิใช่ว่า ขังเขาไว้แปดปีสิบปี? ยังมีอีก ในเมื่อคนของเราไม่ได้เป็นอะไร เหตุใดต้องไปสอดมือสร้างเรื่องยุ่งด้วยเล่า?”
“พี่ใหญ่…”
“เจ้าอย่าได้แย้งสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับข้าเลย” หัวหน้าเผ่าใหญ่ยกมือขึ้นขัดคำพูดของเขา “หากเขาทำร้ายสตรีของข้าหรือว่าสังหารคนของข้า ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือน ข้าเองก็พร้อมจะนำทหารบุก แต่ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรสักอย่าง อีกอย่างบางทีเขาอาจจะทิ้งความหวังให้เผ่าปีศาจทะเลของพวกเราจริงๆ ก็ได้ พวกเราไม่สามารถล้างแค้นตอบแทนคุณ ยิ่งไปกว่านั้นด้านหน้าก็เป็นอาณาเขตของเผ่าอี๋ พวกเรานำทหารเข้าไปปุบปับ จะนำไปสู่ความความเข้าใจผิดที่มากกว่าเดิม ตอนนี้พวกเจ้าพาคนตามข้ากลับไปให้หมด ใครก็ห้ามไล่ตามเรือลำนั้นไป!”
คำพูดเด็ดขาดของหัวหน้าเผ่าใหญ่ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางคัดค้าน
อีกอย่างถูกหัวหน้าเผ่ารั้งไว้ก็เสียเวลาไปอยู่บ้าง ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตามทันก็เหลือน้อยลง
“พี่ใหญ่ ท่านเชื่อคำพูดลวงโลกนั่นหรือ?” หัวหน้าเผ่าสองเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ไหว
หัวหน้าเผ่าใหญ่ถลึงตาทั้งสองข้าง เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “โกหกหรือไม่ วันนี้หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ก็ลองดูเอาเองแล้วกันว่าสามารถทำให้เมียเจ้าออกลูกให้เจ้าเพิ่มขึ้นได้หรือไม่”
เรือลำใหญ่ของมู่ชิงเกอแล่นไปเรื่อยๆ เบื้องหน้าไม่ไกลออกไปจากเรือเท่าไร เผยให้เห็นเกาะขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก
ในขณะที่เรือลำใหญ่เข้าไปใกล้เกาะขนาดเล็กนั้น จู่ๆ ไป๋สี่ก็หรี่ตาลง เอ่ยบอกกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ใต้ทะเลมีสัตว์อสูรเข้ามาใกล้”
มีสัตว์อสูร?
มู่ชิงเกอปรือตาขึ้นช้าๆ แววตาสุกสกาวฉายความสว่างไสว
นางลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก เดินไปยังดาดฟ้าหัวเรือ
ปีนไปบนหัวเรือ นางใช้มือจับราวกั้น จากนั้นก้มหน้าลงมองเบื้องล่าง
ท่ามกลางนํ้าทะเลสีเขียวมีเงาขนาดใหญ่มุ่งมาทางนี้จริงๆ คาดเดาด้วยสายตาแล้วน่าจะห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น
“แจ้งกับองครักษ์เขี้ยวมังกรทุกนายเตรียมตัวให้พร้อม” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งความนิ่งๆ
หยินเฉินแปลงกายเป็นคนเดินมาหยุดข้างๆ มู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “หากทำสงครามฆ่าฟันกันที่นี่ เกรงว่ากลิ่นคาวเลือดจะนำมาซึ่งสัตว์อสูรทะเลอีกเป็นจำนวนมาก ไม่สู้ให้ข้าใช้มายากล่อมพวกมัน รอให้พวกเราขึ้นฝั่งก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที?”
