Skip to content

พลิกปฐพี 258

ตอนที่ 258

ตัดสินของเจ้า!

“เมืองฝูซา”

มู่ชิงเกอเหลือบมองชื่อเมืองด้านหน้าลำดับชื่อของผู้หญิงแซ่ซาง แล้วก็ได้รับคำตอบที่นางต้องการ

นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างหนึ่ง แต่เดิมนางยังคิดที่จะอยู่สืบเรื่องตระกูลซางในเมืองอูอิ๋นก่อน แต่ไม่คิดว่าที่อยู่ของตระกูลซางนางกลับได้รับรู้จากทำเนียบฉูเฟิ่ง นางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบามาก ไม่ได้ทำให้ใคร รู้สึกตัว แต่ผู้หญิงนางนั้นที่ยืนอยู่ข้างนางกลับได้ยิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางหันกลับมามองที่มู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าจะเป็นในตอนนี้ที่นางเพิ่งจะพบว่าข้างกายของตนเองมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน

เหมือนกับมีสัญชาตญาณอะไรบ้างอย่าง มู่ชิงเกอก็หันมองในเวลานี้พอดี เมื่อสายตาประสานกันกับผู้หญิงนางนั้น มองเห็นกันและกัน

ปัง!

ในตอนที่มู่ชิงเกอมองเห็นได้ชัดถึงรูปโฉมของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ในใจของนางก็เหมือนถูกโจมตี รู้สึกถูกชะตา

ความรู้สึกเช่นนี้ นางไม่เคยมีมาก่อน!

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นงดงามมาก งดงามดุจดังภาพวาดอันวิจิตร ทุกๆ ส่วนของนางดูสมบูรณ์แบบไม่มีจุดด้อยแม้แต่จุดเดียว

หญิงนางนี้มีรูปร่างสูงเพรียว เตี้ยกว่านางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประกายในดวงตาให้ความรู้สึกสูงส่ง มู่ชิงเกอมองนาง ในใจก็เกิดความเชื่อใจอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่อยากจะปกป้องนาง

หากว่าเป็นผู้ชาย บางทีมู่ชิงเกออาจจะยอมรับว่าความรู้สึกเช่นนี้นั้นเป็นความรู้สึกระหว่างชายหญิง แต่ว่า นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งพบผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเป็นครั้งแรกแล้วก็เกิดรู้สึกถูกชะตา ทำให้รู้สึกไม่ค่อยปกติ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจกับปฏิกิริยาของตนเอง

แต่ในตอนที่นางขมวดคิ้วนั้น ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน ความแปลกใจในนัยน์ตาส่วนลึกของนางค่อยๆ ถูกเก็บกลับคืน เอ่ยขึ้นก่อนว่า “คุณชายท่านนี้พวกเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”

ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ส่ายหน้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่เคย”

“จริงหรือ?” นัยน์ตาของหญิงสาวเกิดความสงสัยอยู่บ้าง นางมองมู่ชิงเกออย่างละเอียด ในที่สุดก็พูดว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยพบกันจริงๆ เพียงแต่คุณชายทำให้

ข้ารู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จัก เสียมารยาทแล้ว”

“แม่นางเกรงใจเกินไปแล้ว”มู่ชิงเกอตอบ

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่หลังจากพยักหน้าให้มู่ชิงเกอเบาๆ แล้วก็หันกายจากไปจากทำเนียบฉูเฟิ่ง ลงจากบันไดไป

มู่ชิงเกอใช้สายตาส่งจนนางหายลับไปจากสายตาถึงได้ถอนสายตากลับ

เห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ไม่ขยับ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เซวี่ยนหย่าก็เดินไปตรงหน้าของนาง เอ่ยถามเบาๆ “นายน้อย มีอะไรจะสั่งหรือไม่?”

มู่ชิงเกอเก็บความคิดกลับ หันมองทำเนียบฉูเฟิ่งอีกแวบหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ตรงชื่อของซางเสวี่ยอู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ถอนสายตากลับเอ่ยกับทุกคนว่า “ออกไปจากที่นี่ก่อน หาที่พักพักผ่อน”

“คุณชาย พวกเราจะเลือกพักเป็นเรือนเล็กๆ เหมือนก่อนหน้านี้ หรือว่าจะพักในโรงเตี๊ยมดีเจ้าคะ?” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยตอบ “ครั้งนี้ไม่อยู่นาน ใช้เวลาไม่กี่วัน หาโรงเตี๊ยมที่สะอาดหน่อยพักก็ได้แล้ว ”

“เจ้าค่ะ” ฮวาเยวี่ยรับคำสั่งออกไป เซวี่ยนขุยตามนางไปเอง ไปหาโรงเตี๊ยมที่เหมาะสมด้วยกัน

เวลานี้ข้างกายของมู่ชิงเกอก็เหลือเพียงเสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่าสองคน

น้อยลงไปสองคน กลุ่มของนางกลับยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนมากขึ้น รูปโฉมที่ดูโดดเด่นของทั้งสามคน ดูเหมือนกับดวงดาวสองดวงเคียงคู่กับพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเดินไปไหน ก็ล้วนแต่ดึงดูดสายตาของผู้คน

ดีที่คนเหล่านี้เพียงแค่จ้องมองอย่างตกตะลึงเป็นพักๆ เท่านั้น หรือไม่ก็กระซิบกระซาบกัน ไม่ได้เข้ามารบกวนพวกนางจริงๆ

รูปแบบของเมืองอูอิ๋นไม่ต่างจากเมืองจินไห่มากเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจะดูจะเจริญมากกว่า คนที่เดินไปเดินมาบนถนนก็ดูมีพลังมากกว่า แต่สิ่งของทั่วไปแตกต่างกันไม่มาก

เดินไปบนถนนใหญ่ของเมืองอู๋อิ๋น รอฮวาเยวี่ยและเซวี่ยนขุยหาที่พัก มู่ชิงเกอก็พาสองสาวเดินเล่นไปพลางๆ

แน่นอนว่าไม่ต้องสนว่านางจะมีความสุขหรือไม่มีความสุข ก็ล้วนแต่ถูกคนรอบกายส่งสายตาอิจฉาตาร้อนมาให้ ตอนนี้ภาพที่นางคนเดียวมีสาวงามสองคนเคียงคู่มา ดูบาดตาผู้คนเป็นอย่างมาก!

ผู้ชายรอบด้านล้วนแต่แค้นจนแทบอยากจะเข้าไปแทนที่เขา ไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่า

“พวกเจ้าสองคนยืนอยู่ด้วยกันช่างดูเด่นเกินไปจริงๆ” เดินไปสักพัก มู่ชิงเกอก็ส่ายหน้าถอนหายใจเอ่ยออกมาอย่างหมดหนทาง

ประโยคเยาะเย้ยนี้ของนางตกเข้าไปในหูของเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่า ทั้งสองคนสบตากับแวบหนึ่ง ในใจล้วนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพร้อมกันว่า ‘นายน้อย ท่านดูแคลนพลังทำลายล้างจากรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองไปหรือเปล่า?’

มู่ชิงเกอถูกผู้ชายอิจฉา พวกนางทั้งสองคนก็เช่นเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าถูกสายตาอิจฉาตาร้อนจากเหล่าหญิงสาวที่อยู่ข้างถนนจ้องมองด้วยมิใช่หรือ?

