ตอนที่ 256
แผนการของมู่ลั่วฟง บุกจวน!
“ฆ่า…ฆ่าคน?” ผู้ติดตามตกใจ มองไปยังมู่ลั่วฟงอย่างหวาดกลัว
มู่ลั่วฟงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง นัยน์ตาพุ่งความอำมหิตออกมา “ใครกล้าแย่งของๆ ข้า คนๆ นั้นก็สมควรตาย!”
“นายน้อย! ท่านอย่าได้วู่วามไป!” ผู้ติดตามพูดโน้มน้าว
“หุบปาก!” มู่ลั่วฟงตะคอกใส่ไปคำหนึ่ง จ้องมองผู้ติดตามอย่างอำมหิต “หากยังโวยวายอีกข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
พูดแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังกลุ่มคน
“นายน้อย ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” ผู้ติดตามรีบขวางตรงด้านหน้าเขา ครุ่นคิดในใจแล้วเอ่ยมาว่า “ท่านไปเพียงคนเดียวอาจจะเสี่ยงเกินไป ไม่สู้พวก เราไปคุยกับเหล่าผู้อาวุโสก่อนให้พวกเขาส่งองครักษ์เงามาลงมือให้ไม่ดีกว่าหรือขอรับ?”
ในที่สุดมู่ลั่วฟงก็หยุดฝีเท้าลง คำพูดของผู้ติดตามเตือนสติของเขา หากว่าเขาวิ่งไปหามู่ชิงเกอในตอนนี้เลย อีกฝ่ายจะต้องมีคนมากกว่าอย่างแน่นอน ใช้คนมากรังแกเขา ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่เสียชีวิตอาจเป็นตัวเขาเอง
‘ไม่อาจเสี่ยงได้!’ มู่ลั่วฟงเอ่ยในใจ
แต่ว่าต้องไปหาพวกมู่เฉินกับมู่เผิงงั้นหรือ?
มู่ลั่วฟงส่ายหนำ ในหัวเกิดภาพท่าทางตอนที่มู่เฉินและมู่เผิงคุยกันในโรงเตี๊ยม “ไม่อาจไปหาพวกเขาได้ และก็ไม่อาจให้พวกเขารู้เรื่องได้ด้วย” เขากดเสียงตํ่าตักเตือนผู้ติดตาม
ผู้ติดตามพียงแต่คาดหวังให้เจ้านายของตนเองอย่าได้หุนหันพลันแล่นก่อเรื่องเท่านั้น ไหนเลยเขาจะสนใจเรื่องอื่น? พยักหน้ารับคำ
เห็นมู่ลั่วฟงใจเย็นลงแล้ว ผู้ติดตามก็ลองเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นนายน้อย พวกเราจะกลับไป? หรือว่าให้ข้าพาท่านไปเดินเล่นแถวใกล้ๆ ดี?”
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปเดินคนเดียว” มู่ลั่วฟงปฏิเสธผู้ติดตาม
ผู้ติดตามลังเล “แต่ว่านายน้อย…”
มู่ลั่วฟงส่งสายตาพิฆาตออกไป ทำให้ผู้ติดตามไม่กล้าพูดมากอีก ภายใต้การบีบบังคับของอีกฝ่ายเขาจึงได้แต่จากไปเพียงคนเดียว
หลังจากผู้ติดตามจากไปแล้ว อารมณ์ของมู่ลั่วฟงกลับไม่ได้สงบเลย
เขาเดินเข้าไปในกลุ่มคน ฉากของการเฉลิมฉลองรอบด้าน ทำให้อารมณ์ของเขายิ่งแย่ ไม่สามารถไปหามู่ชิงเกอเพื่อหาเรื่องได้ เช่นนั้นเขาควรจะทำอะไร?
เขาต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถแก้แค้นมู่ชิงเกอได้? ฆ่าเขางั้นหรือ?
ถ้าหากว่าไม่มีการปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทุกอย่างก็จะเป็นของเขา! ไม่ว่าจะเป็นเซวี่ยนหย่าแล้วก็ยังมีเสวี่ยหยา ทั้งแผนที่ของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางล้วนแต่ต้องเป็นของเขา!
ในนาทีนี้ มู่ลั่วฟงแค้นมู่ชิงเกอจนเข้ากระดูกดำ
“คุณหนู อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันมงคลของท่านแล้ว พวกเราลอบออกมาจะดีหรือ?”
“มีอะไรไม่ดี? เรื่องมงคลเป็นของตระกูลเหยียนและตระกูลซู เกี่ยวอะไรกับข้า?”
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยกันก็ลอยพลิ้วเข้ามาในหูของมู่ลั่วฟง
เขาเงยหน้ามองไปถึงได้พบว่าตนเองเดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูห่างไกลโดยไม่รู้สึกตัว ส่วนตรงหน้าเขาไปไม่ไกล มีสาวงามสองคนกำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบ
ภายในนั้นมีคุณหนูตระกูลซูที่ได้เคยมีวาสนาพบหน้ากันบนถนนเมือสองวันก่อน
ในใจของมู่ลั่วฟงเกิดความหวั่นไหว ลอบติดตามไป
พลังฝึกปรือของเขาสูงกว่าคุณหนูตระกูลซู ดังนั้นจึงไม่กังวลเรื่องที่จะถูกค้นพบ เขาเข้าไปใกล้คนทั้งสอง ลอบฟังพวกนางพูดคุยกัน
“คุณหนู ท่านจะขมขื่นไปไย? นายน้อยตระกูลเหยียนก็ไม่ได้เลวร้าย” สาวใช้ประจำตัวเอ่ยโน้มน้าวใจ
คุณหนูซูกลับสบถออกมาอย่างดูแคลนคำหนึ่ง นํ้าเสียงดูไร้อารมณ์“ข้าไม่ชอบเขา เขาดีแค่ไหนแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
“ประมุขตระกูลเอ่ยว่าเพียงแค่พวกเราตระกูลซูเกี่ยวดองกันกับตระกูลเหยียน ต่อจากนี้ต่อไปเมืองอันม๋อเฉิง แห่งนี้ก็จะสามารถสงบลงได้” สาวใช้เอ่ย
“ดังนั้นจึงสมควรที่จะเสียสละข้างั้นหรือ?” น้ำเสียงของคุณหนูซูเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นขึ้นมา
“คุณหนู ท่านอย่าอารมณ์เสียไปเลย ไม่ใช่ว่าพวกเราพูดคุยกันดีแล้วมิใช่หรือ” สาวใช้ค่อยๆ เอ่ยเสียงอ่อน
คุณหนูตระกูลซูเงียบลงไป
เวลานี้เอง มู่ลั่วฟงก็ได้ฟังเข้าใจแล้วว่าความเป็นมาของเรื่องนี้เป็นอย่างไร หญิงสาวที่ถูกจัดเป็นนางเอกในงานเฉลิมฉลองสุดคึกคักของเมืองอันม๋อเฉิงนั้นที่แท้แล้วถูกบังคับ
การค้นพบนี้ทำให้ความคิดของมู่ลั่วฟงเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา
เขาซ่อนกายในที่ลับ สายตากวาดมองไปยังคุณหนูซูไม่วางตา ถึงแม้ว่ารูปโฉมของคุณหนูซูจะเทียบไม่ได้กับเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่า แต่ว่าก็สามารถทำให้หัวใจของเขาเกิดอาการคันยุบยิบขึ้นมาได้
ความโกรธเกรี้ยวในใจ ความอดสูในสองวันมานี้ ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนเป็นแรงกระตุ้นภายในชั่วเวลานี้เขาต้องการที่จะระบาย!
