ตอนที่ 247
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างเจ้าชู้ยิ่งนัก!
ยามแรกอรุณ มีรถสัตว์อสูรวิญญาณคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมาจากเมืองหลานอูเฉิง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานฉายไฉ่ยืนอยู่ภายในหอสรรพสิ่ง มองไปทางประตูเมือง นัยน์ตาเรียวยาวฉายอารมณ์ที่ยากจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีลูกน้องมารายงานว่าบรรดาแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงเมื่อคืนได้ทยอยตื่นขึ้นแล้ว
“ตื่นแล้วก็ส่งแขก” นัยน์ตาเรียวยาวที่ฉายแววขี้เกียจ ค่อยๆ หรี่ลง สบถออกมาอย่างรำคาญ
เขาในตอนนี้ไหนเลยจะยังมีท่าทางตอนรับแขกเป็นอย่างดีเช่นเมื่อวานอีก?
บนใบหน้าที่ดูชั่วร้ายเขียนเพียงแต่คำว่า ‘ไสหัวไป!’
ลูกน้องหวาดกลัวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ไม่นาน ประตูใหญ่ของหอสรรพสิ่งก็ถูกเปิดออก กลุ่มอำนาจในเมืองหลานอูเฉิงล้วนแต่ทยอยพากันออกมาจากหอสรรพสิ่ง ขึ้นไปบนรถสัตว์อสูรวิญญาณของใครของมัน ขึ้นไปในรถม้าที่เป็นของตน
มู่อี่ว์ขึ้นไปบนรถของบ้านตนเองแล้วก็ใช้มือนวดขมับเบาๆ
บิดาและน้องเล็กของเขาก็ล้วนแต่มีใบหน้าสีแดงระเรื่อ เห็นได้ว่าผลตกค้างของสุราชั้นดีของหอสรรพสิ่งนั้นมีมากขนาดไหน
‘หนึ่งจอกทำเสียเรื่อง!’ มู่อี่ว์คิดขึ้นในใจ เขาไม่ได้กินดื่มอย่างหนักเช่นนี้มานานแล้ว หรือเป็นเพราะเหล้าของหอสรรพสิ่งนั้นรสดีจริงๆ?
รถสัตว์อสูรวิญญาณโคลงเคลงไปข้างหน้าไม่หยุด ความรู้สึกโคลงเคลงนี้กลับทำให้คนที่กำลังเมาค้างรู้สึกว่าช่องอกเกิดอาการตีกลับ
ไม่นาน มู่หงก็ทนไม่ไหวเปิดหน้าต่างออก ปีนไปอยู่ที่ข้างหน้าต่างอาเจียนออกมา กลิ่นอาเจียนในปากลอยเข้ามา ทำเอามู่อี่ว์แล้วก็ยังมีประมุขตระกูลมู่อดขมวดคิ้วไม่ได้
ก็เพราะเป็นมู่หง หากเป็นคนอื่นที่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะถีบลงรถแล้วให้สัตว์อสูรวิญญาณเหยียบไปนานแล้ว ของที่กินมาเมื่อคืน ล้วนแต่ถูกอาเจียนออกมา ในที่สุดมู่หงก็รู้สึกสบายขึ้น เอาหัวกลับมา พิงผนังรถ สูดลมหายใจเข้า ประมุขตระกูลมู่มองเขา ตำหนิอย่างอ่อนใจว่า “เจ้าดูร่างกายของเจ้า หากไม่จัดการให้ดี เกรงว่าคงจะพิการในไม่ข้า ข้าพูดกับเจ้ามาเสมอว่าต้องควบคุม ควบคุม เจ้ารู้ว่าอะไรเรียกว่าควบคุมหรือไม่?”
มู่หงยิ้มออกมา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยกิเลส เผชิญหน้ากับการตำหนิของบิดา เขาก็เอ่ยอย่างไม่ได้สนใจว่า “ยุคนี้มีสุราก็เมายุคนี้ ข้าจะต้องควบคุมทำไม ข้าไม่ใช่พี่ใหญ่ที่ต้องเป็นประมุขตระกูลต่อเสียหน่อย”
“มู่หง” มู่อี่ว์ร้องออกมา เขาตำหนิโดยใช้นํ้าเสียงของพี่ใหญ่ “พวกเราทั้งบ้าน ได้ตำแหน่งในวันนี้มาไม่ง่าย มีคนภายนอกไม่รู้เท่าไหร่ที่พูดจาดูถูกพวกเรา รอดูพวกเราเป็นตัวตลก ถ้าหากว่าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ที่ข้ากับบิดาพยายามมานั้นจะมีประโยชน์อะไร? ที่ข้ากับบิดาคาดหวังกับเจ้าไว้ก็ไม่ได้สูงมาก แต่อย่างน้อยก็ให้เจ้าอยู่ข้างนอกอย่าโดนใครรังแกก็พอ”
พูดแล้วนัยน์ตาของมู่อี่ว์ก็ฉายแววอำมหิตขึ้น
มู่หงถูกรังแก เขาถูกคนรังเกียจ เขาก็ล้วนแต่เอาความโมโหทั้งหมดไปลงที่ร่างของมู่ยี่ พวกเขาเป็นสายรอง แล้วจะอย่างไร? ตำแหน่งประมุขตระกูลจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง สายหลักไร้ความสามารถ แน่นอนว่าต้องถูกแทนที่ นี่แต่เดิมก็เป็นกฎ เขาไม่เคยคิดเลยว่าที่เขาทำนั้นผิด!
ประมุขตระกูลมู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย มองมู่หงแล้วเอ่ยว่า “หงเอ่อร์ฟังได้ยินว่าพี่ใหญ่ของเจ้าพูดอะไรแล้วหรือยัง?”
มู่หงยิ้มหัวเราะ โบกมืออย่างรำคาญ “ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว พวกท่านน่ารำคาญจริงๆ!”
“ท่านประมุข ถึงแล้วขอรับ” รถเทียมสัตว์อสูรวิญญาณ ค่อยๆ หยุดลง บ่าวรับใช้ที่ขับรถเอ่ยรายงานออกมา สีหน้าของประมุขตระกูลมู่จริงจังขึ้น จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย ลงจากรถสัตว์อสูรวิญญาณ มู่อี่ว์กับมู่หงก็ตามลงไป เพียงแต่ว่า เพิ่งจะลงจากรถ คนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลมู่คนหนึ่งก็รับวิ่งเข้ามาข้างกายของมู่อี่ว์สีหน้าของเขาดูไม่น่าดูมาก ทั้งยังดูมีความวุ่นวาย
เมื่อมองเห็นเขา นัยน์ตาของม่อี่ว์ก็ดูอำมหิตขึ้น นี่เป็นหนึ่งในคนที่เขาจัดไว้ในสวนร้างเพื่อเฝ้ามู่ยี่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เขามองคนที่มา เอ่ยถามเสียงเข้ม เมื่อถูกถาม สองขาของคนๆ นั้นก็อ่อนยวบ เกือบจะล้มลง
เขายิ้มโง่ๆ ไปทางประมุขตระกูลมู่และมู่หงเล็กน้อย แล้วค่อยมองมาที่มู่อี่ว์
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววหวั่นไหว มองบิดาและน้องชาย ที่กำลังเดินเข้ามาว่า “ท่านพ่อพวกท่านเข้าไปก่อนเถอะ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น”
ดื่มเหล้ามาทั้งคืน ประมุขตระกลมู่รู้สึกง่วงมานานแล้ว มู่หงก็ดูมึนๆ เห็นมู่อี่ว์พูดเช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ฝืนอยู่ต่อ หันกายเดินเข้าไปในจวน
รอพวกเขาจากไปแล้ว สีหน้าของมู่อี่ว์ถึงได้ดำทะมึนขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
สองขาของคนๆ นั้นอ่อนลงคุกเข่ากับพื้น เอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า “นาย…นายน้อย เจ้าพิการนั่น…เจ้าพิการนั่นหายไปแล้ว!”