“ไปนั่งทางนั้นกันเถอะ” มู่ชิงเกอมองไปข้างถนนมีศาลาพักดื่มชา จึงเรียกผู้หญิงสองคนมุ่งหน้าไปทางนั้น ภายในศาลาดื่มชาไม่ได้มีลูกค้าอะไร เจ้าของร้านก็นั่ง หาวอยู่ด้านข้าง

พวกมู่ชิงเกอสามคนเดินผ่านข้างเขาไป ตรงเข้าไปนั่งตรงกลางศาลา

เซวี่ยนหย่า เดินไปตรงหน้าของเจ้าของร้าน เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าของร้าน มีลูกค้ามาแล้ว”

เจ้าของศาลาพักดื่มชาเบิกตาขึ้นมาอย่างมึนงง มองเซวี่ยนหย่า ตั้งแต่หัวจรดเท้า ในตอนที่เขามองเห็นใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์นั่นของเซวี่ยนหย่า ก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้น มาอย่างตกตะลึงว่า “อา!”

เซวี่ยนหย่ายิ้ม เอ่ยซํ้าอีกครั้งว่า “เจ้าของร้าน มีลูกค้ามาแล้ว รบกวนจัดเตรียมอุปกรณ์ชงชาให้พวกเราที รวมถึงของทานเล่นคู่กับนํ้าชาด้วย”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” เจ้าของศาลาดื่มชาขานรับอย่างต่อเนื่อง

เซวี่ยนหย่า ย้อนกลับไปยังศาลา เจ้าของศาลาดื่มชาวุ่นวายขึ้นมา ไม่นานก็จัดเตรียมสิ่งของที่เซวี่ยนหย่าสั่งเอาไว้เสร็จ แล้วก็ส่งมาที่ศาลา

เมื่อเข้าไปในศาลา เขาถึงได้มองเห็นโฉมหน้าของมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา ในใจก็เหมือนกับถูกโจมตีอีกครั้ง สติหลุด ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เซวี่ยนหย่ายิ้มแล้วยืนขึ้นมา รับถาดจากมือของเขาวางลงบนโต๊ะ แล้วก็ล้วงเอาเงินพวงหนึ่งออกมาจากอก วางลงบนถาดที่เจ้าของร้านยังคงถือเอาไว้ ถึงได้ ตะโกนบอกว่า “เจ้าของร้าน เจ้าไปได้แล้ว”

“อา!” เจ้าของศาลาพักดื่มชาขึ้นคืนสติ ค่อยๆ เดินกลับ ออกไปจากศาลาด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหมือนว่าสติยังกลับคืนมาไม่ครบสมบูรณ์

“นายน้อย ที่นี่เกรงว่าคงจะไม่มีชาดีอะไร คงต้องดื่มเท่าที่มีแล้ว” เสวี่ยหยาทำความสะอาดถ้วยชาแล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอเบาๆ

มู่ชิงเกอส่ายหน้า เอ่ยอย่างไม่ถือสาว่า “ข้าก็ไม่ใช่คนที่เข้าใจชาดี ชาอะไรสำหรับข้าแล้วก็เหมือนๆ กัน เอาเท่าที่มีก็พอ”

มู่ชิงเกอมองไปทางเซวี่ยนหย่า แล้วเอ่ยกับนางว่า “ตระกูลของเจ้าให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า เจ้าไม่รู้สึกต่อต้านบ้างเลยหรือ?”

นางจำได้ว่า แม้แต่เสวี่ยหยาเองในตอนที่นางเพิ่งจะโผล่ออกมานั้น องค์หญิงเผ่าอี๋คนนี้ก็รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นในใจแล้ว แน่นอนว่าความไม่ยินยอมนี้คือมีต่อนางไม่ได้มีต่อโชคชะตา

เซวี่ยนหย่า ดูเหมือนว่าจะไม่คาดคิดเลยว่าอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอจะถามอย่างนี้ขึ้นมา จึงชะงักไปเล็กน้อย นางครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วถึงเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ที่ข้าเกิดขึ้นมา ชะตาชีวิตนี้ก็ตกมาอยู่ที่ข้าแล้ว การอบรมสั่งสอนที่ข้าได้รับมานั้น ทุกๆ อย่างล้วนแต่เพื่อที่จะมีสักวันจะได้รับใช้นายน้อย ข้าไม่ได้คิดว่ามีอะไรยากที่จะยอมรับ”

มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง หลุบตาลง จิบชาร้อนตรงหน้าของตนเอง จรดไปที่ริมฝีปากเพื่อเป่าเบาๆ

‘เซวี่ยนหย่า เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง และก็มีความคิดของตัวเอง ผู้หญิงเช่นนี้จะยอมรับชะตาชีวิต จะทำตามคำสั่งของตระกูลอย่างงั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อ’

“นายน้อย ท่านกำลังสงสัยความจงรักภักดีของเซวี่ยนหย่าอย่างนั้นหรือ?” เซวี่ยนหย่าพูดตรงๆ ออกไป

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น กวาดนัยน์ตากระจ่างใสมองไปยังเซวี่ยนหย่า ค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลง “ไม่ ข้าไม่ได้สงสัยความภักดีของเจ้า แต่ว่าข้าไม่คาดหวังให้คนที่อยู่ข้างกายของข้านั้นมีจุดมุ่งหมายอื่น เจ้ากับเสวี่ยหยาเองก็เหมือนกัน”

พูดจบ สายตาของนางก็ตกไปอยู่ที่ร่างของเสวี่ยหยา

ดวงตาของเสวี่ยหยาที่เป็นประกาย มืดมนลงในทันที เพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ นางกัดริมฝีปากแล้วก็พูดรับรองว่า “นายน้อย ข้านั้นมีภารกิจที่ต้องจับตาดูนาย น้อย เร่งให้นายน้อยพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง นำนายน้อยไปสู่หนทางที่ถูกต้อง หลังจากนั้น ในตอนที่นายน้อยที่แท้จริงปรากฏออกมานายน้อยที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะได้รับความจงรักภักดีที่แท้จริงจากฐานกำลังทั้งหมด แต่นี่ก็เป็นพวกเขาไม่ใช่ข้า เสวี่ยหยาได้ยอมรับนายน้อยเป็นเจ้านายแล้วก็จะไม่ทรยศ หากว่ามีวันใดที่นายน้อยพ่ายแพ้สิ้นชีพ เสวี่ยหยาก็จะตามไป จะไม่ขอมีชีวิตอยู่!”

เสวี่ยหยายิ่งพูดยิ่งจริงจังขึ้นมา ไม่เพียงแต่ทำให้เซวี่ยนหย่าตื่นตะลึง แต่ยังทำให้นัยน์ตาที่ดูเรียบสงบของมู่ชิงเกอเผยร่องรอยสั่นไหวเล็กน้อย

คำพูดเหล่านี้ตามจริงไม่สมควรพูดกับมู่ชิงเกอ!

เซวี่ยนหย่ามองเสวี่ยหยา รู้สึกทึ่งในความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ของนาง

เลือกมู่ชิงเกอ เผ่าอี๋ของพวกนางก็ต้องสนับสนุนเต็มที่!

แต่หากว่ามู่ชิงเกอเดินไปไม่ถึงจุดสุดท้าย ไม่สามารถกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายได้ เช่นนั้นพวกนางก็ต้องจงรักภักดีใหม่ต่อผู้ที่กำชัยชนะเป็นคนสุดท้าย ถึงเวลานั้น ถึงจะเป็นการจงรักภักดีที่แท้จริง

แต่ว่า คำพูดของเสวี่ยหยาหมายความว่าอย่างไร?

หากว่ามู่ชิงเกอพ่ายแพ้นางก็จะติดตามไปงั้นหรือ? นี่ก็ไม่ใช่การจงรักภักดีต่อตระกูลมู่แล้ว แต่เป็นการจงรักภักดีต่อมู่ชิงเกอเพียงคนเดียว!

