ตอนที่ 269
ขอเพียงข้าเต็มใจ เป็นมารแล้วอย่างไร?
“จีเหยาฮั่วมาถึงแล้ว มู่ชิงเกออยู่ที่ใด?”
เสียงตะโกนที่แฝงด้วยพลังจิตดังกึกก้องท่ามกลางทุ่งหญ้าอัสดง คลื่นเสียงที่มีจีเหยาฮั่วเป็นศูนย์กลางโจมตีใส่ผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบทั้งหมด
“ระดับพลังยุทธ์ของนายน้อยจี เกรงว่าผ่านไปอีกสองปีก็ คงจะรุดหน้าเกินข้าแล้ว” หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ทอดถอนใจ พลางส่ายหน้าช้าๆ ความหยิ่งทะนงของคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ทำเอาเขารู้สึกว่าตนเองแก่ลงเสียแล้ว
นึกถึงว่าในปีนั้นพวกเขาเองก็คึกคะนอง ถึงอย่างนั้น ตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่แก่ชรา แต่ว่าถูกจิตใจของคนรุ่นหลังแซงหน้า กลับทำให้เขาต้องถอนหายใจขึ้น หลายครั้ง
หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีและยักษ์วิถีส่งสายตาหากัน อารมณ์ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทางสายตาของทั้งคู่ ไม่ต่างจากหัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์เท่าไรนัก พวกเขาสามคนเป็นผู้นำของกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาที่ยิ่งใหญ่ ตอนที่อายุเท่าจีเหยาฮั่วก็เพิ่งจะมีพลังยุทธ์ระดับสีเงินขั้นหนึ่งเพียงเท่านั้น
“นายน้อยจีช่างแข็งแกร่ง!”
“ใช่แล้ว! ทั้งยังรูปงามอีกด้วย!”
“นายน้อยจีเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งรั้งตำแหน่งอันดับสองบนทำเนียบชิงอิง มู่ชิงเกอไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ได้?”
“การแข่งขันครั้งนี้ ยังไม่ทันเริ่มต้นใครๆ ก็เดาได้”
“ตอนนี้ข้ากังวลเพียงว่า มู่ชิงเกอจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าที่เท่าไร ดูว่าข้าจะได้เงินเท่าไร หึหึ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม พอเข้าหูผู้ที่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับมู่ชิงเกอก็ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
จีเหยาฮั่วยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอัสดง แต่งกายในชุดสบายๆ สองมือถือพัดไพล่อยู่ด้านหลัง ขณะที่รอคอย เรือนผมและชายเสื้อของเขาสะบัดไหวไปกับแรงลม มุมปากประดับรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคู่นั้นเป็นรอยยิ้มรูปพระจันทร์เสี้ยวตลอดกาลให้ผู้ คนรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร
ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผู้คนกำลังรอคอยด้วยความใจจดใจจ่อ ก็ปรากฎขุมพลังมหาศาลเคลื่อนเข้ามาจากที่ไกลๆ ในชั่วพริบตา
ขุมพลังหายไป มู่ชิงเกอก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าจีเหยาฮั่ว
นางสวมชุดอาภรณ์สีแดง ชุดเกราะวิจิตรงดงาม ท่วงท่า องอาจห้าวหาญ เรือนผมสีดำปล่อยสยาย ในมือถือทวนหลิงหลง ลำทวนเหยียดยาวตระหง่าน ปลายทวนแหลมคมแฝงจิตวิญญาณที่มีแต่ความเพียรไม่ย่อท้อ
โครงหน้าหล่อเหลา ดูไม่ออกว่านางมีความรู้สึกเช่นไร
กับการประลองในครั้งนี้นอกจากสงบนิ่งแล้วยังซ่อนความคาดหวังรางๆ
“ว้าว! รูปงามยิ่งนัก!”
“หล่อเหลาจริงๆ! หากประชันหน้าตา ข้าย่อมลงคะแนนให้คุณชายมู่หนึ่งเสียง”
“ใช่แล้วใช่แล้ว! หล่อเหลาเกินไปแล้ว! อยากแต่งให้เขาจังเลย!”
“นายน้อยจีกับคุณชายมู่ เจ้าอยากแต่งให้ใคร?”
