ตอนที่ 245
ฮุบเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง!
ในมือของมู่ชิงเกอมีกริชเล่มหนึ่ง ในตอนแรกฟ่งอวี๋เฟยมอบยุทธภัณฑ์ครึ่งเทวะเล่มนี้ให้นางเพื่อเป็นค่าจ้างในการสืบหาข่าวสารของมู่ยี่
ต่อมา หลังจากที่สนิทกับฟงอวี๋เฟยแล้ว ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แบบใหม่ มู่ชิงเกอเคยเสนอที่จะคืนกริชเล่มนี้ให้แก่นาง แต่กลับถูกนางปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ หากว่ามู่ชิงเกอสามารถตามหามู่ยี่จนพบ กริชเล่มนี้จะทำให้มู่ยี่รู้ในทันทีว่ามู่ชิงเกอเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้
ตอนนี้ เพื่อที่จะแน่ใจในสถานะของคนที่ถูกล่ามโซ่อยู่ มู่ชิงเกอจึงได้เอากริชเล่มนี้ออกมา
ชายที่สองมือถูกล่ามห้อยอยู่ ก้มหัวลง
ก่อนหน้าชื่อของ ‘ฟ่งอวี๋เฟย’ ทำให้เขามีปฏิกิริยาเล็กน้อย ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังรอคอย ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา สายตาตกไปอยู่ที่มือของมู่ชิงเกอ
ภายในห้องลับอันมืดมิด นัยน์ตาของเขาถูกบดบังไว้ด้วยผมยาวรุ่ยร่าย ทำให้คนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน แต่มู่ชิงเกอที่คอยสังเกตเขาอยู่ตลอดนั้น ยังคงสามารถ พบเห็นได้อย่างง่ายดายว่าในตอนที่เขามองเห็นกริชในมือของนางนั้น นัยน์ตาของเขาหดตัวลง
ปฏิกิริยาเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจดจำกริชเล่มนี้ได้
กริชเล่มนี้ของฟ่งอวี๋เฟย หากมองจากภายนอกก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือลวดลายบนตัวของมันแล้วก็การสลักตกแต่ง คนที่สามารถจำมันได้ในพริบตาในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดเช่นนี้ได้มีเพียงแค่ความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คือต้องคุ้นเคยกับมันมาก!
มู่ชิงเกอมีคำตอบอยู่ในใจแล้วนางจึงเก็บมือกลับ การเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดสายตาของชายคนนั้น เขาเผยความรู้สึกร้อนใจ อาลัยอาวรณ์นัยน์ตาเผยสายตาแห่งความ คิดถึงออกมา
“ดูท่าแล้ว เจ้าคงจะเป็นมู่ยี่” มู่ชิงเกอค่อยๆ ลุกขึ้นมาเอ่ยกับเขา
จากเริ่มจนสุดท้ายชายคนนี้ก็ยังคงไม่พูดไม่จา ดูเหมือนว่าจะยังระแวงอยู่
มู่ชิงเกอเว้นจังหวะไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ข้ารู้ ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไรอยู่ การคงอยู่ของฟ่งอวี๋เฟย มู่อี่ว์คงรู้เช่นกันใช่หรือไม่?”
นางดูเหมือนจะสามารถแน่ใจได้แล้วว่าคนที่ไล่ตามมู่ยี่ไปหลินชวนในครั้งนั้น ทั้งยังคุกคามคนในราชวงศ์แคว้นลี่ก็คือมู่อี่ว์
โซ่ที่ล่ามชายคนนี้เอาไว้เกิดเสียงแปลกๆ ออกมาจากการลากเบาๆ
สายตาของมู่ชิงเกอละออกจากโซ่ไปที่ร่างของเขาเอ่ยว่า “ฟ่งอวี๋เฟยรอเจ้ามาสิบปี ไม่สิ ตอนนี้ก็สิบหกปีแล้ว นางเพียงแต่หาเจ้าในหลินชวนไม่พบ ดังนั้นถึงได้ขอให้ข้ามาโลกแห่งยุคกลางเพื่อตามหาและพาเจ้ากลับไป ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงแค่รออยู่ที่นี่อย่างอดทน ข้าจะกลับมาช่วยเจ้าและพาเจ้าจากไปอย่างแน่นอน”
พูดแล้ว มู่ชิงเกอก็หันกายจะจากไป
เพียงแต่ว่า ในตอนที่นางกับไป๋สี่เดินไปถึงข้างประตูนั้น ก็มีเสียงแหบๆ ที่ดูอ่อนแรงดังออกมา “ช้าก่อน”
มู่ชิงเกอหยุดเท้า ไป๋สี่หันไปมองชายคนนั้นอย่างแปลกใจ
ดูเหมือนว่าจะรู้สึกเหนือความคาดหมายที่อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้น
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็นตัวปลอมที่มีไว้หลอกฟ่งอวี๋เฟยอย่างนั้นหรือ?” ชายคนนั้นพูดขึ้น พูดอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าไม่ได้พูดมานานแล้ว ดังนั้นจึงต้องปรับ ตัวอย่างช้าๆ เสียงที่แหบดูแก่ชราและอ่อนแรง
มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเล็กน้อย หันกายไปยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เพื่ออะไรกัน? มู่อี่ว์ไม่รู้ด้วยซํ้าว่าสักวันจะมีคนมาช่วยเจ้า ทั้งเขาก็รู้มานานแล้วเรื่องการคงอยู่ของฟ่ง อวี๋เฟย ถ้าหากว่าสนใจแล้วฟ่งอวี๋เฟยจะมีชีวิตอยู่มาได้ถึงตอนนี้ได้อย่างไร? หรือไม่ ในใจของเขาก็คงไม่ได้สนใจจะเอาองค์หญิงเล็กๆ คนหนึ่งของหลินชวนมาอยู่ในสายตา”
ร่างของชายผู้นั้นสั่นขึ้น เอ่ยอีกว่า “แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คนที่มู่อี่ว์ส่งมา?”
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นขึ้นเอ่ยว่า “ยังคงเป็นประโยคเดิม เพื่ออะไรกัน?”
นางส่งสายตาดูแคลนไปมองมู่ยี่ ดูเหมือนกำลังพูดว่าเจ้ากลายเป็นนักโทษแล้ว คุณค่าเพียงอย่างเดียวก็คือให้มู่อี่ว์ได้ระบายความโกรธยามที่เขาอารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้น แล้วยังจะมีอะไรต้องหลอกเจ้าอีก?