เขาจ้องมองคุณหนูซู ความคิดแล่นอย่างรวดเร็ว
‘ถ้าหากข้าสามารถหลับนอนร่วมกับคุณหนูซูผู้งดงามได้ จากนั้นก็ผลักความผิดให้มู่ชิงเกอ ไม่แน่ว่าไม่ต้องให้ข้าลงมือ คนของตระกูลเหยียนและตระกูลซูก็จะสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้น!’ ทันใดนั้นความคิดนี้ก็โผล่ขึ้นมาในใจของมู่ลั่วฟง เมื่อได้แรงกระตุ้นก็ยิ่งฉุดไม่อยู่
ดูเหมือนว่าตอนนี้นาทีนี้ หากเขาไม่ทำตามความคิดนี้ก็คงจะเสียใจไปตลอดเป็นแน่
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
มองเห็นรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดใจของคุณหนูซูแล้ว ในใจของเขาก็เหมือนมีมดรุมกัดก็ไม่ปาน ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรุ่มร้อนขึ้นมา
ภายในหัวนั้น ความคิดที่บ้าคลั่งนี้เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมา
“คุณหนู พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ หากว่าถูกคนพบเห็นว่าพวกเราลอบแอบออกมา เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูเสียหายได้” สาวใช้เอ่ยโน้มน้าวใจ
“มีอะไรเสียหาย? ข้าเพียงแต่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจ หากว่าเจ้ารบกวนข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” คุณหนูซูเอ่ยอย่างรำคาญ
สีหน้าของสาวใช้เปลี่ยนไปในทันที เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก
นิสัยของคุณหนูตัวเองนั้นนางรู้ดี เมื่อยามที่อารมณ์ดี อะไรก็ดีไปหมด ยามอารมณ์ไม่ดีก็จะเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมมาก สองวันก่อนเป็นเพราะว่าถูกประโยคหนึ่งกระตุ้นเข้า ก็ไม่ใช่ว่าฆ่าคนๆ หนึ่งกลางถนนเลยมิใช่หรือ?
คุณหนูซูจ้องสาวใช้แวบหนึ่ง หันกายออกไปจากริมทะเลสาบ
นางไม่ได้เดินไปทางกลุ่มคน แต่กลับเดินไปทางที่ดูเปลี่ยว สาวใช้กัดฟันทำได้เพียงรีบตามไป
ทางที่นางเลือกไป ก็ยิ่งได้ใจของมู่ลั่วฟง เขาหัวเราะในใจลอบตามไป
ทะเลสาบกว้างมาก ยาวจากในเมืองไปถึงนอกเมือง คุณหนูซูเดินเรียบริมนํ้าไป ค่อยๆ ออกไปนอกเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ รอบด้านเงียบสงัด ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศที่ดูคึกคักภายในเมืองเลยแม้แต่น้อย
ต้นอ้อสีเขียวสูงใหญ่กว่าตัวคนคือทิวทัศน์ของทะเลสาบ และซ่อนเร้นหลายสิ่งเอาไว้มากมาย
บนท้องฟ้ามีนกหลายตัวบินผ่านเป็นระยะๆ ส่งเสียงร้องออกมาบ้าง จากนั้นก็เหลือไว้เพียงเสียงฝีเท้า
ด้านหน้ายิ่งเดินไปยิ่งดูเปลี่ยว รอบด้านไม่มีเงาร่างของคนแล้ว สาวใช้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “คุณหนู พวกเราเดินมาไกลเกินไปแล้ว”
ในใจของคุณหนูซูรู้สึกรำคาญมาก ตอนนี้ได้ยินคำโน้มน้าวจากสาวใช้ก็ยิ่งรำคาญไปใหญ่
นางพลิกกลับมือ ตบลงไปที่ใบหน้าของสาวใช้
สาวใช้เจ็บปวด กุมใบหน้าของตนเองไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“ข้าต้องการอยู่สงบๆ คนเดียว เจ้าไม่ต้องตามมา” คุณหนูซูทิ้งไว้หนึ่งประโยคด้วยความรำคาญ แล้วก็เดินเข้าไปใกล้กอต้นอ้อ
สาวใช้ยืนอยู่นอกกอต้นอ้อ จะตามไปก็ไม่ใช่ ทิ้งไว้ก็ไม่ใช่ ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น สองตาของนางก็มืดลง ทั้งตัวเหมือนสูญสิ้นสติล้มลงกองกับพื้น
รอจนนางล้มลงไปแล้ว มู่ลั่วฟงถึงได้เดินออกมาจากมุมลับ มองไปยังสาวใช้บนพื้นแล้วหัวเราะอย่างเยียบเย็นออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะตามคุณหนูซูไปเข้าไปในกอต้นอ้อ
กอต้นอ้อนั้นรกทึบมาก ทั้งสูงทั้งปิดบังสายตาของคน คุณหนูซูเดินไปครู่หนึ่งก็หยุดเท้าลง ในตอนที่นางไปถึงด้านในก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมาแล้วรู้สึกตำหนิตัวเองว่าเหตุใดถึงได้เดินเข้ามาในสถานที่เช่นนี้ได้?
ที่จริงนั้น ที่นี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายเดิมของนาง นางเพียงแต่คิดถึงการแต่งงานกับตระกูลเหยียนแล้วก็รู้สึกวุ่นวายใจ คิดอยากจะเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ เพียงแต่สาวใช้คนนั้นน่ารำคาญจนเกินไป รบกวนความสงบของนาง หลังจากที่ดุว่าแล้วนางก็พุ่งเข้ามาในกอต้นอ้อ
‘ไม่ควรมาที่นี่’ คุณหนูซูเอ่ยขึ้นในใจ
เมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็หันกลับมาและจะกลับไปทางเดิม
เพียงแต่ว่า เพิ่งจะเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ‘สวบ สวบ’ ดังขึ้นในกอต้นอ้อ
นางหยุดลง มองบริเวณที่กอต้นอ้อสั่นไหวอย่างระแวดระวัง ส่งเสียงร้องถามว่า “เป็นใครกัน? เสี่ยวผิง เป็นเจ้าหรือเปล่า?”
ทันทีที่เสียงของนางดังออกไป เสียงฝีเท้าในกอต้นอ้อก็หยุดลงในทันที เหลือไว้แต่เพียงกอต้นอ้อที่ถูกขยับสั่นไหวเบาๆ ความผิดปกตินี้ดึงดูดความสนใจของคุณหนูซู นางดึงผ้าไหมสีแดงที่ผูกไว้รอบเอวออกมาแล้วถ่ายพลังเข้าไป ค่อยๆ เดินไปทางตำแหน่งที่กอต้นอ้อสั่นไหว “เป็นใครกัน? หากยังไม่ส่งเสียงก็อย่าโทษที่ข้าลงมือก็แล้วกัน!”
