ตอนที่ 251
ใจข้าอยู่กับเจ้า มีเพียงเจ้า!
“อารอง ของสิ่งนี้ที่เดี๋ยวม่วงเดี๋ยวแดงคือสิ่งใดกัน?” จิงฟ่งอวี่พอเห็นศิลาในมือจิงเทียนเหิงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
จิงเทียนเหิงเก็บหินศิลาในมือไปอย่างเงียบๆ เอ่ยขึ้นเสียงนิ่งๆ ว่า “ค้นหาตามที่มันบอกไปก่อนก็จะรู้เอง”
ขบวนคนสิบคนมุ่งหน้า เดินเข้าไปด้านในหุบเขากูจี๋ซานเรื่อยๆ
จิงเทียนเหิงกล่าวกับจิงฟ่งอวี่ว่า “ฟ่งอวี่ ระดับพลังยุทธ์ พลังจิตของเจ้าในตอนนี้ ถึงเวลาที่จะทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวที่สองแล้ว ก่อนออกมาครั้งนี้ข้าได้สนทนาหารือกับบิดาเจ้าไว้หากเป้าหมายครั้งนี้ไม่เลวก็จะให้เจ้ามาทำพันธสัญญา”
“จริงหรือ?” จิงฟ่งอวี่เอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
จิงเทียนเหิงพยักหน้าอมยิ้มน้อยๆ
“ดีเหลือเกิน! ขอบคุณท่านอารอง” จิงฟ่งอวี่ตื่นเต้นมาก เขาถึงระดับที่สามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวที่สองตั้งนานแล้ว แต่ว่าเป็นเพราะยังไม่เจออสูรพันธสัญญาที่เหมาะสมถึงได้ปล่อยว่างอยู่
เขามีความมั่นใจว่าเมื่อทำพันธสัญญากับอสูรพันธสัญญาตัวที่สอง พลังความสามารถของเขาก็จะเพิ่มขึ้น อย่างน้อยต้องเลื่อนขั้นบนทำเนียบชิงอิงขึ้นหลายตำแหน่ง!
นึกถึงการเรียงอันดับบนทำเนียบชิงอิง จิงฟ่งอวี่ก็นึกถึงมู่ชิงเกอที่ทำความรู้จักไป เมื่อวานขึ้นมาในทันใด
คุณชายในชุดอาภรณ์สีแดงรูปลักษณ์งดงาม บุคลิกไม่ธรรมดา
ใบหน้าที่ทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล อยู่ในห้วงความคิดของเขาสลัดไม่ไป
“ฟ่งอวี่ ฟ่งอวี่?”
เสียงเรียกของจิงเทียนเหิง ฉุดเอาความคิดที่ลอยไปไกลของจิงฟ่งอวี่กลับมา
“ท่านอารอง!” จิงฟ่งอวี่เก็บความรู้สึก หลุบตาลงขานรับ
จิงเทียนเหิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่? ตอนนี้ พวกเราอยู่ในหุบเขากูจี๋ซานอยู่ใกล้กับสัตว์อสูรพันธสัญญาแค่เพียงเอื้อมมือ เจ้าอย่าได้ประมาทต้องมีสติให้ มั่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รอให้จบภารกิจนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ท่านอารองตำหนิได้ถูกต้อง ฟ่งอวี้สำนึกผิดแล้ว” จิงฟ่งอวี่รีบกล่าวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีชาติตระกูลโดดเด่นอยู่บ้างในรุ่นเดียวกัน และยังมีความหยิ่งผยองในตนเอง แต่ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของตระกูล เขากลับวางตัวได้ดี ไม่เคยเสียกิริยา
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าเหตุใดตระกูลจิงถึงได้คาดหวังในตัวเขา
เมื่อเห็นว่าจิงฟ่งอวี่สำนึกผิดแล้ว จิงเทียนเหิงก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรอีก
เขาเดินนำขบวนไปด้านหน้า จิงฟ่งอวี่ผ่อนฝีเท้าถอยหลังไปสองก้าว ลอบผ่อนลมหายใจออกมา
“คุณชายเป็นอะไรไป?” ผู้ติดตามของจิงฟ่งอวี่รุดมาตามอยู่ด้านหน้า เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ผู้ติดตามคนนี้ เป็นหนึ่งในคนที่ติดตามจิงฟ่งอวี่ไปเมื่อวาน เขาติดตามจิงฟ่งอวี่มาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ย่อมไม่ใช่ที่คนทั่วไปจะเทียบได้
ได้ยินประโยคเอ่ยถาม จิงฟ่งอวี่ก็เหลือบมองด้านหลังจิงเทียนเหิงแวบหนึ่ง เอ่ยกับเขาว่า “ดูเหมือนคุณชายของเจ้าจะป่วยไข้เสียแล้ว”
“ป่วยไข้?” ผู้ติดตามเกิดอาการประหลาดใจ รีบพิจารณาดูจิงฟ่งอวี่ กลับพบว่าเขามีท่าทีกระปรี้กระเปร่า และไม่ได้มีตรงไหนที่ดูผิดปกติ
“ข้าไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่เป็นตรงนี้ต่างหาก” จิงฟ่งอวี่ชี้ไปยังบริเวณหัวใจตนเอง
ผู้ติดตามยิ่งทวีความงุนงงสงสัย จิงฟ่งอวี่ทำเสียงกระแอมเบาๆ มีท่าทีเก้อเขิน มองไปบริเวณรอบๆ อย่างระแวดระวัง หลังจากสังเกตดูแล้วว่าไม่มีคน จึงได้กระซิบข้างหูผู้ติดตามว่า “เหมือนว่าคุณชายของเจ้าจะไปตกหลุมรักใครเข้าแล้ว อีกทั้งยังเป็น… บุรุษผู้หนึ่ง”
ผู้ติดตามได้ยินแล้วก็สูดลมหายใจอย่างหนาวเย็น ตาทั้งสองเบิกกว้าง “คุณชาย ท่าน…”
“เบาๆ หน่อยสิ! อย่าเอ็ดไป” จิงฟ่งอวี่รีบอุดปากเขาเอาไว้ขัดขวางไม่ให้เขาร้องตะโกนออกมา
ผู้ติดตามพยักหน้าอย่างตื่นตระหนก
ถัดจากนั้น จิงฟ่งอวี่ถึงปล่อยเขา เอ่ยเตือนว่า “เรื่องนี้ ตัวข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด ตอนนี้เพียงแค่สงสัยเท่านั้น รอให้ข้ามั่นใจก่อนค่อยว่ากันอีกที เจ้าต้องช่วยข้าเก็บไว้เป็นความลับ อย่าได้พูดออกไป!”
ผู้ติดตามพยักหน้าหงึกหงัก ในใจกลับบังเกิดคลื่นลมขนาดใหญ่
เขาค่อยๆ กลืนน้ำลาย ส่งเสียงเตือนเบาๆ “คุณชาย ท่านต้องคิดให้ดีนะขอรับ ตัวท่านเกี่ยวพันถึงการสืบทอดตระกูลจิง อย่าได้ก่อความผิดผลาดเลยขอรับ!”
“ข้ารู้ ตอนนี้ข้าเองก็กลุ้มใจอยู่! เฮ้อ…” จิงฟ่งอวี่เอ่ยพลางถอนหายใจ
“ฟ่งอวี่!” เสียงร้องตะโกนเรียงของจิงเทียนเหิง ลอยมาจากที่ห่างไกล
ไหล่ทั้งสองข้างของจิงฟ่งอวี่เกร็งขึ้นมารีบตอบรับในทัน ใด “มาแล้ว!”
จากนั้นก็ถลึงตาใส่ผู้ติดตาม เอ่ยเตือนว่า “จำไว้ เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าวันนี้ใครก็ห้ามบอก!”