มู่ชิงเกอคิดๆ ดูแล้ว ก็พยักหน้าลงแทบไม่ทันสังเกต เห็นด้วยกับข้อเสนอของหยินเฉิน
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอเห็นด้วย หยินเฉินก็แสดงพลังความสามารถออกมาทันที ดวงตาสีเลือดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหัศจรรย์คล้ายกับว่าปรากฏนํ้าวนสีเลือด จาก นั้นนํ้าวนค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังสายหนึ่งเปล่งออกมาจากหน้าผากของเขาลงสู่ทะเล
เรือลำใหญ่ยังคงมุ่งหน้าไปทางเกาะขนาดเล็ก ส่วนสัตว์อสูรทะเลเหล่านั้นที่มุ่งหน้ามาทางเรือลำใหญ่ กลับหยุดการเดินหน้าคล้ายกลับว่าตกอยู่ในห้วงมายา ของหยินเฉิน
มั่วหยางให้เรือแล่นเร็วขึ้น เกาะขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ใน ม่านหมอกก็ค่อยๆ เห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น
เมื่อเรือใกล้ถึงฝั่ง มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่าบนหน้าผากของหยินเฉินเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดเต็มไปหมด สีหน้าก็ซีดขาว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงกัดฟันยืนหยัดต่อไป สร้างห้วงมายาใส่สัตว์อสูรมากมายขนาดนั้นพร้อมกัน นี่เท่ากับเป็นการสิ้นเปลืองพลังจิต ถึงแม้ว่าตอนนี้หยินเฉินจะเป็นสัตว์อสูรเทวะก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
“หยินเฉิน พอแล้วล่ะ” มู่ชิงเกอเอ่ยกับเขา หยินเฉินเงยหน้าขึ้นมองนาง ในที่สุดก็พยักหน้าลงช้าๆ เขาเรียกคืนห้วงมายา สัตว์อสูรทะเลที่ถูกห้วงมายาครอบงำก็ได้สติ ชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดโทสะ มุ่งมาทางเรือลำใหญ่ด้วยความบ้าคลั่ง
“ขึ้นเกาะ!” เมื่อมู่ชิงเกอมีคำสั่ง องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนาย ยังมีโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย ต่างทยอยกระโดดออกจากเรือมุ่งทะยานไปเกาะเล็กๆ นั่น
“ไป๋สี่ ไปคุ้มครองพวกเขา” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นเอ่ยบอกไป๋สี่
หากว่าเกาะขนาดเล็กนั่นมีอัตรายใดๆ มีไป๋สี่อยู่ย่อมดีที่สุด
ไป๋สี่แปลงเป็นลำแสงสีขาว ขึ้นเกาะไปล่วงหน้าก่อนหนึ่งก้าว ค้นหาทุกที่บนเส้นทาง
ส่วนมู่ชิงเกอนั้นกระโดดไปพร้อมหยินเฉิน เมื่อนางกระโดนขึ้นบนอากาศก็สะบัดมือนำเรือลำใหญ่เก็บเข้าไปในช่องว่าง หายไปจากผิวนํ้าของทะเลแห่งทุกข์
จู่ๆ เป้าหมายที่ไล่ตามมาหายไป สัตว์อสูรในทะเลก็ทวีความคลุ้มคลั่งขึ้นมา ส่วนมู่ชิงเกอนั้นก็พาหยินเฉินไปบนเกาะ ย่างเท้าลงบนชายหาดบนเกาะ
“คุณชาย”
“คุณชาย”
เมื่อมู่ชิงเกอถึงพื้น บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรก็กรูกันเข้ามา
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยเองก็ขนาบอยู่ข้างซ้ายข้างขวาของนางไม่ห่าง
เวลานี้เอง ไป๋สี่ก็กลับมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าไปดูมาแล้ว นี่เป็นเกาะร้าง นอกจากพวกเราแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยบอกกับทุกคนว่า “สัตว์อสูรทะเลเหล่านั้นอีกประเดี๋ยวก็ตามกลิ่นมา พอถึงเวลานั้นก็เป็นเวลาทดสอบพวกเจ้าแล้ว”
ล่องลอยแห้งเหี่ยวอยู่บนทะเลมาเนิ่นนาน มีสัตว์อสูรทะเลมาให้ฝึกฝีมือก็ไม่เลวเหมือนกัน
คำพูดของนางทำเอาไป๋สี่มุมปากกระตุก
แต่กลับทำให้บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรคันไม้คันมือแทบอดใจรอไม่ไหว
“มนุษย์คนอื่นๆ พบเจอสัตว์อสูรมาเป็นฝูงเช่นนี้ต่างก็หลีกหนีแทบไม่ทัน เจ้ากลับเห็นพวกมันเป็นเป้าหมายที่จะฝึกฝนตนเอง เจ้าช่างไม่เหมือนกับคนทั่วไปเสียจริง” ไป๋สี่เอ่ยเย้า ดวงตาของนางกวาดตามองใบหน้าตื่นเต้นขององครักษ์เขี้ยวมังกรคนแล้วคนเล่า จากนั้นเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “แม้กระทั่งท่าทางพวกเขาก็ไม่เหมือนกัน”
มู่ชิงเกอฟังออกถึงคำชมในคำพูดของนาง ก็เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรของข้า ย่อมต้องพิเศษไม่เหมือนใคร!”