นางเอ่ยเตือนอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีคำตอบ
นัยน์ตาของคุณหนูซูฉายแววแข็งกร้าว ผ้าไหมสีแดงในมือเปรียบเหมือนงูที่พุ่งออกมาจากรู พร้อมกับพลังระดับสีเทาชั้นสองพุ่งไปยังกอต้นอ้อ เพียงแต่ว่า เมื่อผ้าไหมสีแดงกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งไปได้ครึ่งหนึ่งนั้น ก็มีพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าพุ่งออกมาจากกอต้นอ้อ ตัดกอต้นอ้อไปไม่น้อยตรงเข้ามาปะทะเข้ากับผ้าไหมสีแดง
ผ้าไหมสีแดงถูกโจมตีอย่างรุนแรงและสะท้อนกลับ
คุณหนูซูรู้สึกตกใจมาก เพียงแต่รู้สึกว่าดวงตาของตนเองถูกคลุมไปด้วยสีแดง
ภายในพริบตาเดียว ผ้าไหมสีแดงก็พันรอบศีรษะของนาง ปิดบังสายตาของนางเอาไว้
“อ้า!” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ
ชั่วขณะนี้เองนางจิตใจว้าวุ่นเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามนั้นมากกว่านางอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เสี่ยวผิงสาวใช้ของนาง
สองมือของนางวุ่นวายไปกับการดึงผ้าไหมสีแดงบนใบหน้าของนางลงมาและปากก็ส่งเสียงขู่ว่า “เจ้าเป็นใครกัน? รู้ไหมว่าข้าคือใคร? ข้าเป็นคุณหนูตระกูลซูแห่งเมืองอันม๋อเฉิง ว่าที่สะใภ้ของนายน้อยตระกูลเหยียน หากว่าเจ้ากล้าไม่ให้เกียรติข้า จะต้องเผชิญกับการตามล่าจากทั้งสองตระกูลอย่างแน่นอน ไม่ตายไม่เลิกรา!”
เดิมนางคิดว่าเมื่ออีกฝ่ายได้ยินถึงเบื้องหลังของนางแล้วจะมีความเกรงกลัวแล้วจะถอยไป
แต่ว่า นางกลับไม่รู้ว่าคำพูดของนางยิ่งเป็นสิ่งที่มู่ลั่วฟงอยากจะฟัง
มู่ลั่วฟงกดเสียงของตนเองให้ต่ำลง ส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ตระกูลซู ตระกูลเหยียนงั้นหรือ? ชิ ข้ามู่ชิงเกอไม่เคยกลัว! วันนี้ข้าอยากจะลิ้มลองรสชาติ ของคุณหนูตระกูลซู เจ้าสาวของตระกูลเหยียน”
มู่ชิงเกอ?!
มู่ชิงเกอเป็นใครกัน? คุณหนูตระกูลซูไม่คุ้นเคยกับชื่อ ‘มู่ชิงเกอ’ นี้เลย แต่นางกลับรู้ชื่อคนที่จะมารุกรานตัวเองแล้ว!
“มู่ชิงเกอ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! หากเจ้าจากไปในตอนนี้ ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา” คุณหนูซูพูดอย่างร้อนใจ แต่ว่าประโยคนี้ของนางเพิ่งจะพูดเสร็จ ทั้งตัวก็ถูกโอบกอดล้มลงไปยังกอต้นอ้อ
“กรี๊ด!” คุณหนูซูล้มลงไปบนกอต้นอ้อไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายอะไร เพียงแต่หวาดกลัวเหตุการณ์ต่อมาที่จะเกิดกับตัวเอง ใบหน้าของนางถูกผ้าไหมสีแดงคลุมบังเอาไว้ มองเห็นแค่เพียงเงาร่างอันคลุมเครือของคนบนตัวของนาง
ที่ตามมานั้นเป็นพลังจิตที่ไม่ใช่ของนาง พุ่งมาในร่างกายของนาง สกัดพลังจิตของนางเอาไว้ทำให้นางเปลี่ยน เป็นไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน
“อย่า…อย่าทำ!” ชั่วนาทีนี้ คุณหนูซูเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
แคว่ก!
เสียงเสื้อผ้าขาดดังขึ้นมาในหูของคุณหนูซู
สีหน้าของคุณหนูซูเปลี่ยนเป็นขาวซีด ผิวที่ถูกเปิดเผยออกมาถูกลมพัดโดนก็เย็นเฉียบไปทั้งแถบ แต่ว่าทันใดนั้นก็มีความรุ่มร้อนอันน่ารังเกียจและความขยะแขยงถาโถมเข้ามา
“ไม่! อ้า! ออกไป! ข้าจะฆ่าเจ้า!” คุณหนูซูขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงกรีดร้อง นางหวังว่าเลียงร้องของนางจะดึงดูดดความสนใจของคนอื่น แต่กลับลืมไปแล้วว่าเป็นตัวนางเองที่เดินมาถึงสถานที่ที่เปลี่ยวที่สุดในเมืองอันม๋อเฉิง เวลาเช่นนี้แต่เดิมก็ไม่มีใครโผล่มา
“คุณหนูซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคิดถึงเจ้าแค่ไหน? หือ?” เสียงของมู่ลั่วฟงสั่นพร่า เขาพรมจูบใบหน้าของคุณหนูซูอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะมีผ้าไหมสีแดงกั้นเอาไว้อยู่ก็ทำ ให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
“ในตอนที่ข้าพบเจ้าเป็นครั้งแรกนั้นก็จินตนาการถึงวันนี้แล้ว วันนี้ในที่สุดก็มาถึง” เขาพูดกับตัวเอง ลืมเป้าหมายที่ทำเช่นนี้ไปนานแล้ว
“เดรัจฉาน! เจ้าปล่อยข้า! ข้าจะต้องฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน! บิดาของข้าจะต้องฆ่าเจ้า!” คุณหนูซูพยายามขัดขืน แต่ก็ยังคงหนีไม่พ้น
เสื้อผ้าบนร่างของนางเปลี่ยนเป็นเศษผ้า ร่างกายถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
“อ้า!” เสียงกรีดร้องดังออกมาจากกอต้นอ้อ สลายไปในท้องฟ้า
พระอาทิตย์ตกยามอัสดง ผืนนาและท้องฟ้ามีสีเดียวกัน
พระอาทิตย์ตกเหนือกอต้นอ้อริมทะเลสาบนั้นงดงามมาก ก้อนเมฆบนท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีอันงดงาม
สาวใช้ของคุณหนูซูค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ศีรษะมึนๆ สายตาก็ดูพร่ามัว
ในตอนที่นางได้สติอย่างสมบูรณ์แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ร้องตะโกนขึ้นมา “คุณหนู คุณหนู!”
นางลุกขึ้นมาจากพื้นรีบร้อนวิ่งเข้าไปในกอต้นอ้อ
อยู่ดีๆ นางก็สลบ ทั้งคุณหนูก็ยังไม่กลับมา ต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน!
“คุณหนู…คุณหนู…ข้าคือเสี่ยวผิง! คุณหนู…ท่านอยู่ที่? ไหน…ท่านตอบช้าหน่อย…” นางทั้งวิ่งทั้งตะโกนหวังว่าคุณหนูของตนจะตอบกลับ ในที่สุดนางก็เปิดกอต้นอ้อที่ปิดกั้นสายตามาจนเห็นพื้นที่เปิดโล่งที่กอต้นอ้อถูกกดลงกับพื้น คุณหนูของนางกำลังนอนอยู่ด้านบนใบหน้ายังถูกคลุมไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง เงียบสงบดุจดังเสียชีวิตไปแล้ว
“กรี๊ด!” เสี่ยวผิงตกใจจนกรีดร้องออกมา
ร่องรอยที่เหลืออยู่บนผิวของคุณหนูทำให้นางเดาเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูได้ไม่ยาก
ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกเหมือนว่าฟ้าได้ถล่มลงมา
นางร้องไห้ ล้มลุก คลุกคลานวิ่งไปที่ตรงหน้าของคุณหนูซู แล้วคุกเข่าลง ถอดเสื้อคลุมของตัวเองคลุมตัวให้คุณหนูของตน ทั้งยังดึงผ้าไหมสีแดงที่บังอยู่บนใบหน้าของนางออก “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป! คุณหนูท่านพูดกับข้าสิ!”