“เหอ เหอ…” มู่ยี่หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะดุจดังกำลังร้องไห้ เยาะเย้ยตนเอง
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปล่อยให้ผมยาวปกปิดใบหน้า พิงผนังเย็นและเสียงหัวเราะของเขาก็ดังขึ้นไม่หยุด
“เขาหัวเราะอะไรกัน?” ไป๋สี่กระซิบข้างหูของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบ เพียงแต่มองมู่ยี่ภายในแสงไฟอ่อนๆ นางมองเห็นรอยนํ้าตาที่ขอบตาของเขา แล้วก็นํ้าตาในดวงตานั้น
“พวกเจ้าไปเถอะ อย่ากลับมาอีก บอกนางว่าข้าตายแล้ว” รอจนมู่ยี่หัวเราะเสร็จแล้ว เขาก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง นํ้าเสียงสงบดั่งนํ้าที่ตายแล้ว
“เอ๋ เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงต้องบอกว่าตัวเองตายแล้วด้วย!” ไป๋สี่ขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
นางรู้ว่ามู่ชิงเกอเสียเวลาไปมากมายแค่ไหนเพื่อที่จะหาคนที่ครึ่งเป็นครึ่งตายคนนี้ไม่ง่ายดายเลยที่จะหาพบ แต่เขากลับละทิ้งการช่วยเหลือ นี้คือการสิ้นเปลืองความลำบากของมู่ชิงเกอไปเปล่าๆ
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างสงบ นานมากถึงจะเอ่ยขึ้นว่า “ความเป็นความตายของเจ้าไม่เกี่ยวกับตัวเจ้าอีกต่อไป แล้วข้าเคยรับปากนางเอาไว้ว่าจะพาเจ้ากลับไปก็จะไม่
ยอมผิดคำพูด”
พูดแล้ว นางก็หันกายก้าวยาวๆ จากไป ไม่หันกลับมามองมู่ยี่ที่อยู่ในห้องลับอีก ไป๋สี่รีบตามไปด้านหลัง ประตูถูกปิดลง เสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว อยู่ดีๆ มู่ยี่ก็ร้องไห้ขึ้นมาอย่างหนัก โขกหัวกับผนังไม่หยุด ร้องว่า “เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใด!”
เสียงร้องของเขา ระบายออกมาจากห้องลับ สะท้อนก้องภายในอุโมงค์
มู่ชิงเกอกับไป๋สี่ได้ยินถึงเสียงร้องแห่งความสิ้นหวังและเศร้าโศกนี้ พากันเดินช้าลง ไป๋สี่หันกลับไปมอง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “มนุษย์ช่างแปลกประหลาดนัก ถูกขังไว้ตั้งนาน ในที่สุดก็มีความหวังที่จะหลุดออกไปได้ เขากลับไม่ยินดี แต่กลับปฏิเสธ หรือว่าเขาคิดอยากจะถูกทารุณอยู่ที่นี่ต่ออย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอถอนหายใจออกมา เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “นั้นเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าตนเองไม่คู่ควรกับฟ่งอวี๋เฟยแล้ว”
ไป๋สี่มองไปยังมู่ชิงเกอ เรื่องราวของฟ่งอวี๋เฟยกับมู่ยี่ นางรู้มาไม่มาก เพียงแต่รู้ว่ามู่ยี่คือคนที่มู่ชิงเกอต้องการตามหาเพราะมีคนขอร้องมา
ภายใต้การมองของไป๋สี่ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เพียงแต่เอ่ยว่า “ออกไปก่อนค่อยพูด”
ไป๋สี่พยักหน้านำทางมู่ชิงเกอจากไปอย่างไร้ร่องรอย ออกไปจากสวนร้างแห่งนี้
เมื่อกลับไปถึงที่พักชั่วคราว ไป๋สี่ก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้ายังต้องไปจับตาดูมู่อี่ว์ผู้นั้นอีกหรือไม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “จับตาดูอีกหน่อย แต่ว่าครั้งนี้ให้สนใจไปที่เรื่องเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง”
ไป๋สี่พยักหน้า กลายร่างเป็นแสงสีขาวจากไป
มู่ชิงเกอนั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้โยกในเรือน มองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น
นางดูเหมือนว่าจะเข้าใจในความคิดของมู่ยี่
เขาในเมื่อก่อนนั้นเปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีความมั่นใจ ใบหน้าหล่อเหลา รักกันกับองค์หญิงฟ่งอวี๋เฟยแห่งแคว้นลี่ แม้จะมีอุปสรรคมากมายแต่ก็ถือว่าเป็น ตำนานแห่งความรัก
แต่ตอนนี้ละ?
เขาเป็นเพียงคนพิการที่ไร้ญาติขาดมิตร ถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน ปล่อยให้คนดูถูก พลังถูกทำลาย เนี้อตัวสกปรก เขาที่เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะหนีออกไปได้แล้วกลับไปอยู่ต่อหน้าฟ่งอวี๋เฟยก็ต้องรู้สึกแย่กับตัวเอง
มู่ชิงเกอเคาะนิ้วลงบนพนักเก้าอี้โยกเบาๆ ภายในดวงตากระจ่างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในตอนที่โย่วเหอออกมาจากห้องแล้วมองเห็นมู่ชิงเกอนั้น ก็พลันตกใจรีบเดินเข้ามา “คุณชาย เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
มู่ชิงเกอดันพนักเก้าอี้โยกพยุงตัวยืนขึ้นมา เอ่ยกับโย่วเหอว่า “ข้าออกไปข้างนอกมาครู่หนึ่ง”
พูดแล้วนางก็หายตัวไปจากตรงหน้าของโย่วเหอ
“คุณชาย—–!” โย่วเหอร้องออกไปแต่ไม่มีคนตอบกลับ
ตอนที่มู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็ไปถึงหอสรรพสิ่งแล้ว
หานฉายไฉ่เดินพร้อมหาวออกมา ชุดที่อยู่บนร่างดูยับ แสดงถึงอารมณ์ขี้เกียจ เขามองเห็นมู่ชิงเกอแล้วนัยน์ตาก็ฉายแววแปลกใจออกมา พร้อมทั้งยิ้มขึ้นมาในทันที
“ครู่เดียวก็คิดถึงข้าแล้วหรือ?”
มู่ชิงเกอกลับขี้เกียจที่จะพูดเล่นกับเขา วางยาร้อยเม็ดที่หลอมเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า “โอสถ”
นัยน์ตาของหายฉายไฉ่เปล่งประกายสว่างขึ้น สายตาตกไปอยู่ที่ขวดที่บรรจุยาบนโต๊ะ “เร็วถึงเพียงนี้เชียว!”
“อืม” มู่ชิงเกอรับคำ
หานฉายไฉ่เดินมา หยิบขวดยาขึ้นมาพิจารณาเล็กน้อย จากนั้นก็วางลงนัยน์ตาตกไปอยู่ที่ร่างของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามว่า “เพื่อโอสถแค่เพียงร้อยเม็ด เจ้าคงไม่มาหาข้าแต่เช้าถึงขนาดนี้ พูดเถอะมีเรื่องอะไร?”
“ข้าหามู่ยี่พบแล้ว” มู่ชิงเกอพูดตรงๆ
ประโยคนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้หายฉายไฉ่ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวของเขาฉายแวววาววาบ “อ้อ? เร็วถึงขนาดนี้เชียว”
มู่ชิงเกอไม่ได้สัมผัสถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา จึงเพียงแต่พยักหน้า
หามู่ยี่พบแล้ว ก็คืออีกไม่นาน นางจะจากเมืองหลานอูเฉิงไป ทั้งสองคนจะต้องแยกจากกันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ ดีที่เขาได้จัดการเรื่องการร่วมมือกับนางไว้ก่อนแล้ว รับรองว่าทั้งสองจะต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอน
หายฉายไฉ่เก็บความรู้สึกลํ้าลึกในสายตากลับไป นั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับมู่ชิงเกอ เอ่ยว่า “ต้องการให้ข้าช่วยในการช่วยคนหรือ?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า มองไปยังเขา “ข้าต้องการให้เจ้าส่งเขาไปหลินชวน มอบให้แก่ฟ่งอวี๋เฟย”
นัยน์ตาของหายฉายไฉ่หรี่เล็กลง จ้องมองมู่ชิงเกอ ไม่ได้เอ่ยตอบ
สายตาของทั้งสองคนปะทะกันตรงกลางอย่างดุดันครู่หนึ่ง หายฉายไฉ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพอเอ่ยปาก ก็ให้ปัญหายุ่งยากแก่ข้าแล้ว!”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา มองไปยังเขา “นายน้อยหานสามารถไปมาระหว่างหลินชวนกับโลกแห่งยุคกลางอย่างง่ายดาย กับเรื่องเพียงแค่ส่งคนๆ เดียวกลับไปจะยากถึงขนาดนั้นเชียว?”