ประโยคธรรมดาประโยคเดียว กลับทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อนนายยืดอกยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
มู่ชิงเกอหันกลับไปมองผิวนํ้าทะเล ผิวนํ้าที่เดิมทีสงบนิ่ง กลับถูกปลุกเร้าจนบ้าคลั่งขึ้นมา
“เตรียมทำศึกเถอะ” เมื่อสัตว์อสูรทะเลตัวหนึ่งค้นพบเกาะนี้และมุ่งหน้าตรงเข้ามา มู่ชิงเกอก็เอ่ยสั่งความขึ้นมาหนึ่งประโยค
พรึบ พรึบ พรึบ!
บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรค่อยๆ ควักอาวุธของตนเอง ขึ้นมา
กระทั่งมีบางคนหยิบปืนกลีเนทลันเชอร์ขึ้นมา!
อาวุธของพวกเขาล้วนเป็นมู่ชิงเกอหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง เดิมทั้งหมดนี้เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ ในระหว่างที่เข้าสู่ทะเลแห่งทุกข์มู่ชิงเกอก็ได้คัดเลือก ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติชั้นกลางบางส่วนกับอาวุธชั้นสูงมา หลอมขึ้นใหม่ให้พวกเขา ช่วยยกระดับให้พวกเขา แม้แต่ปืนกลีเนทลันเชอร์เองก็พัฒนาความแม่นยำและแรงทำลายล้างเพิ่มขึ้น
งานเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนความสามารถในการหลอมศาสตราของนาง
ไม่เช่นนั้นแล้ว นางเกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็คงเป็นแค่เพียงนักหลอมศาสตราระดับวิญญาณ จะเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางแล้ว นางจะต้องเร่งใช้เวลามายกระดับตนเองให้สูงขึ้น
ไม่ใช่แค่เพียงระดับพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น ยังมีทักษะการหลอมศาสตรา ทักษะการปรุงยา!
ครืน!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวสายฟ้าฟาด นํ้าทะเลทะลักเข้าใส่เกาะขนาดเล็ก
ผู้คนบนเกาะต่างพากันถอยเท้า หลบการข่มเหงของน้ำทะเล
น้ำทะเลลดลงไป ก็มีกะโหลกศีรษะยักษ์หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวโผล่ขึ้นมาจากทะเล ดวงตาโตดังระฆัง จ้องมองคนบนเกาะด้วยความเยือกเย็นแฝงไปด้วยไอ สังหาร
ราวกับว่า ในสายตาพวกมันผู้คนเหล่านี้เป็นอาหารรสเลิศมื้อหนึ่ง!
ไป๋สี่กวาดตามองในแววตาเปล่งประกาย นางฉีกยิ้มเบาๆ “ส่วนมากเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ดูแล้วระดับสัตว์อสูรในทะเลแห่งทุกข์จะไม่ใช่ย่อยจริงๆ”
จากนั้น นางก็มองดูมู่ชิงเกออย่างเห็นเรื่องเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นเรื่องสนุก กล่าวขึ้นว่า “แต่ว่าสำหรับเจ้าแล้ว เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ที่จะมาฝึกปรือฝีมืออะไร” ราวกับว่านางต้องการเห็นสีหน้าท่าทางหงุดหงิดโมโหบนใบหน้ามู่ชิงเกอ แต่น่าเสียดายมู่ชิงเกอยังคงสงบนิ่ง
“ระดับสูง นั้นก็คือระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินหรือสีม่วง…” มู่ชิงเกอเอ่ยช้าๆ นางเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกที่มาน่าจะไม่ใช่ที่แข็งแกร่งที่สุด” พูดจบนางก็หันหลังเดินเข้าไปในส่วนลึกของเกาะ
ไป๋สี่ตะลึง ตามไปถามว่า “เหตุใดเจ้าจะไปแล้วล่ะ?”