สองอย่างนี้มีความแตกต่างกัน!

เซวี่ยนหย่า ไม่ใช่เสวี่ยหยา นางไม่ได้มีโชคชะตาที่ยุ่งเหยิงเหมือนเสวี่ยหยา แต่จุดมุ่งหมายของนางนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ นางต้องเลือกรับใช้นายน้อยที่มีความสามารถในการแข่งขัน จากนั้นก็สนับสนุนนายน้อยทีละก้าว…ทีละก้าว จน ขึ้นสู่จุดสูงสุด นำพาตระกูลของนางขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้น สามารถพูดได้ว่า เซวี่ยนหย่านั้นมองในมุมที่ใหญ่กว่า และก็แสดงว่านางมีเหตุผลที่มากกว่า

ดังนั้น นางในตอนนี้จึงไม่เข้าใจการแสดงออกของเสวี่ยหยา และก็รู้สึกกังวลใจว่าจะเป็นเพราะว่าการแสดงออกในครั้งนี้จะทำให้มู่ชิงเกอเกิดช่องว่างกับนางรึเปล่า ในตอนที่ความคิดของนางล่อยลอยไปว่าจะทำอย่างไรให้มู่ชิงเกอไม่เกิดอาการไม่พอใจตนเองนั้น มู่ชิงเกอกลับเอ่ยปากออกมาว่า “ที่จริงพวกเจ้าไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนี้ก็ได้ สำหรับข้าแล้วพวกเจ้าก็เป็นเพียงแผนที่ในการตามหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางก็เท่านั้น ส่วนข้าสำหรับพวกเจ้าก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ทุกคนล้วนแต่ได้ผลประโยชน์ของใครของมัน ไม่ต้องพูดถึงความจงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดี”

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

เซวี่ยนหย่า กับเสวี่ยหยาประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน

ประโยคนี้ของมู่ชิงเกอทำให้พวกนางจิตใจสับสนวุ่นวาย จิตใจสับสนวุ่นวายของพวกนางนั้นไม่เหมือนกัน เสวี่ยหยานั้นเป็นเพราะถูกคำพูดที่ไร้จิตใจนี้ทำร้ายจน รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่มีวิธีที่จะแก้ตัว ส่วนเซวี่ยนหย่าก็รู้สึกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะออกไปจากแผนการของนาง ทำให้นางจับทางไม่ถูก

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา นางไม่ได้ไปมองเซวี่ยนหย่า แต่กลับมองไปที่เสวี่ยหยาที่เงยหน้ามองนางด้วยนํ้าตาเอ่อคลอ ภายใต้การจับจ้องมองของเสวี่ยหยา นางก็ยกมือขึ้นลูบเครื่องประดับติดผมของนางเบาๆ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงปลอบโยนว่า “ใครที่จริงใจกับข้านั้น ข้ารู้ดี”

พูดจบแล้วนางก็เก็บมือกลับ เอ่ยกับสองนางว่า “อีกครู่ พวกเจ้าไปหาฮวาเยวี่ยกับเซวี่ยนขุยก่อน ข้าจะไปเดินเล่นคนเดียว”

ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วมู่ชิงเกอก็เดินออกไปจากศาลาพักดื่มชาคนเดียว เดินเข้าไปในกลุ่มคน

“นายน้อย!” เซวี่ยนหย่ายืนขึ้น คิดอยากจะไล่ตามไป

เสวี่ยหยากลับยกมือขึ้นขวางนางไว้ นางก็รู้สึกซึมกับคำพูดของมู่ชิงเกอก่อนไป แต่ก็ไม่ลืมคำสั่งของมู่ชิงเกอ “นายน้อยบอกว่าจะไปเดินเล่นคนเดียว”

เซวี่ยนหย่าถอนสายตาค้นหาจากมู่ชิงเกอกลับมามองที่เสวี่ยหยา

อย่างยาวนาน นางถึงได้เอ่ยตักเตือนออกมา “น้องสาว พวกเราเป็นบ่าว หลงรักเจ้านายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี”

คำพูดของเซวี่ยนหย่าแทงใจเสวี่ยหยา นางเม้มริมฝีปากแน่น สายตาทอดมองไกลออกไป “ข้ารู้แต่เพียงว่าจะจงรักภักดีต่อนายน้อย ไม่มีวันทรยศ คนอื่นนั้นข้าไม่ ยินยอมและก็ไม่คิดจะยินยอมด้วย”

“น้องสาว หรือว่าเจ้าลืมคำสั่งของตระกูลแล้วหรือ?” เซวี่ยนหย่า ขมวดคิ้วพูดออกมา

เสวี่ยหยากลับนิ่งเงียบไม่พูดสักคำ

เซวี่ยนหย่าจ้องมองนาง เอ่ยเสียงเข้มออกมาว่า “ตระกูลของเจ้าและข้าแต่เดิมก็เป็นบ่าวของตระกูลมู่ ดังนั้นการจงรักภักดีต่อตระกูลมู่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ พวกเราต้องถือเอาเหตุผลหลักในการเลือกคนที่จะจงรักภักดีด้วย กฎของการแข่งขันนี้ไม่ใช่พวกเรากำหนดขึ้น แต่เป็นบรรพชนของตระกูลมู่กำหนดขึ้น พวกเราแค่เพียงทำตามไม่ได้มีอะไรผิด เจ้าอย่าได้ลืมเหตุผลหลักไป”

“พี่สาว นี่เป็นสิ่งที่ข้ากับท่านไม่เหมือนกัน ท่านนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อตระกูล เพื่อรักษากฎ แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าเป็นคน นายน้อยดีต่อข้ามาก ข้าไม่อาจจะไปจงรักภักดีต่อคนอื่นได้อีก” เสวี่ยหยาพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

เซวี่ยนหย่ามองดูนางไม่พูดไม่จา

เสวี่ยหยาถอนหายใจ มองนางแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ในตอนนี้ข้ายังไม่อยากโต้เถียงกับท่านอะไรมาก ข้าเชื่อว่า รอให้ท่านติดตามนายน้อยไปอีกหน่อย ท่านจะรู้สึกได้ถึงความดีของเขา หรือไม่ก็ในเวลานั้น ท่านจะสามารถเข้าใจในเหตุผลของข้า ข้าจงรักภักดีเฉพาะกับมู่ชิงเกอ ไม่ใช่นายน้อยตระกูลมู่อะไรนั้น!’’

นํ้าเสียงที่ดูแน่วแน่และทางเลือกที่แน่ชัด ยังมีประโยคก่อนที่มู่ชิงเกอจะไปประโยคนั้นอีก ทำให้หัวใจของเซวี่ยนหย่าประสบผลกระทบที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดมาก่อน นางมองเสวี่ยหยา ในที่สุดก็เอ่ยว่า “น้องสาวตัดสินใจดีแล้วงั้นหรือ?”