หานฉายไฉ่ยิ้มเย็นออกมา มองนัยน์ตาที่ดูเยียบเย็นของมู่ชิงเกอ “มู่ชิงเกอเจ้ารู้หรือไม่ว่า นั่นเป็นประตูมิติของตระกูลหาน หากไม่ใช่คนของตระกูลหานไม่อาจจะเข้าออกได้”
“จะต้องมีวิธี” มู่ชิงเกอยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
ถ้าหากตัวนางเองมีวิธีที่จะกลับไปกลับมาระหว่างโลก แห่งยุคกลางกับหลินชวนได้อย่างรวดเร็ว นางก็คงจะไม่มาหาหานฉายไฉ่เพื่อขอความช่วยเหลือ อิงตามสภาพของมู่ยี่ในตอนนี้ ถ้าหากว่าจะต้องเดินทางไปหลินชวนทางทะเลแห่งทุกข์หรือทะเลทรายท่องวิญญาณแล้วล่ะก็ ล้วนแต่ต้องตาย ส่วนประตูมิติที่เขาใช้เดินทางไปหลินชวนในครั้งก่อนก็เหมือนว่าเป็นประเกทใช้แล้วทิ้ง และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังจะสามารถใช้ได้ต้หรือไม่ หรือถูกทำลายไปแล้ว
สรุปแล้ว มู่ชิงเกอคิดว่าหากจะส่งมู่ยี่กลับไปหลินชวนอย่างปลอดภัย หานฉายไฉ่เป็นทางเลือกที่ดี
“ถ้าหากว่าเจ้าตกลง นี่ก็คือรางวัลที่ข้าจะมอบให้เจ้า” มู่ชิงเกอเอาขวดหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะ
หานฉายไฉ่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าด้านในบรรจุเม็ดโอสถ เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามว่า “ด้านในนี้คืออะไร?”
“โอสถระดับเทวะ” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ พูดจบนัยน์ตาของนางก็เผยร่องรอยแห่งความอาลัยอาวรณ์นี่เป็นยาระดับเทวะเม็ดแรกที่นางหลอมออกมาได้ เดิมทีคิดจะเก็บเอาไว้ รอจนพบซือมั่วแล้วมอบให้เขา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ยาระดับมหาเทพ ไม่สามารถขจัดปัญหาในร่างกายของเขาได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
แต่ตอนนี้นางก็ไม่อยากจะติดค้างหานฉายไฉ่มากเกินไป ทำได้เพียงแต่เอาออกมาแลกเปลี่ยน
“อะไรนะ! โอสถระดับเทวะ!” หานฉายไฉ่ตกตะลึงลุกขึ้นยืน “เจ้าถึงกลับสามารถหลอมโอสถระดับเทวะออกมาได้แล้วงั้นหรือ!”
สำหรับอาการตกตะลึงของหานฉายไฉ่ มู่ชิงเกอกลับมีท่าทีเฉยๆ
หานฉายไฉ่สูดหายใจ มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายในสำนักบัญญัติโอสถของภาคตะวันออก คนประเภทใดถึงจะสามารถหลอมโอสถระดับเทวะออกมาได้?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า
“เป็นปรมาจารย์บัญญัติโอสถ!” หานฉายไฉ่เอ่ยเน้นย้ำเป็นคำๆ
แต่ถึงกระนั้นมู่ชิงเกอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ‘ปรมาจารย์บัญญัติโอสถ’ มีความหมายว่าอย่างไร
หลังจากหานฉายไฉ่เดินไปมาอย่างร้อนใจภายในห้องแล้วก็เอ่ยว่า “ก็หมายถึงว่า ถ้าหากตอนนี้เจ้าไปสำนักบัญญัติโอสถแล้วสามารถหลอมโอสถระดับเทวะออกมาได้หนึ่งเม็ด ก็จะสามารถกลายเป็นปรมาจารย์สำนักบัญญัติโอสถได้ จากนั้นก็เปิดรับลูกศิษย์! แต่ว่าเจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว? เจ้า เจ้ามันสัตว์ประหลาด!”
เพียงแค่นึกถึงปรมาจารย์สำนักบัญญัติโอสถเหล่านั้น ไหนเลยจะไม่ใช่คนที่มีอายุหลักร้อยขึ้นไป ในใจของหานฉายไฉ่ก็อยากจะกระอักเลือดออกมา
แต่ก่อนเขายังคงทำตัวอวดดีต่อหน้ามู่ชิงเกอได้ คิดว่าพลังฝึกปรือของตนเองสูงกว่านาง ตอนนี้ กลับถูกโจมตีจนแพ้พ่าย ต้องรู้ว่า หลอมยานั้นยากยิ่งกว่าฝึกพลัง หลายเท่านัก
“เจ้าบอกมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย” มู่ชิงเกอขัดอารมณ์ของเขา พูดออกไปตรงๆ
หานฉายไฉ่เงียบเสียงลง ดวงตาเรียวยาวของเขาฉายแวววาววาบ มู่ชิงเกอเอ่ยปากเองเขาไม่ปฏิเสธแน่นอน ส่วนโอสถระดับเทวะที่นางเอาออกมา บางทีเขาอาจจะสามารถเอาไปต่อรองกับตระกูลได้ทำให้พวกเขาเปิดประตูมิติให้ได้
แต่ว่า…
แค่คิดว่ายาระดับเทวะที่มู่ชิงเกอหลอมขึ้นจะถูกตระกูลเอาไปครอบครอง ในใจของเขาก็รู้สึกไม่อยากจะยินยอม
“เจ้าแน่ใจว่าอยากจะส่งเขากลับ?” หานฉายไฉ่เงยหน้าขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้าได้เจอเขาแล้ว สภาพของเขาในตอนนี้แย่มาก อาการบาดเจ็บบนร่างกายข้าสามารถรักษาได้ แต่ว่าอาการบาดเจ็บทางใจนั้นข้าไม่สามารถ ที่เขาต้องการก็คือฟ่งอวี๋เฟย ส่วนฟ่งอวี๋เฟยก็รอคอยเขามานานมากพอแล้ว”
“เขาได้รับการทรมานมาตั้งหลายปี ทั้งยังมีความแค้นที่ถูกล้างตระกูล แล้วจะยินยอมกลับไปให้เจ้าหรือ?” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น “นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจเองได้ ภารกิจของข้าก็มีเพียงแต่ต้องส่งเขากลับไปอยู่ข้างฟ่งอวี๋เฟย สำหรับเรื่องบุญคุณความแค้นของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้า หากว่าเขาไม่ยอมวางความแค้นลงก็สามารถรอจนฝึกปรือพลังให้ดี แล้วพาฟ่งอวี๋เฟยมาโลกแห่งยุคกลางอีกครั้ง เอาเลือดล้างตระกูลมู่ในปัจจุบัน”
หานฉายไฉ่จ้องมองเขา เอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้ายังคงเผด็จการเช่นเดิมเสมอ”
“ข้าเพียงแต่ทำเรื่องที่ควรทำ” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาตามปกติ นางเพียงแต่สัญญากับฟ่งอวี๋เฟยไว้ว่าจะตามหามู่ยี่ให้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่านางจะต้องช่วยเขาแก้แค้น หานฉายไฉ่ยิ้ม หยิบขวดยาระดับเทวะขวดนั้นขึ้นมา เอ่ยขึ้นประนีประนอมกับมู่ชิงเกอว่า “เอาละ เจ้าช่วยคนออกมามอบให้ข้า ข้าจะหาวิธีส่งเขากลับไปเอง”
พูดแล้ว เขาก็อธิบายอีกว่า “ยาระดับเทวะนี้ไม่ใช่ว่าข้าโลภในของของเจ้า แต่เพื่อให้ตระกูลยอมเปิดประตูมิติให้นั้นจำเป็นต้องมีผลประโยชน์ที่เพียงพอ” ได้ยินหานฉายไฉ่รับปากแล้ว ในใจของมู่ชิงเกอก็โล่งอก
คำพูดของหานฉายไฉ่ทำให้นางคิดขึ้นมาได้ว่า “หรือว่าภายในตระกูลบรรพกาลล้วนแต่มีประตูมิติที่สามารถไปยังหลินชวนได้งั้นหรือ?”