ผู้ติดตามเม้มปากสนิท ออกแรงพยักหน้า
หลังจากที่ผู้ติดตามรับปากครั้งแล้วครั้งเล่า จิงฟ่งอวี่จึงได้รีบร้อนวิ่งจากไป ไล่ตามจิงเทียนเหิง
พวกเขาจากไปแล้ว ก็ปรากฏเงาสีดำสองสายตกลงมายังบริเวณจุดที่คนตระกูลจิงเดินผ่านไปก่อนหน้านี้
“เหอะ ผู้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลจิง คิดไม่ถึงว่าจะมีใจชื่นชอบบุรุษ หากแพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะขบขันจนฟันร่วง” กู่หยาเอ่ยเย้ยหยัน
กู่เย่ยังคงมีใบหน้าเย็นชาดุจนํ้าแข็ง เอ่ยตอบกลับเฉยชา “พวกเราต้องการเบาะแสของโห่ว** เรื่องอื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา”
ความเย็นชาของกู่เย่ ทำเอากู่หยาอดไม่ได้ที่จะกลอกสายตา
เขาเอียงศีรษะมองดูกู่เย่แล้วเอ่ยถาม “ท่านประมุขไม่ได้ให้พวกเราสอดมือเข้ายุ่ง พวกเรากระทำการโดยพลการเช่นนี้ ก็คงไม่ค่อยดีกระมัง?”
ครั้งนี้ กู่เย่กลับตอบอย่างละเอียด “ท่านประมุขไม่ให้พวกเราสอดมือเข้ายุ่ง เพราะกลัวว่าพวกเราจะเป็นก้างขวางคอในการอยู่ร่วมกันระหว่างเขากับคุณชาย พวก เราไม่ได้ตามติดพวกเขา แต่ตามติดตระกูลจิง ควบคุมสถานการณ์ฝั่งตระกูลจิง หากมีข่าวของโห่วก็แจ้งให้ท่านประมุขทราบ พวกเราไม่ออกหน้าก็ใช้ได้แล้ว”
ที่แท้สองคนนี้ก็กระทำการลับหลังซือมั่ว
ความมืดมิดยามราตรีมาเยือน มู่ชิงเกอและซือมั่วเดินออกมาจากป่าอวี้หลี มาถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนหนึ่ง
ทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขากูจี๋ซาน เหนือความคาดหมายของมู่ชิงเกอมาก
หนึ่งวันมานี้นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มาตามหาสัตว์ร้าย แต่ว่ามาท่องเที่ยวป่าเขาลำเนาไพรชมธรรมชาติ
หวนกลับไปมองซือมั่วที่ถูกแสงจันทร์โอบคลุม ยิ่งทวีความงดงามหล่อเหลาชวนมองมากยิ่งขึ้น ราวกับเทพเจ้าที่เดินลงมาจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น ยิ่ง ใหญ่และสูงศักดิ์ นางอมยิ้มมุมปาก ในใจลอบเอ่ยขึ้นว่า ‘นี่ถือเป็นการพาข้ามาพลอดรักหรือไม่?’
“ยิ้มอะไรรึ?” ซือมั่วมองดูนางด้วยสายตายิ้มพราว
ราวกับว่า ทุกความรู้สึกที่ฉายชัดบนใบหน้ามู่ชิงเกอ ล้วนหนีไม่พ้นสายตาของเขา
“ยิ้มที่พวกเรามาตามหาสัตว์ร้ายอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ ไม่เหมือนใคร” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างนึกขัน
ซือมั่วหัวเราะนิ่งๆ “ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของโห่ว ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเพียงนั้น”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ส่งสายตามองไปรอบๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กางแขนออกแล้วกล่าวว่า “ที่นี่ช่างสวยงามเหลือเกิน!”
ดวงดาราทอแสงดูคล้ายกับฝังสลักอยู่เบื้องหน้าเพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น ทุ่งหญ้าเขียวขจีโบกพลิ้วลู่ตามแรงลม กลีบดอกฝูกงอิงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตามลม
สายลมอ่อนๆ พัดชายกระโปรงมู่ชิงเกอ พื้นดินกว้างใหญ่ไพศาล ทำเอานางอดไม่ได้ที่จะหมุนตัวไปรอบๆ กระดิ่งสีทองข้างเอวแกว่งตามจังหวะการเคลื่อนไหว เกิดเป็นเสียงกระดิ่งไพเราะกังวานเสนาะหู
แทบจะในจังหวะเดียวกัน กระดิ่งที่อยู่ข้างเอวซือมั่วก็ส่งเสียงดังตาม เสียงกระดิ่งสองอันส่งเสียงประสานกัน ราวกับเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะที่สุดบนโลกนี้
ดวงตาสีอำพันของซือมั่วสะท้อนภาพมู่ชิงเกอ
สีแดงเย้ายวนมีเสน่ห์นั้น จากดวงตาสลักเข้าไปส่วนลึกในใจของเขา แต่ไหนแต่ไรมา…เขาไม่เคยเห็นมู่ชิงเกอในมุมสาวน้อยเช่นนี้มาก่อน ต่อหน้าเขา ราวกับว่านางได้ปลดทุกๆ พันธนาการ เก็บเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มนางเอาไว้
มู่ชิงเกอภายใต้แสงจันทรงดงามเพียงนั้นงดงามจนหัวใจสั่นไหว งดงามจนเพียงพอให้ผู้คนหลงลืมทุกสิ่งอย่าง
เวลานี้ซือมั่วมองจนหลงลืมการมีอยู่ของตนเอง
หมุนตัวอยู่หลายรอบ มู่ชิงเกอจึงหยุดตัวลง ใบหน้างดงามพิสุทธิ์ประดับรอยยิ้มแห่งความยินดี “โห่วนี่ช่างรู้จักหาที่ซ่อนเสียจริง เลือกสถานที่แห่งนี้สะดวกพวกเราเลย”
“ใช่แล้ว” ซือมั่วเอ่ยพึงพำ ยังคงหลงใหลในเงาความงามของมู่ชิงเกอ
“เพ่ย!” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็กระโดดมาอยู่ข้างหน้าซือมั่ว ส่งเสียงร้องตะโกน
น้ำเสียงที่ไม่ถือว่าอ่อนโยนทำเอาซือมั่วได้สติคืนมา แววตาเขาค่อยๆ ปลอดโปร่งขึ้นมา จับจ้องไปยังมู่ชิงเกอที่มาอยู่ข้างหน้าเขา
เขายกมือขึ้นลูบศีรษะมู่ชิงเกอแผ่วเบาอ่อนโยนอย่างยิ่ง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ทำเช่นไรดี…ข้าอยากจะซ่อนตัวเจ้าไว้ อนุญาตให้ข้าเห็นเพียงผู้เดียว”
มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก ก่อนจะหัวเราะอย่างผ่าเผยตรงไปตรงมา
หัวเราะแล้ว นางก็เอ่ยกับซือมั่วว่า “ทำเช่นไรดี ข้าเองก็อยากจะซ่อนเจ้าเอาไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น”
คำพูดเล่นลิ้นของนาง ทำเอารอยยิ้มซือมั่วกดลึกขึ้น เอ่ยคล้อยตามว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราก็ซ่อนอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ให้ผู้อื่นพบเห็น”
“คำไหนคำนั้น!” มู่ชิงเกอยกมือตนเองขึ้น “ชนมือทำสัญญา”
ซือมั่วอมยิ้ม ยกมือตนเองขึ้นชนกับมือของมู่ชิงเกออย่างเอาใจ
“ซือมั่ว เจ้าจำเอาไว้ จงรอข้า ไม่นานข้าจะยกเกี้ยวสมรสสิบลี้ไปสู่ขอเจ้า!” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างองอาจ
ซือมั่วยิ้มขมขื่นอย่างจำยอม แต่ก็พยักหน้ารับเอาใจ “ได้ ข้าจะรอเจ้ามาขอ”
บนสรวงสวรรค์ใต้พื้นพิภพ สามพันโลก มีเพียงบุคคลตรงหน้าเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูอย่างไม่มีขีดสุด ปล่อยวางไม่ถือสาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
(*โห่ว สัตว์ในตำนานจีนชนิดหนึ่ง)
ซือมั่วจูงมือมู่ชิงเกอ เดินเรื่อยเฉื่อยภายใต้ดวงดารา เงาของทั้งคู่ทับซ้อนอยู่ด้วยกัน แยกออกจากกันบ้างบางครา เดินไปได้สักพัก มู่ชิงเกอก็ดึงมือซือมั่วนั่งลงท่ามกลางทุ่งหญ้า กลีบดอกฝูกงอิงเต้นระบำอยู่ข้างกายพวกเขา
มู่ชิงเกอถอนหญ้าออกมากำหนึ่งคาบไว้ในปาก ทันใดนั้นก็ถอยหลังเอนกายล้มตัวลง ใช้สองมือหนุนอยู่ด้านหลังศีรษะ มองดูดวงดาราโค้งมนแสงดาวระยิบระยับ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ซือมั่วมองดูท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ของนางแล้ว ในใจก็แย้มยิ้ม เรียนรู้ที่จะเอนกายลงนอนท่ามกลางทุ่งหญ้าเหมือนนาง
“อามั่ว ตำหนักเทพเป็นสถานที่เช่นไร?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยสิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ออกมา
ดวงตาสองข้างของซือมั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาส่วนลึกฉายแววมืดหม่น แต่เพียงพริบตาเดียวก็จางหายไปไร้ร่องรอย เขายิ้มร่าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในตำนานกล่าวขานว่า ดินแดนไกลโพ้นห่างออกไปมีแผ่นดินเทพมารแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีเผ่าเทพและเผ่ามารดำรงอยู่ เผ่าเทพต้องการ การสักการะบูชา ดังนั้นจึงเลือกสถานที่บางแห่งในสามพันโลก จัดตั้งตำหนักเทพเพื่อช่วยพวกเขารวบรวมความศรัทธาและการสักการะบูชา”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น พลิกตัวนอนควํ่า จ้องหน้าซือมั่วแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ยังมีเผ่าเทพและเผ่ามารอยู่จริงหรือ?”