“หายไปแล้ว!” นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววแข็งกร้าว นํ้าเสียงดูเหี้ยมโหดขึ้นมา “อะไรเรียกว่าหายไปแล้ว? พวกเจ้าเฝ้าดูอย่างไรกัน?”
“พวก…พวกเราก็เฝ้ากันดังเช่นปกติ เฝ้าลาดตระเวน และก็ไม่ได้พบอะไรผิดปกติ วันนี้ตอนเช้าเข้าไปดูถึงได้พบว่าด้านในนั้นไม่มีคนแล้ว” คนที่มาเอ่ยอย่างหวาดกลัว
เขาเคยเห็นว่ามู่อี่ว์ทำต่อมู่ยี่อย่างไร และกลัวว่าตัวเองจะตามรอยไป
คำตอบเช่นนั้น มู่อี่ว์ได้ยินแล้วก็แผ่ไอสังหารออกมา
เขามุ่งไปยังสวนร้างในทันที คนที่มาส่งข่าวก็รีบตามไป
เมืองหลานอูเฉิงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา บรรดาผู้คนเริ่มทำกิจวัตรของใครของมัน เหล่าพ่อค้าแผงลอย ก็เริ่มจัดแผงของตนเอง
มู่อี่ว์พุ่งตัวไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าเตะแผงเล็กๆ ไปกี่แผง แต่ว่าในตอนที่เหล่าพ่อค้ามองเห็นใบหน้าของเขาแล้ว ก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา ค่อยๆ เปิดทางให้ อย่างไม่พูดจา
มู่อี่ว์โมโหมาตลอดทางจนมาถึงสวนร้าง เข้าไปในสวนร้าง ก็มองเห็นยามที่จัดวางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มู่ยี่หนีไปได้ยืนอยู่เต็มสวน สบถอย่างเย็นชาออกมาคำหนึ่ง เขาพุ่งไปที่คุกใต้ดิน
เมื่อพุ่งเข้าไปเห็นคุกที่มีแต่ความว่างเปล่า สกปรกและส่งกลิ่นเหม็นนั่นแล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นเฉียบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ่งน่าเกลียดมากขึ้น
“คนเล่า! คนเล่า !” มู่อี่ว์ยืนอยู่ในคุกร้องตะโกนออกมา เสียงนั้นสะท้อนมาจนถึงบนดิน ทำให้เหล่ายามที่ยืนอยู่ล้วนแต่ชะงัก หัวใจสั่น รู้สึกเศร้ากับอนาคตของตน
เอง
“อ้าก—–! สารเลว! สารเลว! มู่ยี่ที่สมควรตาย!” มู่อี่ว์โมโหบ้าคลั่งอยู่ในคุกใต้ดิน พลังจิตในร่างพุ่งไปใส่ผนัง จนเกิดเป็นรอยลึกหลายรอย
มู่ยี่ก็คือปมในส่วนลึกของใจเขา เพียงแต่ทรมานเขาไปตลอดถึงจะสามารถลบเงาร่างนั้นออกไปได้
จากเล็กจนโต มู่ยี่เป็นคุณชายที่อยู่เหนือคนทั้งมวล ส่วนเขาเป็นแค่บ่าวที่เกิดจากสายรอง ต้นกำเนิดต่ำกว่า แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเขามีความสามารถมากกว่า แล้วเหตุใด ภายในพริบตาก็ปรากฏเรื่องราวที่มู่ยี่เป็นอัจฉริยะที่หาจับตัวยากขึ้นมาได้?
เขากับบิดาพยายามอย่างหนักเพื่อแย่งชิงตำแหน่งประมุขตระกูลมา ส่วนมู่ยี่กลับละทิ้งไปง่ายๆ อย่างไม่สนใจ!
เขาพูดว่าอะไรนะ ไม่อยากให้สายเลือดเดียวกันทำลายฆ่าล้างกันจนสายเลือดนองพื้น?
ดีถึงขนาดนั้น เขาก็เลยเลือกทำกับมันเช่นนี้ทำให้บนใบหน้าที่เรียบเฉยของมู่ยี่เกิดความโมโห เกิดความหวาดกลัว เกิดความสิ้นหวัง
เขาจากไปอย่างอิสระ ปล่อยตัวบินไปในอากาศเหมือนนกอินทรีที่ไร้พันธนาการ
เช่นนั้นเขาจะไล่ล่า บอกกับเขาว่าครอบครัวของเขา เพื่อนฝูง ล้วนแต่ตายหมดแล้ว!
เขาไล่ตามมู่ยี่ไปจนถึงหลินชวน โลกเบื้องล่างแห่งนั้น เขากลับชอบพอกับองค์หญิงคนหนึ่งที่โลกเบื้องล่าง! ผู้หญิงคนนั้นงดงามมาก แม้แต่เขาก็หวั่นไหวในใจ แต่เหตุใดเขาจะต้องยอมให้มู่ยี่มีความสุขด้วยล่ะ?
ดังนั้นเขาจึงทำลายเรื่องนี้
ในตอนที่มู่ยี่คิดอยากจะพาองค์หญิงแห่งโลกเบื้องล่างคนนั้นกลับมาที่โลกแห่งยุคกลาง เขาก็ฉวยโอกาสจับตัวมู่ยี่มา จากนั้นก็เริ่มทรมานเขา!
ผ่านมานานหลายปีแล้ว ความแค้นที่เขามีให้กับมู่ยี่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้หายไป แต่กลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งก็จะมาทรมานเขาสักครั้ง มิเช่นนั้นจะทำให้ตัวเองไม่อยากอาหารและนอนไม่หลับ
แต่ว่าตอนนี้ มู่ยี่กลับหายไปแล้ว?
“ไม่! เขาไม่สามารถหนีไปได้! จะต้องมีคนช่วยเขาออกไปแน่! เป็นใครกัน? เป็นใครที่กล้าท้าทายตระกูลมู่? เป็นใครที่กล้าท้าทายข้า!” มู่อี่ว์ตะโกนก้องภายในคุก
ในตอนที่มู่อี่ว์กำลังบ้าคลั่งในสวนร้างนั้น มู่หงก็ได้กลับไปภายในเรือนของตนเองนานแล้ว
สาวใช้ประจำตัวเข้ามารับใช้เขาอาบนํ้า เมื่อมองเห็นสาวใช้ที่ดูงดงามยั่วยวน มู่หงก็อดใจไม่ไหว กอดรัดนางไปยังเตียง ทั้งสองบดเบียดกายเข้าหากัน
ทันใดนั้นก็มี เปลวไฟโปร่งแสงดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งเริ่มเผาไหม้ขึ้นมาจากหว่างขาของมู่หง
“อ๊า—–!” เมื่อแรกสัมผัสถึงความเจ็บปวดจากไฟเผา มู่หงก็ร้องออกมาอย่างโหยหวน
เขาผลักสาวใช้ที่อยู่ใต้ร่างออกไป หว่างขาเกิดความเจ็บปวด เขากลิ้งตัวกลับ สองมือกุมจุดที่เจ็บปวด แต่ว่า พอมือของเขาจับไปโดน ก็สะดุ้งออกมาในทันที
“อ๊า—–! อ๊า—–! มีไฟ! มีไฟกำลังเผาข้า!” มู่หงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและหวาดกลัว
สาวใช้ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยยืนอยู่บนพื้น มองดูท่าทางของมู่หง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี “สารเลว! ยังจะยืนอยู่ทำไมอีก? รีบไปหาคนมาช่วยข้าสิ! ไปหาบิดาข้า หาพี่ชายข้า!” มู่หงเจ็บปวดมาก ด่าออกมา
สาวใช้ได้สติมาจากความสับสนรีบวิ่งออกไป ร้องตะโกน “ช่วยด้วย”
“อ๊า—–!” ภายในห้อง เสียงร้องของมู่หงยิ่งรุนแรงขึ้น
เขามองร่างกายของตนเองกำลังค่อยๆ หายไปอย่างหวาดกลัว
ไม่นาน บ่าวรับใช้ภายในจวนตระกูลมู่ก็ได้ยินเสียงพากันเข้ามา ในมือของพวกเขามีถังนํ้า สาดนํ้าเย็นใส่มู่หงไม่หยุด แต่ว่า พวกเขามองไม่เห็นเปลวไฟ จึงทำได้เพียงแต่สาดไปมั่วๆ
พญาเพลิงใช่สิ่งที่นํ้าธรรมดาจะดับได้หรือ?