“ข้าต้องการทั้งสองคนเลย ทำอย่างไรดี?”
“ชิ-! พวกหลงใหลบุรุษ รูปงามแล้วสามารถเอามากินแทนข้าวได้หรืออย่างไร? ต้องมีพละกำลังถึงจะสำคัญที่สุด!”
มีบุรุษบางคนทนฟังต่อไปอีกไม่ไหว เอ่ยแย้งขึ้น
ทันใดนั้น เขาก็ได้รับสายตาโกรธเคืองจากบรรดาสตรี
“เจ้ามีปัญญาไหม? ผู้ที่วัดเรื่องหน้าตาก็ไม่ผ่าน วัดเรื่องพละกำลังก็ไม่รอด ยังจะมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนี้! คลานออกไปเสีย!”
บรรดากลุ่มสตรีกองกำลังหลิวเค่อ ไม่รู้ว่าความอ่อนโยนเป็นเช่นไร
กองกำลังหลิวเค่อกลุ่มบุรุษนั้นแพ้พ่ายอย่างสิ้นเชิง
‘มู่ชิงเกอเจ้ามาแล้วจริงๆ!’ เมื่อหานฉายไฉ่เห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัวก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจ ความรู้สึกกังวลเป็นห่วงเป็นใยถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาเรียวยาวคู่นั้น
หานอี้เหรินที่ยืนอยู่ข้างเขา คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อยมองดู พี่ชายของนางเก็บความห่วงใยที่อยู่ส่วนสึกในตาของเขาไว้ในสายตา
ละสายตาจากมาช้าๆ สายตาของนางก็ตกไปอยู่ที่ร่างมู่ชิงเกอ นางหวังเหลือเกินว่ามู่ชิงเกอจะพ่ายแพ้ สุดท้ายแล้วนายน้อยตระกูลจีจะพลั้งมือสังหารคนผู้นี้ หากไม่มีคนผู้นี้อยู่ บางทีพี่ชายของนางก็คงจะไม่หลงเดินทางผิด อาลัยอาวรณ์ลุ่มหลงในบุรุษ
หานอี้เหรินเก็บซ่อนความคิดของตนเองไว้เป็นอย่างดี กระทั่งหานฉายไฉ่ก็ยังไม่สังเกต
ภายในค่ายตระกูลซาง ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขายืนอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสสาม ตระกูลซาง ไม่อาจซ่อนความกังวลในใจไว้ได้ ผู้อาวุโสสามหันกลับมามองดูทั้งสองคน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสวี่ยอู่ กำลังเป็นห่วงคุณชายมู่ใช่หรือไม่?”
ซางเสวี่ยอู่ชะงักไป มองหน้าผู้อาวุโสสามแล้วพยักหน้า
ผู้อาวุโสสามเอ่ยเตือนว่า “นี่เป็นเพียงการแข่งขัน ไม่ใช่การต่อสู้ที่ถึงแก่ความเป็นความตาย ดังนั้นอย่างมาก คุณชายมู่ก็แค่แพ้การแข่งขัน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เจ้า เองก็ไม่ต้องเครียดจนเกินไป”
พูดจบ เขาก็มองนางด้วย สายตาที่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
แววตาคู่นั้นแฝงความหมายมากมาย ทำเอาซางเสวี่ยอู่ สัมผัสได้คล้ายกับว่าผู้อาวุโสสามเข้าใจอะไรผิดไป แต่ว่านางก็ไม่ได้เอ่ยชี้แจงสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้ารับเงียบๆ
“เหอะ ยังจะมาบอกว่าตนเองไม่ชอบคุณชายมู่อีก” อีกฝั่ง ซางจื่อหลันที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของซางเสวี่ยอู่ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาประชดประชัน
“จื่อหลัน เหตุใดเจ้าถึงสนใจในตัวคนแซ่มู่ผู้นั้นถึงเพียงนี้?” ซางเหย่เอ่ยพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
ซางจื่อหลันหันมาถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “คุณชายมู่รูปโฉมงดงาม น่าเกรงขาม ทั้งยังเก่งกาจ แน่นอนว่าควรค่าให้ข้าสนใจ!”