มู่ชิงเกอเอ่ยโดยไม่หยุดเท้า “ตามที่เจ้าว่า พวกมันไม่มีประโยชน์ต่อข้า ข้าไปฝึกพลังยุทธ์ก่อน หยินเฉินตามข้ามา ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่เป็นกำลังเสริมให้พวกเขา”
พูดจบ นางก็พาหยินเฉินหายไปต่อหน้าไป๋สี่
ไป๋สี่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดเป็นข้าอีกแล้วล่ะ!” “นั่นเป็นเพราะว่าคุณชายเชื่อใจเจ้า ถึงได้ฝากชีวิตพวกเราหลายคนไว้” โย่วเหอที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านหลังไป๋สี่ตั้งแต่เมื่อไร เอ่ยบอกนางหนึ่งประโยค
ไป๋สี่หันหลังกลับไปมองนางอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางท่าทางเรียบง่ายสง่างามของนาง ราวกับต้องการมองให้เห็นถึงสิ่งใดในนั้น
สุดท้ายกลับมองไม่เห็นอะไรทำได้เพียงอ้อมแอ้มเอ่ยออกมาว่า “ใช่เชื่อใจหรือ?”
ไม่ว่าไป๋สี่จะเชื่อคำพูดของโย่วเหอสักกี่ส่วน นาทีนี้ก็ไม่ทำให้นางคิดมากได้อีก เพราะว่าสงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว ไป๋สี่เลือกพิงต้นไม้ส่งๆ ต้นหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก นางมองดูการต่อสู้ของบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรเงียบๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางดูการต่อสู้จริงอย่างใกล้ชิดเพียงนี้
อารมณ์การมองดูของนางจากตอนแรกที่ไม่ใส่ใจค่อยๆ ตั้งใจขึ้นมา
นางดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน เห็นผู้คนมากมาย ผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน แต่ว่ากลับไม่เคยพบผู้ใดที่สอดประสานอย่างรู้ใจกันเหมือนกับองครักษ์เขี้ยวมังกร
หากสามารถจัดการได้ด้วยกระบวนเดียว พวกเขาก็จะจัดการมันอย่างรวดเร็ว
หากเจอคู่ต่อสู้ที่ตึงมือ พวกเขาสองสามคนก็จะรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เป็นความร่วมมือไปโดยปริยาย สามารถสังหารสัตว์อสูรได้ด้วยวิธีการที่สะอาดหมดจด
อีกทั้งในระหว่างที่กำจัดสัตว์อสูร พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะควักแก่นของสัตว์อสูรออกมา ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยสตรีสองนางที่ดูบอบบาง เมื่ออยู่ในสนามรบแล้วกลับไม่แพ้บุรุษเลยแม แต่น้อย วิธีการเฉียบคมเด็ดขาด มีความแม่นยำเรื่องจุดตายอย่างยิ่ง
ยิ่งไม่ได้ล่าถอยด้วยความขี้ขลาดเพราะความน่าสยองขวัญของสัตว์อสูร คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มู่ชิงเกอบ่มเพาะมากับมือ!
ไป๋สี่ตระหนกอยู่ในใจเงียบๆ นางรู้สึกว่าตนเองอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด เดิมก็ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมือ ที่ให้นางรั้งอยู่ที่นี่เพราะว่ามู่ชิงเกอทิ้งหลักประกันไว้ให้พวกเขา
สัตว์อสูรทะเลมีจำนวนมาก ที่โถมเข้าใส่เกาะก็มีเกือบพันแล้ว
ถึงอย่างนั้นบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งห้าวหาญ ลงมือสังหารแบบเรียกได้ว่าคล่องมือดังใจคิด สนุกสนานว่องไว!