ซือมั่วมองหน้านาง พยักหน้าเบาๆ
ในดวงตามู่ชิงเกอฉายแววครุ่นคิด “ความศรัทธา การเซ่นไหว้ สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อันใดกับเผ่าเทพกัน? เผ่ามารไม่ต้องการหรือ?”
“ความศรัทธาและการสักการะบูชาสามารถแปลงเป็นพลังพิเศษชนิดหนึ่ง ช่วยเผ่าเทพในการฝึกพลัง ส่วนเผ่ามารนั้นฝึกพลังด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็น” ซือมั่ว ตอบคำถาม
มู่ชิงเกอคล้ายจะเข้าใจและก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ถามอีกว่า “เช่นนั้นตำหนักเทพจะช่วยเผ่าเทพเสาะหาและรวบรวมความศรัทธา จากนั้นสักการะบูชาอย่างไร?”
ซือมั่วยิ้มนิ่งๆ จ้องมองแววตาใคร่สงสัยของนางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตำหนักเทพในเขตภาคกลาง มีตำแหน่งหนึ่งเรียกว่าธิดาเทพ โดยทั่วไปจะให้สตรีที่มีความพิเศษและพรสวรรค์สูงส่งทำหน้าที่นี้ ธิดาเทพคนปัจจุบันเป็นบุตรีของตระกูลซี เขตภาคกลาง ชื่อเรียกว่าอะไรข้าก็ลืมไปแล้ว แต่ว่าดูเหมือนจะมีชื่ออยู่ในทำเนียบชิงอิงห้าอันดับแรก”
“ซีเซียนเสวี่ย!” มู่ชิงเกอเอ่ยชื่อๆ หนึ่งอย่างมาในทันใด
“เอ? เหมือนว่าจะใช่นะ” ซือมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หน้าที่ของธิดาเทพคือติดต่อเผ่าเทพ ตำแหน่งของธิดาเทพในตำหนักเทพสูงส่งอย่างยิ่ง นางแสวงหาและรวบรวมความศรัทธา ใช้กลวิธีพิเศษส่งต่อไปอยู่ในมือเผ่าเทพ และก็ถือเป็นการสร้างผลงานให้ตนเอง วันหนึ่งสามารถพังทลายช่องมิติและเขตแดน เข้าสู่แผ่นดินเทพมาร”
“อะไรคือความศรัทธากันแน่? สามารถเข้าสู่แผ่นดินเทพมารได้จริงหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม
ซือมั่วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ความหวาดกลัวที่เกิดในใจของมนุษย์ รวมถึงความมุ่งหวัง ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ความเคารพที่มีต่อเผ่าเทพ ความรู้สึกเหล่านี้ ล้วนแปลงเป็นพลังแห่งความศรัทธา ถูกตำหนักเทพเก็บ รวบรวม ในส่วนของแผ่นดินเทพมารนั้น…นั่นก็ถือเป็นสถานที่ล่องลอยอยู่ในความเวิ้งว้าง ตอนนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องไปคิดมาก”
มู่ชิงเกอเม้มปากครุ่นคิด ราวกับค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว หลักการ ‘เป็นกลาง’ ของตำหนักเทพ ในเขตภาคกลางเหมือนว่าตำหนักเทพจะมีตำแหน่งที่สูงส่ง อำนาจไม่ธรรมดา ระยะเวลานับพันหมื่นปีที่ผ่านมาก็เข้าไปอยู่ส่วนลึกในใจของทุกคนในเขตภาคกลาง ดังนั้นพลังความศรัทธายังคงมีมาตลอด
ขอเพียงตำหนักเทพยังอยู่ พลังแรงศรัทธาก็คงอยู่…
ไม่สิ! สมควรต้องพูดว่า…ขอเพียงศรัทธาไม่ถูกทำลาย พลังแรงศรัทธาก็ยังคงอยู่ ตำหนักเทพเป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่ง การแสดงออกในรูปของรูปธรรม
ดวงตาทั้งสองของมู่ชิงเกอค่อยๆ ทอแสงขึ้นมา
ส่วนแผ่นดินเทพมารนั้น ซือมั่วอธิบายอย่างง่ายๆ มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก จากนั้น นางก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “การฝึกพลังยุทธ์ เดิมทีก็ต้องอาศัยตนเอง ตอนนี้กลับอาศัยเพียงแรงภายนอก หากวันหนึ่งศรัทธาพังทลาย เช่นนั้นคงมิใช่ว่าพลังยุทธ์เสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรอกหรือ?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง!” ซือมั่ว บีบปลายจมูกมู่ชิงเกอเบาๆ “แต่น่าเสียดายที่เหตุผลง่ายๆ นี้ ผู้ที่เรียกตนว่าพวกเทพกลับละเลย พลังแรง ศรัทธาสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกพลังยุทธ์ให้พวกเขาได้มาก เพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา หลังจากที่ได้ลิ้มรสความหอมหวานแล้ว ใครต่างก็ไม่ ปรารถนาที่จะปล่อยวาง”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
ซือมั่วกล่าวต่อ “แต่ว่าเจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป เคล็ดวิชาเทวะไม่ต้องการพลังจากแรงศรัทธา”
“เอ?” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา ราวกับรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าตนเองกำลังกังวลเรื่องอะไร?
เมื่อครู่นี้นางกำลังคิดเรื่องเคล็ดวิชาเทวะอยู่จริงๆ เพราะถึงอย่างไรเคล็ดวิชาเทวะก็เป็นเคล็ดวิชาในการฝึกพลังยุทธ์ของเผ่าเทพ หากต้องการพลังแรงศรัทธาขึ้นมา แล้วนางจะไปหาได้จากที่ใด?