เสวี่ยหยาพยักหน้า

ความหมายในทางเลือกของนางก็คือ หากสุดท้ายแล้วมู่ชิงเกอแพ้นางก็จะไม่จากมู่ชิงเกอไป เจ้านายของนางไม่ใช่นายน้อยของตระกูลมู่อีกต่อไป

เซวี่ยนหย่าถอดใจที่จะพูดโน้มน้าวต่อ จึงเอ่ยกับนางว่า “เรื่องนี้พวกเราค่อยพูดกันทีหลังเถอะ”

ทันใดนั้น นางก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นค่อยๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “กลัวแต่ว่า จากที่พูดกันวันนี้เสร็จแล้ว นายน้อยอาจจะมีช่องว่างกับข้า ไม่เชื่อใจข้าอีก”

เสวี่ยหยามองนาง นัยน์ตาสดใสไร้สิ่งใดเจือปน “พี่สาว ไม่ต้องกังวลใจไป จิตใจของนายน้อยไม่ใช่สิ่งที่ท่านหรือข้าจะสามารถคาดเดาออกได้ คิดจะได้รับความเชื่อใจจากนายน้อยก็จำต้องทำเรื่องที่เพียงพอให้เขาเชื่อใจให้ได้”

คำพูดนี้ทำให้เซวี่ยนหย่าพยักหน้าเห็นด้วย เสวี่ยหยาดึงมือของนางขึ้นมา เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าในอนาคตพี่สาวจะมีทางเลือกอย่างไรก็ตาม แต่ในตอนนี้ข้าก็หวังให้พี่สาวสามารถสนับสนุนนายน้อยอย่างเต็มที่ไปกับข้า”

เซวี่ยนหย่าที่อยู่ภายใต้การจ้องมองของเสวี่ยหยา ในที่สุดก็พยักหน้าออกมา

มู่ชิงเกอหลังเดินออกมาจากศาลาพักดื่มชาแล้ว จิตใจก็สงบลงมาก ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบใดๆ

ตระกูลมู่แล้วอย่างไร นายน้อยตระกูลมู่แล้วอย่างไร ชะตาชีวิตของนายน้อยตระกูลมู่แล้วอย่างไร…

ทั้งหมดนี้นางเข้าใจอย่างคลุมเครือมาโดยตลอด ถึงแม้ว่านางจะจับใจความได้เป็นส่วนมากแล้ว แต่ก็ยังมีความสงสัยมากมายที่ยังไม่ได้ถูกทำให้ชัดเจน

นางแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เพื่อควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง ไม่ได้คาดหวังจะทำตามสิ่งที่บรรพชนจัดวางเอาไว้ให้ทั้งหมด

ดังนั้น คำพูดที่นางบอกเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าก่อนหน้านี้นั้นไม่ผิด

จนถึงตอนนี้นางเพียงแต่สนใจเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางเท่านั้น!

สำหรับอย่างอื่น ต้องรอให้นางกับราชครูของเผ่าอี๋ในเกาะตูเล่อพูดคุยกันแล้วค่อยพิจารณาอีกครั้ง

ยังมีอีกอย่าง เรื่องบางเรื่อง บางทีท่านปู่ก็อาจจะไม่รู้ หากว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วจะเป็นอย่างไร?

เมื่อคิดถึงมู่ซง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววอบอุ่นออกมาสายหนึ่ง ตามที่นางรู้จักท่านปู่มา ในตอนที่รู้ความลับบางอย่างแล้ว เกรงว่าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ยิ่งจะไม่บังคับให้มู่ชิงเกอทำอะไร หรือรับผิดชอบเรื่องอะไร

เพราะว่า ท่านปู่ผู้นั้นเอ็นดูนางมาก ถึงได้วางนางไว้ตำแหน่งสูงสุดของตระกูลมู่

‘เมื่อไหร่กันถึงจะสามารถกลับไปหลินชวนเพื่อเยี่ยมเยียนได้?’ มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นในใจด้วยความคิดถึง ที่นางคิดถึงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่มู่ซงคนเดียว ยังมีท่านอา ยังมี เพื่อนสนิทของนางเหล่านั้นอีก

‘และก็ไม่รู้ว่าพวกศิษย์พี่เหมยทั้งสี่คนจะเป็นอย่างไรบ้าง?ในตอนนั้นพูดกันเป็นอย่างดีว่าจะออกจากหลินชวนด้วยกัน ท่องเที่ยวไปทั่วโลกแห่งยุคกลาง แต่คิดไม่ ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วยังคงเป็นตัวเองที่ออกมาก่อน ยังมีเจียงหลี…’

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มออกมา

ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด ตอนที่อยู่กับเจียงหลีเป็นช่วงเวลาที่นางปล่อยตัวสบายได้มากที่สุด เรื่องราวทุกอย่างไม่จำเป็นต้องปิดบัง ส่วนคำพูดบางอย่างของเจียงหลีก็ ทำให้นางได้ดูเรื่องราวอย่างชัดเจนมากขึ้นได้ตลอด นางก็คือดาวอุปถัมภ์ในตำนาน!

รอยยิ้มของมู่ชิงเกอถูกแผ่มาจนถึงดวงตา ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางไม่ได้ได้มาง่ายๆ และก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ

‘ และก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้ฮ่องเต้หญิงเป็นอย่างไรบ้าง? หาสวามีที่คู่ควรให้ชายตามองได้หรือยัง?’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ

คิดไปถึงเพื่อนๆ ในหลินชวนแล้ว จิตใจของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนเป็นเบาสบายๆ ขึ้นมา บรรยากาศบนท้องถนนของเมืองอูอิ๋นก็ค่อยๆ เข้ามาสู่นัยน์ตาของนาง

“อิ๋งชวน เจ้าจะทำอะไร? หลีกไปนะ!” เสียงตะคอกอย่างเย็นชาสายหนึ่งดังเข้ามาในหูของมู่ชิงเกอ นางก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบนถนนที่คึกคักขนาดนี้ นางกลับได้ยินประโยคหนึ่งเข้า อีกอย่างยังตามเสียงนั้นไปอีก

นางหันไปยังตรอกตรอกหนึ่งที่มีจำนวนคนน้อยมาก

มีคนหลายคนที่เดินผ่านนางมาด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน สีหน้าหวาดกลัว ตื่นตกใจ ดูเหมือนว่าคิดจะหนีจากอะไรบางอย่าง

มู่ชิงเกอเกิดความสงสัย และได้ยินเสียงของผู้ชายดังเข้ามา “ซางเสวี่ยอู่ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบเจ้าในเมืองอูอิ๋นนี้ วันนี้ไม่สู้เจ้าตามข้ากลับตระกูลอิ๋ง วันหน้าข้าค่อยให้พี่ชายของข้าไปสู่ขอเจ้าที่ตระกูลซางดีหรือไม่?”

ซางเสวียอู่! ตระกูลอิ๋ง!

มู่ชิงเกอเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา สองคำนี้นางรู้สึกคุ้นเคยดี บนทำเทียบฉูเฟิ่งของภาคตะวันตก ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เข้าสู่ทำเนียบได้ก็ชื่อว่า ซางเสวี่ยอู่ คิดไม่ถึงว่านางจะกลับมาอยู่ในเมืองอูอิ๋น ยังมีตระกูลอิ๋งอีก ถ้าหากว่านางจำไม่ผิด บนทำเนียบชิงอิง ตระกูลอิ๋งที่ได้ที่สี่ติดต่อกันสามรอบก็อยู่ภาคตะวันตก

เพียงแต่ว่า อิ๋งชวน…

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางจำได้ว่าผู้ที่ได้ที่สี่บนทำเนียบชิงอิงนั้นชื่อว่าอิ๋งเจ๋อ ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกันกับอิ๋งชวนคนนี้

เรื่องราวดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลซางและตระกูลอิ๋ง มู่ชิงเกอครุ่นคิดพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในต่อ

รอจนนางมาถึงปากตรอกนั้น บนถนนทั้งสาย นอกจากคนของทั้งสองฝ่ายแล้วก็ไม่มีใครคนอื่นอีก