ร่างกายของมู่หงแล้วก็ยังมีเตียงล้วนแต่เปียกไปหมด แต่เขาก็ยังคงเจ็บปวด สองขาค่อยๆ หายไป สองมือของเขาก็เผยกระดูกสีขาวให้เห็น…
ฉากที่ประหลาดเช่นนี้ทำให้บ่าวรับใช้ในตระกูลมู่พากันหวาดกลัว
มู่หงจ้องมองมือของตนเองที่เหลือเพียงกระดูกสีขาว สองตาเบิกกว้าง ร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
ความเจ็บปวดที่ถูกเผาทำให้เขาอยากจะสลบจนตาย แต่กลับสลบไปไม่ได้ทำได้เพียงแต่มองเห็นตัวเองค่อยๆ หายไปทีละน้อย
“หงเอ๋อร์—–!” ประมุขตระกูลมู่ที่หลังได้ยินข่าวก็รีบมา
เพิ่งเข้าไปในห้องก็มองเห็นฉากน่าหวาดกลัวนี้แล้ว
ตอนนี้นั้น มู่หงเหลือแต่ครึ่งร่างและส่วนหัว และแขนที่เผยให้เห็นถึงกระดูกสีขาวข้างหนึ่ง พยายามยื่นออกไปหาประมุขตระกูลมู่
“ท่านพ่อ—–! ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย—–!” ภายใต้ความสิ้นหวัง เขาเกิดความหวังขึ้นมา ส่งเสียงแหบร้องขอความช่วยเหลือ
แต่ว่า ประมุขตระกูลมู่ก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว ทำได้แต่มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเองถูกเปลวไฟกลืนกินหายไป ใบหน้านั้นค่อยๆ หายไปจากสายตาของตนเอง
หลังจากที่พญาเพลิงปาฮวงซูคงกลืนกินมู่หงแล้ว ผงสีดำที่มีกลิ่นเหม็นไหม้ก็ตกลงมาจากกลางอากาศ ตกลงบนเตียง
ประมุขตระกูลมู่ชะงัก ได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรงจนตะโกนก้องออกมา “หงเอ๋อร์—–!”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลมู่ มู่อี่ว์ไม่ได้รู้เลย หลังความโกรธในใจของเขาได้ระบายออกไปแล้ว ถึงได้เดินออกมาจากคุกใต้ดิน มาถึงตรงหน้าของยามเฝ้าสวนร้าง
นัยน์ตาฉายแววอำมหิต กวาดตาไปบนตัวของพวกเขาทีละคน ทำให้แต่ละคนเกิดความหวาดกลัว
“ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น? คนเป็นๆ ทั้งคนหายไปได้อย่างไร?” เสียงของมู่อี่ว์แฝงไปด้วยไอสังหาร
คนที่เฝ้ายามทุกคนล้วนแต่สั่นสะท้าน ไม่กล้าพูด
คนที่มีระดับพลังสูงที่สุด ถูกกดดันให้ก้าวออกมา เอ่ยกับมู่อี่ว์ว่า “ไม่ ไม่ทราบขอรับนายน้อย…พวกเราไม่ได้ไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว” เขาอธิบายอย่างร้อนรน
ในระหว่างที่เขากำลังเคลื่อนไหว เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่ข้อมือ
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววแข็งกร้าว เอ่ยถามว่า “มือของเจ้าเป็นอะไร?”
เขารีบอธิบาย “ไม่กี่วันก่อนในตอนที่เฝ้ายามไม่ระวังถูกงูกัด”
ถูกงูกัดงั้นหรือ?
มู่อี่ว์รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผ่านมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามียามในสวนร้างถูกงูกัด แต่ว่า เขาก็พูดไม่ออกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง มู่ยี่เพิ่งจะถูกช่วย ออกไป แผลถูกงูกัดไม่กี่วันก่อนหน้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
คิดครู่หนึ่งแล้วมู่อี่ว์ก็ละทิ้งเบาะแสนี้ไป
เขาเอ่ยอย่างโมโหว่า “จะมายืนอยู่ที่นี่ทำไมกันอีก? ออกไปหาสิ! จะพลิกเมืองหลานอูเฉิงก็ต้องหาเจ้าพิการนั่น ออกมาให้ข้าให้ได้! มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็หิ้วหัวกลับมา!”
เหล่ายามกระจายตัวไปตามคำสั่ง เพื่อรักษาชีวิต ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องหาร่องรอยของมู่ยี่มาให้ได้
มู่อี่ว์กลับมายังจวนตระกูลมู่พร้อมกับความโมโห แต่เพิ่งจะมาถึงหน้าจวน ก็มองไปเห็นผ้าขาวที่แสดงว่ามีคนตายห้อยอยู่ที่หน้าประตู
ในใจของเขาชะงักรีบพุ่งเข้าไปในประตู
ภายในบ้านล้วนแต่มีผ้าขาวห้อยอยู่เต็มไปหมด ในตอนที่เขาไปถึงห้องโถงใหญ่นั้น ก็เห็นโลงศพอันโดดเดี่ยว ภายในห้องโถง ส่วนบิดาของเขา ประมุขของตระกูลมู่ก็ ดูเหมือนจะแก่ไปเป็นสิบปี นั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก อยู่บนตำแหน่งของประมุข
“ท่านพ่อ—–!” มู่อี่ว์ร้องเรียก
เขาเพิ่งจะจากไปไม่นาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ประมุขตระกูลมู่เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาดูเหม่อลอยมอง ไปยังบุตรชายคนโตของตนเอง ทันใดนั้นก็ล้มลง ร้องไห้ออกมา “อี่ว่เอ๋อร์—–! บาปกรรมมาแล้ว! บาปกรรมของพวกเรามาแล้ว! ฆ่าล้างตระกูลเดียวกัน ฆ่าล้างสายเลือดหลัก ตอนนี้บาปกรรมมาแล้ว เริ่มจากหงเอ๋อร์ไม่ช้าก็ต้องมาถึงเจ้ากับข้าแล้ว!”
มู่อี่ว์พุ่งเข้าไป พยุงร่างที่สั่นเทาของบิดาขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“น้องชายของเจ้า…หงเอ๋อร์เขา…” ประมุขตระกูลมู่ไม่ใช่ชายหนุ่มที่กล้าบ้าบิ่นฆ่าคนได้เช่นเดิมมานานมากแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่ชายแก่น่าสงสารที่เพิ่งจะสูญเสียบุตรชายสุดที่รัก เขายกมือที่สั่นๆ ชี้ไปที่โลงศพ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะอธิบายอะไรให้บุตรชายคนโตฟัง
มู่อี่ว์พยุงเขาไปนั่งแล้วจากนั้นก็ย้อนกลับมาที่ข้างโลงศพ เห็นของที่วางอยู่ในโลงศพ
นั้นเป็นเสื้อผ้าของมู่หง และก็มีถุงเล็กๆ ใบหนึ่งอยู่บนเสื้อ
เขาไม่เข้าใจ มองไปที่บิดาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา มู่อี่ว์คว้าจับคอเสื้อของเขา ยกเขาขึ้นมาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
บ่าวรับใช้คนนั้น เพิ่งจะมองเห็นเหตุการณ์มาด้วยตาตัวเอง ใบหน้าเกิดความหวาดกลัว พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างกะท่อนกะแท่น รวมถึงเรื่องการตายอย่างประหลาดของมู่หง
รอจนเขาพูดจบ สีหน้าของมู่อี่ว์ก็ได้เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูจนถึงขีดสุด
นัยน์ตาของเขากวาดไปบนถุงเล็กๆ บนเสื้อผ้า กัดฟันเอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่า ในถุงใบนั้นก็คือสิ่งที่น้องชายของข้าเหลือเอาไว้งั้นหรือ?”