เพียงไม่นานเลือดที่ไหลออกจากร่างของสัตว์อสูรก็ย้อมนํ้าทะเลสีเขียวเป็นสีแดง การผสมปนเปของสองสีนี้ทำเอานํ้าทะเลบริเวณใกล้ๆ เกาะดูสกปรกขึ้นมาทันตา
กลิ่นคาวเลือดยิ่งกระตุ้นการบุกโจมตีของเหล่าสัตว์อสูร
การบุกโจมตีของพวกมันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในทะเล ใครก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะนำมาซึ่งสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้หรือว่า อย่างอื่นหรือไม่…
ศพของสัตว์อสูรเหล่านั้นก็ถูกพวกเดียวกันกลืนกิน ฉากนองเลือดนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ที่ชายฝั่งริมเกาะ
การเข่นฆ่าริมฝั่งไม่ได้รบกวนความเงียบสงบภายในเกาะ
ทั้งหมดของที่นี่ล้วนแต่เหมือนเดิม ไม่เคยถูกผู้คนรบกวน
ท่ามกลางป่าทึบไม่มีกระทั่งเส้นทาง
หยินเฉินเสาะหาถํ้าเจอแห่งหนึ่ง ถํ้านี้ขนาดใหญ่มากพอที่จะบรรจุคนนับร้อย คนอื่นๆ ก็สามารถพักผ่อนอยู่ด้านนอก การฝึกการเอาตัวรอดในภาคสนาม มู่ชิงเกอเคยสอนองครักษ์เขี้ยวมังกรนานมาแล้ว
พวกเขาสามารถนำวัสดุมาสร้างกระโจมบังลมฝนอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น
ภายในถํ้า มู่ชิงเกอกำลังนั่งขัดสมาธิ
หยินเฉินนั่งอยู่ข้างนาง จ้องหน้านางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามีเรื่องในใจ”
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาชั่วขณะ ยิ้มแล้วว่า “สมกับที่มีพันธะสัญญากับข้า ดูออกว่าข้ามีเรื่องในใจ”
หยินเฉินกลับไม่ได้ร่วมล้อเล่นไปกับนาง กลับเอ่ยด้วยความตั้งใจ “พูดกับข้าได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้นว่า “บอกกับเจ้าก็ไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแค่กำลังคิดว่าหลังจากที่เข้าไปในโลกแห่งยุคกลางแล้วจะทำเช่นไร”
สองตาของนางค่อยๆ หรี่ลง ราวกับว่าคำถามนี้สร้างความลำบากใจให้นางมาเนิ่นนาง
นางมุ่งหน้าไปโลกแห่งยุคกลางมีเรื่องมากมายที่ต้องไปจัดการ
แต่ว่านางไม่สามารถใช้วิธีรบแบบกองโจรสร้างจุดยืนที่โลกแห่งยุคกลางได้ ที่นั่นนางไม่มีตระกูลมู่ที่คอยคุ้มลมกันฝนให้นาง นางจำเป็นต้องมีกองกำลังที่ไว้ใจได้ของตนเองมากพอ!
คำพูดของนางพูดออกมาก็มีความคลุมเครืออยู่บ้าง แต่ว่าหยินเฉินกลับฟังเข้าใจ
เขารู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังคิดปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ของคนจำนวนมากหลังจากเข้าไปในโลกแห่งยุคกลางแล้ว
ไม่มีภูผาให้พักพิง ไม่มีเบื้องหลังพอ พวกเขาไม่มีเส้นสายในโลกแห่งยุคกลาง ใครก็ต่างข่มเหงรังแกได้! อยู่ที่หลินชวนพวกเขาเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทาน
แต่ว่าเมื่อถึงโลกแห่งยุคกลาง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เริ่มใหม่
ใครๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อถึงโลกแห่งยุคกลางจะพบกับอะไร ประสบกับอะไร!
“บางที…พวกเราอาจจะเปิดร้านคล้ายกับหอสรรพสิ่ง?” หยินเฉินเสนอออกมาอย่างโง่งมอยู่บ้าง เขาไม่ใช่มนุษย์ ไม่สันทัดเรื่องกลยุทธ์การเอาชีวิตรอดเหล่านี้จริงๆ
หอสรรพสิ่ง?
ในแววตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายชั่วครู่ ก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
จำได้ว่าหานฉายไฉ่เคยบอกว่าที่โลกแห่งยุคกลางก็มีหอสรรพสิ่ง ในเมื่อมีร้านเก่าแก่อยู่ นางสร้างร้านลักษณะเดียวกัน จะไปเอาอะไรไปสู้กันล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของนางคือให้องครักษ์เขี้ยวมังกรรวมถึงตัวนางมีเบื้องหลังที่สมบูรณ์แบบ ให้คนไม่กล้ามาดูหมิ่น ให้ทุกคนมีหน้ามีตาเวลาเดินอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อขวนขวายหาเงินหรือว่าเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคงให้ครอบครัว
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่ได้เข้าลู่โลกแห่งยุคกลาง พวกเราล้วนไม่รู้อะไรสักอย่าง ตอนนี้มาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้บางทีอาจเร็วไปหน่อย”
เงียบไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอก็สะบัดมือขึ้น พื้นที่ว่างด้านหน้านางเรียงรายไปด้วยไข่กว่าร้อยฟอง
ไข่เหล่านี้เป็นนางนำออกมาจากในช่องว่าง
ถูกไป๋สี่กินไปบ้าง ตอนนี้ยังเหลืออีกห้าร้อยกว่าใบหัก ส่วนที่เสียแล้วยังพอให้องครักษ์เขี้ยวมังกรคนละหนึ่งฟองพอดี
ไข่เหล่านี้มีบางส่วนที่เปลือกไข่เริ่มปรากฏรอยร้าวให้เห็น มีบางส่วนกำลังเคลื่อนไหวราวกับว่าพร้อมที่จะแตกออกมาตลอดเวลา
โดยทั่วไปแล้ว สัตว์ที่มีจิตวิญญาณเหล่านี้ต่างก็จะเกิดความผูกพันเมื่อแรกเห็น ขอเพียงสิ่งที่พวกมันมองเห็นครั้งแรกเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกร เช่นนั้นมอบสัตว์อสูรบินได้ให้พวกเขาคนละตัวก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
อีกอย่างไข่นกเหล่านี้นำออกมาจากช่องว่าง สายเลือดก็ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นในโลกแห่งยุคกลางก็ใช่ว่าจะหามาได้มากมาย
“ไปดูสิว่าการสู้รบของพวกเขาจบลงหรือยัง หลังจบแล้วก็พาพวกเขามา” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกหยินเฉิน
เมื่อหยินเฉินกลับมาที่ริมฝั่ง กลิ่นคาวเลือดที่พวยพุ่งโชยเข้าจมูกก็เกือบทำให้เขาอาเจียนออกมา พอมองเห็นซากศพของสัตว์อสูรทะเลลอยอยู่บนผิวนํ้า ในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
ไม่ใช่ว่าเขาประเมินองครักษ์เขี้ยวมังกรต่ำเกินไป แต่ว่าภาพที่เห็นน่าตระหนกเกินไป!
‘ดูท่าการต่อสู้น่าจะจบลงแล้ว’ หยินเฉินนำถ้อยคำของมู่ชิงเกอเอ่ยแก่ทุกคนพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มู่ชิงเกอพักผ่อนอยู่
จวบจนพวกเขามาถึงถํ้า มองดูไข่นกที่เกลื่อนอยู่บนพื้น พากันตะลึง
มู่ชิงเกอจ้องมองไข่นกที่เปลือกแตกร้าว ไม่มีเวลามาอธิบายให้มากความ ชี้ไปที่ไข่นกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้า เลือกไปคนละฟองเถอะ”
ถึงแม้จะรู้อยู่แต่แรกว่าต้องมีวันนี้ แต่ว่าเมื่อมาถึงจริงๆ ยังคงทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น! จริงหรือไม่?
บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรแววตาเป็นประกายในทันใด แต่ละคนคล้ายกับเป็นบุรุษที่แห้งเหี่ยวมานาน จู่ๆ พบกับสตรีสะพรั่งกลุ่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น การสำรวมอาการอะไรนั้นโยนไปข้างๆ ได้เลย
งึมงำกันอยู่ครู่หนึ่ง องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เบียดเข้ามาในถํ้าก่อนเป็นคนแรกก็เริ่มเลือกหยิบขึ้นมา
บอกว่าเป็นการคัดเลือก ความจริงคือเลือกไข่ที่ดูแล้วเข้าตา แต่ว่า…ดูภายนอกไข่เหล่านี้ไม่มีอะไรต่างกันมากนัก คนที่เลือกแล้วก็ประคับประคองด้วยความระมัดระวัง เผยรอยยิ้มแจ่มใส ทำเอาคนที่ยังไม่ได้เลือกเหล่านั้นพุ่งเข้าไปอย่างอดใจไม่อยู่…
เพียงไม่นานไข่นกบนพื้นก็ถูกจับแบ่งสันปันส่วนกันอย่างสะอาดหมดจด
ที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นไข่สัตว์อสูรที่มีชีพจรรวยริน มู่ชิงเกอมองดูไป๋สี่ที่เอาแต่กลืนนํ้าลาย สะบัดมืออย่างใจกว้างว่า “ไป๋สี่ ที่เหลือให้เจ้า”
ไป๋สี่ตาวาว ชั่วพริบตาเดียวก็กวาดไข่นกเข้าปากตัวเอง
หลังจากกินเสร็จ นางยังคงแลบลิ้นปรารถนาให้มีต่อ
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เจ็บปวดกับกระเป๋าเงินของตนเองเงียบๆ ครุ่นคิดถึงการกินอาหารครั้งถัดไปของไป๋สี่ แล้วคล้ายกับว่าห่างจากนี้ไม่ไกล
นางเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ไป๋สี่ เจ้าหิวหรือยัง?”