พูดว่าคนสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน แต่ในความเป็นจริง อีกฝ่ายกลับมีผู้หญิงที่ดูสูงสง่าเพียงคนเดียวยืนอยู่ ตอนนี้กำลังหันหลังให้กับนาง

‘แผ่นหลังนี้ดูคุ้นๆ’ มองไปยังแผ่นหลังนั้นแล้วมู่ชิงเกอก็พูดในใจ

ทันใดนั้น เงาร่างที่ดูคลุมเครือก็โผล่เข้ามาในหัวของนาง

‘เป็นนาง!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง แผ่นหลังตรงหน้ากับแผ่นหลังในความทรงจำค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน

‘คิดไม่ถึงว่านางก็คือซางเสวี่ยอู่ คนของตระกูลซาง!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบเล็กน้อย

“อิ๋งชวน เจ้าอย่าได้คิดเองเออเอง ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าเด็ดขาด หลีกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็อย่าได้โทษที่ข้าลงมือแล้วกัน!” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยตอบคำยั่วยุของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

“เสวี่ยอู่ เจ้าจะดื้อดึงไปทำไมกัน? ตระกูลซางของพวกเจ้าตกตํ่าลงไปแล้ว แต่ตระกูลอิ๋งของพวกข้ายังคงรุ่งเรืองอยู่ พี่ชายของข้าเป็นอันดับสี่บนทำเนียบชิงอิง เพียงแต่เจ้าแต่งงานกับข้า มีตระกูลอิ๋งสนับสนุน ตระกูลซางของพวกเจ้าก็จะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าของซางเสวี่ยอู่เอ่ยโน้มน้าวใจ

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงมุมที่ไม่ดึงดูดสายตา ฟังคำพูดระหว่างพวกเขาเพื่อสืบความ

ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดสีแดง ใช้แถบสีทองพันเอว หน้าตาก็ถือว่าคมคาย เพียงแต่กลิ่นอายความชั่วช้าเข้มข้นไปหน่อย ทำให้คนที่มองรู้สึกถึงว่ามีกลิ่นอายความชั่วช้า ปกคลุมอยู่

ด้านหลังของเขายังมีองครักษ์สองคนตามมาด้วย ดูจากไอพลังของทั้งสองแล้วอย่างน้อยก็น่าจะมีพลังอยู่ประมาณระดับสีเทาชั้นสาม

“อิ๋งชวน เรื่องของตระกูลซาง พวกเราคนของตระกูลซางจะจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามาสอด ข้าจะไม่แต่งเข้าตระกูลอิ๋งเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะบอกเจ้า จากนี้ต่อไปก็อย่ามายุ่งกับข้าอีก” ซางเสวี่ยอู่เตือน ในมือมีแสงวาววาบ กระบี่ยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือของนาง

มู่ชิงเกอสัมผัสได้ว่านี่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่เปลี่ยนรูปมาจากแหวนบนนิ้วของนาง

ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะของตระกูลซาง!

มู่ชิงเกอรู้สึกสนใจขึ้นมา เดิมคิดจะก้าวออกไปเผยตัว ก็ถอยกลับไปที่เดิม

“เสวี่ยอู่ เจ้านี่พูดด้วยดีๆ ไม่ชอบ! ข้าอิ๋งชวนต้องเอาเจ้ามาให้ได้! วันนี้หากเจ้าไม่ตามข้าไป ข้าก็ขอเสียมารยาทแล้ว! ”

ในตอนที่ซางเสวี่ยอู่เผยกระบี่ออกมานั้น สีหน้าของอิ๋งชวนก็มืดทะมึนลง

นํ้าเสียงของเขาดูเหี้ยมโหดและดุดัน ก้าวถอยหลังแล้วสั่งผู้ติดตามของเขาว่า “จัดการ! จับผู้หญิงคนนี้มาให้ข้า!”

คำพูดชั่วช้าที่ออกมาจากปากเขาทำให้มู่ชิงเกอไม่พอใจ จนขมวดคิ้วขึ้น แต่ซางเสวี่ยอู่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “พวกเขาไม่ใช่คู่มือของข้า”

พูดแล้วกระบี่ในมือของนางก็เกิดเสียงแหวกอากาศออกมา กระบี่สีฟ้าแผ่แสงวาววาบแสบตา พุ่งไปข้างหน้า

ผู้ติดตามทั้งสองคนของอิ๋งชวน สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที รีบลงมือ โจมตีเข้าไปหาซางเสวี่ยอู่อย่างดุดัน

ซางเสวี่ยอู่สะบัดกระบี่ในมือ ต่อกรกับการโจมตีของทั้งสอง ท่วงท่าของนางดูงดงาม ดุจดงกำลังร่ายรำ สวยงามยิ่งนัก

พริบตานั้น มู่ชิงเกอรู้สึกว่ามีความเยียบเย็นกำลังล้อมเข้ามา ความเยือกเย็นตกลงมาจากฟ้า ตกลงมาที่หน้าผากของนาง

นางชะงัก ยกมือขึ้นดู เกล็ดหิมะกำลังพลิ้วลอยลงมาบนหลังมือของนาง เปลี่ยนเป็นกองหิมะละลาย

‘หิมะตกได้อย่างไรกัน?’ มู่ชิงเกอเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ เพียงแต่เห็นภายในตรอกในตอนนี้ กลับมีเกล็ดหิมะล่องลอยในกลางอากาศ ส่วนบริเวณที่มีเกล็ดหิมะหนาแน่นมากที่สุดก็คือจุดที่ซางเสวี่ยอู่ร่ายรำ

ทุกครั้งที่นางสะบัดกระบี่ บนกระบี่ก็จะมีชั้นเกล็ดหิมะขึ้นมาหนึ่งชั้นเสมอ เกล็ดหิมะลอยพลิ้ว ตกลงบนตัวของคนที่กำลังต่อสู้กับนางทั้งสองคน ค่อยๆ ครอบคลุมแขน ร่างแล้วก็ขาของพวกเขา

บริเวณที่ถูกเกล็ดหิมะคลุมนั้น ความเร็วในการเคลื่อนที่จะช้าลง เปลี่ยนเป็นเชื่องช้ามาก

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแวววาววาบ เอ่ยขึ้นในใจว่า “ความสามารถพิเศษของกระบี่ชั้นเทวะเล่มนี้ทำให้เชื่องช้า! ที่ยอดเยี่ยมมากก็คือซางเสวี่ยอู่สามารถรวมใจเป็นหนึ่งกับวิถีกระบี่ได้!

พริบตาเดียว มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว

เกล็ดหิมะเหล่านี้เป็นพลังของซางเสวี่ยอู่ที่ใส่เข้าไปในกระบี่ จากนั้นก็กลายเป็นเกล็ดหิมะ ติดไปกับร่างกายของศัตรู ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาเชื่องช้าลง ยอดฝีมือต่อสู้กัน เพียงหนึ่งท่าเชื่องช้าไป นั่นก็หมายถึงชีวิต

ถ้าในตอนที่ออกท่าแล้วทุกๆ ท่าช้าลง ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็สามารถรู้แล้ว!

‘ที่แท้ตำแหน่งบนทำเนียบฉูเฟิ่งก็ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ

แต่ก่อน นางก็รู้สึกสับสนว่าโลกแห่งยุคกลางออกจะกว้างใหญ่ ทำเนียบชิงอิงก็ถือว่าแล้วไป แต่ว่าทำเนียบฉูเฟิ่งคือเริ่มจากพลังระดับสีเทา ทั่วทั้งผืนดิน คนที่ สามารถเข้าสู่ระดับสีเทาได้นั้น แม้ว่าจะจำกัดอายุก็ยังมีมากมายอยู่ดี เช่นนี้แล้วจะมีทำเนียบฉูเฟิ่งไว้ทำไมกัน?