นางไม่สนใจความโกรธเคืองส่วนลึกในตาซางเหย่ สายตาเบือนหน้ากลับไปมองซางเสวี่ยอู่ ในใจค่อนแคะ ‘ขอเพียงเป็นสิ่งที่ซางเสวี่ยอู่ต้องการ นางก็อยากไปปั่นป่วนก่อกวน!’
นางทนมองท่าทางบริสุทธิ์ราวหยกพิสุทธิ์ของซางเสวี่ยอู่ไม่ได้!
“เห็นตนเองเป็นธิดาเทพตระกูลซางจริงๆ แล้วหรือไง?” ซางจื่อหลันเอ่ยแขวะเสียงเย็นชา
“จื่อหลัน เจ้าพูดว่าอะไร?” ซางเหย่เอ่ยถามอยู่ข้างๆ
“ไม่ได้พูดอะไร” ซางจื่อหลันเอ่ยอย่างไม่พอใจ
อีกด้านหนึ่ง เซิ่งอวี้หลีก็ไม่ละสายตาไปจากฉินอี้เหยา มองดูท่าทางเคร่งเครียดของนางแล้ว ทำได้เพียงข่มอารมณ์หึงหวงในใจ เอ่ยปลอบขึ้นว่า “แม่นางฉิน คุณ ชายมู่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ย่อมต้องผ่านไปได้ด้วยดี เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก”
ฉินอี้เหยาพยักหน้าช้าๆ รับคำ ‘อืม’ เบาๆ
การปรากฎตัวของมู่ชิงเกอ เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ
ทว่าในใจของผู้ชมที่รายล้อมอยู่กลับมีหลากหลายความคิดแวบขึ้นมา
อิ๋งเจ๋อมองดูทั้งสองที่ยืนเผชิญหน้ากันด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้ามาแล้ว” จีเหยาฮั่วเผยรอยยิ้มเจิดจ้าให้มู่ชิงเกอ ท่าทีอบอุ่นนั่นดูไม่เหมือนการมาประลองเลยสักนิด
มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อรับปากนายน้อยจีแล้ว ย่อมไม่ผิดนัด”
“เตรียมพร้อมหรือยัง?” จีเหยาฮั่วหัวเราะด้วยความพึงพอใจ มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังก็ขยับไปวางอยู่ด้านหน้าบริเวณอก พัดพับกางออกมาโบกเบาๆ อยู่ด้านหน้าเขา เมื่อพัดพับกางออกมา สายตามู่ชิงเกอก็พินิจมองไปที่สิ่งนั้นทันที
ใบพัดและแกนพัดนั้นดูคล้ายธรรมดา แต่มู่ชิงเกอกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของยุทธภัณฑ์ระดับเทวะสายหนึ่ง
‘นั้นคืออาวุธของจีเหยาฮั่ว!’ มู่ชิงเกอแววตาเป็นประกาย ตระหนักรู้ขึ้นมาในทันที
จีเหยาฮั่วเผยอาวุธออกมาแล้ว นั้นก็หมายความว่าเขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว
มู่ชิงเกอสะบัดข้อมือ ทวนหลิงหลงที่อยู่ในมือหมุนไปตามจังหวะ ทวนยกขึ้นเบาๆ ก่อนที่มันจะส่งเสียงสั่นสะเทือนอันคมชัด
“ชิ้ง! ”
เสียงสั่นไหวดังขึ้นข้างหูทุกคน ราวกับเสียงตีระฆังบอกเช้าคํ่า ทำเอาปัญญาของผู้คนได้สติขึ้นหลายส่วน
“ยุทธภัณฑ์เทวะชั้นดี!” ดวงตาผู้อาวุโสสามตระกูลซาง จริงจังขึ้นมา เอ่ยปากชมเชย
ตระกูลซาง ตระกูลที่มีชื่อเสียงเรื่องการหลอมศาสตรา ในฐานะผู้อาวุโสสาม บุคคลสำคัญในตระกูล คำพูดประโยคนี้ของเขาเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อย ให้ความสำคัญกับทวนหลิงหลง อาวุธที่สามารถทำให้คนตระกูลซางเอ่ยปากชมได้ย่อมไม่ธรรมดา!