“ขอรับ…ขอรับ ขอรับ…นายน้อย…” บ่าวรับใช้เอ่ย
มู่อี่ว์โมโหมาก โยนเขาออกไป
บ่าวรับใช้ถูกโยนไปหลัง ชนเข้ากับเสาประตูและได้ยินเสียง ‘แคร๊ก’ ดังขึ้น กระดูกสันหลังหักตายไป ปากของเขากระอักเลือดออกมา สองตาเบิกกว้าง เกรง ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมอยู่ดีๆ ตัวเองถึงตายได้
มู่อี่ว่ไม่ได้สนใจในความเป็นความตายของบ่าวรับใช้ เพียงแต่เดินโงนเงนไปยืนอยู่ด้านหน้าของโลงศพ สองมือจับขอบของโลงศพ เส้นเลือดที่หลังมือนูนขึ้นมา ข้อต่อกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น
อะไรที่เรียกว่าบาปกรรม! เขาไม่เชื่อในเรื่องบาปกรรม!
จะต้องมีคนจ้องจะเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน! กำลังต่อกรกับบิดาและเขา!
“เป็นใคร! เป็นใครลอบทำร้ายอยู่เบื้องหลัง!” มู่อี่ว์เงยหน้าตะโกนออกมา
เริ่มจากช่วยมู่ยี่ออกไป จากนั้นก็ลงมือฆ่าน้องชายของเขาอย่างแปลกประหลาด จากนั้น ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก?
มู่อี่ว์หันกลับมา นัยน์ตาดูอำมหิตกวาดไปมองเหล่าบ่าวรับใช้ที่ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ยังมีคนในตระกูลคนอื่นๆ ที่ได้ข่าวและรีบมา ตอนนี้ในสายตาของเขา คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่น่าสงสัย ดูเหมือนว่าในใจของทุกๆ คนล้วนแต่มีความคิดไม่ซื่อ
ผู้ร้ายที่ช่อนตัวอยู่ในที่ลับ ต้องอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้อย่างแน่นอน!
“ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ข้าจะต้องหาเจ้าออกมาและสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้ได้!” มู่อี่ว์จ้องมองไปยังคนเหล่านั้นอย่างแค้นเคือง ตะคอกออกมา
จวนตระกูลมู่วุ่นวายยุ่งเหยิงแล้ว ส่วนในตอนนี้ เสียงฝีเท้าที่ดูร้อนรนก็ปรากฏขึ้นรอบจวนตระกูลมู่
กลุ่มคนหลายพันคน ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูจวนตระกูลมู่ ที่นำมานั้นคือประมุขตระกูลเฉาและประมุขตระกูลลี่ว์
“ล้อมจวนตระกูลมู่เอาไว้!”
“รีบล้อมเอาไว้!”
ประมุขทั้งสองตระกูลสั่งขึ้นมาพร้อมกัน กลุ่มคนพันกว่าคนรีบกระจายตัวอย่างรวดเร็ว ล้อมทางเข้าออกของจวนตระกูลมู่เอาไว้
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบวิ่งเข้าไปในจวน รายงานทุกอย่างแก่ประมุขตระกูล
ส่วนประมุขตระกูลเฉาและประมุขตระกูลลี่ว์ เมื่อมองเห็นผ้าขาวสำหรับงานศพแขวนอยู่บนประตูจวนตระกูลมู่ก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน
“น้องลี่ว์คงไม่ใช่ว่าเจ้าเฒ่าตระกูลมู่คนนั้นตายแล้วหรอกนะ?” ประมุขตระกูลเฉาหันกายไปหาประมุขตระกูลลี่ว่ที่อยู่ข้างๆ เดาออกมามั่วๆ ในนํ้าเสียงของเขามีแต่ ความยินดีในความหายนะ ไม่ได้มีความเห็นใจเลยสักนิด
ประมุขตระกูลลี่ว์หัวเราะเย็นออกมา “ชิ ถึงจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ต้องเอาของของพวกเราที่แอบงุบงิบเอาไปกลับคืนออกมา!”
คำพูดของเขาทำให้นัยน์ตาของประมุขตระกูลเฉาฉายแววแข็งกร้าว เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ไม่ผิด! ตระกูลมู่นี่จะรังแกคนเกินไปแล้ว!”
คำพูดของทั้งสองคนหลุดออกไป มู่อี่ว์ก็นำคนในจวนเดินออกมา ยืนอยู่นอกประตูจวน
ใบหน้าของเขาดูเย็นชา กวาดตามองตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์สองตระกูล เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่แฝงไอสังหารว่า “ประมุขทั้งสองมาล้อมจวนตระกูลมู่ของข้าอย่างอุกอาจ เช่นนี้คือคิดจะส่งสาส์นท้ารบงั้นหรือ?”
บนใบหน้าของประมุขตระกูลลี่ว์ฉายแววป่าเถื่อนชี้ไปที่มู่อี่ว์แล้วเอ่ยว่า “อย่าคิดจะหลีกหนีความผิด! ข้าขอถามเจ้า เรื่องของเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง พวกเราทั้งสามตระกูลตกลงกันไว้ดีแล้วว่าในระหว่างที่ยังตกลงเรื่องผลประโยชน์กันไม่ได้ใครก็ไม่อาจแตะต้อง?”
เมื่อได้ยินว่าทั้งสองตระกูลมาด้วยเรื่องของเหมืองศิลาวิญญาณ มือที่กำแน่นและไพล่อยู่ด้านหลังของมู่อี่ว์ก็คลายออก
เขาเอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่ผิด”
“ดี! เจ้ายอมรับก็ดีแล้ว!” ประมุขตระกูลลิ่ว์พยักหน้า มองประมุขตระกูลเฉา
ประมุขตระกูลเฉายิ้มเย็นออกมา “ในเมื่อทั้งสามตระกูลได้ตกลงร่วมกันแล้ว เช่นนั้นเหตุใดตระกูลมู่ของเจ้าถึงได้กลับคำ ทำเรื่องเช่นการลอบขโมยขึ้นมาได้? พวกเจ้าทำเช่นนี้คือไม่เห็นพวกเราตระกูลเฉาและลี่ว์อยู่ในสายตา!”
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววสงสัย เขาเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ประมุขเฉาพูดออกมาเช่นนี้นั้นหมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่เข้าใจ”
“อย่ามาเสแสร้งไม่รู้เรื่องที่นี่!” ประมุขตระกูลเฉาด่าว่า
ประมุขตระกูลลี่ว์เอ่ยอย่างดูแคลนขึ้น “หรือว่าตระกูลมู่ คิดจะแกล้งโง่ไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ผลักความรับผิดชอบทั้งหมด ลอบขโมยศิลาวิญญาณ?”
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแวววาววาบ นํ้าเสียงดูดุดันขึ้น “ข้าขอพูดอีกครั้ง ตระกูลมู่มีงานศพ หากว่ามาเพื่อแสดงความเสียใจ ข้าก็ยินดีต้อนรับ แต่หากจะมาท้าทาย ตระกูลมู่ของข้าก็ไม่ขอยอมเช่นกัน ที่พวกเจ้าพูดมานั้นข้าไม่เข้าใจ และก็ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ พวกเจ้ามาด้วยเรื่องอะไรกัน”
คำพูดของมู่อี่ว์ทำให้ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์ลอบส่งสายตามองกัน
ประมุขตระกูลลี่ว์เอ่ยด้วยท่าทางที่ดูถูกว่า “เอ? เป็นใครตายงั้นหรือ?”
ท่าทางนั้นของเขาทำให้ในใจของมู่อี่ว์โมโหขึ้นมา แต่ก็ยังสามารถข่มไว้ได้ กัดฟันพูดออกมา “เป็นน้องชายของข้า มู่หง”
เมื่อได้ยินว่าคนที่ตายนั้นคือมู่หง ไม่ใช่ประมุขตระกูลมู่ ประมุขตระกูลลี่ว์ก็ชะงัก เอ่ยด่าว่า “อะไรกัน! ก็แค่คนไม่เอาไหนคนหนึ่งตายก็เท่านั้น ให้ข้าแสดงความเสียใจ ด้วยเหตุอันใด! ถึงแม้ว่าจะตายไปมู่หงร้อยคนก็เทียบไม่ได้กับเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางแห่งหนึ่ง!”