ไป๋สี่ตะลึง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ นางถึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ แต่ก็เอามือลูบท้องตนเองพยักหน้าตามจริง ห่างจากครั้งที่แล้วที่นางกินมื้อใหญ่พิเศษก็เหมือนกับว่าผ่านไปจะครบปีแล้ว
เป็นจริงตามคาด!
มู่ชิงเกอยิ้มหยัน “สัตว์อสูรในทะเลแห่งนี้มีไม่น้อย ไม่สู้เจ้า…”
ภายใต้สภาพแวดล้อมเหมาะสมเช่นนี้ ส่งเสริมให้ไป๋สี่ช่วยเหลือตนเอง เป็นมาตรการที่ถูกต้องอย่างยิ่ง!
ถูกมู่ชิงเกอเตือนสติ ไป๋สี่ก็ได้สติขึ้นมาทันที!
นางแปลงเป็นลำแสงสีขาวหายไปจากถํ้ามุ่งหน้าไปยังทะเลแห่งทุกข์
การได้สติของราชากระเพาะอาหารเช่นไป๋สี่ ทำเอามู่ชิงเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทันใดนั้นนางเห็นว่ามั่วหยางจ้องมองมา นางเอ่ยด้วยความงงงัน “เป็นอะไรไป?”
ในมือมั่วหยางประคองไข่ไว้หนึ่งฟอง เม้มปากเอ่ยถามว่า “คุณชาย พวกเราแบ่งไข่เรียบร้อยแล้ว ท่านล่ะ?”
หืม…
มู่ชิงเกอมองดูพื้นโล่งๆ ถึงได้พบว่านางลืมส่วนของตนเองเข้าให้แล้ว!
เหอ เหอ!
ความผิดพลาดเช่นนี้ไม่สามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาด! ขายหน้าเกินไปแล้ว!
มู่ชิงเกอแสร้งเอ่ยอย่างแน่วแน่ “อืม พวกเจ้าเอาไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีไข่ที่มีวาสนากับข้า!”
มั่วหยางมองมู่ชิงเกออย่างตั้งใจ เห็นท่าทางของนางไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งทำ ก็ออกไปจากถํ้าอย่างเชื่อเช่นนั้น
“เดี๋ยวก่อน” ขณะที่มั่วหยางเดินไปถึงปากถํ้า จู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยเรียกเขา
มั่วหยางหันหลังกลับมา
มู่ชิงเกอสะบัดมือ ปรากฏศิลาวิญญาณที่ขุดมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบในตอนนั้นกองลงไปเป็นกองพะเนิน อยู่บนพื้น ยังมีผลไม้ที่นำมาจากเศษซากโบราณ
“ใช้ศิลาวิญญาณฟูมฟักพวกมัน จากนั้นใช้ผลไม้วิญญาณให้ลูกนกกิน น่าจะเพิ่มพลังให้พวกมันขึ้นบ้าง” มู่ชิงเกอเอ่ยอธิบาย
หลังจากที่มั่วหยางฟังจบ สองตานิ่งขรึมก็แอบมีแววตื้นตัน
จากนั้นมู่ชิงเกอยังกำชับมั่วหยางอีกหลายประโยค “ข้าจะเก็บตัวสักหลายวันในช่วงนี้เจ้ารับผิดชอบตรวจตราการฝึกพลังยุทธ์ของทุกคน หากมีสัตว์อสูรมารุกรานให้ฆ่าทิ้งเสีย หากเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง สู้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องพัวพันมากนัก มอบให้ไป๋สี่จัดการ”
“คุณชายจะเก็บตัวฝึกฝน?” มั่วหยางรู้สึกสงสัยแกมประหลาดใจ
คล้ายกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงมาเก็บตัวฝึกฝนในตอนนี้
“อีม” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ลอยล่องอยู่บนทะเลเป็นเวลานาน ผู้คนต้องการพื้นดิน ให้เท้าได้สัมผัสพื้น ดังนั้นจึงได้หยุดพักที่เกาะแห่งนี้ชั่วคราว
นางเองก็สามารถใช้เวลาช่วงนี้ หลอมอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ให้ความคิดก่อนหน้านี้กลายเป็นจริง