โชคดีที่คำตอบของซือมั่ว ทำให้นางขจัดความกลัดกลุ้มไปได้
“ใช่แล้ว เมื่อครู่เจ้าบอกว่าซีเซียนเสวี่ยมีคุณสมบัติพิเศษ สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างใคร่สงสัย
“ซีเซียนเสวี่ย?” ซือมั่วมีสีหน้างงงวย ไม่มีชื่อนี้อยู่ในความคิดเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอจนปัญญา กลอกสายตาอย่างไม่รักษามารยาท เอ่ยชี้แจงขึ้นว่า “ก็คือธิดาเทพตระกูลซีผู้นั้นอย่างไรเล่า”
ซือมั่วมีปฏิกิริยากลับมา นิ้วเรียวยาวของเขาลูบผ่านผมนุ่มสลวยของมู่ชิงเกอ เอ่ยยิ้มรับ “นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่สนใจไปจดจำชื่อของสตรีอื่นทั้งนั้น”
ประโยคนี้ประสบความสำเร็จในการเอาใจมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอทำเลียงกระแอมกลบเกลื่อนความเขินอาย ใช้ปลายนิ้วกระทุ้งไปที่เอวซือมั่ว เร่งให้เขารีบเอ่ยต่อ
ซือมั่วค่อยๆ เรียกคืนรอยยิ้ม มองดูมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยังจำได้หรือไม่ที่ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าปล่อยพลังสายฟ้าสุ่มสี่สุ่มห้า?”
จู่ๆ ก็มาเอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ ในใจมีการคาดเดาอะไรอยู่บ้าง
“เมื่อถึงโลกแห่งยุคกลาง เจ้ายิ่งไม่สามารถเปิดเผยเรื่องที่เจ้ามีรากวิญญาณสายฟ้าออกมาอย่างง่ายดาย” ทันใดนั้นซือมั่วก็เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
มู่ชิงเกอจ้องมองเขา รอคอยคำพูดถัดไปของเขา
“แม้ว่าจะพานพบอันตราย หนีได้ต้องหนี หลบเข้าไปอยู่ในช่องว่างของเจ้า อย่าได้เปิดเผยเรื่องรากวิญญาณสายฟ้าออกมาโดยเด็ดขาด” ซือมั่วจ้องตามู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น “รับปากข้า”
มู่ชิงเกอไม่เคยพบซือมั่วเคร่งเครียดจริงจังเช่นนี้มาก่อน นางพยักหน้าลงช้าๆ ท่ามกลางคำพูดของเขา
แต่นางก็ยังคงเอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัยออกมา “เพราะเหตุใด?”
เพราะเหตุใดตั้งแต่ที่ทั้งสองคนพบเจอกันครั้งแรก เขาก็เตือนนางว่าอย่าได้เผยความสามารถพิเศษเรื่องธาตุสายฟ้าของตนเองออกมา
“เจ้าควรจะรู้อยู่แล้ว เฉินปี้เฉิงมีรากวิญญาณเพลิงโดยกำเนิด” ซือมั่วเอ่ยขึ้นในทันใด
ในจุดนี้ มู่ชิงเกอรับรู้มาจากเหมิงเหมิงแล้ว ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับ
ซือมั่วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ส่วนธิดาเทพตระกูลซีผู้นั้นมีรากวิญญาณวารีโดยกำเนิด”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
มีรากวิญญาณคือข้อพิเศษหรือ? จะถูกตำหนักเทพเล็งเห็น ซือมั่วไม่คาดหวังให้นางเกี่ยวข้องกับตำหนักเทพ ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนนางใช่หรือไม่?
ในขณะที่มู่ชิงเกอยังไม่หายสงสัย ซือมั่วก็ใช้นํ้าเสียงเชื่องช้าแต่จริงจังเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าในตอนนี้รู้ไว้เพียงว่า รากวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในโลกแห่งยุคกลางต่างก็ คิดครอบครองก็เพียงพอแล้ว รากวิญญาณนั้นหมายถึงสิ่งใดกันแน่ รอให้เจ้าเข้าสู่ระดับพลังชั้นสีทองแล้วย่อมเข้าใจได้เอง เฉินปี้เฉิงไม่ได้อยู่ที่โลกแห่งยุคกลาง ดังนั้นจึงยังอยู่ดี สตรีตระกูลซีมีตระกูลซีปกป้องคุ้มครอง ยังมีตำหนักเทพเป็นที่พึ่งพิงก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ว่าเจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้านั้นตัวคนเดียว หากถูกผู้อื่นล่วงรู้ว่าเจ้ามีรากวิญญาณสายฟ้าที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารไม่รู้จักจบสิ้น ที่โลกแห่งยุคกลางนี้คนที่มีรากวิญญาณก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ต่างก็ปิดบังเอาไว้ไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยออกมา ดังนั้นแล้วเสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าจะต้องปิดบังไพ่ใบนี้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ”
“ไล่ล่าสังหาร? แม้ว่าพวกเขาสังหารข้าแล้วจะเป็นอย่างไร? คงมิใช่ว่าสามารถช่วงชิงพลังสายฟ้าไปจากข้าได้หรอกนะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความแปลกใจ
เดิมเป็นเพียงประโยคขำขันของนาง การช่วงชิงความสามารถพิเศษของผู้อื่นมาเป็นของตนเรื่องเช่นนี้แม้ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าทันสมัยในภพก่อนที่นางจากมา ก็ไม่มีปรากฏ
ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อนางพูดจบ ซือมั่วกลับพยักหน้าลงอย่างจริงจัง
มุมปากยั่วเย้าของมู่ชิงเกอแข็งค้าง
สวรรค์! นี่มันเรื่องอะไรกัน? ความสามารถพิเศษยังถูกแย่งชิงได้?!
มู่ชิงเกอทำหน้าไม่ถูก เมื่อเจอเรื่องนี้เข้าไป
ซือมั่วยกมือขึ้นลูบใบหน้าแข็งค้างของนาง เอ่ยกับนางว่า “ดังนั้น จำคำข้าไว้ให้ดี บางอย่างข้าบอกเจ้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอจนพลังยุทธ์เจ้าสูงขึ้นแล้วย่อมเข้าใจได้มากขึ้นเอง”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเก้ๆ กังๆ
“เอาล่ะ เจ้ายังมีสิ่งใดที่อยากถามหรือไม่?” ซือมั่วแสร้งทำเป็นแข็งขึง ทำท่าทางราวอาจารย์
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจริงจังขึ้นว่า “มี!”
ซือมั่ว : “ว่ามา”
มู่ชิงเกอ : “เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจมากมายเช่นนั้น?”
ซือมั่ว : “…อยู่มานาน ย่อมรู้ได้เอง”
มู่ชิงเกอ : “…เช่นนั้นเจ้าอยู่มานานเท่าไรแล้ว? ปีนี้อายุเท่าไร?”
ซือมั่ว : “เสียวเกอเอ๋อร์ใช่รังเกียจว่าข้าแก่หรือไม่?”
ลมหายใจอันตรายขยับเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอ นางรีบโพล่งออกมาอย่างชาญฉลาด “ไม่แก่! บุรุษย่อมต้องภูมิฐานนิดหนึ่ง ถึงมีเสน่ห์”
ซือมั่ว : “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่รังเกียจจริงหรือ”
มู่ชิงเกอ : “ไม่รังเกียจ”
ซือมั่ว : “จริงหรือ?”