หานฉายไฉ่หัวเราะเสียงเย็น เหลือบมองนางอย่างดูถูกแวบหนึ่ง “เจ้าคิดง่ายเกินไป ตระกูลหานมีประตูมิติก็เป็นเพราะหอสรรพสิ่ง ส่วนประตูมิตินั้นก็ไม่ใช่ของตระกูลหานเอง สมควรพูดว่าเป็นตระกูลหานพบมันจากนั้นก็ถือครองมากกว่า ทุกๆ ครั้งที่เปิดประตูมิติล้วนแต่ต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมาก หากว่าไม่มีเรื่องด่วนอะไร ก็จะไม่เปิดง่ายๆ”
“แต่ว่าตระกูลเล่อ…” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว คนของตระกูลเล่อก็ล้วนแต่ถูกประตูมิติส่งไปไม่ได้เดินทางผ่านทะเลแห่งทุกข์หรือทะเลทรายท่องวิญญาณ
“นั่นเป็นประตูมิติประเภทชั่วคราว ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีทั้งพลังและศิลาวิญญาณเพียงพอก็จะสามารถใช้ศิลาวิญญาณเปิดทางได้ แต่ว่าจะไม่ค่อยเสถียร ง่ายมากที่จะถูกส่งไปผิดตำแหน่ง และก็ง่ายดายมากที่จะตายอยู่ในนั้น เจ้าก็พูดแล้วว่าสภาพของมู่ยี่นั้นไม่ดี ดังนั้นจึงไม่สามารถเสี่ยงได้” หานฉายไฉ่อธิบาย
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจและไม่เข้าใจ จากนั้นก็คิดไปถึงมารดาของตนเอง
เริ่มแรกนั้นนางไปหลินชวนได้อย่างไร? หลังจากนั้นเป็นถูกตระกูลนำตัวกลับมา? หรือว่ากลับมาอย่างไร?
เห็นนางหลุบตาครุ่นคิด หานฉายไฉ่ก็รู้แล้วว่านางในตอนนี้กำลังสงสัยเรื่องประตูมิติ จึงเอ่ยอธิบายอีกว่า “ที่จริงแล้วภายในโลกแห่งยุคกลางนั้นมีประตูมิติโบราณ เหล่านี้หลงเหลืออยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าใครทิ้งพวกมันเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ว่าทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าจุดมุ่งหมายของพวกมันก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวนั้นก็คือหลินชวน มีประตูมิติบางแห่งที่เสถียรและบางแห่งที่ไม่เสถียร มีบางแห่งสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว มีบางแห่งสามารถใช้ได้หลายครั้ง ล้วนแต่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ส่วนประตูมิติของตระกูลหานอยู่ในประเภทที่เสถียรอีกทั้งทั้งสองฝั่งก็ได้ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ส่วนที่เหลือส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นประเภทที่ไม่เสถียร ดังนั้นหากคนของหลินชวนอยากจะมาโลกแห่งยุคกลาง ใช้วิธีที่ข้าพูดมาอันดับแรกนั้นจะดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าไปตามหาประตูมิติอีกอัน แน่นอนว่าทั้งสองวิธีนี้ล้วนแต่มีความเสี่ยง ดังนั้นคนของโลกแห่งยุคกลางจึงไปยังหลินชวนน้อยมาก ถ้าหากว่าในอนาคตเจ้าคิดจะกลับไปหลินชวนก็ต้องหาประตูมิติที่เสถียร ไม่ก็สร้างประตูมิติขึ้นมาเอง เพียงแต่ว่า วิธีสร้างประตูมิตินั้นได้หายสาบสูญไปนานแล้ว ไม่มีใครรู้”
มู่ชิงเกอได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยปากว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง ตอนนี้การส่งมู่ยี่กลับไปนั้นถึงจะเป็นเรื่องหลัก ขอให้แน่ใจว่าเจ้าจะทำได้”
หานฉายไฉ่พยักหน้าเอ่ยว่า “วางใจได้ รับเม็ดโอสถของเจ้ามาแล้ว ข้าก็มีวิธีที่จะไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย เจ้าจะส่งคนมาเมื่อไหร่?”
มู่ชิงเกอนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า “อีกไม่กี่วัน”
“ดี ข้าจะรอเจ้า” หานฉายไฉ่พยักหน้าเอ่ย
“ยังมีอีกเรื่อง” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นมา
หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น รอให้นางพูด
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “สามตระกูลของเมืองหลานอูเฉิงในตอนนี้ล้วนแต่กำลังแย่งชิงเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางแห่งหนึ่งอยู่ใช่หรือไม่?”
หานฉายไฉ่หัวเราะขึ้นมา “ดูท่าแหล่งข่าวสารของเจ้าก็จะดีมากทีเดียว”
จากนั้น นัยน์ตาของเขาก็ฉายแวววาววาบ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “อย่างไร? เจ้าคิดจะเข้าไปยุ่งงั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หรี่ตายิ้มขึ้น “มาเมืองหลานอูเฉิงแล้ว ไม่เอาอะไรจากไป ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ!”