นัยน์ตาของคุณหนูซูดูล่องลอย ส่วนลึกของนัยน์ตาเป็นสีเทาไปทั้งแถบ ไม่ว่าเสี่ยวผิงจะร้องตะโกนอย่างไร นางก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกฉีกขาดส่วนล่างไม่ได้เจ็บปวดอย่างรุนแรงอีกแล้ว แต่กลับไม่อาจทำให้นางลืมได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนร่างกายของนาง
“คุณหนู ท่านบอกเสี่ยวผิงมาว่าเป็นไอ้เดรัจฉานตัวไหนที่ทำเช่นนี้!” เสี่ยวผิงพยุงคุณหนูซูขึ้นมา โอบเข้ามาไว้ในอ้อมอกของตนเอง ร้องไห้ฟูมฟาย
เป็นใครทำงั้นหรือ?
ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาที่ดูซบเซาของคุณหนูซูเปล่งแสงออกมา
นางเต็มไปด้วยความเกลียดชังไม่มีที่สิ้นสุด เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “มู่ชิงเกอ ข้าจะให้เจ้าไม่ตายดี!”
“ลั่วฟง เจ้าไปไหนมา?” มู่เฉินมองดูมู่ลั่วฟงที่วิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนแล้วก็ถามอย่างแปลกใจ
“ข้า ข้าเพียงแต่ไปเดินเล่นเท่านั้น” มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างดูร้อนรน
มู่เฉินรู้สึกสงสัย พิจารณาดูมู่ลั่วฟง เห็นเสื้อผ้าของเขาดูยับยู่ยี่จึงถามว่า “เจ้าไปทำอะไรมาเสื้อผ้าถึงได้ดูยับยู่ยี่เช่นนี้?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” มู่ลั่วฟงตอบอย่างขอไปที เขาในตอนนี้ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับคำถามของมู่เฉินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุง หากว่าไม่มีเรื่องอะไรข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนละ”
“รอเดี๋ยว” ในตอนที่มู่ลั่วฟงคิดจะจากไปนั้น มู่เฉินก็เรียกเขาเอาไว้
แผ่นหลังของมู่ลั่วฟงแข็งทื่อขึ้นในทันใด หันหลังให้กับมู่เฉิน ท่าทางดูร้อนรน นัยน์ตากลอกไปมา เขากลัวมากว่าจะถูกมู่เฉินจับผิดอะไรได้
“พวกเราจะไปแล้ว รอเจ้ามานาน ของๆ เจ้าล้วนแต่เก็บเสร็จแล้ว พวกมู่เผิงก็ไปรอพวกเราที่ประตูมิติแล้ว ตามข้ามาเถอะ” มู่เฉินเอ่ยกับเขา
ไปงั้นหรือ?
มู่ลั่วฟงเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้จะซักไซ้ถามเขาก็ลอบถอนหายใจในใจ
แต่ว่า อยู่ดีๆ ก็ต้องไปแล้ว เขายังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ หากว่าไปในตอนนี้เขาก็จะพลาดโอกาสได้เห็นจุดจบอันน่าอนาถของมู่ชิงเกอน่ะสิ?
เขาอยากจะให้พวกมู่เฉินได้เห็นว่าคนที่พวกเขาชื่นชมไม่หยุดปากนั้นถูกเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของเขาทำให้ถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถได้อย่างไร
“ลั่วฟง เจ้ามีเรื่องปิดบังอะไรอยู่ใช่หรือไม่?’’ ความเงียบ ของมู่ลั่วฟงทำให้มู่เฉินถามออกมา
มู่ลั่วฟงตื่นขึ้นมาจากความคิดของตนเอง หันกายมา ส่ายๆ หน้า “ไม่มี! ข้าจะไปมีความลับกับท่านลุงได้อย่างไร?”
มู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่มีก็ดี ไปเถอะ”
พูดจบแล้วเขาก็หันกายเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม
มู่ลั่วฟงทำได้แต่เดินตามไป ในใจของเขารู้สึกไม่ค่อยยินยอมนัก เขาคิดอยากจะเห็นมู่ชิงเกอตายอย่างอนาถ ด้วยตาของตนเอง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกมู่เฉินอยู่ต่อ
หลังเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว มู่ลั่วฟงก็กัดฟันพูดในใจว่า ‘ชิ มู่ชิงเกอ หวังว่าเจ้าจะสนุกกับทุกสิ่งที่ข้าทิ้งเอาไว้ให้เจ้า แล้วเจอกันใหม่…ไม่ ไม่ต้องเจอกันใหม่ แล้ว,
มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูอำมหิตสายหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหาร
มู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้าค่อยๆ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตอนที่หันกลับไปมองนั้น มู่ลั่วฟงก็ถอนสายตากลับปกติแล้ว เผยรอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์ให้เขา
สุดท้ายแล้วมู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไร นำมู่ลั่วฟงเดินไปทางประตูมิติของเมืองอันม๋อเฉิง
ในตอนที่เข้าสู่ประตูมิตินั้น มู่เฉินก็หันกลับมามองเมืองอันม๋อเฉิงแวบหนึ่ง พูดในใจว่า ‘มู่ชิงเกอ ข้าจะจดจำเจ้าไว้ หวังว่าเมื่อพบกันครั้งหน้า เจ้าจะสามารถทำให้ข้าได้อัศจรรย์ใจมากยิ่งกว่านี้’
หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ประตูมิติแล้ว ประตูมิติก็เปล่งแสงออกมารอบด้านโอบร่างกายของพวกเขาหายไปด้านใน
พวกเขาเพิ่งจะไป กลุ่มคนก็ขี่ม้ามาอย่างเร่งร้อน
เมื่อเข้ามาใกล้ คนรอบด้านถึงได้พบว่าที่มาไม่เพียงแต่เป็นองครักษ์ของตระกูลเหยียนแต่ยังมีองครักษ์ของตระกูลซูด้วย
“ปิดประตูมิติทันที ปิดประตูเมือง หากไม่มีใบปล่อยตัวจากตระกูลเหยียนหรือตระกูลซู ใครก็ห้ามจากไป!” คนที่นำมา ประกาศคำสั่งใหม่ของตระกูลเหยียนและตระกูลซูในทันที
การแสดงออกที่รุนแรงของเขาได้ถ่ายทอดข้อความหนึ่งไปรอบบริเวณ
นั่นก็คือ เมืองอันม๋อเฉิงเกิ ดเรื่องขึ้นแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน การปิดล้อมประตูเมือง จำนวนขององครักษ์จากสองตระกูลเพิ่มขึ้น การระงับการใช้งานประตูมิติ ทำให้การเฉลิมฉลองอันครื้นเครงที่มีมาแต่เดิมเริ่มมีหมอกควันมืดทะมึน
ภายในอาคารรับรองที่ถูกแม่ทัพมังกรเหมาเอาไว้ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยถามว่า “ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป เซวี่ยนขุยก็ก้าวยาวๆ เข้ามา “นายน้อย เกิดเรื่องแล้ว”
เขาเพิ่งจะเข้ามา สีหน้าก็ดูไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
เซวี่ยนหย่าตำหนิว่า “ต่อหน้านายน้อย ห้ามลุกลี้ลุกลน มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด”
เซวี่ยนขุยหลุบตาลง รู้สึกเสียใจกับท่าทางที่ตนเองแสดงออกเมื่อครู่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอวางถ้วยชาในมือลง มองไปทางเซวี่ยนขุยแล้วถามออกมา
หลังจากมู่ชิงเกอถามแล้ว เซวี่ยนขุยถึงได้เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ด้านนอกอยู่ดีๆ ตระกูลเหยียนและซูสองตระกูลก็ปิดประตูเมือง รวมทั้งประตูมิติ ห้ามไม่ให้ใครเข้าออก ทั้งยังส่งคนมากมายออกมาด้นหาคนที่ชื่อมู่ชิงเกอบนท้องถนน”
เซวียนขุยพูดจบแล้วก็มองไปยังมู่ชิงเกอ
เสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่าทั้งยังมีฮวาเยวี่ยก็ล้วนมองมาที่เขา
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด “หาข้างั้นหรือ?” นางจำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำเรื่องอะไรถึงสามารถทำให้ตระกูลซูและเหยียนออกตามหาได้ขนาดนี้
เซวี่ยนหย่ามองไปทางเซวี่ยนขุยแล้วเอ่ยถามว่า “สืบความมาได้หรือยังว่าพวกเขาตามหานายน้อยทำไม?”