ไม่กี่วันถัดจากนั้น มู่ชิงเกอก็นำองครักษ์เขี้ยวมังกรอาศัย อยู่บนเกาะเล็กนั้นชั่วคราว
แต่ที่นางไม่รู้คือว่าการฆ่าฟันบนเกาะได้ดำเนินไปทุกวัน นํ้าทะเลบริเวณรอบๆ ถูกกลิ่นคาวเลือดกลมกลืนเข้าไปเรื่อยๆ กลิ่นนี้ก็ลอยไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพัดไปถึง เกาะตูเล่อที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยลี้ คลื่นทะเลกระทบโขดหิน
สตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีพื้น รูปร่างเพรียวระหงยืนอยู่บนโขดหิน มองไปไกลๆ ในทะเล
ผมยาวของนางรวบมัดเป็นทรงมวยสูง ไม่มีปอยผมหล่นลงมาสักนิด ใช้ผ้าคาดผมสีทอง ดูสง่างามภูมิฐาน สวยงามสูงศักดิ์
กระโปรงตัวยาวผ้าบางสีพื้นห่อหุ้มร่างกายของนาง ถูกลมทะเลพัดโบกเป็นเสียงสะบัด มองไปไกลๆ นางก็คล้ายกับเป็นเทพเซียนที่ลอยมาตามสายลม มีเพียงบน สรวงสวรรค์เท่านั้น หาได้ยากในโลกมนุษย์
เครี่องหน้าของนางถูกความมืดสลัวของคํ่าคืนบดบัง เค้าโครงไม่ชัดเจนแต่ยังคงดูออกถึงความงาม โดยเฉพาะลำคอระหง นำมาซึ่งภวังค์หลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด
นางยืนอยู่เฉยๆ ราวกับรูปแกะสลัก
ถึงแม้นํ้าทะเลจะเปียกแช่รองเท้านาง นางก็ไม่ได้ขยับเลยสักนิด
มีคนเดินเข้ามาจากริมฝั่งด้านหลัง เขารักษาระยะห่างกับนาง มองแผ่นหลังนางด้วยสายตาลุ่มหลง
เป็นนานกว่าที่เขาจะเก็บความรู้สึกคาดหวังในใจ ส่งเสียงตะโกนด้วยความเคารพ “องค์หญิงเสวี่ยหยา”
“ในทะเลมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น” เสวี่ยหยาค่อยๆ เอ่ยปาก
ผู้มาใหม่ตะลึง ราวกับเพิ่งเข้าใจว่าที่องคหญิงเสวี่ยหยา ยืนอยู่ตรงนี้เป็นนานเพราะอะไร
“ข้าน้อยจะพาคนตามกลิ่นคาวเลือดนั้นไปดู” เขาเอ่ยขึ้นทันที
“ไม่ เจ้าต้องดูแลระวังภัยบนเกาะ ข้าพาคนไปดูเอง” เสวี่ยหยาปฏิเสธข้อเสนอของเขา
“เรื่องนี้…” ผู้มาใหม่มีอาการลังเล
“ชิงฝู คำพูดของข้า เจ้าทำได้เพียงเชื่อฟัง” เสวี่ยหยาหันกลับมามองหน้าเขา
ท่ามกลางความมืดมิดยามคํ่าคืน สองตาที่ถูกความมืดปกคลุม กลับนิ่งสงบสว่างไสว ไม่ง่ายที่จะต่อต้าน ชิงฝูชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยพึมพำว่า “พะย่ะค่ะ องค์หญิง เสวี่ยหยา”
ไม่ได้ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากชิงฝูก้มหน้าลง เสวี่ยหยาก็เหยียดกายขึ้น เหินทะยานไปในอากาศราวเทพเซียน นกสีครามตัวหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะบินออกจากเกาะ ประกบติดเสวี่ยหยาไปในอากาศ
ที่ติดตามออกมาเป็นพลทหารที่ขี่สัตว์อสูรเวหาออกไปจากเกาะ พวกเขามีกำลังแข็งแกร่ง เกือบทุกคนล้วนเป็นระดับพลังยุทธ์ชั้นสีม่วง
เกราะสีแดงบนร่างทำให้พวกเขาดูองอาจน่าเกรงขาม
พวกเขาห้าคนต่ออสูรเวหาหนึ่งตัว ทั้งหมดนับได้ร้อยคน ติดตามอยู่ด้านหลังนกสีครามของเสวี่ยหยา
หลังจากรวมขบวนเรียบร้อย เสวี่ยหยาตบหัวสีครามเบาๆ นกสีครามกระพือปีกบินไปในกาศ