หานฉายไฉ่ส่ายหน้าอย่างหมดคำพูดจะกล่าว เอ่ยเย้าไปหนึ่งประโยคว่า “ยังคงเป็นโจรที่ไม่ยอมเหลืออะไรไว้จริง”
“สนใจที่จะร่วมมือกันหรือไม่?” อยู่ดีๆ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกายขึ้นมา เอ่ยกับหานฉายไฉ่
ในใจของนางรู้ดีว่าเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางนั้น คนเดียวกินไม่หมด จำเป็นต้องมีคนร่วมมือด้วย ส่วนภายในเมืองหลานอูเฉิงนี้ทางเลือกที่น่าพึงใจมากที่สุดก็ คือหานฉายไฉ่
นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ค่อยๆ หรี่เล็กลง เอ่ยเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “หอสรรพสิ่งไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งผลประโยชน์ระหว่างตระกูลใดๆ ได้” ความหมายนอกคำพูดของเขาก็คือ ถึงแม้ว่าเขาจะสนใจก็ไม่อาจจะเข้าไปยุ่งได้
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะร่วมมือกับหอสรรพสิ่ง แต่เป็นเจ้า”
“หืม?” หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น
ในระหว่างที่มู่ชิงเกอเว้นช่องว่าง เขาก็ได้เข้าใจความหมายของนางแล้ว
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” หานฉายไฉ่เอ่ยถาม
มู่ชิงเกอยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “อันดับแรก ต้องแน่ใจว่า นั่นเป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางจริงๆ อย่างที่สองมียุทธภัณฑ์จัดเก็บอะไรที่จะสามารถนำเอาเหมือง ศิลาวิญญาณไปได้? ถ้าหากไม่ได้เช่นนั้นก็ต้องเปลืองแรงหน่อย”
หานฉายไฉ่หซี่ตาเล็กลง “อย่างแรกเหมืองศิลาวิญญาณ ระดับกลางนั้นเป็นของจริง จุดๆ นี้หอสรรพสิ่งได้เข้าไปตรวจดูเองแล้ว หากเป็นดั่งที่ร่ำลืออยู่ภายนอก หากยังไม่ทันได้แน่ใจแล้วจะดึงดูดให้สามตระกูลแย่งชิงกันได้อย่างไร? อย่างที่สอง เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว หากคิดจะบรรจุศิลาวิญญาณนั้นก็ยังพอทำได้ แต่จะบรรจุเหมืองทั้งเหมืองนั้น ก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มียุทธภัณฑ์จัดเก็บที่ใหญ่ถึงขนาดนั้น”
‘เจ้านาย ข้าทำได้!’ ในตอนที่เสียงของหานฉายไฉ่จบลง อยู่ดีๆ เสียงของเหมิงเหมิงก็ดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย มุมปากเกิดรอยยิ้มออกมาอยากไม่อาจควบคุม
“การเอาทั้งเหมืองศิลาวิญญาณไปนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก ข้าต้องการให้เจ้าปกปิดให้ข้า” มู่ชิงเกอเอ่ยกับหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่จับความหมายในคำพูดของนางได้ ท่าทางเยือกเย็นขึ้น ไล่ถามว่า “เจ้ามีวิธีที่จะเอาเหมืองศิลาวิญญาณทั้งเหมืองไปอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยตอบไปตรงๆ เพียงแต่พูดกับเขาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร สามวันให้หลัง ให้รวมตัวเหล่าฐานกำลังในเมืองหลานอูเฉิงไว้ด้วยกัน เพื่อให้ข้าสะดวกในการลงมือ หลังจากเรื่องราวเสร็จเรียบร้อย ข้าจะแบ่งเหมืองศิลาวิญญาณให้เจ้าสามส่วน”
ในตอนที่หานฉายไฉ่กำลังจะต่อนั้น นางก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “อย่ามาต่อราคากับข้า เจ้าก็เพียงแค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ข้าสิถึงเป็นคนออกแรง แบ่งสามส่วนนั้นเหมาะสมดี แล้ว”
หานฉายไฉ่หัวเราะขึ้นมา “เจ้าช่างคิดคำนวณได้ชัดเจนดีจริงๆ เมื่อพูดเช่นนี้แปลว่าอีกสามวันเจ้าก็จะจากไปใช่หรือไม่?”
ภายในคำพูดมีความอาลัยอาวรณ์ซ่อนอยู่
มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกถึง เพียงแค่พยักหน้ารับ “ถ้าหากว่าไม่เกิดอะไรเหนือความคาดหมายขึ้น ข้าก็จะเอาเหมืองศิลาวิญญาณกับมู่ยี่มาให้เจ้า แต่ว่าเจ้าก็ต้องช่วยข้ารั้งคนๆ หนึ่งเอาไว้”
“ใคร?” หานฉายไฉ่เอ่ยถาม
“มู่หงแห่งตระกูลมู่” มู่ชิงเกอเอ่ยชื่อชายที่ท้าทายหยวนหยวนออกมา
หานฉายไฉ่ยิ้มอย่างขี้เล่น “คนไม่เอาไหนของตระกูลมู่? เขาไปล่วงเกินอะไรเจ้าเข้าละ?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเอ่ยว่า “เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า ที่ถูกล่วงเกินคือหยวนหยวน”
นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ฉายแวววาววาบ หัวเราะขึ้นมา “เมื่อวานมีข่าวส่งมาว่ามีคนจัดการมู่หงกลางถนน คนที่ก่อเรื่องนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตางดงาม หล่อเหลา เป็นคนที่ดูสูงสง่ามากผู้หนึ่ง ดูแล้วคงเป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนนี่เอง”
“เจ้ารู้หมดแล้ว” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
มุมปากของหานฉายไฉ่ยิ้มขึ้นอย่างสบายอารมณ์“ไม่มีเรื่องอะไรที่หอสรรพสิ่งจะไม่รู้”
พูดแล้วเขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “มู่หงกลับไปก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่กลับไป หาเจ้าคนไม่เอาไหนตระกูลเฉาเพื่อหาเรื่อง ดูท่าแล้วคงเป็นฝีมือของหยินเฉิน แต่ว่า เรื่องนี้คงปิดไว้ได้ไม่นานหรอก ถึงหยินเฉินจะมีความสามารถมากแค่ไหนก็ไม่สามารถบิดเบือนความทรงจำของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมด”
“ดังนั้นเวลาของข้าจึงมีไม่มาก” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ นางต้องการจัดการเรื่องราวให้เสร็จแล้วจากไปก่อนที่คนของตระกูลมู่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้
“รู้แล้ว” หายฉายไฉ่เอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“ขอตัว” พูดคุยเรื่องราวเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็ลุกขึ้นออกไปจากหอสรรพสิ่ง
สามวันต่อมา มู่ชิงเกอไม่ได้ออกไปไหนอีก ในทุกวันพวกที่ออกไปเคลื่อนไหวล้วนแต่เป็นของพวกเสวี่ยหยา หยวนหยวนกับจิงไห่ก็ถูกกักบริเวณ ไม่เพื่ออะไร เพียงแต่ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมายก่อนการลงมือ
ภายในสามวันนี้หอสรรพสิ่งในเมืองหลานอูเฉิงก็ได้กระจายเทียบเชิญ บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเหล่าตระกูลต่างๆ มาร่วมงาน ตระกูลมู่ ตระกูลเฉา ตระ
กูลลี่ว์สามตระกูลก็แน่นอนว่าอยู่ในตระกูลที่ถูกเชิญมา
ในตอนที่ข่าวถูกลือมาจนถึงหูของมู่ชิงเกอนั้น นางก็เพียงแต่หัวเราะเล็กน้อย รู้ว่าหานฉายไฉ่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
แผนการของนางนั้นง่ายมาก นั่นก็คืออาศัยช่วงเวลาที่ทั้งเมืองหลานอูเฉิงถูกหานฉายไฉ่ล่อหลอกไว้ช่วยคนพร้อมทั้งเอาเหมืองศิลาวิญญาณมา จากนั้นก็ปัดก้น จากไป
“นายน้อย นี่เป็นแผนที่ของเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง ยังมีตำแหน่งของเวรยาม” เสวี่ยหยาเอาม้วนภาพม้วนหนึ่งยื่นให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรับมาแล้วเปิดออก
นางจะลงมือแบบไม่ให้มีใครรับรู้ดังนั้นจำเป็นต้องวางแผนการเคลื่อนไหว
มู่ชิงเกอก้มหน้าลงมองแผนที่แล้วก็ตำแหน่งของยาม เสวี่ยหยายืนอธิบายอยู่ข้างๆ “นายน้อย เพราะว่าเจ้าของ ของเหมืองศิลาวิญญาณยังไม่ได้ถูกกำหนด ดังนั้นทั้ง สามตระกูลจึงทำข้อตกลงกัน ส่งคนไปเฝ้าไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ทุกๆ วันจำนวนคนที่เฝ้าเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางนั้นมีเป็นพันคน พวกเขาเฝ้าอย่างเข้มงวด เป็นชั้นๆ มีแต่เฉพาะช่วงเวลาที่เปลี่ยนเวรเท่านั้นถึงจะมีการหละหลวมเล็กน้อย”
มู่ชิงเกอมองแผนที่แล้วก็ฟังเสวี่ยหยาพูดไป พอปิด แผนที่แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองนาง “ทั้งสามตระกูลไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นจะต้องมีโอกาสอย่างแน่นอน”
เสวี่ยหยาชะงัก พยักหน้าอย่างเข้าใจอยู่บ้าง
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองสีท้องฟ้า เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้เป็นวันงานเลี้ยงของหอสรรพสิ่งใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เสวี่ยหยาพยักหน้า
“เรียกทุกคนมารวมตัวกัน” มู่ชิงเกอออกคำสั่ง
เสวี่ยหยาพยักหน้า ถอยออกไป
ยามเย็นมาถึง ทุกๆ คนล้วนกลับมาที่เรือนหลังเล็ก
มู่ชิงเกอนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองไปยังไป๋สี่แล้วเอ่ยว่า “สถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ประมุขของตระกูลมู่คนปัจจุบันนำมู่อี่ว์เแล้วก็มู่หงไปหอสรรพสิ่งแล้ว” ไป๋สี่เอ่ยตอบ
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยอีกว่า “สืบมาตั้งนาน ตอนนี้ความสามารถทุกอย่างของตระกูลมู่ ตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์ สามตระกูลล้วนแต่ศึกษาดีแล้วใช่หรือไม่?”