ตอนนี้การต่อสู้ของซางเสวี่ยอู่ทำให้นางค่อยๆ เข้าใจว่า ระดับพลังนั้นเป็นอีกเรื่อง กำลังการรบที่แท้จริงนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา

อาศัยวิถีกระบี่ที่พิเศษของซางเสวี่ยอู่ แล้วยังมีความสามารถพิเศษ ‘เชื่องช้า’ นี่อีก ถึงแม้ว่านางจะเผชิญหน้ากับคนที่มีระคับพลังสูงกว่านาง ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

วิถีกระบี่ของซางเสวี่ยอู่ ดูเหมือนว่าจะเปิดมุมมองใหม่ ให้แก่มู่ชิงเกอ นางอดไม่ได้ที่จะมองปลอกนิ้วหลิงหลงของตนเอง

ทวนหลิงหลงสามารถเพิ่มความเร็วกับเพิ่มกำลังได้ แต่กลับขาดความสามารถพิเศษ

‘บางทีนี่ก็อาจจะถึงเวลาที่จะหลอมทวนหลิงหลงใหม่แล้ว!’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ ในตอนนี้ทางฝั่งของการต่อสู้ของซางเสวี่ยอู่ก็ได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ดุจดังที่นางพูดเอาไว้ ผู้ติดตามที่อิ๋งชวนพามาไม่ใช่คู่มือของซางเสวี่ยอู่

แสงกระบี่วาดออกไป แผ่นอกของทั้งสองคนก็ถูกฟันเป็นรอยเลือดสายหนึ่ง ถอยกลับไป

ซางเสวี่ยอู่กุมกระบี่ไว้ด้านหน้าหน้าอก มองไปที่อิ๋งชวนอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้เห็นแก่หน้าของตระกูลอิ๋ง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก ต่อไปอย่ามารบกวนข้าอีก!”

แต่ว่า อิ๋งชวนกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขาผลักผู้ติดตามที่บาดเจ็บสองคนออก เผยรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่งและชั่วร้าย มองไปที่ซางเสวี่ยอู่แล้วเอ่ยว่า “เสวี่ยอู่ ตอนนี้เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตัวเองสูญเสียพลัง? อีกทั้งพลังจิตก็ค่อยๆ สลายไป?”

นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่ฉายแวววาววาบ ระวังตัวขึ้น ส่วนมู่ชิงเกอที่อยู่ในมุมลับ นัยน์ตาก็วาววาบเช่นเดียวกัน สายตาตกไปอยู่บนร่างของซางเสวี่ยอู่ แผ่นหลังของนางยังคงยืดตรงเช่นเดิม ไม่ได้เผยร่องรอยความอ่อนแอใดๆ ออกมา

แต่คำพูดของอิ๋งชวนยังทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกได้ถึงว่ามีอะไรไม่เหมือนเดิม

เสียงของอิ๋งชวนยังคงดังขึ้นมาอีก “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่ากระบี่เกล็ดหิมะของเจ้ามีความสามารถทำให้เชื่องช้างั้นหรือ? รู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของเจ้าแล้วยังบุกมา ข้าไม่ได้โง่นะ บอกความจริงแก่เจ้าก็ได้พวกเขาทั้งสองคนแสดงเป็นต่อสู้กับเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับลอบโปรยผงยาที่ไร้สีไร้กลิ่นใส่ร่างกายของเจ้า ประโยชน์ของผงยาเหล่า นี้ ก็คือสามารถหยุดยั้งการไหลเวียนของพลังจิต ทำให้ เจ้าเปลี่ยนเป็นอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน”

“ตํ่าช้า!” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างแค้นเคืองไปหนึ่งประโยค สายตาที่มองไปยังอิ๋งชวนเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบดุจนํ้าแข็ง

ดูเหมือนว่าถ้าหากทำได้ ตอนนี้นางก็อยากฆ่าไอ้คนที่ตํ่าช้าคนนี้ซะ!

เพียงแต่ว่า ร่างกายของนางในตอนนี้ก็เป็นดังที่อิ๋งชวนพูด เปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ข้อมือที่กุมกระบี่ก็กำลังสั่นเล็กน้อย

ตอนนี้ นางทำได้เพียงแต่พยายามฝืนเอาไว้พยายามทำเป็นยังไหว

“ตํ่าช้างั้นหรือ? ไม่ นี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้าต้องการเจ้าจริงๆ! รอให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าเมื่อไหร่ เจ้าก็จะต้องขอบคุณข้า” อิ๋งชวนพูดอย่างได้ใจ

“ขอบคุณเจ้างั้นหรือ? เหอะ!” ซางเสวี่ยอู่เผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา

อิ๋งชวนสังเกตได้ถึงร่างกายที่สั่นไหวของซางเสวี่ยอู่ เขาค่อยๆ เดินเข้ามาหานาง ทั้งเดินและพูดว่า “แน่นอนว่าต้องขอบคุณข้า รอให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้า กลายเป็นสะใภ้ตระกูลอิ๋งแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของตระกูลซางอีก เปลี่ยนใจมาช่วยข้าเลี้ยงบุตร! ฮ่าๆๆๆๆๆ!”

อิ๋งชวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

ในตอนที่เขาเข้าไปใกล้กับซางเสวี่ยอู่นั้น ซางเสวี่ยอู่ก็ใช้แรงเฮือกสุดท้าย สะบัดกระบี่ในมือออกไป

แสงกระบี่วาววับ ทำให้อิ๋งชวนตกใจจนรีบกระโดดถอยไปด้านหลัง หลบกระบี่ของซางเสวี่ยอู่ไปได้อย่างเฉียดฉิว หลังจากที่ซางเสวี่ยอู่สะบัดกระบี่ออกไปแล้ว ก็ไร้เรี่ยวแรงจะยืนหยัดอีก กระบี่ในมือวาบหายไป กลายเป็นแหวนบนนิ้วของนาง

ส่วนตัวนางเองนั้นก็ซวนเซไปหลายก้าว เกือบจะล้มลง อิ๋งชวนได้สติขึ้นมา มองเห็นสภาพที่ดูทุลักทุเลของซางเสวี่ยอู่แล้ว ชั่วขณะนั้นก็ได้ใจขึ้นมา “เจ้ายังคิดจะต่อต้านอีกหรือ? ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าวันนี้เลยว่าใครก็เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าไม่ได้!”

“แม่นางซาง ที่แท้เจ้าอยู่ที่นี่นี่เอง”

ในตอนที่คำพูดของอิ๋งชวนเพิ่งจะหลุดออกไปนั้น ก็มีเสียงอันสดใสดังเข้ามา

ภายในนํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความยินดี

อิ๋งชวนกับซางเสวี่ยอู่ล้วนแต่หันมองคนที่มา เห็นตรงปากตรอกมีคนสวมชุดสีแดงเดินโผล่ออกมา ใบหน้านั้นยากที่จะพบเจอได้บนโลก ห่วงท่าก็ยิ่งดูสง่า ทำให้คนพบแล้วก็ยากจะลืมเลือน ชุดสีแดงสดบนร่างของเขาก็ ดุจดังสวรรค์สรรสร้าง ชั่วขณะนั้นก็ได้ไปเทียบกับชุดสีแดงเช่นเดียวกันของอิ๋งชวนให้ดูด้อยลงไป การเปรียบเทียบนี้ก็เหมือนกับเอาห่านฟ้ากับห่านดินมาเทียบกัน

“เป็นเจ้า!” นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่หดตัวลง จำมู่ชิงเกอได้

ทั้งสองคนได้พบกันครั้งหนึ่งแล้วที่ด้านหน้าของทำเนียบฉูเฟิ่ง เพียงแต่ว่านางไม่ได้บอกชื่อออกไป แล้วคนผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน?