เซวี่ยนขุยส่ายหน้า “ข้ามองเห็นพวกเขาทุกๆ คนล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งเครียด คงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน”
“พวกเขาเพียงแต่พูดว่าต้องการหามู่ชิงเกอ ไม่ได้พูดถึงลักษณะรูปร่างงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเคาะนิ้วบนโต๊ะ เอ่ยถามออกมา
การกำชับเตือนของนางทำให้นัยน์ตาของเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยาเปล่งประกาย ล้วนแต่มองไปยังเซวี่ยนขุยรอคำตอบจากเขา
เซวี่ยนขุยส่ายหน้า “ไม่มี พวกเขาเพียงแค่ค้นหาชื่อมู่ชิงเกอไม่ได้มีรูปร่างหรือลักษณะ”
มู่ชิงเกอเหยียดขาออก ค่อยๆ ยืนขึ้น ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เดินไปยังข้างหน้าต่าง ลูบปลอกนิ้วมือเบาๆ นางมองภาพบรรยากาศนอกหน้าต่าง เอ่ยกับเซวี่ยนขุยว่า “ไปดูว่าทางมู่ลั่วฟงนั้นทำอะไรอยู่”
“ไม่ต้องไปแล้ว ข้าเพิ่งจะกลับมาจากทางนั้น พวกเขาได้คืนห้องจากไปแล้ว เป็นก่อนที่ตระกูลซูและเหยียนจะปิดเมือง” แม่ทัพมังกรก้าวขายาวๆ เข้ามาในห้องของมู่ชิงเกอแล้วก็มองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอเอ่ยออกมา
“ไปแล้วงั้นหรือ?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง มุมปากโค้งเหมือนจะเผยรอยยิ้ม
เซวี่ยนหย่าเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยถามว่า “นายน้อย ท่านสงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับมู่ลั่วฟงอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะเอ่ยว่า “ไม่ใช่สงสัย แต่เป็นแน่ใจ”
นางหันกายมองไปยังคนห้าคนในห้อง นัยน์ตาที่สดใสกวาดตามองทุกๆ คน “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองอันม๋อเฉิงเมื่อวาน ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย นอกจากพวกเจ้า คนที่ได้ใกล้ชิดก็มีแต่คนของทางฝั่งมู่ลั่วฟง สามารถรู้ชื่อของข้าได้นอกจากพวกเจ้าก็มีเพียงแค่พวกเขา สามารถทำให้ข้ามีชื่อเสียงในเมืองอันม๋อเฉิงได้ในพริบตา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีฝั่งนั้นมาเกี่ยวข้อง”
การวิเคราะห์ของนาง ทำให้คนทั้งห้าคนปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่านอกจากความเป็นไปได้นี้แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก!
“ที่ข้าไม่แน่ใจในตอนนี้นั้นมีอยู่สองจุด” มู่ชิงเกอชูนิ้วออกมาสองนิ้ว ค่อยๆ เอ่ยว่า “อย่างแรกก็คือพวกเขาทำอะไรกันแน่ถึงทำให้ข้ากลายเป็นเป้าหมายได้ อย่างที่สองก็คือเรื่องนี้นั้นเป็นมู่ลั่วฟงทำเองคนเดียวหรือว่ามีพวกมู่เฉิน มู่เผิงร่วมด้วย”
แม่ทัพมังกรนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยมาว่า “มู่เผิงดูแล้วไม่เหมือนเป็นคนที่ชอบลอบแทงด้านหลัง ข้ากับเขาเดินทางร่วมกันมากับพวกเซวี่ยนหย่าสองพี่น้อง อย่างน้อยก็มีการพูดคุยอยู่บ้าง สำหรับมู่เฉิน…เขาดูแล้วก็เหมือนจะเป็นคนตรงไปตรงมา มีแต่มู่ลั่วฟง ชิ ข้าดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร”
คำพูดของแม่ทัพมังกรได้รับการสนับสนุนจากเซวี่ยนหย่า นางพยักหน้าเอ่ยว่า “นายน้อย มู่เฉินกับมู่เผิงไม่เหมือนเป็นคนที่ชอบแทงคนข้างหลัง”
“เมื่อเช้าข้าเพิ่งจะปฏิเสธการขอร่วมมือจากพวกเขา ตอนบ่ายก็กลายเป็นเป้าหมายเสียแล้ว ส่วนพวกเขาก็จากไปได้อย่างบังเอิญพอดี ไม่ได้ทิ้งโอกาสไว้ให้เผชิญ หน้าเลย ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน อย่าเพิ่งตัดสินเร็วเกินไป” มู่ชิงเกอเอ่ย
“นายน้อย ให้ข้าออกไปสืบสักหน่อยดีหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซวี่ยนหย่าเสนอออกมา
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า นางฉีกรอยยิ้มออกมา “แทนที่จะรอให้พวกเขามาหา ไม่สู้ให้ข้าไปหาถึงที่แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จะดีกว่า”
“นายน้อยจะไปด้วยตัวเองงั้นหรือ?” เสวี่ยหยาหลุดพูดออกไป ในนํ้าเสียงแสดงถึงความเป็นห่วงและความตึงเครียดอย่างชัดเจน
มู่ชิงเกอพยักหน้า
แม่ทัพมังกรรู้สึกว่าไม่เหมาะจึงเอ่ยห้ามว่า “นายน้อย จุดมุ่งหมายของตระกูลซูและเหยียนไม่ชัดเจน ท่านไปแล้ว หากว่าเป็นเนื้อเข้าปากเสือจะทำอย่างไร?”
มู่ชิงเกอยิ้มกว้าง หว่างคิ้วแฝงไว้ด้วยความมั่นใจและอหังการ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเขาที่เป็นเสือจะสามารถกลืนเนื้ออย่างข้าลงท้องได้ไหม”
ความนั้นใจเช่นนี้ ความไม่แยแสและความสงบนิ่งเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นพลังติดต่อที่สามารถส่งต่อไปยังคนข้างกาย
ดูเหมือนว่า ขอเพียงแค่มีมู่ชิงเกออยู่ก็จะไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถลำบากไปถึงพวกเขาได้เลย!
นัยน์ตาที่คมกล้าดุจนกอินทรีของเซวี่ยนขุยฉายแววนับถือออกมา
เขารู้สึกว่า พี่สาวของตนเองเลือกได้ถูกต้องเป็นอย่างมาก! ติดตามเจ้านายอย่างมู่ชิงเกอดีกว่าติดตามคนโง่เง่าอย่างมู่ลั่วฟงตั้งมากมายนัก!