มู่ชิงเกอ : “อืม! อุบ…
ภายนอกหุบเขากูจี๋ซานอันงดงาม
ทัศนียภาพราวดินแดนเทพเซียน ชวนให้ผู้คนมุ่งหน้าไป
แต่ว่าในส่วนลึกของหุบเขากูจี๋ซานกลับมีรอยแยกของ แผ่นดินที่น้อยคนนักจะรู้จัก ราวกับรอยแผลน่าเกลียดน่ากลัวอย่างไรอย่างนั้น ทำลายความงามของหุบเขากูจี๋ซาน
รอยแยกน่าเกลียดน่ากลัวของแผ่นดินนี้ ลึกมาก ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มองลงไปก็เห็นเพียงความมืดมิด
หมอกควันประหลาดพวยพุ่งออกมาจากรอยแยกนั้น ปัดผ่านบริเวณใดพืชพรรณก็เหี่ยวเฉาถูกกัดกร่อน ดังนั้น บริเวณโดยรอบรอยแยกนี้ก็กลายเป็นแห้งเหี่ยว เหี่ยวเฉาไปแล้วผืนใหญ่ ที่ไหนๆ ต่างก็ถูกกักกร่อน ทรุดโทรม ยังมีกระดูกสีขาวของพวกสัตว์อีกไม่น้อย ที่ค่อยๆ ผุกร่อนภายใต้การกัดกินของหมอกควันนี้ กลายเป็นน้ำหนองขนาดย่อม
“โฮก โฮก”
เสียงคำรามแว่วออกมาจากรอยแยกนั้น ราวกับเสียงอสนีบาตฟาดอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นด้วยบรรยากาศของที่นี่ ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่านี่เป็นเสียงร้องของเมืองปรโลก คนที่เฉียดใกล้ต่างก็ถูกเสียงนี้ดึงดูดให้ตกลงไปท่ามกลางรอยแยก จมดิ่งสู่ปรโลก
กำแพงหน้าผาสูงชัน ลึกไม่รู้เท่าไร ร้อยจั้ง พันจั้ง หรือหมื่นจั้ง…
ไม่มีใครรู้ ข้างใต้รอยแยกเป็นถํ้าขนาดใหญ่เกินพรรณนาแห่งหนึ่ง ข้างในนั้นมีสัตว์ร่างใหญ่ถูกเงามืดปกคลุมนอนอยู่ หมอกควันที่มีความสามารถในการกัดกร่อนเหล่านั้นราวกับพ่นออกมาจากปากของมัน
ที่แห่งนี้ยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วคล้ายว่ามันได้รับบาดเจ็บหนัก
มันในเวลานี้อ่อนแอมาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะรังแกได้!
ฟันเขี้ยวคู่หนึ่งของมันซ่อนอยู่ในปาก เผยให้เห็นเงาความคม
แววตาของมันทอแสงสีทอง ราวกับเปลวเพลิงสีทองด้าน ในซ่อนไอสังหารเยือก เย็นเอาไว้ ไอสังหารนี้มีเป้าหมาย คือพวกตํ่าช้าที่ลอบโจมตีมัน ทำร้ายมันจนบาดเจ็บจนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!
“ไม่ช้าไม่นานต้องมีสักวัน ข้าจะแก้แค้น! ดูดกลืนสมองพวกเจ้าเสียให้สิ้น! โฮก!”
มันคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเสียงนี้ลอดผ่านรอยแยก เหลือไว้เพียงเสียงคำรามที่ สามารพพังทลายท้องฟ้า
โฮก ! โฮก !
เสียงคำรามน่ากลัว สั่นสะเทือนกิ่งใบดอกไม้ในหุบเขากูจี๋ซานพลิ้วไหว ร่วงโปรยปราย
บรรดาคนตระกูลจิงที่กำลังเดินทางท่ามกลางราตรีชะงักฝีเท้าฉับพลัน มองไปยังขอบฟ้า
แววตาจิงเทียนเหิงปรากฏความเคร่งขรึม ส่วนคนตระกูลจิงคนอื่นๆ ก็เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ราวกับหาที่มาที่ไปของเสียง
“ท่านอารอง นี่ใช่เสียงของอสูรพันธสัญญาหรือไม่? พวกเราใกล้จะหามันพบแล้วใช่หรือไม่?” จิงฟ่งอวี่รีบรุดมาอยู่ข้างกายจิงเทียนเหิง ในนํ้าเสียงแฝงความตื่นเต้น ยากที่จะปิดได้มิด
จิงเทียนเหิงละสายตากลับมา เอ่ยกับจิงฟ่งอวี่ว่า “ดูท่าสัตว์อสูรพันธสัญญาตนนี้จะไม่ธรรมดา พวกเราต้องระวังตัว อย่าทำอะไรผลีผลามเป็นอันขาด”
จิงฟ่งอวี่เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้นว่า “เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรสำหรับสายเลือดตระกูลจิงของเราแล้ว มีความใกล้ชิดตามธรรมชาติ รวมกับกลวิธีสร้างพันธสัญญาของตระกูล รวมถึงแรงสนับสนุนของท่านอารอง ยังมีอะไรเหนือความคาดหมายอีกหรือ?”
“อย่าได้ประมาท” จิงเทียนเหิงส่ายหน้าช้าๆ เอ่ยเตือนจิงฟ่งอวี่เสียงแข็ง
จิงฟ่งอวี่พยักหน้ารับ ในใจกลับมีความไม่เชื่ออยู่บ้าง
ในความทรงจำของเขา เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่ตระกูลจิงต้องการทำพันธสัญญา ไม่เคยปรากฏความล้มเหลวมาก่อน เมื่อถึงคราวของเขาย่อมพลาดไม่ได้เช่นกัน!
จึงเทียนเหิงมองดูสีท้องฟ้า เอ่ยบอกทุกคนว่า “พักที่นี่ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางกันต่อ”
“ท่านอารอง ในเมื่อพวกเราก็ได้ยินเสียงมันแล้ว เหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสนี้หากันต่อ? หากมันหนีไปอีกจะทำเช่นไร?” จิงฟ่งอวี่รีบร้อนกล่าวขึ้น
“อย่าใจร้อน” จิงเทียนเหิงตำหนิติเตียน
เขามองดูสีหน้าอ่อนล้าของคนตระกูลจิงแล้วเอ่ยกับจิงฟ่งอวี่ว่า “เร่งเดินทางมาตลอดทาง เรี่ยวแรงของทุกคนไม่ไหวแล้ว หากตามหากันต่อไปก็ไม่มีเรี่ยวแรงต่อกรกับสัตว์อสูรพันธสัญญา อีกอย่างเจ้าจะทำพันธสัญญากับมัน ก็ต้องเตรียมการให้พร้อม ถึงแม้เจ้าจะมีประสบการณ์ในการทำพันธสัญญามาครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ว่าทุกครั้งที่ทำพันธสัญญาล้วนเสี่ยงอันตรายนัก ประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่ถ้ามันหนีไปจะทำเช่นไร?” จิงฟ่งอวี่เข้าใจเหตุผลดี แต่ว่าเขากลับกังวลว่าสัตว์อสูรพันธสัญญาของตนเองจะบินหนีไป
“ไม่เป็นอย่างนั้นแน่” แววตาของจิงเทียนเหิงเปล่งประกาย เอ่ยยืนยันหนักแน่น ประสบการณ์ของเขามีมากกว่าจิงฟ่งอวี่ เขาเอ่ยบอกจิงฟ่งอวี่ว่า “ดูจากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ เหมือนว่ามันได้รับบาดเจ็บ โดยทั่วไปแล้ว ขอเพียงไม่สัมผัสถึงอันตราย เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่ได้รับบาดเจ็บมักจะไม่ย้ายที่ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามีศิลานำทาง เจ้ายังต้องกังวลอะไร?”
“ได้รับบาดเจ็บ! เช่นนั้นแล้วมันจะเป็นอะไรหรือไม่?” จิงฟ่งอวี่เอ่ยด้วยความร้อนใจ
เรื่องนี้จิงเทียนเหิงเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงส่ายหน้า เขาตบไหล่จิงฟ่งอวี่เบาๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าสงบสติอารมณ์ เตรียมตัวให้พร้อม รอฟ้าสางวันพรุ่งนี้ พวกเราก็ค่อยไปทางนั้น”
“ขอรับ อารอง” สุดท้ายแล้วจิงฟ่งอวี่ก็ยอมประนีประนอม เดินกลับไปนั่งขัดสมาธิเข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์
อีกด้านหนึ่งของหุบเขากูจี๋ซาน มู่ชิงเกอก็ผุดลุกจากทุ่งหญ้าขึ้นมานั่ง นางจับจ้องมองไปยังดวงดาราบนท้องฟ้ายามคํ่าคืน เอ่ยถามขึ้นว่า “เสียงเมื่อครู่ ใช่เสียงร้องของโห่วหรือไม่?”
ซือมั่วก็ลุกขึ้นนั่งตามมา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นเสียงของมัน ดูแล้วมันน่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย อีกทั้งยังอยู่ในอารมณ์โมโห”
ฟังออกขนาดนี้เชียวหรือ?