ในตอนที่ซางเสวี่ยอู่กำลังสงสัยอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็ได้เดินมาถึงข้างกายของนางแล้ว ยิ้มให้นาง แล้วก็มองไปยังอิ๋งชวน เผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “คุณชายผู้นี้คือ…”

สีหน้าของอิ๋งชวนดำทะมึนลงอีกครั้ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ไสหัวไป! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำธุระอยู่?”

มู่ชิงเกอยังยิ้มไม่เปลี่ยน “ที่แท้คุณชายก็ทำธุระอยู่ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รบกวนแล้ว”

พูดจบนางก็พยุงซางเสวี่ยอู่ แล้วก็คิดจะจากไป

ถูกคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวพยุงไปอย่างกะทันหัน การเคลื่อนไหวที่ดูใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ซางเสวี่ยอู่ตกตะลึง

ส่วนอิ๋งชวนที่มองเห็น หว่างคิ้วก็ได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายแล้ว เอ่ยอย่างดุดันว่า “ปล่อยนางนะ! ผู้หญิงของข้า เจ้าสามารถแตะต้องได้อย่างงั้นหรือ? ดูแล้ววันนี้หากเจ้าอยากจากไปก็ต้องทิ้งสองมือของเจ้าเอาไว้”

“อิ๋งชวน เจ้าอย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์!” ซางเสวี่ยอู่ได้ฟังก็เอ่ยเตือนด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชา

การปกป้องของซางเสวี่ยอู่ ทำให้อิ๋งชวนเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้น “ดีนี่! เจ้ายังพูดแทนเขาอีกรึ! พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์กัน ซางเสวี่ยอู่ ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นหยกบริสุทธิ์เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่ากลับซ่อนชู้เอาไว้ หญิงน่าไม่อาย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”

“เจ้าพูดเหลวไหล!” ซางเสวี่ยอู่โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นยะเยือก เอ่ยว่า “ปากสุนัขพูดจาดีๆ ไม่ได้”

พูดแล้ว นัยน์ตาของนางก็ฉายวาววาบ แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไปด้วยความเร็วดุจดังสายฟ้า พุ่งไปทางอิ๋งชวน

“อ๊าก!”

การเคลื่อนไหวนั้นเร็วมาก ทำให้คนมองไม่ชัด และก็ไม่อาจตอบสนองได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอิ๋งชวนดังออกมา สองมือกุมปากที่มีแต่เลือด

ส่วนบนพื้น ก็มีลิ้นครึ่งหนึ่งตกอยู่สดๆ ร้อนๆ

“อ้า อ้า! อ้า!” อิ๋งชวนเจ็บปวดจนยากที่จะอธิบาย ตะลึงหวาดกลัว แค้นเคือง ความรู้สึกต่างๆ นานา พัวพันกันยุ่งเหยิงไปหมด

ส่วนผู้ติดตามทั้งสองคนของเขาก็ถูกฉากนี้ทำให้ตกใจมาก ลืมไปเลยว่าควรจะทำอย่างไร ซางเสวี่ยอู่ก็อ้าปากค้างมองฉากนี้ นางไม่กล้าเชื่อเลยว่า คนที่อยู่ข้างๆ นางจะกล้าตัดลิ้นของอิ๋งชวน! ตัดอย่างไม่ลังเลเลยงั้นหรือ?

เขารู้หรือไม่ว่าคนที่ถูกเขาตัดลิ้นนั้นเป็นใคร?

“เขาเป็นน้องชายของอิ๋งเจ๋อ” เมื่อซางเสวี่ยอู่ได้สติกลับคืนมา ก็เตือนมู่ชิงเกออย่างเป็นห่วงออกมาประโยคหนึ่ง

สถานะของอิ๋งชวน ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอได้คาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซางเสวี่ยอู่จึงไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่เพราะว่าเขาเป็นน้องชายของอิ๋งเจ๋อ ก็จะสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นออกมา นางโบกมือ หยวนหยวนโผล่ออกมากลางตรอก

ชายหนุ่มชุดสีม่วงหน้าตาหล่อเหลา อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวออกมา จุดแดงชาดกลางหว่างคิ้วของเขาแดงดุจเปลวเพลิง

นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่หรี่เล็กลง พูดเสียงเบาๆ ออกมาว่า “พญาเพลิง!”

มู่ชิงเกอมองนางอย่างแปลกใจอยู่แวบหนึ่ง หยวนหยวนก็ทอดสายตาสนอกสนใจมาที่นาง จากนั้นก็ยิ้มๆ มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ลูกพี่ มีอะไรจะสั่ง?”

มู่ชิงเกอยิ้มไปที่พวกอิ๋งชวนทั้งสามคน สั่งหยวนหยวนว่า “สั่งสอนพวกเขาให้รู้จักการเป็นคน ขอแค่ไม่ถึงตายก็ได้แล้ว”

นัยน์ตาของหยวนหยวนเปล่งประกาย บิดข้อมือ เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “รับรองจะทำภารกิจให้สำเร็จ!” พูดจบแล้วเงาร่างของเขาก็สั่นแวบหนึ่ง พุ่งผ่านไป

มู่ชิงเกอพยุงซางเสวี่ยอู่หันกายจากไปจากตรอก ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “ตีเสร็จแล้วก็กลับมา ห้ามไปเล่นเหลวไหล”

“รู้แล้ว ลูกพี่!” เสียงของหยวนหยวนดูกระดือเรือร้นเป็นอย่างมาก ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของทั้งสามคน

ซางเสวี่ยอู่กำลังมึนๆ ก็ถูกมู่ชิงเกอพาตัวไป

มู่ชิงเกอพานางไปถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง เหมาห้องรับรองส่วนตัวห้องหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ใครมารบกวน

เข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวแล้ว มู่ชิงเกอก็จับชีพจรให้ซางเสวี่ยอู่ จากนั้นก็บอกนางว่า “ไม่ได้เป็นยาที่ร้ายแรงอะไรมากมาย ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พลังก็จะกลับคืนมา ถ้าหากว่าแม่นางซางไม่รีบ ก็สามารถอยู่ที่นี่ต่อสักครู่ รอจนยาหมดฤทธิ์แล้วโคจรพลังดูรอบหนึ่งก่อน เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรค่อยจากไป”

พูดจบแล้วนางก็รินนํ้าชาร้อนให้ซางเสวี่ยอู่ถ้วยหนึ่ง

มองดูถ้วยชาร้อนที่วางอยู่ด้านหน้าของตนเอง ซางเสวี่ยอู่ก็เงยหน้ามองมู่ชิงเกอ “อิ๋งเจ๋อเป็นลำดับสี่บนทำเนียบชิงอิง เป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลอิ๋ง พลังที่ประกาศออกมาข้างนอกนั้นคือพลังระดับสีเงินชั้นสี่ อิ๋งชวนเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา และเป็นน้องรัก ตอนนี้อิ๋งชวนสูญเสียลิ้นไป ทั้งยังถูกตีอีก เขาคงจะไม่ยอมเป็นแน่ อิ๋งเจ๋อก็ยิ่งจะไม่ยอม”

“นี่เป็นการเพิ่มปัญหาให้แก่แม่นางซางหรือไม่?” ท่าทางของมู่ชิงเกอดูสงบ รินชาให้ตัวเองจอกหนึ่ง

ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้า “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า เรื่องนี้ข้าจะไม่ผลักความรับผิดชอบ ข้าเพียงแต่อยากเตือนคุณชาย ตระกูลอิ๋งแข็งแกร่งมาก แต่ไหนแต่ไรมาก็ชอบใช้กำลัง ทำให้คนยำเกรง อิ๋งเจ๋อมีชื่อเสียงภายนอก คนที่กล้าท้าทายเขานั้นล้วนแต่ต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ คุณชายระมัดระวังให้ดี อย่างน้อยก็ให้รอในช่วงก่อนที่ข้าจะแก้ไขเรื่องราวได้แล้ว ก็อย่าได้ไปเผชิญหน้ากับอิ๋งเจ๋อ”

คำตอบที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างสงสัยว่า “แม่นางซางจะแก้ไขอย่างไร?”