“ในเมื่อนายน้อยตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะขอติดตามนายน้อยไป” แม่ทัพมังกรเสนอความคิดที่จะตามไป
“ข้าก็จะไป” เซวี่ยนขุยก็รีบเอ่ย
“นายน้อย ยังมีข้า”
“ข้าก็จะไปกับนายน้อย”
“นายน้อย อย่าลืมฮวาเยวี่ย”
เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่า ฮวาเยวี่ยก็ล้วนแต่แสดงท่าที
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันเอ่ยว่า “พวกเราไปพูดคุยไม่ได้ไปต่อยตีไม่ต้องตามไปกันมากมายขนาดนั้น”
“อย่างน้อยก็ไม่อาจให้ท่านไปคนเดียวได้” แม่ทัพมังกรเอ่ยอย่างแน่วแน่
ในใจของมู่ชิงเกอหมดคำจะพูด ที่จริงแล้วนางไปคนเดียวนั้นปลอดภัยที่สุด เพราะหากไม่ไหวจริงๆ นางก็จะ เข้าไปหลบในช่องว่าง แต่ว่าคำพูดนี้ไม่อาจพูดออกมาได้
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “เอาละ เช่นนั้นเซวี่ยนขุยก็ไปกับข้าแล้วกัน พวกเจ้าคนอื่นๆ รออยู่ที่นี่เถอะ”
นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากว่าภายในสองชั่วยามแล้วข้ายังไม่กลับมา พวกเจ้าก็หาหนทางจากไป พวกเราไปรวมตัวกันที่เมืองอู๋อิ๋ง”
คำพูดของนาง ก็เพียงเพื่อเตรียมแผนสำรองเอาไว้ ถ้าเกิดว่าตระกูลซูและเหยียนไม่มีเหตุผล ต่อยตีขึ้นมา นางกับเซวี่ยนขุยก็จะล่อพวกเขาไป พอดีให้คนทางนี้ได้หนีไป
อีกอย่าง นำเซวี่ยนขุยไปคนเดียว นางก็ถอนตัวได้ง่าย แม่ทัพมังกรยังคงยึดมั่น “นายน้อย ท่านนำเพียงแค่เซวี่ยนขุยไปคนเดียว ข้าเกรงว่า…”
“ข้ากำลังสั่งไม่ได้พูดคุย” มู่ชิงเกอตัดบทพูดของเขา มองไปยังเซวี่ยนขุยแล้วเอ่ยว่า “ไปเถอะ
บนถนนใหญ่วุ่นวายเป็นอย่างมาก
กำลังคนของตระกูลซูและเหยียนได้ทำให้ทั้งเมืองอันม๋อเฉิงกลายเป็นสนามม้าไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพบเจอคนหนึ่งคนก็ถามเขาสองคำถาม
ข้อแรก เจ้าใช่มู่ชิงเกอหรือไม่?
ข้อสอง เจ้ารู้ว่ามู่ชิงเกออยู่ที่ไหนหรือไม่?
ยังมีอีกอย่าง นั่นก็คือพวกเขาไล่ถามเฉพาะผู้ชาย บรรดาผู้หญิงนั้นพวกเขาไม่ได้สนใจเลย
ภายในความวุ่นวาย เซวี่ยนขุยมองมู่ชิงเกอที่เดินอย่างสบายใจด้วยความนับถือ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่านายน้อยทำได้อย่างไร ด้านหน้ากำลังถามถึงเขา ส่วนเขากลับยังสามารถทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่บนถนนใหญ่ เดินไปอย่างสบายใจ หากว่าเป็นคนธรรมดาก็คงจะซ่อนตัวไปนานแล้วกระมัง? ไหนเลยจะเป็นอย่างเขาที่ส่งตัวเองไปหาถึงที่เอง?
“นายน้อย ในเมื่อพวกเขากำลังหา เหตุใดพวกเราจึงไม่แสดงสถานะไปเลย?” เซวี่ยนขุยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ข้าต้องการพบก็คือนายใหญ่ของตระกูลซูและเหยียนไม่ใช่พวกลูกน้องเหล่านี้”
เซวี่ยนขุยพยักหน้าอย่างกึ่งเข้าใจกึ่งงง
อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็หันมองเขาเอ่ยถามว่า “ดวงตาของเจ้าพิเศษมากใช่หรือไม่?”
เซวี่ยนขุยชะงัก พยักหน้า แล้วก็เอ่ยอย่างประหลาดใจออกมาว่า “นายน้อย ท่านมองออกได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นความเข้าใจผิดที่บังเอิญมาก “เมื่อวานตอนที่ข้าพบเจ้า พูดประโยคหนึ่ง ว่าดวงตาของเจ้าไม่เลว ตอนนั้นข้ามองเห็นว่าท่าทางของเจ้าดูแปลกๆ จึงเดาว่าคำพูดของข้าคงจะทำให้เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
เหตุผลที่นางบอกว่าดวงตาของเซวี่ยนขุยไม่เลวนั้นก็ เพราะดวงตาที่แหลมคมที่ทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยด้วย
ในชีวิตก่อน นอกจากที่นางจะเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้ว ก็ ยังเป็นมือปืนซุ่มยิงมือฉมังอีกด้วย การจะกลายเป็นมือปืนซุ่มยิงมือฉมังนั้น จำเป็นต้องมีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั้นก็คือ ดวงตาที่แหลมคม
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
เซวี่ยนขุยยิ้มออกมาอย่างกระดากใจ “ไม่ปิดบังนายน้อย ดวงตาของข้านั้นพิเศษอยู่บ้างจริงๆ ขอเพียงไม่มีอะไรมาขวางกั้น ดวงตาของข้าก็สามารถมองเห็นทุกอย่างในระยะร้อยลี้ได้อย่างชัดเจน”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง มองดูเซวี่ยนขุยอย่างตกตะลึง
นางมองดูดวงตาทั้งคู่ของเขาอย่างละเอียด ก็พบว่ามีชั้นเคลือบเปล่งประกายหลายชั้นหุ้มรอบแก้วตาเช่นเดียวกับเพชร หากว่าอยู่ในชีวิตก่อน เซวี่ยนขุยก็คงถือว่า เป็นผู้มีพลังพิเศษเกี่ยวกับสายตาใช่หรือไม่? หรือพูดได้ว่า เขาเป็นมือปืนซุ่มยิงมือฉมังโดยกำเนิด!
มู่ชิงเกอเก็บความตกตะลึงในใจ มองไปที่เซวี่ยนขุยแล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลย”
นางพูดเพียงสามคำ แต่ในใจกลับเกิดความคิดขึ้นมากมาย ในเมื่อนางสามารถนำกลีเนทลันเชอร์มาโลกนี้จากชีวิตก่อนได้ เช่นนั้นนางก็สามารถบ่มเพาะเซวี่ยนขุยให้เป็นมือปืนซุ่มยิงมือฉมังได้ใช่หรือไม่?
พวกโจมตีระยะไกลของคนอื่นใช้ลูกศร!
ส่วนคนโจมตีระยะไกลของนางใช้ปืนซุ่มยิง สามารถทำลายศัตรูในระยะร้อยลี้ได้!
สุดยอด!
หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอเผยร่องรอยของความสุขใจออกมา มองไปยังดวงตาของเซวี่ยนขุยอีกครั้ง ดุจดงได้พบสมบัติก็ไม่ปาน มองจนเซวี่ยนขุยขนลุกขึ้นมา
“หยุด!”