เสวี่ยหยาเอ่ยตอบว่า “ตระกูลมู่ ตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์สามตระกูลล้วนแต่มียอดฝีมือที่มีระดับพลังสีเงินชั้นสองอยู่ อีกอย่างไม่แค่คนเดียว ข่าวที่เล่าลือออกมาของตระกูลมู่ก็คือมีสามคน ภายในนั้นหนึ่งคนข้าสงสัยว่า เขาจะไปถึงระดับพลังสีเงินชั้นสามแล้ว ส่วนอีกสองตระกูลที่เหลือ ที่ลือออกมาข้างนอกก็มีแค่ตระกูลละสองคน และก็เพราะเช่นนี้ตระกูลมู่ถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลานอูเฉิงได้”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมองทอดออกไปไกล เอ่ยเสียงเย็นว่า “ระดับพลังสีเงินขั้นสองสองคน ขั้นสามหนึ่งคน สายรองของตระกูลมู่รุ่งเรืองถึงขนาดนี้ มิน่าถึงได้ทำให้สายหลักพ่ายแพ้ลงได้”
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกขอบคุณมู่อี่ว์ที่ไม่ได้ขังมู่ยี่ไว้ในจวนตระกูลมู่ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความลำบากในการช่วยเข้าไปอีก
“นายน้อย ผู้นำคณะที่เฝ้าเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง ก็คือยอดฝีมือระดับพลังสีเงินขั้นสองของทั้งสามตระกูล” เสวี่ยหยาเอ่ยข่าวสารอีกอย่างออกมา
ข่าวสารนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นสูง
ยอดฝีมือระดับพลังสีเงินขั้นสอง สามคนเฝ้าอยู่!
ดูท่า นี่ก็ไม่ใช่ข่าวที่ดีสักเท่าไหร่
“ข่าวนี้จริงหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เสวี่ยหยาพยักหน้า
ถอนหายใจออกไปแล้ว มู่ชิงเกอก็มองไปยังหยินเฉินกับหยวนหยวน “ต่อกรกับคนระดับพลังสีเงิน พวกเจ้ามีความมั่นใจมากแค่ไหน?’’
หยินเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดจา แต่ท่าทางก็แสดงออกทุกอย่าง
หยวนหยวนก็ยังคงเป็นผู้ที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นเคย เอ่ยอย่างอหังการว่า “ข้าจะใช้ไฟเผาพวกเขาให้เป็นขี้เถ้า!”
“อย่าทะนงตนเกินไป” มู่ชิงเกอส่ายๆ หน้าเอ่ยออกมา
นางกวาดตามองไปยังทุกคน “ข้าต้องการให้เรื่องราวสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่วิ่งเข้าไปปะทะ”
“ชิงเกอ ข้าจะไปกับเจ้า” ไป๋สี่เอ่ย
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “หน้าที่ของเจ้าก็คือช่วยมู่ยี่”
“คุณชาย ยังมีพวกเรา!”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
มู่ชิงเกอมองพวกเขาแวบหนึ่ง ขบริมฝีปากพลางส่ายหน้า “พวกเจ้าทั้งสองยังไม่ใช่คู่มือของพวกเขา ไปก็ไม่ช่วยอะไร”
ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นมา
ต่อหน้ายอดฝีมือระดับสีเงิน มู่ชิงเกอยังคิดว่าตนเองอ่อนแอเกินไป
คนข้างกายนางสามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับสีเทาได้อย่างสบาย แม้แต่ยอดฝีมือระดับพลังสีเงินขั้นหนึ่งนางก็ ยังคิดว่ายังเอาอยู่ได้
แต่ว่า ระดับพลังสีเงินขั้นสอง ทั้งยังมีสามคนอีก ระยะห่างมากเกินไป
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น คิดแผนการ
การต่อสู้ที่ท้าทายไม่ใช่ว่านางไม่เคยลอง สามารถพูดได้ว่า ตลอดเส้นทางของนางดูเหมือนว่าจะต่อสู้อย่างท้าทายขีดจำกัดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องว่างแห่งการทดสอบในอาณาจักรเซิ่งหยวนครั้งนั้น ที่ทำให้นางต้องตายอยู่ด้านใน
แต่ว่าในครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นางต้องการเหมืองศิลาวิญญาณ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย
สามารถเอาไปอย่างเงียบเชียบจะดีที่สุด
รอนางไปไกลแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ถึงได้ค้นพบว่าเหมืองศิลาวิญญาณที่ตนเองเฝ้านั้นว่างเปล่า ในตอนนั้นสีหน้าของทุกคนก็คงจะน่าดูเป็นอย่างยิ่ง
เผชิญหน้ากับศัตรู จากนั้นก็ถูกไล่ฆ่า นี่ไม่ใช่บทสรุปที่นางต้องการ
หากว่าหาวิธีที่เหมาะสมไม่ได้นางก็ยอมที่จะทิ้งเหมืองศิลาวิญญาณนี้ไป เพราะมันเป็นของนอกกายไม่ได้จำเป็นต้องได้มันมา
‘ไม่อาจใช้แรงเอาชนะศัตรู ต้องชนะด้วยสติปัญญา!’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
“ดูท่าก็คงจะต้องใช้แผนเก่าแล้ว” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง
ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่มองหน้ากัน