“ประมุขลี่ว์ระวังคำพูดด้วย!” มู่อี่ว์เอ่ยด้วยสายตาที่ดูอำมหิต
แต่ว่า ประมุขตระกูลลี่ว์ก็ไม่ได้สนใจจะไว้หน้า ตะโกนเอ่ยว่า “ระวังคำพูดทำไมกัน! หากว่าวันนี้ที่ตายนั้นเป็นบิดาของเจ้า ไม่แน่ว่าข้าก็ยังคงจะเคารพจุดธูปให้บ้าง แต่น่าเสียดายคนที่ตายนั้นเป็นเพียงแค่คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง แม้แต่มองไปข้าก็ยังคิดว่าไม่คู่ควร คิดจะเอามู่หงมาเป็นตัวล่องั้นหรือ? ข้าว่าหากพวกเจ้าตระกูลมู่ไม่คิดจะก่อสงครามระหว่างสามตระกูล ก็ต้องอธิบายเรื่อง
เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางออกมาให้ชัดเจนก่อน”
สีหน้าของมู่อี่ว์ดำทะมึนอย่างน่ากลัว พยายามกดความโมโหเอ่ยว่า “เรื่องตายเป็นเรื่องใหญ่ ประมุขตระกูลลี่ว์โปรดระวังวาจาด้วย ยังมีอีกอย่าง เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เรื่องคนตายเป็นสำคัญงั้นหรือ? ฮ่าๆๆๆๆ—–!”
ประมุขตระกูลลี่ว์หัวเราะอย่างดูแคลนออกมา หัวเราะแล้วเขาก็ ‘ถุย’ ออกมา เอ่ยกับมู่อี่ว์ว่า “เจ้าคิดว่าครอบครัวของพวกเจ้าทั้งครอบครัวคืออะไรกัน? เป็นเพียงแค่เดรัจฉานที่ฆ่าล้างเจ้านายก็เท่านั้น คนไม่เอาไหนแค่คนเดียวตายไปก็เป็นเพียงแค่บาปกรรมของพวกเจ้า ส่วนพวกเจ้ากลับคิดวางแผนถ่วงเวลา จากนั้นก็ให้พวก คนตระกูลมู่ที่เฝ้าเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางขโมยศิลาวิญญาณไป นี่ถึงเป็นความผิดชั่วช้าที่แท้จริง หากเรื่องนี้เจ้าไม่อธิบายมาให้ชัดเจน พวกเจ้าตระกูลมู่ก็รอถูกล้างตระกูลได้เลย!”
เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางถูกขโมยงั้นหรือ?
นัยน์ตาของมู่อี่ว์หดตัวลง “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางหมายถึงสิ่งใด? นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญของตระกูลไม่อาจให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นได้
ตอนนี้ จากปากของประมุขตระกูลลี่ว์กลับพูดออกมาว่า เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางถูกขโมย! อีกทั้งยังเป็นคนเฝ้าของตระกูลมู่ขโมยไปเองงั้นหรือ?
“เป็นไปไม่ได้!” มู่อี่ว์ตอบกลับ
ประมุขตระกูลเฉายิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าไม่เชื่อก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องจริงเป็นเช่นนี้วันนี้คนของพวกเราสองตระกูลมารายงาน คนของตระกูลมู่ที่รับผิดชอบเฝ้า เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางทุกคนล้วนหายตัวไปหมด รอพวกเขาเข้าไปหาในเหมืองก็พบว่าทั้งเหมืองนั้นเหลือศิลาวิญญาณเพียงแค่นิดเดียว ความวุ่นวายด้าน ใน เห็นได้ชัดว่ามีคนฉวยโอกาสขโมยศิลาวิญญาณไป รีบพูดมา! ตระกูลมู่ของพวกเจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่? เอาศิลาวิญญาณไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
“ประมุขเฉา ไม่มีหลักฐาน อย่าพูดจาเหลวไหล!” ในที่สุดมู่อี่ว์ก็รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์ล้วนแต่ยิ้มอย่างเย็นชาออกมา นัยน์ตาเผยความคิดที่แน่ใจแล้วว่าตระกูลมู่เป็นขโมย
“หลักฐานงั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าก็อธิบายมาทีว่าเหตุใด ศิลาวิญญาณถึงได้หายไปจากเหมืองจนหมดได้? แล้วเหตุใดคนที่หายไปกลับมีแต่เพียงคนของพวกเจ้าตระกูลมู่?” ประมุขตระกูลเฉาตะคอกเอ่ยออกมา
“เป็นไปไม่ได้! ข้าจะไปดูที่เหมือง!” มู่อี่ว์ตะโกนออกมา เขาหันกายไปสั่งให้บ่าวรับใช้ไปเตรียมสัตว์อสูรวิญญาณของเขามาและขึ้นนั่ง รวมทั้งเลือกคนคุ้มกัน ของตระกูลมาเตรียมไปเหมืองศิลาวิญญาณ
ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์มองตากัน ตัดสินใจจะไปกับมู่อี่ว์ป้องกันไม่ให้เขาทำเรื่องอะไรอื่น
พวกเขาไปแล้ว แต่คนที่นำมาพันกว่าคนกลับยังอยู่นอกจวนตระกูลมู่ ยังคงล้อมจวนตระกูลมู่ไว้ สามตระกูลนำกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเหมืองศิลาวิญญาณนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควัน
ฝุ่นควันจากการวิ่งของสัตว์อสูรวิญญาณ ปกคลุมไปทั่วทั้งถนนเมืองหลานอูเฉิง
จนฝุ่นควันกระจายหายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือชาวบ้านที่ยืนมึนงงอยู่ที่เดิม
หานฉายไฉ่ยืนอยู่บนหอสรรพสิ่ง มองไปยังคนของสามตระกูลที่รีบร้อนออกจากเมืองแล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย พึมพำพูดกับตัวเองว่า “ถูกนางวางแผนเล่นงานถือว่าเป็นบุญของพวกเจ้าแล้ว”
ในเวลานี้ ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลมู่ แล้วก็ยังมีเรื่องของเหมืองศิลาวิญญาณ
หานฉายไฉ่สั่งให้เขาถอยไปอย่างเกียจคร้าน รอยยิ้มที่มุมปากชัดเจนยิ่งขึ้น “ก่อนจะไปยังเล่นงานตระกูลมู่ไว้เช่นนี้ ถึงตัวคนไม่อยู่ก็ยังสามารถกวนนํ้าให้ขุ่น ควบคุมเมฆลมในเมืองหลานอูเฉิงได้อยู่หมัด!”
นัยน์ตาของเขามองออกไปดูทิวทัศน์ของเมืองหลานอูเฉิงนอกหน้าต่าง ยามฟ้าสว่าง มู่ชิงเกอยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย ตอนนี้ นางจากไปแล้ว แต่ ‘หมาก’ ที่วางเอาไว้กลับทำลายหน้าฉากที่ดูสงบของเมืองหลานอูเฉิง
“ความวุ่นวายในเมืองหลานอูเฉิง เกรงว่าคงจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” หานฉายไฉ่พูดกับตัวเอง
ตระกูลมู่ เฉา ลี่ว์ สามกลุ่มรีบร้อนไปยังเหมืองศิลาวิญญาณ
มู่อี่ว์พลิกตัวลงมาจากสัตว์อสูรวิญญาณ พุ่งเข้าไปในเหมือง ในทันที
ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์สบตากันแวบหนึ่ง แล้วตามไป หลังจากได้รับรายงานแล้ว พวกเขาก็นำคนบุกไปในตระกูลมู่เลย ไม่ได้มาเห็นด้วยตนเอง
เพียงเข้าไปในเหมือง ดินฝุ่นกระจัดกระจาย ทั้งยังมีความเละเทะในนั้นล้วนแต่ทำให้ในใจของพวกเขาหนักอึ้ง
ยิ่งเดินตามไปลึกเข้า ผนังด้านในก็มีร่องรอยของการขุด ของที่เคยอยู่ภายในได้ถูกคนเอาไปไม่เหลืออะไรไว้เลย
ร่องรอยการขุดนี้เคยมีอะไรอยู่นั้นมู่อี่ว์รู้ดี ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์ก็รู้ดีเช่นกัน
สีหน้าของมู่อี่ว์ค่อยๆ ดำทะมึนลง เขาวางมือลงบนร่องรอยขุดเหล่านั้น ดูเหมือนจะยังมีกลิ่นอายของพลังจิตหลงเหลืออยู่
เนื้อชิ้นมันที่มาถึงริมฝีปากแล้วกลับลอยหายไป ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์ยิ่งมองแล้วก็ยิ่งโมโห พวกเขาจ้องมองมู่อี่ว์เอ่ยอย่างโมโหว่า “ชิ มู่อี่ว์เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ความคิดของมู่อี่ว์ลอยกลับคืนมา คนที่รับผิดชอบเฝ้าที่นี่ ก็คือท่านลุงรองของเขา เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าท่านลุงรองของตนเองจะหักหลังตระกูลมู่!