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ขวางทางของนาง
มู่ชิงเกอกับเซวี่ยนขุยหยุดลง มองไปยังพวกเขา ที่เอวของพวกเขาทุกคนล้วนแต่มีเข็มขัดเส้นหนึ่ง บนนั้นสลักคำว่า ‘ซู’ ไว้ ดูแล้วเป็นคนของตระกูลซู
“พวกเจ้าชื่อว่าอะไร?” ผู้ที่เป็นหัวหน้าเอ่ยถาม มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “มู่ชิงเกอ”
มู่ ชิง เกอ!
สามคำนี้หลุดออกไป คนของตระกูลซูทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที ค่อยๆ ชักอาวุธออกมาชี้ไปทางมู่ชิงเกอและเซวี่ยนขุย
“มู่ชิงเกออยู่ที่นี่!” หัวหน้าคนนั้นตะโกนเสียงดังออกมา ดึงดูดความสนใจของกลุ่มอื่นๆ รอบด้าน
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยกับเขาว่า “ไม่ต้องตื่นเต้นถึงขนาดนี้ข้ากำลังคิดจะไปพบประมุขตระกูลของพวกเจ้าพอดี ไม่สู้เจ้านำข้าไปเป็นอย่างไร?”
“เหอะ! โจรรา… เจ้าขโมยใจกล้าตอนนี้ถูกข้าจับแล้วยังกล้าพูดจาโอหังอีก!” ผู้นำกลุ่มของตระกูลซูตะคอกออกมา
แต่ว่าเขาเปลี่ยนคำพูดไปชั่วขณะแต่ก็ถูกมู่ชิงเกอจับไว้ได้
คำพูดคำแรกที่เขาคิดจะพูดนั้นทำให้นางได้กลิ่นของเรื่องไม่ดี
บนถนนใหญ่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นรอบด้าน
อย่างรวดเร็วคนหลายร้อยของตระกูลซูและเหยียนก็ล้อมมู่ชิงเกอและเซวี่ยนขุยไว้หลายชั้น
บนถนน เปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมาในทันใด เหลือไว้แต่เพียงกลิ่นอายแห่งความอึดอัดอันแปลกประหลาด
เซวี่ยนขุยมองคนรอบด้านอย่างระแวดระวัง นัยน์ตาเฉียบคม
“เซวี่ยนขุย เจ้าในตอนนี้มีพลังอยู่ระดับไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงเบา
เซวี่ยนขุยชะงัก เอ่ยตอบตามจริง “หลังจากเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางแล้ว ข้ากับพี่สาวก็ค่อยๆ ทะลวงระดับ ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสีเทาชั้นสาม พี่สาวอยู่ระดับสีเทาชั้นสี่”
มู่ชิงเกอเข้าใจในกำลังของเซวี่ยนขุยแล้ว
นางไม่ได้มาต่อยตีเพียงแต่มาเพราะต้องการเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจนเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามจากท้องฟ้ามาว่า “มู่ชิงเกอรับ ความตาย!”
ที่ตามเสียงลงมานั้นเป็นพลังระดับสีเทาสายหนึ่ง ตกลงมาจากฟ้าพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นไปมอง พลังจิตอันแข็งกร้าวสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง นางรีบคว้าไหล่ของเซวี่ยนขุย ผลักไปด้านหลัง หลบการโจมตี
พลังจิตสายนี้ตกลงบนที่ว่างทำให้พื้นแตกออกเป็นร่อง เป็นรอยลึกสายหนึ่ง
คนหลายร้อยที่ล้อมมู่ชิงเกอกับเซวี่ยนขุยไว้รีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว พวกเขาเหลือที่ว่างแต่ก็ยังคงปิดกั้นเส้นทางถอยทุกทาง ไม่ให้มู่ชิงเกอได้มีโอกาสหนีไป มู่ชิงเกอลากเซวี่ยนขุยถอยไป ก็มองเห็นเงาร่างคนสายหนี่งที่อยู่ไกลออกไป กำลังพุ่งลงมาจากฟ้า ในมือของเขาถืออาวุธยาวพุ่งมาหามู่ชิงเกอ
ไอพลังที่เหมือนจะทำลายไม้ไผ่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าหากไม่ได้ตีโดนหัวมู่ชิงเกอแล้วจะไม่ยอมหยุด!
เซวี่ยนขุยคิดก็ไม่คิดจะไปบังอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ แต่กลับถูกมู่ชิงเกอผลักออก ตัวเองรับมืออีกฝ่าย
ชุดที่ดูเหมือนเปลวเพลิงของนาง ดูร้อนแรงมาก ยื่นมือขวาออกไปจะคว้าจับอาวุธยาวนั่น การเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอทำให้คนที่มาประหลาดใจ แต่นัยน์ตาก็เผยความบ้าคลั่งขึ้นในทันที ส่งพลังจิตเข้าไปในอาวุธยาวมากขึ้น ดวงตามองเห็นว่ามือของมู่ชิงเกอจะสัมผัสกับอาวุธยาวแล้ว นางก็ไหลพุ่งออกไป หลีกจุดที่แหลมคม คว้าเข้าที่ด้าม ออกแรงดึง ทำให้คนๆ นั้นตกลงมาสู่พื้น ทั้งสองคนใช้มือข้างหนึ่งจับอาวุธยาวไว้คนละฝั่ง หมุนเป็นวงกลมรอบหนึ่งถึงได้หยุดเคลื่อนไหว
“เจ้าเป็นใคร?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองดูอีกฝ่าย
คนนั้นกลับเอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “ข้าเป็นใครงั้นหรือ? ข้าคือนายน้อยตระกูลเหยียน เหยียนฉีชวน!”
“คนของตระกูลเหยียน” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม
นางมองเหยียนฉีชวน เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเยียบเย็นว่า “เจ้าคือนายน้อยตระกูลเหยียน มาก็ดีแล้ว ข้ายังอยากจะไปตระกูลของพวกเจ้าทั้งชูและเหยียนเรียกร้องความยุติธรรมอยู่พอดี”
“ความยุติธรรม! ชิ เอาชนะข้าแล้วข้าจะให้เจ้าได้พูด!” เหยียนฉีชวนพลิกอาวุธยาวในมือคิดจะให้มู่ชิงเกอคลายมือ
มู่ชิงเกอทำตามที่เขาต้องการ คลายมือที่กุมอาวุธยาว มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด
ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด ยากที่จะคาดเดา ทั้งไม่ได้ใช้พลังจิต ทำให้คนสับสน
เหยียนฉีชวนรู้สึกเพียงแต่ว่ามีเงาร่างคนเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าของเขา แล้วก็รู้สึกว่ามือของตัวเองเจ็บ ไม่อาจจะจับอาวุธยาวเอาไว้ได้
เสียงดังเคล้ง อาวุธยาวตกลงพื้น ส่วนคอของเขาก็ถูดมีดสั้นที่คมกริบกดเอาไว้อยู่
“ทุกคนอย่าขยับ” มู่ชิงเกอตะคอกออกไป ทำให้คนหลายร้อยคนดูหวาดเกรงเป็นหนูติดจั่น
เซวี่ยนขุยหยิบอาวุธยาวที่ตกพื้นขึ้นมา ยืนอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ คุ้มกันหลังให้นาง
“มีความสามารถเจ้าก็ฆ่าข้าเลย!” นัยน์ตาของเหยียนฉีชวนฉายแววโกรธแค้น
ท่าทางที่เขามีต่อมู่ชิงเกอ ก็ดูเหมือนว่าแค้นที่ถูกฆ่าบิดาก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอกับยิ้มเยาะเย้ยเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มาต่อยตี ข้าแค่มาเพื่อทำความเข้าใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น ในเมื่อ เจ้าไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็ได้แต่เชิญเจ้านายน้อยตระกูลเหยียนตามข้าไปสักรอบ”
“เจ้ายังมาถามอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น? มู่ชิงเกอเจ้าช่างต่ำช้าจริงๆ!” เหยียนฉีชวนเอ่ยอย่างโมโห
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น “ข้าทำอะไรกันถึงได้พูดว่าตํ่าช้า พูดเหมือนว่าเจ้าอยากจะมีเรื่อง”
“เจ้า!” เหยียนฉีชวนถูกเขายั่วโมโหไม่น้อย
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววแข็งกร้าว กวาดตามองคนหลายร้อยคนรอบกาย เอ่ยด้วยเสียงที่เยียบเย็นว่า “หากไม่คิดที่จะเก็บศพของนายน้อยของพวกเจ้า ก็หลีกทางให้ข้า”
ถูกนางตะคอกใส่แล้วคนของตระกูลเหยียนก็ค่อยๆ ถอยออกไป แต่ว่าคนของตระกูลซูกลับยังคงลังเล ยังคิดจะล้อมต่อ
“ไม่ต้องสนใจข้า! ฆ่าเขาซะ! อย่าให้เขาหนีไปได้ ฆ่าเขา แก้แค้นให้คุณหนูของพวกเจ้า!” เหยียนฉีชวนตะโกนขึ้นมา
ส่วนนี้กลับเป็นการแจ้งแก่มู่ชิงเกอ
นัยน์ตาของนางฉายแวววาววาบ มุมปากฉีกออกเป็นรอยยิ้ม กดเลียงต่ำลงเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะหาต้นตอพบแล้ว”
แก้แค้นให้คุณหนูตระกูลซูงั้นหรือ? คุณหนู ซูพบเจอเรื่องอะไรกัน?