มู่ชิงเกอหันกลับมามองหน้าซือมั่ว เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
ซือมั่วหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เวลานี้หากคนตระกูลจิงเข้าไป ก็เป็นการส่งตนเองไปสู่หนทางแห่งความตายเท่านั้น-
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความสงสัย
ซือมั่วครุ่นคิดเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักมังกรหรือไม่?”
มังกร?
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางย่อมต้องรู้จักอย่างแน่นอน ในโลกก่อน มังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เป็นการดำรงอยู่ของสัตว์ที่แข็งแกร่งเหนือสัตว์นับหมื่น และเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
แต่ว่าตอนนี้…
นางไม่ได้คิดเลยว่า ในโลกที่แตกต่างนี้ก็มีมังกรอยู่
“แล้วเจ้าเข้าใจเกี่ยวกับมังกรแค่ไหน?” ซือมั่วถามออกมาอีก
เรื่องนี้…
มู่ชิงเกอเอ่ยหยั่งเชิง “น่าจะร้ายกาจมาก”
ซือมั่วหัวเราะ เอ่ยอธิบายให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา “มังกรเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สามารถเหาะเหินเดินอากาศทะยานเมฆ แหวกนํ้าดำดินตะลุยเพลิง ท่ามกลางเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร มังกรเป็นการดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนทั่วไปหากมีเลือดมังกรหยดหนึ่ง ก็สามารถมีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าไม่พังทลาย เพราะผิวหนังของเผ่าพันธุ์มังกร แม้แต่ศาสตราวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยากที่จะแทงเข้า พลังเรี่ยวแรงการต่อสู้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สามารถยืนหยัดอยู่ระดับสูงสุดของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร แค่คิดดูก็จะรู้ว่าพลังการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มังกรแข็งแกร่งปานใด มีความสมารถในการป้องกันที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการโจมตีที่องอาจห้าวหาญ เผ่าพันธุ์มังกรเป็นการดำรงอยู่ของความยำเกรงท่าม กลางเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร กระนั้น โห่วกลับเห็นสมองมังกรเป็นอาหาร ข้าเคยบอกเจ้าก่อนหน้านี้แล้วว่า โห่วชื่นชอบสมองมังกร ไม่ใช่แค่เพียงงานอดิเรกแต่ว่ามันเคยกินจริงๆ”
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นยะเยือก
กินสมองมังกร! ไม่ต้องอาจหาญเพียงนั้นได้หรือไม่? เช่นนั้นก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารน่ะสิ!
“บันทึกการต่อสู้ของโห่ว เกรงว่าเล่าไปสามวันสามคืนก็เล่าไม่จบ ข้ายกตัวอย่างหนึ่งเรื่องก็แล้วกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันตามมังกรสีครามตนหนึ่งไปถึงผิวนํ้าทะเล คิดจะกินสมองมังกร ตอนหลังมีมังกรสี่ตนไล่ตามมาเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่กลางอากาศห้าต่อหนึ่ง มังกรห้าตนนี้ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจของเผ่าพันธุ์มังกร ออกมาตัวใดตัวหนึ่งก็สามารถข่มขวัญผองสัตว์อสูรได้แล้ว เจ้าทายสิว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?” จู่ๆ ซือมั่วก็ถามย้อนกลับ
มู่ชิงเกอยิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “เจ้าถามข้าเช่นนี้ย่อมต้องเป็นโห่วที่เป็นฝ่ายชนะ”
ซือมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เป็นจริงเช่นนั้น สงครามครั้งใหญ่นี้ดำเนินอยู่สามวันสามคืน นํ้าทะเลไหลทะลัก ท้องฟ้ากลับตาลปัตร สุดท้ายโห่วก็สังหารมังกรสามตนและกลืนกินสมองมังกร ส่วนมังกรที่เหลืออีกสองตนก็หอบลมหายใจสุดท้ายหนีกลับไปเผ่ามังกร สุดท้ายก็จบชีวิตลง หลังจากนั้นโห่วได้ข่าวการตายของพวกเขา ก็ลอบเร้นเข้าไปยังสุสานมังกรขุดสมองของพวกเขาออกมากิน แถมยังตอบแทนซํ้าโดยการกินมังกรที่เฝ้าสุสานไปด้วย จากนั้นจึงจากไปอย่างหยิ่งผยอง”
มู่ชิงเกอได้ยินดังนี้ถึงกับเบิกตาโตอ้าปากค้าง
สำหรับพลังการต่อสู้ข่องโห่วนั้น รับรู้ได้อย่างชัดแจ้ง นี่เป็นความสามารถที่อยู่เหนือผู้ใดโดยแท้!
“โห่วสามารถบินไปในอากาศ เดินเหินอยู่บนพื้น แหวกว่ายอยู่ในนํ้า ปากสามารถพ่นไฟ แม้แต่ลมหายใจที่พ่นออกมายังมีฤทธิ์กัดกร่อนที่แข็งแกร่ง สามารถย่อยสลายยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ” ซือมั่วกล่าว ชี้นิ้วไปยังแหวนหลิงหลงที่อยู่บนนิ้วชี้มือขวาของมู่ชิงเกอแล้วกล่าวเตือนว่า “หากพบเจอมัน ยุทธ์ภัณฑ์ชั้นเทวะของเจ้าชิ้นนี้จะต้องเก็บไว้อย่างดี”
มู่ชิงเกอหดมือกลับมาตามจิตสำนึก
นางสงบอารมณ์ที่โดนกระตุ้นกลับมาเป็นปกติ เอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “โห่วเทียบกับฉวีอวี้แล้วเป็นเช่นไร?” ฉวีอวี้เองก็เป็นสัตว์โบราณ ทั้งยังดุร้าย ที่สำคัญก็คือนางสังหารฉวีอวี้มาแล้ว แม้ว่าจะใช้กลอุบาย ไม่ใช่สงครามซึ่งหน้า แต่ว่านางก็เข้าใจความร้ายกาจของฉวีอวี้อย่างลึกซึ้ง
หากไม่ใช่เพราะว่าใช้กลอุบาย และประจวบเหมาะว่ามีแร่สะเก็ดดาว ดาวข่มของฉวีอวี้ เกรงว่านางคงตกอยู่ในกำมือของฉวีอวี้ในไม่กี่กระบวนท่า ถูกกลืนกินลงไปแล้ว
“เอ? ฉวีอวี้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์เคยเห็นฉวีอวี้แล้วหรือ?” ซือมั่วย้อนถามกลับ
มู่ชิงเกอพยักหน้าจริงจัง “อืม ข้าฆ่ามันไปแล้ว”
ซือมั่วตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง ในดวงตาลึอำพันฉายแววภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ร้ายกาจจริงๆ ฉวีอวี้ก็เป็นสัตว์โบราณ มีชีวิตมาไม่รู้กี่หมื่นปี ล้วนไม่มีผู้ใดสยบมันได้ ตอนนี้กลับตายในเงื้อมมือของเจ้า ทว่า ฉวีอวี้เทียบกับโห่วแล้ว…”
ซือมั่วชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นท่ามกลางการรอคอยของมู่ชิงเกอ “ฉวีอวี้ไม่สู้พลังฝ่ามือหนึ่งของมัน”
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง ลมหายใจสะดุด
“แต่ว่า ข้าพูดถึงตอนที่มันแข็งแกร่งที่สุด ตอนนี้มันบาดเจ็บหนัก พลังยุทธ์ถดถอย ก่อนที่มันจะฟื้นฟูกำลังกลับมาเหมือนเดิม ระดับพลังยุทธ์ก็เทียบได้กับพลังยุทธ์ของมนุษย์ระดับชั้นสีทองขั้นหก”
มู่ชิงเกอไร้คำพูดจะกล่าว
ตอนนี้นางเพิ่งจะอยู่ระดับพลังขั้นสีเทาขั้นหก โห่วอยู่ระดับพลังขั้นสีทองขั้นหก ดูไปแล้วความห่างระหว่างพวกเขามีเพียงระดับพลังขั้นสีเงินเท่านั้น แต่พอลองนับดูแล้วกลับห่างกันถึงสิบสองขั้นเต็ม!