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยสั่งออกมา “จิงไห่ เตรียมรถลากสัตว์อสูรรออยู่นอกเมือง โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยให้เก็บของแล้วไปรอนอกเมืองกับจิงไห่ ไป๋สี่ไปช่วยคน จากนั้นก็นำคนไปส่งที่หอสรรพสิ่ง หยินเฉินกับหยวนหยวนแล้วก็เสวี่ยหยาไปที่เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางกับข้า หลังจากทุกอย่างสำเร็จดีแล้ว พวกเราจะไปหอสรรพสิ่งก่อน เก็บกวาดเรื่องราวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากเมืองไปรวมตัวกับพวกเจ้าสามคน แล้วก็จากไปพร้อมกัน”
“ชิงเกอ ไม่สู้ให้โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยไปช่วยคน ข้าไปเหมืองศิลาวิญญาณกับเจ้า” ไป๋สี่เสนอความคิดเห็น
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ใช่แล้วคุณชาย ให้ไป๋สี่ไปกับท่านจะได้ปลอดภัยหน่อย”
“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอส่ายหน้า
นางมองไปที่ไป๋สี่แล้วเอ่ยว่า “ช่วยคนนั้นง่าย แต่ว่าการจะพาคนไปหอสรรพสิ่งแบบไม่ให้ใครพบเห็นนั้นกลับยากมาก ความสามารถของโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยยังไม่พอ”
ประโยคนี้ทำให้โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยสีหน้าหมองลง มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นต่อในทันทีว่า “พวกเจ้าก็อย่าได้คิดว่าตนเองไม่มีประโยชน์ในแผนๆ หนึ่ง ทุกๆ อย่างล้วนแต่มี ความสำคัญ พวกเจ้าคอยจัดการเรื่องเบื้องหลัง ก็เป็นการเสียสละอย่างหนึ่ง อีกอย่างความสามารถของพวกเจ้าก็คือรวบรวมข้อมูล”
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยหลุบตาเงียบเสียงลง
พวกนางรู้ดีว่ามู่ชิงเกอกำลังปลอบใจพวกนาง ภายในหลินชวน พวกนางยังสามารถรวบรวมข้อมูลและส่งข่าวได้บ้าง มีคุณค่าในตนเอง แต่หลังจากที่เสวี่ยหยาปรากฏตัว ความสามารถในการจัดการข้อมูลข่าวสารของนางก็ไม่รู้ว่าเหนือกว่าพวกนางกี่เท่า นี่ทำให้พวกนางทั้งสองคนหาตำแหน่งของตนเองไม่เจอ
“จำได้กันหรือยัง?” มู่ชิงเกอยืนขึ้น เอ่ยด้วยเสียงที่ดังและเด็ดเดี่ยว
ทุกคนพยักหน้า
ในพริบตา มู่ชิงเกอก็เหมือนจะกลับไปเหมือนกับช่วงที่วางแผนการรบอีกครั้ง
เมื่อคุยเรื่องรายละเอียดเวลาดีแล้ว มู่ชิงเกอก็เข้าไปในช่องว่าง เริ่มหลอมสิ่งที่จะช่วยให้นางเอาชนะศัตรูได้ รอจนนางออกมาจากห้องหลอมยาแล้ว ก็พาเอาหยวน หยวนกับหยินเฉินเข้าไปในช่องว่าง
“พวกเจ้าทั้งสองคนอยู่ที่นี่ ตอนที่ต้องการข้าจะเรียกพวกเจ้าออกมา” มู่ชิงเกอสั่งการทั้งสอง
หยวนหยวนกับหยินเฉินพยักหน้า
มู่ชิงเกอออกไปจากช่องว่าง เดินทางไปยังเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางกับเสวี่ยหยา
ภายในช่องว่าง หยวนหยวนใช้เวลาว่างไปหาเหมิงเหมิง
“เด็กเหมิงเหมิง ข้าโตขึ้นแล้ว! เจ้าดู!” หยวนหยวนหมุนตัวรอบๆ ด้านหน้าของเหมิงเหมิง
เหมิงเหมิงเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!”
หยวนหยวนกลับหัวเราะเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเด็กน้อย ถึงแม้จะโตแล้วก็ยังตัวเล็กอยู่!”
“เจ้าเตี้ย เจ้าเตี้ย!” เหมิงเหมิงโกรธกระทืบเท้า
หยินเฉินมองคู่หูที่ชอบทะเลาะกันคู่นี้อยู่ไกลๆ ยิ้มๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย
หยวนหยวนกับเหมิงเหมิงวิ่งไล่จับกันในช่องว่าง รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสานั่นก็ดูเหมือนจะสามารถละลายนํ้าแข็งหิมะได้
วุ่นวายกันอยู่รอบหนึ่ง หยวนหยวนถึงได้หยิบพิณที่ซื้อมาจากร้านค้าบนถนนออกมา ส่งให้กับเหมิงเหมิง “เอ้า นี่ให้เจ้า”
นัยน์ตาของเหมิงเหมิงเปล่งประกาย ยิ้มขึ้นมาชั่วขณะ “นี่คืออะไร?”
นางยื่นมือออกไปรับ พิจารณาดูอย่างสนใจ นางไม่เคยเห็นพิณมาก่อน และก็ไม่รู้ว่าของสวยๆ อันนี้มีไว้ทำอะไร
“นี่คือพิณไง! เจ้าไม่รู้จักพิณงั้นหรือ!” หยวนหยวนหัวเราะเย้ยหยัน
สีหน้าของเหมิงเหมิงเปลี่ยนไปในทันที ทิ้งพิณลงไปที่เท้าของเขา “เชอะ ใครอยากได้กัน!”
“อ้า! นี่เป็นข้าตั้งใจซื้อมามอบให้เจ้านะ!” หยวนหยวนหยิบพิณขึ้นมา เอ่ยอย่างร้อนใจ
“ข้าไม่ต้องการ!” เหมิงเหมิงหันหน้าไปอีกทางอย่างหยิ่งยโส ไม่มองหยวนหยวน
ใบหน้าของหยวนหยวนพองเป็นลูกบอล ยัดพิณไปในอกนาง เอ่ยอย่างแข็งขืนว่า “ไม่อยากได้ก็ต้องเอา!”
“ข้าไม่ต้องการ!” เหมิงเหมิงผลักออก
หยวนหยวนก็ดื้อขึ้นมา เอาพิณผลักไปที่อกของเหมิงเหมิง ร้องเสียงดังว่า “นี่เป็นของที่ข้าซื้อให้เจ้า เจ้ากล้าไม่เอาดูสิ!”