ผู้ที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต่างก็มองดูทวนหลิงหลงในมือมู่ชิงเกอในทันที
ตัวทวนประณีตงดงาม มีเอกลักษณ์พิเศษตรงส่วนหัว ส่วนที่พันผ้าบนทวนเป็นสีเงิน ทุกจุดคล้ายกับว่าล้วนแกะสลักด้วยความประณีต
จีเหยาฮั่วเองก็หรี่ตาลง ยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้นว่า “ทวนระดับเทวะชั้นดีชิ้นหนึ่ง!”
“พัดของนายน้อยจีเองก็ไม่เลว” มู่ชิงเกอตอบกลับเสียงเรียบ
แต่คำพูดประโยคนี้ของนางกลับเอ่ยอย่างขอไปทีเสียมาก แม้ว่าพัดของจีเหยาฮั่วจะเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ แต่ว่าในสายตาของนางกลับเทียบไม่ได้เลยกับทวนหลิงหลง อีกอย่างพัดเล่มนี้ก็มีจุดอ่อนมากมาย
ผู้อาวุโสสามตระกูลซางไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไรกับพัดนี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ที่ดีที่สุด!
“พัดเล่มนี้ของข้าไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ยังคิดอยู่ว่าจะให้ตระกูลซางช่วยสร้างให้ข้าใหม่ได้เมื่อไร” ใครจะรู้ว่าจีเหยาฮั่วกลับมองพัดในมือตนเองด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จาก นั้นจึงหันไปยิ้มให้กับฝั่งตระกูลซาง
ท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าตัวเขาเองนั้นลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ตัวเองลักพาตัวซางเสวี่ยอู่ไปจนหมดสิ้น
เขาลืมไปแล้ว แต่คนอื่นๆ ไม่มีทางลืม
สายตาของทุกคนแฝงความประหลาดใจ บ้างก็ท้าทาย บ้างก็หยอกล้อ มองไปที่ตระกูลซาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซางเสวี่ยอู่ พวกเขาไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึก รู้เพียงว่า การแข่งขันในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะซางเสวี่ยอู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นจีเหยาฮั่วที่สนใจในตัวมู่ชิงเกอ
ในสายตาของนายน้อยจี ตระกูลซางราวกับว่าเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
ล้วนเป็นตระกูลเก่าแก่ แต่ฐานะห่างกันมากมาย
ท่ามกลางสายตาพิจารณาของพวกเขาเหล่านี้ คนตระกูลซางจากบนลงล่าง มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นไม่น่าดู หากในเวลานี้ ผู้อาวุโสสามตระกูลซางแสดงท่าทีแข็ง กร้าวสักหน่อย ปฏิเสธคำขอนี้ของจีเหยาฮั่ว บางทีในสายตาของทุกคนยังคงรู้สึกว่าตระกูลซางมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี
แต่ว่าผลของการทำเช่นนี้ ก็มีโอกาสทำให้จีเหยาฮั่วคิดแค้นตระกูลซาง หลังจบเรื่องแล้วก็ตั้งใจหาเรื่องตระกูลซาง พุ่งเป้าไปที่ตระกูลซาง
ผลลัพธ์เช่นนี้ ตระกูลซางในตอนนี้แบกรับไม่ไหว
ดังนั้น หลังจากผู้อาวุโสสามสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาก็ทำได้แต่กัดฟันเลือกที่จะนิ่ง
ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ตอบโต้ทำให้สายตาท้าทายและดูแคลนจากรอบด้านเพิ่มมากขึ้น
ราวกับว่าเดี๋ยวเดียวตระกูลซางก็เป็นเป้าโจมตีของทุกคน
มู่ชิงเกอยืนเผชิญหน้ากับจีเหยาฮั่ว เห็นอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าของเขาชัดเจน นางยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า “เคยได้ยินมาว่าการที่ตระกูลซางจะหลอมยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ ก็จะพิถีพีถันเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่านายน้อยจีจะมีวาสนาให้ตระกูลซางหลอมอาวุธให้หรือไม่”
สายตาของจีเหยาฮั่วตกไปที่ตัวมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางไร้พิษภัย “ในฐานะที่ข้าเป็นนายน้อยตระกูลจีไม่ เพียงพอหรือ?”