เขาหันกายกลับไป เผชิญหน้ากับคำถามของตระกูลเฉาและลี่ว์ เอ่ยด้วยสีหน้าที่ดำทะมึนว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่!”
“ไม่เกี่ยวข้องงั้นหรือ? เช่นนั้นเหตุใดที่หายไปจึงเป็นคนของเจ้าตระกูลมู่ล่ะ?” ประมุขตระกูลลี่ว์เอ่ยเยาะเย้ย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาหายไปแต่ไม่ใช่ถูกฆ่าตาย?” มู่อี่ว์เอ่ยอย่างแค้นเคือง
เขามองไปที่ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “ข้าก็สามารถพูดได้ว่าเป็นพวกเจ้าร่วมมือกันวางแผนฆ่าคนของตระกูลมู่ จากนั้นก็ฮุบเอาเหมืองศิลา วิญญาณ จากนั้นก็ผลักไสความผิดมาให้กับตระกูลมู่ของข้า!”
ประมุขตระกูลลี่ว์เบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววเกรี้ยวโกรธ
ประมุขตระกูลเฉายิ้มเย็นเอ่ยว่า “นายน้อยมู่ช่างมีความสามารถจริงๆ ศิษย์เหนือลํ้าหน้าอาจารย์เพียงแต่น่าเสียดาย อาศัยเพียงแต่คำพูดเพียงฝ่ายเดียวของเจ้านั้น ไม่มีใครจะไปเชื่อ ตอนนี้ความน่าสงสัยของตระกูลมู่นั้นมีมากที่สุด หากไม่ส่งตัวมู่กังออกมาก็มาเจอกันในสนามรบ”
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววลึกลับยากเข้าใจ เขาก็คิดไปถึงท่านลุงรอง แต่ว่าเขาจะไปหาได้ที่ไหน?
ภายในเมืองหลานอูเฉิงยังจะมีใครที่สามารถฆ่าท่านลุงรองที่อยู่ระดับพลังสีเงินชั้นสองได้อย่างไร้ร่องรอยอีก? อีกอย่างคนของตระกูลมู่คนอื่นๆ หายไปไหนกัน? หรือว่าล้วนแต่ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว?
ความเป็นไปได้นี้ อย่าพูดว่าคนอื่นไม่เชื่อเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“หารอบๆ ดูก่อนว่ามีร่องรอยการต่อสู้หรือไม่” มู่อี่ว์เอ่ยกับประมุขทั้งสองตระกูลด้วยนํ้าเสียงขึงขัง
ความคิดของเขานั้นชัดเจน หากว่ามีร่องรอยการต่อสู้ เขาก็สามารถสรุปได้ว่า ในนี้เคยเกิดการต่อสู้ขึ้น มีฐานกำลังอื่นโผล่ออกมา เช่นนี้ความสงสัยในตัวตระกูลมู่ก็จะถูกลบล้างไป แต่ว่า พวกเขานำคนออกไปค้นหารอบบริเวณ ก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใดๆ เลย และก็ไม่มีร่องรอยของคนนอกเข้ามา
กลับมาถึงที่เดิม สีหน้าของมู่อี่ว์ได้ดำทะมึนดุจดั่งเหล็กไปแล้ว
ประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์สองตระกูล มองเห็นมู่อี่ว์ในตอนนี้ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา
“มู่อี่ว์เจ้ายอมถอดใจเถอะ ข้าดูแล้วคงเป็นมู่กังเฝ้าเอง ขโมยเอง นำคนของตระกูลมู่เอาใจออกห่าง ใช้โอกาสที่ได้เฝ้ายาม ขโมยเหมืองศิลาวิญญาณไปอยู่ที่อื่น อีกอย่าง เรื่องทรยศเจ้านายเช่นนี้ ตระกูลมู่ของพวกเจ้าก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรก” น้ำเสียงของประมุขตระกูลลี่ว์ฉายแววดูแคลน
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววอำมหิตมองมาแต่ก็ถูกประมุขตระกูลลี่ว์ละเลยทำเป็นมองไม่เห็น
ประมุขตระกูลเฉาก้าวออกมา ท่าทางเย็นชาเอ่ยว่า “เรื่องนี้ ตระกูลมู่ต้องคิดบัญชีให้กับพวกเรา ถ้าหากว่าไม่อยากจะต่อกรกับพวกเราทั้งสองตระกูลพร้อมกัน เช่น นั้นก็ต้องชดเชยในสิ่งที่พวกเราสองตระกูลเสียไป เหมืองศิลาวิญญาณที่นี่ก็อิงตามที่แบ่งเป็นสามส่วน เจ้าเพียงแต่ต้องชดเชยให้พวกเราส่วนนั้นก็พอ บัญชีในเรื่องนี้ก็จะถูกยกเลิกไป”
“ใช่! เพียงแค่เจ้าชดเชย เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไป” ประมุขตระกูลลี่ว์เอ่ยตาม
ชดเชยสิ่งที่สูญเสียงั้นหรือ? เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางแห่งนี้หากว่าอิงตามนั้น ชดเชยเลย ถึงแม้ว่าตระกูลมู่จะขายทรัพย์สินทุกอย่างก็ยังไม่พอชดใช้!
สีหน้าของมู่อี่ว์ดำทะมึนเอ่ยว่า “พวกเจ้าช่างคำนวณได้ดีจริงๆ!”
“อย่างไร? ไม่ยินยอมงั้นหรือ” ประมุขตระกูลเฉาเลิกคิ้วขึ้นสูง เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “สรุปแล้วจะให้เวลาเจ้าไปคิดสามวัน ถ้าหากว่าเจ้ายินยอมชดเชยสิ่งที่พวกเราสูญเสียไป ไม่ว่าเจ้าจะใช้ศิลาวิญญาณหรือว่ายาโอสถหรือว่าเคล็ดวิชา ร้านค้าหรืออะไรอื่น พวกเราก็รับได้ทั้งนั้น แต่หากหลังจากสามวันแล้วเจ้ายังไม่ยินยอม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไร้ความปรานีก็แล้วกัน อย่าคิดว่าตระกูลพวกเจ้ามีคนระดับพลังสีเงินชั้นสามคนหนึ่ง แล้วจะสามารถอหังการในเมืองหลานอูเฉิงได้ ชิ!”
ประมุขตระกูลลี่ว์พูดต่อว่า “เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว รวมกำลังของพวกเราสองตระกูลต่อกรกับเจ้าตระกูลมู่ ตระกูลเดียว เด็กสามขวบก็ยังรู้เลยว่าแพ้ชนะจะเป็น อย่างไร ทางที่ดีก็เจ้าอย่าได้ดื้อดึงไม่ยอมตื่นเลย!”