“หลีกทาง!” มีดสั้นในมือของมู่ชิงเกอ แทงลงบนผิวของเหยียนฉีชวน เลือดไหลออกมา
สีหน้าของเหยียนฉีชวนเปลี่ยนไปในทันทีริมฝีปากที่เม้มแน่นสั่นเล็กน้อย
“พวกเจ้าหลีกไปให้หมด หากว่านายน้อยของพวกเราเป็นอะไรไป ก็คงต้องให้พวกเจ้าตกตายไปตามกัน” คนของตระกูลเหยียนเริ่มกดดันคนของตระกูลซูให้เปิดทาง
ผู้นำกลุ่มคนหนึ่งของตระกูลเหยียนเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าอย่าได้ใจไป ผู้อาวุโสตระกูลเหยียนของพวกเรา กำลังมา หากว่าเจ้ากล้าทำร้ายนายน้อยของพวกเราแม้ แต่เพียงนิดเดียว ก็จะต้องถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น”
มู่ชิงเกอกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดู เย็นชาว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าในตอนนี้ข้าสามารถทำให้ นายน้อยของเจ้าถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นได้? บอกผู้อาวุโสตระกูลเหยียนของพวกเจ้าว่าหากต้องการจะคิดบัญชีกับข้า ให้มาที่ตะถูลซู”
พูดแล้วนางก็หิ้วเหยียนฉีชวนขึ้นฟ้าไป มีเหยียนฉีชวนเป็นคนนำทาง นางไม่กังวลเรื่องที่จะหลงทาง เซวี่ยนขุยก็ตามไปติดๆ ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะอยู่แค่ระดับสีเทาชั้นสาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอต้องเป็นกังวล
“เจ้าถึงกับกล้าไปตระกูลซูงั้นหรือ ช่างไม่กลัวตายจริงๆ” เหยียนฉีชวนเอ่ยอย่างดูแคลน
มู่ชิงเกอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะอย่างขี้เล่นเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ก่อนที่ข้าจะตายก็จะต้องพาคนไปเป็นเพื่อนแน่นอน ข้าดูแล้วเจ้าก็ดูไม่เลวนัก”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของเหยียนฉีชวนเปลี่ยนเป็นซีดขาว
ถูกมู่ชิงเกอจับกุมทำให้พลังของเขาลดลงเรื่อยๆ เพรา ถูกมู่ชิงเกอควบคุมไว้
เซวี่ยนขุยมองเขาแวบหนึ่งอย่างดูแคลน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกนับถือนายน้อยของตัวเองเป็นอย่างมาก ความนับถือเพิ่มขึ้นเหมือนนํ้าไหลที่ไหลลงมาอย่างไม่มีวันจบสิ้น
“ที่นั่นก็คือตระกูลซู’’ เหยียนฉีชวนชี้ไปที่พื้นที่กว้างขวางแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองไป มีผู้แข็งแกร่งหลายคนกำลังกวาดตาจ้องมองมาที่นาง ภายในนั้น กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับสีเงินชั้นสี่
มู่ชิงเกอจับเหยียนฉีชวนร่อนลงไป ตรงลงไปยืนตรงลานกว้างของตระกูลซู
เพียงพริบตาเดียวก็ถูกคนของตระกูลซูจำนวนนับไม่ถ้วน ล้อมพวกนางทั้งสามคนเอาไว้
มู่ชิงเกอมีท่าทางเคร่งขรึม ไม่ได้สนใจบรรดาคนที่ล้อมนางเอาไว้ เพียงแต่เอ่ยว่า “คุณหนูซูอยู่หรือไม่? ประมุขตระกูลซูอยู่หรือไม่?”
“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ถึงกับกล้ามาหาข้าถึงตระกูลซู!” เสียงตะคอกดังออกมาจากในห้อง
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก็มองเห็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างดูสมส่วนท่าทางไม่ธรรมดาคนหนึ่งพุ่งออกมาจากหลังกลุ่มคน เดิมเขาคิดจะจับกุมมู่ชิงเกอ แต่ในตอนที่มองเห็นเหยียนฉีชวนอยู่ในมือของเขาแล้ว ก็เก็บมือกลับมาในทันที ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดของกลุ่มคน
“ปล่อยหลานเหยียนซะ!” ประมุขตระกูลซูตะคอกออกมา
ในตอนนี้สีหน้าของเขาไม่น่าดูเป็นอย่างมาก สายตาที่มองดูมู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าอยากจะกลืนกินเขาลงท้องก็ไม่ปาน
“ปล่อยเขานั้นได้แต่ทว่าข้าต้องการพบคุณหนูซูก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ย
“เจ้ากล้าพูดถึงหนวนหน่วนอีกงั้นหรือ!” เมื่อได้ยินมู่ชิงเกอพูดถึงลูกสาวของตัวเองแล้ว ความโมโหของประมุขตระกูลซูก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “เหตุใดจะไม่กล้า? มีคนแอบอ้างชื่อของข้า แล้วดูเหมือนว่าจะไปทำอะไรกับคุณหนูซู ข้ามาที่นี่ก็เพื่อสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
“เจ้าสารเลวน่าไม่อาย! ทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนั้นแล้วยังกล้าพูดจาปลิ้นปล้อนอีก ตอนนี้ยังจับกุมนายน้อยของพวกข้าเอาไว้ช่างสมควรตายจริงๆ!” ทันใดนั้น ไกลออกไปก็มีเสียงตะคอกดังเข้ามา
มู่ชิงเกอหันมองไป ก็มองเห็นเงาร่างคนของคนบนอากาศกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ตระกูลซู
ไอพลังของคนทั้งสองไม่ได้ด้อยไปกว่านาง!