ในคำพูดแฝงการคุกคาม
ทำเอาคนตระกูลซางบางคนลอบเคร่งเครียดขึ้นมา
มู่ชิงเกอมุมปากยิ้มเย็น “คนตระกูลซางเลือกอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ว่าหากเป็นข้า ข้าจะไม่หลอมศาสตราให้นายน้อยจี”
“เพราะอะไร?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
รอยยิ้มมุมปากมู่ชิงเกอกดลึกขึ้น นางใช้วิธีเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาเนิบนาบ “เพราะว่าข้าไม่ยินดี”
ชิ้ง!
อวดดี! อวดดีเหลือเกิน!
“อวดดีขนาดนี้เลย มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“กล้ามาก! คิดไม่ถึงว่าจะกล้าปฏิเสธนายน้อยจีเช่นนี้”
“นี่คือกลัวว่าตนเองแพ้แล้วจะอนาถไม่พอใช่หรือไม่? คิดไม่ถึงว่าจะรนหาที่ตายเยี่ยงนี้!”
“น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คนตระกูลซาง หากใช่ล่ะก็ข้าเอง ก็อยากดูว่าเขาจะยังมีความกล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้หรือไม่”
“ไม่เห็นคนตระกูลซางล้วนคล้ายนกกระทา ไม่กล้าส่งเสียงหืออือหรือไง?”
คำพูดของมู่ชิงเกอราวกับก้อนหินก้อนเล็กๆ ทิ้งลงบนนํ้าในทะเลสาบที่สงบนิ่ง เกิดเป็นระลอกคลื่น
ถึงขั้นว่าดวงตายิ้มหยีของจีเหยาฮั่ว ค่อยๆ หรี่ลงมา
“ซางเสวี่ยอู่ก็ไม่ปรารถนาหลอมศาสตราให้นายน้อยจี” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นราวกับอัสนีบาตฟาดลงบนพื้น
ผู้อาวุโสสามหันขวับกลับมามองซางเสวี่ยอู่ด้วยความตกตะลึง
แต่ซางเสวี่ยอู่กลับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “ผู้อาวุโสสาม เสวี่ยอู่พูดแทนตัวเองผู้เดียว ไม่ใช่ตระกูลซาง”
ความหมายก็คือ การตัดสินใจของนางแทนตัวนางเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับตระกูลซาง
พูดจบ สายตาของนางก็มองผ่านทุกคนไปอยู่ที่ร่างของมู่ชิงเกอ
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มุมปากของมู่ชิงเกอก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
รอยยิ้มของจีเหยาฮั่วเปลี่ยนไปยั่วเย้าขี้เล่น เขาไม่ได้สนใจอะไรซางเสวี่ยอู่ แต่มองไปที่มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ดูท่าการแข่งขันในวันนี้ ข้าต้องตั้งใจหน่อยแล้ว”
มู่ชิงเกอกลับเผยรอยยิ้มสดใส “หรือว่าก่อนหน้านี้นายน้อยจีไม่คิดจะจริงจัง? หากข้าไม่ได้จำผิดล่ะก็ การท้าประลองครั้งนี้มาจากตัวนายน้อยจีเอง”
‘สี่ตำลึงปาดพันชั่ง’ ทำให้ทุกคนนึกขึ้นมาได้ว่า การประลองตัดสินพลังกันเป็นพิเศษครั้งนี้ เป็นจีเหยาฮั่วกระตือรือร้นท้าขึ้นมา ไม่ใช่มู่ชิงเกออาศัยชื่อเสียงของ เขาเลื่อนขั้น!
ผู้คนได้สติในฉับพลัน!
จีเหยาฮั่วดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ช่างเจ้าเล่ห์กลับกลอกจริงๆ ที่แท้เป้าหมายของเจ้าก็อยู่ตรงนี้เอง”
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างเปิดใจว่า “นายน้อยจีคิดมากไปหรือไม่?”