“ข้าทำอะไรได้บ้าง?” สำนึกรู้ถึงปัญหาความแตกต่างเรื่องพละกำลังแล้ว มู่ชิงเกอก็ได้แต่เอ่ยถามด้วยสีหน้าขมขื่น แผนการที่ซือมั่วต้องการจับโห่วในครั้งนี้นางทำ ประโยชน์อะไรได้บ้าง? หากไม่มีประโยชน์สักนิด ทั้งยังเป็นภาระ เช่นนั้นไม่สู้ให้นางอยู่ที่เมืองจินไห่เสียยังจะดีกว่า
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าได้ดูถูกตนเองเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองเก่งเรื่องไหนที่สุด?” ซือมั่วรั้งตัวนางมาไว้ในอ้อมกอด ใช้ความอบอุ่นของร่างกายตนเองขับไล่ความหนาวเย็นจากนํ้าค้างที่อยู่บนร่างนาง
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความไร้เดียงสา สีหน้างงงัน
เวลานี้นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เก่งกาจเลยสักนิด! อ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนนางอยากจะเห็นโลกของซือมั่วยังทำไม่ได้
“เจ้าเก่งที่สุดที่ตรงนี้” ซือมั่วหัวเราะ ใช้นิ้วมือจิ้มไปที่ศีรษะของนางเบาๆ
ในแววตามู่ชิงเกอยังคงสับสนไม่เข้าใจเหมือนเดิม
ซือมั่วเอ่ยขึ้นว่า “พรสวรรค์ของเจ้าแข็งแกร่งมาก ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ สามารถฝึกพลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ได้ ก็ทำให้ผู้กล้าจำนวนไม่น้อยละอายแก่ใจ แต่ว่าสิ่งที่เจ้าแข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ระดับพลังยุทธ์ แต่เป็นสติปัญญา การวางกลยุทธ์ของเจ้า จิตใจกล้าหาญของเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้อันตรายเพียงใด เจ้าก็ยังคงมีจิตใจที่สงบนิ่ง สามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างรวดเร็ว เจ้ามีจิตใจที่กล้าหาญชาญชัย มีความพยายามสุดกำลังความสามารถ ดังนั้น เผชิญหน้ากับวิกฤตกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าก็สามารถแปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดี นี่ไม่ใช่ความโชคดีของเจ้าแต่เป็นผลจากความพยายามของตัวเจ้าเอง และก็เป็นที่ที่ข้าเจ็บปวดใจที่สุด” ขณะที่ซือมั่วพูดไป ในความคิดของซือมั่วก็ปรากฏภาพที่ได้รู้จักมู่ชิงเกอครั้งแรก…
นางที่ยืนอยู่ริมลำธารเล็กๆ ชำระคราบเลือดที่ติดอยู่บนร่างเงียบๆ หลังจากที่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขาแล้วยังคงมีท่าทีแข็งแกร่งหนักแน่นไม่ยอมแพ้ ยังมีนางที่ยืนรับโทษโบยด้วยแส้บนลานอาญา ความเข้มแข็งห้าวหาญชนิดที่แม้แต่บุรุษยังสะท้าน ยังมีการต่อสู้กับระดับพลังชั้นสีม่วงด้วยระดับพลังชั้นสีเหลือง แม้ตัวเองถูกตีจนแบบหมดสภาพก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
ภาพเช่นนี้มีจำนวนมากมาย สุดท้ายก็หยุดที่ภาพในช่องว่างทดสอบ ร่างของนางชโลมไปด้วยเลือด ยอมตายไปพร้อมกับศัตรู
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” จู่ๆ ซือมั่วก็เงียบไป ทำให้มู่ชิงเกอสังเกตได้
ซือมั่วได้สติ ส่งสายตาจับจ้องไปที่มู่ชิงเกอ มองดูนางที่อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ มองดูตัวตนที่แท้จริงของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ “ไม่มีอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าได้พบเจ้า ได้มีเจ้าอยู่ดีเหลือเกิน เป็นโชคดีของข้า!”
คำบอกรักแสนประทับใจออกมาจากปากซือมั่ว แม้จะรู้สึกคันยุบยิบอยู่บ้าง แต่มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธเช่นดังแต่ก่อน นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซือมั่ว ฟังเสียงหัวใจเขาเต้นแรงและดัง พึมพำเสียงเบาว่า “มีเจ้าอยู่ ก็เป็นโชคดีของข้าเช่นกัน”
แม้ว่าเสียงของนางจะแผ่วเบา แต่ก็ถูกซือมั่วได้ยินอยู่ดี คำตอบนี้ราวกับนํ้าพุร้อนที่แช่ตัวเขาเอาไว้อยู่ในนั้น ปัดเป่าความหนาวเหน็บอ้างว้างมานับหมื่นปีในกระดูกของเขา
เวลา ราวกับหยุดลงตรงนี้
แม้กระทั่งสายลมรอบด้าน ดวงจันทร์บนฟ้า ก็ไม่อาจเข้ามารบกวนความเงียบสงบในเวลานี้
แต่ว่า
“เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าการรับมือกับโห่ว ตัวข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง ต้องตระเตรียมสิ่งใด?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของซือมั่ว พลางเอ่ยถาม
ซือมั่วมุมปากกระตุก
‘เจ้าสิ่งเล็กๆ ที่ขัดบรรยากาศนี่!’
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น มองท่านพี่ของเจ้าแสดงความน่ายำเกรงอย่างไรก็พอแล้ว’’ซือมั่วดันศีรษะนางกลับไป
“ยังไม่ได้แต่ง…อุบ…” งานเลย เหตุใดจึงเป็นท่านพี่แล้ว
คำพูดของมู่ชิงเกอถูกซือมั่วขวางเอาไว้ กลืนกินเข้าปากไป
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ดวงจันทร์เยือกเย็นลาลับขอบฟ้าทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยขึ้นมา
แสงอาทิตย์สาดส่องบนหุบเขากูจี๋ซาน ทำให้หุบเขาทั้งลูกถูกโอบคลุมด้วยแสงสีทอง
คนตระกูลจิงตื่นจากการพักผ่อนหลับใหล ออกเดินทางตามการนำทางของศิลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งโห่วอาศัยอยู่
ส่วนอีกด้านหนึ่งคนสองคนกลับยังคงเดินเล่นสบายอารมณ์ เดินเล่นอยู่ในหุบเขาราวกับว่าเป้าหมายของพวกเขาคือมาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขากูจี๋ ซาน ไม่ใช่การมาตามจับโห่ว
“ท่านอารอง ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่” จิงฟ่งอวี่เก็บอาการตื่นเต้นของตนเองไว้ไม่อยู่ รุดไปเอ่ยถามอยู่ข้างกายจิงเทียนเหิง
จิงเทียนเหิงมองดูศิลาในมือแล้วพยักหน้า
วันนี้ ราวกับว่าจิตใจของเขานิ่งขรึมกว่าเมื่อวาน ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาได้กลิ่นถึงอันตรายในการ เดินทางครั้งนี้ เขาหันกลับไปมองหลานชายที่มีอาการ กระปรี้กระเปร่าข้างกาย เขาลังเลอยู่บ้าง จะละทิ้งภารกิจนี้ดีหรือไม่
“ผู้อาวุโส ท่านดูตรงนี้ขอรับ!” ทันใดนั้น ก็มีคนค้นพบความผิดปกติ
จิงเทียนเหิงเก็บความรู้สึกลงไป ก้าวเท้าเดินไปทางคนผู้นั้นพร้อมกับจิงฟ่งอวี่