พูดแล้วประมุขตระกูลเฉาและลี่ว์สองตระกูลก็หันกายจากไป มู่อี่ว์ยืนอยู่ที่เดิม ในใจเกรี้ยวโกรธ มองเงาแผ่นหลังของทั้งสองคนจากไป เขาแค้นจนอยากจะแทงดาบไป!
‘กรรโชกทรัพย์! นี่เป็นการกรรโชกทรัพย์ชัดๆ!’ ในใจของมู่อี่ว์คำรามด้วยความโกรธ ถ้าหากว่าตระกูลมู่ชดเชยตามคำที่พวกเขาพูด เช่นนั้นหลังจากชดเชยแล้ว ตระกูลมู่ก็คงจบสิ้นเช่นกัน
พวกเขาคิดจะไม่เสียอะไรเลยกวาดล้างทำลายตระกูลมู่งั้นหรือ?
นี่ไม่อาจจะเป็นไปได้!
นัยน์ตาของม่อี่ว์ฉายแววแค้นเคือง พลิกตัวขึ้นไปบนหลังสัตว์อสูรวิญญาณ พาคนกลับไปยังตระกูล
เมื่อกลับไปถึงตระกูล เขาก็รีบส่งคนออกไปตามหาร่องรอยของมู่กังทันที และก็สั่งให้ตระกูลมู่เข้าสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับสงคราม!
ในเมื่อจะอย่างไรก็ต้องตาย เช่นนั้นเขาก็เลือกต่อสู้วัดกันไปเลยดีกว่า หากว่าโชคดีก็ยังสามารถทำให้อีกฝ่ายเสียหายได้!
“ไป ไปที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อ ไม่ว่าจะใช้ราคาสูงแค่ไหน ก็ต้องเอากองกำลังหลิวเค่อระดับปฐพีหรือระดับทมิฬมาให้ข้าให้ได้” เพิ่งเข้าไปในประตู มู่อี่ว์ก็ออกคำสั่งทันที
อาศัยเพียงแต่กำลังของตระกูลเขาแค่ตระกูลเดียว แน่นอนว่าไม่อาจจะต่อต้านตระกูลเฉาและลี่ว์ทั้งสองตระกูลได้ แต่ว่าไม่มีใครบอกว่าไม่สามารถเชิญคนนอก มาช่วยได้!
กลุ่มของพวกหลิวเค่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!
นัยน์ตาของมู่อี่ว์ฉายแววเยียบเย็นอำมหิต
“นายน้อย ระยะนี้ภายในกลุ่มของพวกหลิวเค่อมีกองกำลังที่เรียกว่ากองกำลังเขี้ยวมังกรโผล่ขึ้นมา เวลาสั้นๆ แค่สองเดือนกว่า พวกเขาก็สามารถเลื่อนระดับจากไร้อันดับเป็นระดับปฐพีได้ ทุกภารกิจที่รับก็ไม่เคยมีล้มเหลว พวกเราควรเชิญพวกเขาหรือไม่?” คนสนิทพยายามเอ่ยถาม
นัยน์ตาของมู่อี่ว์เปล่งประกาย “เชิญพวกเขานั่นแหละ! ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ก็ต้องเชิญพวกเขามาให้ได้!”
คนสนิทเอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นกองกำลังอื่นๆ…”
“เชิญ! สามารถหาได้เยอะเท่าไหร่ก็หาเท่านั้น บอกพวกเขาว่า ขอเพียงสามารถช่วยตระกูลมู่ผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ นอกจากรางวัลที่ตกลงว่าจะให้แล้ว ข้าก็ยังมีรางวัลพิเศษให้อีก!”
ทันใดนั้นมู่อี่ว์ก็รู้สึกว่าหากมีหลิวเค่อเข้าร่วม บางทีความเสี่ยงในครั้งนี้ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นโอกาส ไม่แน่ว่าต่อไป เมืองหลานอูเฉิงอาจจะเหลือแค่ตระกูลมู่เพียงตระกูลเดียว
คนสนิทถอยออกไปทันที มุ่งไปยังกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ เพื่อจัดการเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เมืองหลานอูเฉิงลอบเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น สงครามใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนดูเหมือนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หานฉายไฉ่ไม่ได้ออกไปจากเมืองหลานอูเฉิง แต่กลับอยู่ภายในหอสรรพสิ่งต่อเพื่อคอยดูละคร ทุกๆ วันล้วนแต่มีลูกน้องมารายงานสถานการณ์
หลังจากสามวันผ่านไป เป็นวันนัดของตระกูลเฉาและลี่ว์
หานฉายไฉ่มาถึงห้องที่มู่ยี่พักรักษาตัวอยู่ นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เอ่ยกับเขาที่เงียบอยู่ว่า “บางทีศัตรูของเจ้าคงรอไม่ถึงวันที่เจ้าจะไปลงมือเองแล้ว ถึงแม้ว่าไม่สามารถลงมือจัดการกับศัตรูเองได้ แต่ก็สามารถอยู่ข้างๆ รอดูศัตรูค่อยๆ ตายไปก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
มู่ยี่เงยหน้าขึ้นมามองไปที่เขา นัยน์ตาฉายแววลึกลํ้า ดุจดังบ่อนำลึกสองบ่อ
ไม่กี่วันมานี้ สีหน้าของมู่ยี่ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว ผิวหนังก็เริ่มมีสีเลือดขึ้นบ้าง
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ยี่ถามออกไปเสียงแหบ
เขาถูกจัดพักไว้ที่นี่เพื่อรักษาตัว จึงไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยกับเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่คนๆ นั้นก่อนจะจากไปก็ส่งมอบของขวัญเอาไว้ให้ตระกูลมู่อย่างหนึ่ง”
ทันใดนั้น เขาก็เกิดความสนใจ เอ่ยถามมู่ยี่ว่า “เจ้าหวังว่าตระกูลมู่จะล่มสลายในครั้งนี้หรือว่าฆ่าพวกหัวหน้ากลุ่มทรยศอย่างมู่อี่ว์ให้ตายก็พอ? ในเมื่อตอนนี้คนของตระกูลมู่สายหลักนอกจากเจ้าแล้วก็ตายไปหมดแล้ว”
นัยน์ตาของมู่ยี่ฉายแวววาววาบ เม้มริมฝีปากนิ่งไป ผ่านไปนาน เขาถึงเอ่ยว่า “คนที่สมควรตายในตระกูลมู่ก็คือสองพ่อลูกมู่อี่ว์ คนอื่นๆ นอกนั้นล้วนแต่บริสุทธิ์” เมื่อได้ยินคำตอบของเขา หานฉายไฉ่ก็ชะงัก ทันใดนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเยาะอย่างดูแคลนออกมา เขายืนขึ้น เอ่ยกับมู่ยี่ว่า “นิสัยนี้ของเจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่จริงๆ ดูแล้วที่เขาพูดนั้นไม่ผิด หลินชวนถึงจะเป็นสถานที่ที่เจ้าสมควรไป ในแคว้นลี่มีฮ่องเต้หญิงฟ่งอวี๋เฟยคอยคุ้มครอง เจ้าถึงจะสามารถใช้ชีวิตที่สงบสุขได้”
พูดจบแล้ว เขาก็จากไป
นัยน์ตาของมู่ยี่ฉายแววขัดขืนออกมาแวบหนึ่ง
‘ฮ่องเต้หญิง! นางถึงกับเป็นฮ่องเต้หญิงแล้วงั้นหรือ?’ ในใจของมู่ยี่เกิดความรู้สึกว่าตนเองตํ่าต้อย
รถลากสัตว์อสูรวิญญาณที่ดูไม่โดดเด่นคันหนึ่ง ก็ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองจินไห่เมืองหลักของเขตภาคใต้
ด้านหน้า ในสุดสายตา เริ่มเผยรูปร่างของเมืองใหญ่ออกมาแล้ว ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงทิวทัศน์ที่งดงามในเมือง