หยินเฉินมองทั้งสองคน ค่อยๆ ส่ายหน้า ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับสงครามระหว่างทั้งสอง
ภายนอกช่องว่าง มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาได้ไปถึงบริเวณรอบนอกของเหมืองศิลาวิญาณระดับกลางแล้ว
ทั้งสองคนซ่อนตัวโดยอาศัยความมืด เก็บกลิ่นอาย ลอบสังเกตการณ์
“นายน้อย ข้างหน้าก็คือเหมืองศิลาวิญญาณ ปากเหมืองได้ถูกขุดเปิดทางแล้ว แต่เป็นเพราะปัญหาผลประโยชน์ยังไม่ลงตัว ดังนั้นจึงยังไม่ได้เริ่มดำเนินการขุด” เสวี่ยหยาอธิบายเสียงเบา
ในภูเขาด้านหน้า มู่ชิงเกอสามารถมองเห็นเงาร่างของคนจำนวนไม่น้อยที่ขยับไปมา น่าจะเป็นคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่รอบนอก
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสีเงินขั้นสองทั้งสามคนนั้นอยู่ที่ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เสวี่ยหยาขบริมฝีปาก ยกมือขึ้น หว่างนิ้วมีอะไรบินออกไป มู่ชิงเกอมองเห็นผีเสื้อสีดำบินออกมาจากนิ้วมือของนาง บินไปทางเหมืองศิลาวิญญาณ
ในดวงตาของมู่ชิงเกอมีความแปลกใจ นางไม่รู้เลยว่าเสวี่ยหยามีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย
เสวี่ยหยาถูกสายตาของนางจ้องมองจนแก้มแดงขึ้น หลุบตาลงอธิบายเสียงเบาว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ ของเผ่าข้า อาศัยพลังจิตเลี้ยงแมลงภายในร่างกาย หากต้องการใช้แล้วค่อยปล่อยออกมาสืบข่าว”
พูดแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายมองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ย “แมลงนี่ก็เปรียบเหมือนกับเป็นดวงตาของข้า พวกมันมองเห็นอะไรข้าก็สามารถมองเห็นได้เช่นกัน แต่ว่าในระหว่างที่ดำเนินการไม่อาจจะถูกรบกวนได้ขอให้นายน้อยคุ้มครองด้วย”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
เสวี่ยหยานั่งสมาธิ หลับตาลง
‘อัศจรรย์อะไรเช่นนี้! เพียงแค่เลี้ยงแมลงไว้ในร่างกายของตนเอง…’ มู่ชิงเกอสั่นสะท้านอย่างขนลุก ท่าทางพะอืดพะอม
ลมยามคํ่าคืน พัดผ่านผมที่ตกอยู่บนหน้าผากของเสวี่ยหยา นางในยามคํ่าคืนดูสงบเยือกเย็นดุจดั่งนางเซียนบนดวงจันทร์ ใบหน้าที่งดงามทำให้คนไม่อาจไม่คิดล่วงเกินได้
แต่น่าเสียดายที่มู่ชิงเกอไม่ได้มีอารมณ์ไปพิจารณา เพียงแต่ลอบมองอย่างระวังไปรอบด้าน
ผ่านไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ท่าทางของเสวี่ยหยาก็เปลี่ยนเป็นดูเจ็บปวด
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เห็นอยู่ดีๆ เสวี่ยหยาก็เบิกตาขึ้น ฟุบตัวลงมาในอ้อมอกของตนเอง
ไม่คิดอะไรมาก มู่ชิงเกอรีบรับร่างของนาง ใช้สองมือประคองนาง “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เสวี่ยหยาชะงักลมหายใจครู่หนึ่ง ขบริมฝีปากพลางส่ายหน้า สีหน้าของนางขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
ในเวลานี้ มู่ชิงเกอก็มองไปเห็นผีเสื้อสีดำบินกลับมาจากอากาศ ค่อยๆ ตกลงบนร่างกายของเสวี่ยหยา กลายเป็นพลังจิตเข้าไปในร่างกายของนาง
‘ดูเหมือนว่าจะขาดไปหนึ่งตัว’ มู่ชิงเกอสังเกตได้ถึงความแปลกนี้
ในเวลานี้ สีหน้าของเสวี่ยหยาก็ดีขึ้นมาก นางมองไปที่มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “นายน้อย ยอดฝีมือระดับพลังสีเงินขั้นสองสามคนนั้นอยู่ในห้องไม้บริเวณปากทางเข้าเหมืองพอดี ตำแหน่งของห้องไม้ที่พวกเขาอยู่นั้นก็พอดีสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวบริเวณปากเหมืองได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่นี้ผีเสื้อดำของข้าถูกคนหนึ่งในนั้นพบเห็น แล้วก็ทำลาย ข้ากับพวกมันเชื่อมต่อกันดังนั้นจึงได้รับผลกระทบ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ถูกพบงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
เสวี่ยหยารีบอธิบายว่า “เขาเพียงแค่พบผีเสื้อดำเท่านั้น ไม่ได้สงสัยเรื่องอื่น วิชาลับนี้ไม่มีในโลกแห่งยุคกลาง ดังนั้นพวกเราจะไม่ถูกพวกเขาพบเห็นอย่างแน่นอน”
มู่ชิงเกอพยักหน้า หยิบขวดยาฟื้นฟูพลังออกมา ยื่นให้แก่เสวี่ยหยา “ใช้ก่อน ฟื้นฟูสักหน่อย”
เสวี่ยหยาไม่ได้ปฏิเสธ รับขวดยามา เทมันเข้าไปในปาก
พอยาเข้าไปในปากแล้วก็ละลาย พริบตาเดียวให้ความสดชื่นแก่ร่างกายของเสวี่ยหยา ทำให้สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นแดงเรื่อขึ้น
รอนางจัดการเสร็จแล้วก็พบว่าหยินเฉินและหยวนหยวน ได้ยืนอยู่ด้านข้างของมู่ชิงเกอแล้ว
การอยู่ตามลำพังของทั้งสองคนถูกทำลายไป ทำให้นางลอบรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “หยินเฉินหากว่าทำตามที่ข้าพูดเมื่อครู่วิชามายาของเจ้าสามารถทำให้คนด้านในทุกคนสับสนได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หยินเฉินพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าทำตามแผน ข้าก็สามารถทำให้พวกเขามึนงงได้นำเข้าไปในโลกมายา คืนนี้ทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ดี!” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ความมั่นใจของหยินเฉินทำให้นางวางใจขึ้นมาก จากนั้นนางก็มองไปยังหยวนหยวน เอ่ยกับเขาว่า “หยวนหยวน เจ้าเฝ้าที่ปากเหมือง ถ้ามีใครตื่นขึ้นมาจากภาพมายา แล้วพบความผิดปกติให้เจ้าใช้พญาเพลิงปาฮวงซูคง จำไว้ให้ใช้เพียงพญาเพลิงปาฮวงซูคง”
หยวนหยวนพยักหน้า
ตอนนี้ มู่ชิงเกอถึงได้มองมายังเสวี่ยหยาที่ตื่นมาแล้ว เอ่ยกับนางว่า “ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสวี่ยหยาเอ่ยว่า “ขอบคุณนายน้อยที่เป็นห่วง เสวี่ยหยาไม่เป็นอะไรแล้ว”
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับนางว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าอยู่ที่นี่ คอยสนับสนุน ถ้าหากว่ามีคนจากด้านนอกเข้ามาใกล้ ให้คิดหาวิธีบอกพวกเรา อย่างเช่นปล่อยผีเสื้อสีดำของเจ้าออกมา”
ทิ้งเสวี่ยหยาไว้ก็เพราะกังวลว่าในระหว่างการดำเนินการ จะมีคนโผล่มาที่นี่แล้วทำลายทุกอย่าง
เสวี่ยหยารับคำสั่ง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “นายน้อยจะฆ่า หรือจะปล่อย?”
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “เจ้าสะดวกอย่างไรก็ทำตามนั้น”
ความหมายก็คือจะฆ่าหรือจะปล่อยก็ให้เสวี่ยหยาตัดสินใจเอง เสวี่ยหยาเข้าใจแล้ว หากว่ามีคนมาจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ก็ต้องจับคนที่มาเอาไว้ก่อน หลังจากสืบความแน่ชัดแล้ว ก็ค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าดีหรือไม่ฆ่าดี
หลังจากส่งมอบหน้าที่ทุกอย่างเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอาเครื่องหอมออกมาก้อนหนึ่ง วางลงบนพื้น เอ่ยสั่งกับหยินเฉินและหยวนหยวนว่า “หยินเฉินเตรียมตัวพัด หยวนหยวนเตรียมจุดไฟ”
เสียงของมู่ชิงเกอเพิ่งจะหลุดออกไป ลมสายหนึ่งก็พัดผ่านมาด้านหลังของนาง พัดไปทางเหมืองศิลาวิญญาณ เสวี่ยหยามองไป ด้านหลังของหยินเฉินนั้นมีหางเก้าหาง โผล่ออกมาโบกสะบัด
ส่วนทางหยวนหยวนก็จัดการเปลวไฟดวงหนึ่งให้ตกลงไปที่บนก้อนเครื่องหอม กลิ่นหอมบางๆ ลอยออกมาจาก บนเครื่องหอม แล้วถูกพัดไปทางเหมืองศิลาวิญญาณ…