ซางเสวี่ยอู่ขบริมฝีปาก “ในเมื่อคุณชายรู้จักชื่อของข้า คิดว่าคงเดาออกถึงสถานะของข้าแล้ว ตระกูลซางและตระกูลอิ๋งนั้นเป็นตระกูลบรรพกาลเช่นเดียวกัน รอให้ข้ากลับไปถึงตระกูลแล้วจะพูดเรื่องนี้กับผู้อาวุโสให้ชัดเจน ผู้อาวุโสจะต้องไปตระกูลอิ๋งเพื่ออธิบายทุกอย่างแก้ไขความแค้น”

ทำเพื่อความสงบสุขงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอหลุบตาลง ยกถ้วยชาขึ้นมาที่ริมฝีปาก จิบเบาๆ นับแต่เริ่มต้นมาซางเสวี่ยอู่ก็ยอมให้อิ๋งชวนมาโดยตลอด แม้ว่าจะเอ่ยเตือนแต่ก็ไม่เคยที่จะทำร้ายเขาจริงๆ มาก่อน สำหรับการแก้ปัญหาของเรื่องนี้ ก็เป็นเพียงวิธีทำให้เรื่องเล็กลงก็เท่านั้น

อาศัยผู้อาวุโสของตระกูลไปอธิบายเพื่อให้คนของตระกูลอิ๋งเข้าใจว่าเรื่องนี้นั้นอิ๋งชวนเป็นคนก่อเรื่อง จากนั้นตระกูลซางก็จะส่งยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเพื่อชดเชยที่อิ๋งชวนสูญเสียลิ้นไป นี่จะทำให้เรื่องนี้สงบลงได้งั้นหรือ?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยในใจว่า ‘ตระกูลซางตกตํ่าถึงระดับนี้แล้วงั้นหรือ?’

นางวางถ้วยชาในมือลง เอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางก็พูดแล้วว่าตระกูลอิ๋งชอบใช้กำลังทำให้คนยำเกรง แล้วจะยอมรับการเจรจาของตระกูลซางหรือ? แม่นางซางทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าตระกูลอิ๋งจะฉวยโอกาสขออะไรที่เกินไปอย่างนั้นหรือ?”

หว่างคิ้วของซางเสวี่ยอู่เผยร่องรอยแห่งความหนักใจ

เหตุใดนางจะไม่กังวลใจ? เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรได้? ตระกูลซางไม่อาจล่วงเกินตระกูลอิ๋งได้ มิเช่นนั้นอาจจะได้รับการโจมตีล้างตระกูล

“คุณชายวางใจได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า คุณชายผ่านมาเห็นความไม่ยุติธรรม ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ซางเสวี่ยอู่จะไม่ลืมบุญคุณ จะไม่ให้ลำบากไปถึงคุณชายอย่างแน่นอน เรื่องนี้ข้าจะต้องจัดการให้ดี” ซางเสวี่ยอู่รับรองกับมู่ชิงเกอ

“แม่นางซางคงจะไม่ได้คิดว่าหากไม่ได้จริงๆ จะยอมอดสูแต่งให้กับอิ๋งชวนหรอกกระมัง?” มู่ชิงเกอมองนาง

หัวใจของซางเสวี่ยอู่สั่นไหว นางคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่กลับถูกมู่ชิงเกอมองออก มู่ชิงเกอยิ้มๆ “ลิ้นของอิ๋งชวนข้าเป็นคนตัด คน ข้าก็เป็นคนส่งไปตี ถ้าหากว่าตระกูลอิ๋งจะหาคนล้างแค้นก็ให้พวกเขามาหาข้า”

ซางเสวี่ยอู่มองมู่ชิงเกออย่างตะลึง ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

ล่วงเกินตระกูลอิ๋ง แม้ว่าจะเอาชนะอิ๋งชวนได้ แต่ตระกูลอิ๋งก็ยังมีคนที่ร้ายกาจอยู่มากมาย คนเหล่านั้นล้วนแต่อยู่ระดับพลังสีเงินชั้นห้า ชั้นหก รวมถึงผู้อาวุโสระดับสีทอง ในตระกูลเล็กๆ อื่นๆ นั้นอาจจะไม่มี แต่ว่าในตระกูลอิ๋งนั้นมีไม่น้อย

“คุณชาย บางทีท่านอาจจะไม่รู้ว่าตระกูลอิ๋งนั้นหมายถึงอะไร” ซางเสวี่ยอูรีบร้อนอยากจะอธิบาย

แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับยืนขึ้นมา ตัดบทพูดของนาง นางมองซางเสวี่ยอู่ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเรียบเฉยว่า “แม่นางซางไม่ได้ถามชื่อของข้าเลย ทั้งยังไม่สนใจจะรู้ที่มาของ ข้า ข้ารู้สึกได้และซึ้งใจ แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่กล้าทำแล้วไม่กล้ารับ ในเมื่อเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำ หากว่าตระกูลอิ๋งตามหา แม่นางซางก็เอ่ยตามความจริง ไม่ต้องปิดบัง อะไรแทนข้า”

“ท่าน…” ซางเสวี่ยอู่มองเขาอย่างตะลึง

มู่ชิงเกอก็ถอนหายใจในใจ

สำหรับซางเสวี่ยอู่แล้ว นางไม่อยากเห็นนางถูกทำร้ายด้วยใจจริง มิเช่นนั้นนางที่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องวุ่นวายจะไปยุ่งกับเรื่องนี้ทำไม

“ข้าชื่อว่ามู่ชิงเกอ หากว่าตระกูลอิ๋งถามหา เจ้าก็ตอบพวกเขาไป” มู่ชิงเกอเอ่ยแล้วก็ออกไปจากห้องรับรองส่วนตัว

จนถึงตอนที่เสียงปิดประตูห้องดังขึ้น ซางเสวี่ยอู่ถึงได้สติขึ้นมาจากอาการตกตะลึง

นางยืนขึ้นมา ‘พรึ่บ’  ท่าทีเปลี่ยนไปเอ่ยว่า “มู่ชิงเกอ! เขาคือมู่ชิงเกองั้นหรือ?”

ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ซางเสวี่ยอู่พุ่งออกมาจากห้องในทันที แต่ว่าบนระเบียงก็ไม่มีเงาร่างของมู่ชิงเกอปรากฎให้เห็นแล้ว

ซางเสวี่ยอู่ตะลึงเป็นอย่างมาก พึมพำกับตัวเองไม่หยุด “มู่ชิงเกอ จะเป็นมู่ชิงเกอคนนั้นหรือไม่? นาง…” นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่เกิดไอหมอกขึ้นมา นัยน์ตาที่เคยสงบนิ่ง ค่อยๆ เผยความหวั่นไหวออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version