ที่ขับรถนั้นเป็นชายหนุ่มสองคน จะพูดให้ชัดเจนก็คือคนขับรถนั้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อและดูดี มุมปากของเขามีรอยยิ้มบางๆ ทำให้คนรู้สึกอบอุ่น
มือของเขารั้งบังเหียนแล้วก็ยังมีแส้ยาวบังคับรถลากสัตว์อสูรวิญญาณอย่างคุ้นเคย
ที่นั่งอยู่ข้างเขาก็คือชายหนุ่มที่งดงามดุจดั่งภาพวาดในชุดสีม่วง หว่างคิ้วของเขามีจุดชาดสีแดงเหมือนเปลวไฟ เขาพิงกับเสารถอย่างเกียจคร้าน มองไปยังชายหนุ่มที่กำลังบังคับรถลาก หาวหวอดไม่หยุด ภายในห้องโดยสารที่ปิดสนิท มีคนนั่งอยู่ห้าคน นอกจากคนเจ้าเสน่ห์ที่นอนอย่างเกียจคร้านสวมชุดสีแดงในรถแล้ว ที่เหลือล้วนแต่เป็นหญิงสาวหน้าตางดงามที่งดงามไปคนละแบบ
‘ชาย’ ที่นอนหลับตาปรือนั้น พิงอยู่บนตักของหญิงที่อยู่ด้านหลัง ส่วนหญิงคนนั้นก็ใช้มือนวดที่ขมับของเขาเบาๆ
ที่อยู่ข้างกายเขา ยังมีหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดสีขาว ใบหน้างดงาม เอวอ่อนดุจงู นางก็นั่งอย่างเกียจคร้าน คอยป้อนผลไม้สดให้แก่ ‘ชาย’ ที่หลับตาอยู่ และตัวเองก็ ทานไปด้วย
นอกจากผู้หญิงสองคนแล้ว ที่เหลือก็ล้วนแต่นั่งอย่างเรียบร้อย
คนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา ใบหน้าสวยงาม ท่าทางดุจดังนางเซียนบนสวรรค์นางนั่งเงียบอยู่ในรถ ดวงตามองออกไปยังทิศทางอื่น ดวงตาทั้งคู่ที่ดูสดใสนั้นไม่รู้ว่า กำลังคิดอะไรอยู่
หญิงสาวคนสุดท้าย มองหนังสือรายงานข่าวในมือ หลังจากอ่านแล้วก็เอ่ยว่า “คุณชาย พวกมั่วหยางส่งข่าวมา ว่าระบบสืบข่าวขององครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นได้วางรากฐานเสร็จแล้ว ยังมีอีกเรื่องคือก่อนหน้านี้ครึ่งเดือน พว เขาได้รับคำเชิญจากตระกูลมู่แห่งเมืองหลานอูเฉิง ขอให้เขี้ยวมังกรลงมือคุ้มครองตระกูลมู่ แต่ทว่าพวกเขาปฏิเสธไปแล้ว ดูจากรายงานแล้ว ภายในเมืองหลานอูเฉิงในตอนนี้วุ่นวายมาก กำลังอยู่ในการทำสงครามระหว่างสามตระกูล”
มู่ชิงเกอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เผยนัยน์ตาที่ดูสดใสออกมา
หลังจากได้ยินที่โย่วเหอเอ่ย นางก็ส่ายหน้าอย่างเสียดายออกมา “มั่วหยางนี้เป็นผู้ช่วยที่ดีในการต่อสู้ แต่พอมาเรื่องการค้านี้กลับอ่อนด้อยนัก โอกาสดีขนาดนี้ ยังพลาดไปได้? ให้กำไรตระกูลมู่จริงๆ!”
โย่วเหอวางรายงานข่าวในมือลงยิ้มและเอ่ยว่า “เช่นนั้น ไม่สู้คุณชายส่งข้าไปในองครักษ์เขี้ยวมังกรช่วยเหลือพวกเขาสักหน่อยเป็นอย่างไร?”
“เจ้าอยากจะไปอยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเหลือบตามองโย่วเหอ
โย่วเหอพยักหน้า “บ่าวคิดว่าอยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรอาจจะสามารถทำอะไรมากขึ้นบ้าง ข้างกายของคุณชายมีฮวาเยวี่ยและแม่นางเสวี่ยหยาอยู่คอยรับใช้ก็เพียงพอแล้ว”
มู่ชิงเกอมองนาง เห็นหว่างคิ้วของนางเผยให้เห็นถึงความจริงจัง จึงเอ่ยว่า “ดี เช่นนั้นรอให้จิงไห่ทะลวงสู่ระดับสีเทาได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองก็ไปหาองครักษ์เขี้ยวมังกรด้วยกัน”
“ขอบคุณคุณชายที่ส่งเสริม” โย่วเหอเอ่ยอย่างดีใจ
ฮวาเยวี่ยถอนหายใจอย่างอิจฉา “โย่วเหอเจ้าช่างเคลื่อนไหวเร็วยิ่งนัก เอ่ยปากก่อนไปก้าวหนึ่ง ข้าจึงไม่อาจจะไปจากคุณชายได้แล้ว”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น จิ้มนิ้วมือไปที่เอวของนาง ทำให้นางจั๊กจี้ส่งเสียงร้องออกมา
“อย่างไรกัน? พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่ไม่อยากจะรับใช้อยู่ข้างกายข้าเลยงั้นหรือ?” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูขี้เล่น
ฮวาเยวี่ยรีบเอ่ยอย่างสำนึกผิด “บ่าวผิดไปแล้ว คุณชายปล่อยข้าเถอะ พวกบ่าวเหตุใดจะไม่อยากรับใช้อยู่ข้างกายของคุณชาย? เพียงแต่ว่าพวกเราก็รู้ว่าที่คุณชาย ต้องการนั้นไม่ใช่แค่คนดูแลแต่ต้องเป็นคนที่มีประโยชน์ด้วย ดังนั้นถึงได้อยากจะแบ่งเบาภาระให้คุณชายก็เท่านั้น”
มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมา หลับตาลงอีกครั้ง
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยลัวนแต่เป็นคนที่นางพาออกมาด้วยตนเอง หากพวกนางสามารถเติบโตขึ้นได้ แน่นอนว่านางจะต้องดีใจ
เสียงพูดคุยอย่างอารมณ์ดีภายในรถ ถูกผนังรถกั้นเอาไว้ไม่ได้หลุดออกมาข้างนอก แต่ว่าอยู่ดีๆ รถลากสัตว์อสูรวิญญาณที่กำลังเคลื่อนไปด้านหน้าก็หยุดอย่างกะทันหัน ทำให้คนในห้องโดยสารพุ่งตัวไปข้างหน้า แทบจะกองไปอยู่ด้วยกัน
มีแต่มู่ชิงเกอที่กำลังนอนอยู่จึงไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่
เพียงแต่ว่า อยู่ดีๆ รถก็หยุดอย่างกะทันหัน ทำให้นัยน์ตาของนางฉายแววเยียบเย็น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างเจ้าชู้ยิ่งนัก!” เสียงที่ดูคุ้นเคยดังขึ้น แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่ยากจะแยกชัดว่าดีใจหรือโมโห ดังขึ้นจากด้านนอกรถ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวเล็กลง
ยังไม่ทันได้ให้นางมีปฏิกิริยาตอบกลับ ก็มีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งเข้ามาภายในห้องโดยสาร ดูดเอาผู้หญิงสี่คนภายในห้องโดยสารออกไปทิ้งไว้นอกรถ
มีเงาดำบุกเข้ามาพร้อมกลิ่นอายที่ดูเย็นยะเยือก คว้าจับมือของมู่ชิงเกอไว้อย่างรวดเร็ว ลากนางเข้ามาในอ้อมอก กอดนางไว้อย่างแน่นหนา
กระดิ่งสองอันที่อยู่หว่างเอว ปะทะกันในระหว่างการเคลื่อนไหวที่รุนแรง เกิดเป็นเสียงสดใสของกระดิ่งแลกเปลี่ยนกันดังขึ้น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าคิดถึงเจ้า!” เสียงและกลิ่นที่คุ้นเคย ปรากฏอยู่ข้างหูและจมูกของมู่ชิงเกอ
นางเบิกสองตากว้าง ไม่กล้าเชื่อว่าที่มองเห็นทั้งหมดจะเป็นเรื่องจริง…