ผู้ที่ค้นพบความผิดปกติเป็นสายรองตระกูลจิงผู้หนึ่ง ถือเป็นคนเก่งมีพรสวรรค์อายุอานาม 45 ปี ระดับพลังยุทธ์อยู่ชั้นสีเงินชั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่อาจเทียบกับผู้กล้ามากความสามารถที่อยู่บนทำเนียบชิงอิงได้
แต่ว่าในตระกูลทั่วไป เขาก็สามารถเป็นผู้อาวุโส หรือเป็นการคงอยู่ของของแกนหลักของตระกูล
อย่าลืมว่าประมุขตระกูลลี่ ลี่หยุนเทาเมืองไหอวี่เฉิง เป็นเพียงระดับพลังชั้นสีเทาชั้นสี่เท่านั้น บรรพบุรุษตระกูลเล่อที่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่ารับมือยากก็เพิ่งจะบรรลุระดับพลังชั้นสีเงิน จากตรงนี้สามารถเห็นความต่างห่างชั้นระหว่างตระกูลทั่วไปกับตระกูลบรรพกาล
“ผู้อาวุโส คุณชายรอง พวกท่านดูตรงนี้ ดูเหมือนมีร่องรอยการผุกร่อน” เขาชี้ไปบนพื้นที่เป็นนํ้าหนองสีเหลืองหย่อมหนึ่งพลางเอ่ยบอกกับจิงเทียนเหิงและจิงฟ่งอวี่
ด้านข้างนํ้าหนองหย่อมนั้น ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา หายไปเรื่อยๆ
เขาใช้ท่อนไม้ในมือเขี่ยไปที่นํ้าหนองนั่น พลิกให้เห็นเศษเล็กๆ ของกระดูกสัตว์ที่กำลังหลอมละลาย ยังไม่ทันรอ ให้พวกเขาเห็นชัดว่าเป็นสัตว์เผ่าพันธุ์ไหน ท่อนไม้ในมือเขาก็หลอมละลายไปกับกระดูกสัตว์กลายเป็นนํ้าหนอง ชวนให้ตกใจจนต้องรีบปล่อยท่อนไม้ที่เหลือเพียงเศษเล็กๆ ในมือทิ้งไป
“พลังการผุกร่อนร้ายแรงมาก!” จิงฟ่งอวี่เอ่ยด้วยความตระหนก
จิงเทียนเหิงย่อตัวลง ได้ข้อสรุปหลังตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว “น่าจะเป็นการหลอมละลายของสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป ผู้คนตระกูลจิงต่างก็สูดลมหายใจเคร่งเครียด
พวกเขาลอบส่งสายตาหากันเงียบๆ ต่างก็พยายามค้นหาข้อมูลในความคิด สัตว์อสูรพันธสัญญาเผ่าพันธุ์ใดกันแน่ที่มีฤทธิ์การกัดกร่อนแข็งแกร่งเพียงนี้
ถึงอย่างนั้นค้นหาความทรงจำทั้งหมดแล้ว กลับไม่มีข้อสรุปใดๆ
ท่ามกลางเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร ความสามารถในการกัดกร่อนมีไม่น้อย แต่ว่าที่ให้ประสิทธิภาพเช่นนี้กลับมีเพียงน้อยนิด
จิงฟ่งอวี่ในเวลานี้เก็บคืนความประมาท เขามองหน้าจิงเทียนเหิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านอารอง เป็นไปได้ไหมว่านี่ เป็นสิ่งที่สัตว์อสูรพันธสัญญาทิ้งเอาไว้?”
จิงเทียนเหิงลุกขึ้นยืน มองไปยังด้านหน้าไกลออกไป บริเวณรอบด้านล้วนเป็นทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขากูจี๋ซาน แต่เขากลับไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปชื่นชม “เป็นไปได้มาก หุบเขากูจี๋ซานอยู่ไกลจากเมืองจินไห่ ทัศนียภาพก็แสนงดงาม มักจะมีคนมาที่นี่บ่อยๆ ดังนั้น เผ่าสัตว์อสูรที่นี่จึงมีไม่มาก เผ่าสัตว์อสูรที่สามารถทำ เช่นนี้ได้ไม่มีทางจำศีลได้ตลอด เป็นไปได้ว่าเพิ่งจะปรากฏตัวเร็วๆ นี้”
“เช่นนั้นแล้วพวกเรา…” จิงฟ่งอวี่กลืนนํ้าลาย สัตว์อสูรพันธสัญญาที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เขาสามารถทำพันธสัญญาสำเร็จจริงๆ หรือ? เขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มลังเลขึ้นมา
จิงเทียนเหิงตบไหล่จิงฟ่งอวี่เบาๆ กล่าวกับเขาว่า “พวกเราลองไปดูดูก่อน”
“ได้ขอรับ!” จิงฟ่งอวี่พยักหน้า
คนขบวนหนึ่งมุ่งหน้าเดินทางต่อ แต่เป็นเพราะนํ้าหนองกัดกร่อนหย่อมนั้นทำให้จิตใจของผู้คนทวีความตึงเครียด ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อน หลังจากข้ามผ่านผืนป่า อ้อมภูเขา คนตระกูลจิงก็เข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่ง
หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในหุบเขาแล้ว กู่หยาและกู่เย่ก็ปรากฏกาย ทั้งสองสบตากัน กู่เย่เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปแจ้งท่านประมุขว่าพวกเขาใกล้จะหาโห่วเจอแล้ว” “ยังคงเป็นเจ้าไปเถอะ ข้าจับตาอยู่ที่นี่ต่อ” กู่หยามีปฏิกิริยากลับมารวดเร็ว
ใครจะรู้ว่านายท่านกับคุณชายทำอะไรอยู่? โผล่ไปเช่นนี้ จะตายยังไงก็ไม่รู้กู่เย่จะลวงให้ตนไปติดกับ เขาไม่มีทางไปหรอก!
เห็นกู่หยารับรู้ความคิดของตนเอง กู่เย่มุมปากกระตุก ใบหน้าเย็นชาส่งเสียงกระแอม
“ไปด้วยกัน” ท้ายสุดแล้ว กู่เย่ก็กล่าวออกมา
กู่หยามองหน้าเขา ในที่สุดก็พยักหน้าประนีประนอม
“แล้วพวกเขาทำอย่างไร?” กู่หยาถาม
กู่เย่กลับเอ่ยว่า “พวกเรารู้แค่ว่าโห่วซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็พอแล้ว จะไปสนความเป็นความตายของคนพวกนี้ทำไม?”
กู่หยาพยักหน้า ยกนิ้วมือให้เขา
จากนั้น ทั้งสองคนก็หายตัวไปจากตรงนั้น ไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้ผู้ใด
จิงเทียนเหิงพาจิงฟ่งอวี่ และคนตระกูลดิงคนอื่นๆ เดินเข้ามาในส่วนลึกของหุบเขา หมอกควันที่แฝงกลิ่นคาวเลือดค่อยๆ ลอยมาทางพวกเขา
ขณะที่หมอกควันเหล่านั้นใกล้จะสัมผัสถูกพวกเขา จิงเทียนเหิงสายตาเคร่งเครียดในทันใด มือหนึ่งยกขึ้นอังจมูก อีกมือหนึ่งคว้าตัวจิงฟ่งอวี่ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ตะโกนร้องว่า “ถอยเร็ว! อย่าถูกหมอกควันเหล่านั้นสัมผัส!”
คนตระกูลจิงราวนกตื่นธนู ล่าถอยกลับหลังอย่างรวดเร็ว หลบหนีจากขอบเขตหมอกควันที่อบอวล
เป้าหมายหายไปแล้ว หมอกควันเหล่านั้นก็หดกลับหลัง ไปช้าๆ ราวกับสัตว์ป่าที่ซุ่มหาโอกาสลอบโจมตีในที่ลับตาอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอารอง นี่มันคืออะไร?” จิงฟ่งอวี่เอ่ยถามด้วยความตระหนก
จิงเทียนเหิงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้าเสียงเคร่งเครียด “เป็นไอนํ้าเหล่านั้นที่ทำการกัดกร่อน”
ผู้คนพากันตกตะลึง มองไปทางที่หมอกควันอยู่
เป็นจริงตามคาด บริเวณที่ถูกหมอกควันปกคลุมล้วนเป็นพื้นดินแห้งแล้ง ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา บนลำต้นมีนํ้าหนองไหล บนพื้นก็เป็นหลุมบ่อ เต็มไปด้วยนํ้าหนอง เหมือนเส้นทางก่อนหน้านี้ที่พวกเขาพบเจอ…