พูดจบ นางก็ดึงทวนหลิงหลงที่ปักอยู่บนพื้น พัดฝุ่นที่เกิดขึ้นสะบัดใส่จีเหยาฮั่ว
เศษฝุ่นผงและเศษดินที่พัดกระพือแฝงความยืดหยุ่นราวกับอาวุธลับ จีเหยาฮั่วเคลื่อนไหวร่างกายดุจสายลม พัดในมือต้านเอาไว้ ด้านฝนธุลีที่พัดใส่เขาทั้งหมด
เมื่อเขาลดพัดลง มู่ชิงเกอก็ยกทวนหลิงหลงพุ่งแทงใส่เขา
แววตาจีเหยาฮั่วเปล่งประกาย เงาร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด หลบซ้ายหลีกขวา หลบหลีกปลายทวนของทวนหลิงหลง
การโจมตีแต่ละครั้งคว้าได้แต่ความว่างเปล่า แต่มู่ชิงเกอกลับไม่รู้สึกท้อแท้ นางไม่หยุดที่จะพุ่งโจมตี แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่พยายามทุ่มเทสุดกำลังความสามารถแล้วสัมผัสไม่โดนแม้แต่ชายเสื้อของคู่ต่อสู้ทำให้ผู้ชมโดยรอบสามารถมองความแตกต่างออกในทันที เพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วสี่สิบกระบวนท่า มู่ชิงเกอเก็บคืนท่าการโจมตี ส่วนจีเหยาฮั่วเองก็หยุดลงมา
ฝีเท้าเขาคล่องแคล่ว เงาร่างราวมายาคล้ายใบไม้ใบหนึ่ง ลอยอยู่กับที่ ยืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากว่าเจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้ภายในสามร้อยกระบวนท่า เจ้าก็ทำให้ข้าบาดเจ็บไม่ได้”
เขาเตือนสติมู่ชิงเกอถึงความหมายของการแข่งขันในครั้งนี้
อิ๋งเจ๋อพิจารณาสี่สิบกระบวนท่าของทั้งคู่อย่างละเอียด เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ กระบวนท่าเหล่านี้ง่ายดายเกินไป ไม่คล้ายพลังแท้จริงของมู่ชิงเกอ
อย่างน้อยผู้ที่สามารถรับมือกับกับเขาสามกระบวนท่า แล้วไม่ตาย ย่อมไม่ได้มีความสามารถเท่านี้อย่างเด็ดขาด
“จะรีบไปไหนเล่า” มู่ชิงเกอสายตาเย็นชา เอ่ยขึ้นมานิ่งๆ
โจมตีเข้าไปอีกครั้ง นางใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด ไม่ได้ใช้พลังจิต นางใช้เพียงกระบวนท่าของทวนหลิงหลงโจมตีใส่จีเหยาฮั่ว
จีเหยาฮั่วก็ไม่ได้ใช้พลังจิต เพียงแค่ทำการป้องกันไม่ได้ออกท่าโจมตี
“กระบวนท่าที่ 56 แล้ว…”
“57 !”
“58 !”
“59 !”
“72 !”
“กระบวนท่าที่ 105 !”
300 กระบวนท่า ตอนนี้ผ่านไปแล้วหนึ่งในสามส่วน
“รีบมาดูเร็ว! คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามจังหวะของนายน้อยจีได้แล้ว!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ผู้ที่มีสายตาแหลมคมก็พบว่าจีเหยาฮั่วไม่ได้หลบซ่อน หลีกหนีการโจมตีของมู่ชิงเกอได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป ทั้งสองคนเริ่มมีการสัมผัสถูกตัวกันแล้ว
ทุกครั้งที่มีการสัมผัส ล้วนมีเงาปะทะเป็นประกาย
การค้นพบนี้ทำเอาผู้คนอดไม่ได้ที่จะเอนตัวมาด้านหน้า ห้านิ้วจับที่วางแขนเก้าอี้ไว้แน่น
สายตาอิ๋งเจ๋อเป็นประกายแวววาว มุมปากยกยิ้มที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
ค่ายที่องครักษ์เขี้ยวมังกรปักหลักอยู่ ไป๋สี่เอามือกอดอก เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ชิงเกอเห็นเจ้านั่นเป็นคู่ซ้อมอย่างนั้นหรือ”
“ตามนิสัยของชิงเกอแล้ว แม้ว่าจะถูกบีบให้ต้องรับการประลองนี้ แต่ก็ยังสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรที่ได้มาจากการประลองในครั้งนี้” หยินเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
ทั้งสองติดตามมู่ชิงเกอมานาน รู้อุปนิสัยของมู่ชิงเกอเป็นอย่างดี
โอกาสที่จะประลองฝีมือกับผู้ที่ได้อันดับที่สองบนทำเนียบชิงอิงมีไม่มาก อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับเกียรติเช่นนี้
“กระบวนท่าที่ 120 แล้ว!”
มีคนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ!
เมื่อเสียงเขาหายไป ในที่สุดทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็แยกออกจากกัน
โครงหน้าของจีเหยาฮั่วแฝงรอยยิ้มที่มองอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงไม่ออก เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “การประลองฝีมือกับข้าเป็นอย่างไร?”
ดูแล้ว เขาเองก็มองเจตนารมณ์ของมู่ชิงเกอออก
“ไม่เลวเลยทีเดียว” มู่ชิงเกอเอ่ยนิ่งๆ
แววตาจีเหยาฮั่วดำมืดยากที่จะเข้าใจ ยิ้มตาหยีเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “การประลองฝีมือจบลงแล้ว ต่อจากนี้จะเอาจริงแล้วนะ” พูดจบ ร่างของเขาก็บังเกิดไอพลังแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
พลังจิตของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ในพลังจิตสีเงินมีสีทองจางๆ ปะปนอยู่
“หืม! ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นหกจริงด้วย ขาข้างหนึ่งแตะระดับพลังขั้นสีทองไปแล้ว!”
“อายุน้อยเพียงนี้ก็เป็นยอดฝีมือระดับพลังขั้นสีทองแล้ว สอนข้าทีว่าจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร?”
“นายน้อยจีเก่งกาจเกินไปแล้ว! ช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ ท่ามกลางผู้ที่มีพรสรรค์!” เสียงยกย่อมสรรเสริญเหล่านี้ ทำให้คนตระกูลจีมีสีหน้าภาคภูมิใจ
พลังจิตสีเงินผสมทองส่องไปบนใบหน้ามู่ชิงเกอ นางยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากพลังมหาศาลนี้
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน พลังปราณของจีเหยาฮั่วก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
เริ่มจากระดับพลังชั้นสีเงินขั้นหก ลดระดับลงมาเรื่อยๆ
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นห้า
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสี่
ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสาม
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสอง!
แม้ว่าสีของพลังจิตไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าความกดดันที่แผ่ให้กับผู้คนรอบๆ กลับไม่รุนแรงดังเช่นก่อนหน้านี้
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าน่าจะอยู่ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสองใช่ไหม” จีเหยาฮั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอยิ้มๆ
มู่ชิงเกอจ้องเขา เม้มปากไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
“แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะลดระดับพลังลงมา แต่ก็เกรงว่านายน้อยจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี” เซวี่ยนหย่าเอ่ยออกมาด้วย แววตาจริงจัง
เสวี่ยหยากัดริมฝีปากล่าง “ข้าเชื่อมั่นในตัวนายน้อย”
เซวี่ยนหย่าหันมามองหน้านาง ในแววตาฉายแววสับสน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงรักษาความสงบนิ่ง
ตามเหตุผลแล้วนางไม่ชอบใจการประลองในครั้งนี้ทว่านางก็รู้สึกว่ามู่ชิงเกอต้องการโอกาสในการฝึกฝนตนเอง จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดที่จะพยายาม ถึงจะพิสูจน์ให้เห็นว่าทางเลือกของนางไม่ผิด!
“มู่ชิงเกอ ข้าจะเริ่มแล้วนะ!” จีเหยาฮั่วพูดจบ ก็พุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอ
พลังที่ร่างของมู่ชิงเกอก็บังเกิดขึ้นเหมือนกันกับเขา พลังจิตสีเงินโอบคลุมทั่วร่างทะยานใส่เขาที่พุ่งเข้ามา
เงาร่างของทั้งสองต่างก็รวดเร็ว เร็วจนทำให้คนจับร่องรอยไม่ได้ เห็นเพียงประกายไฟที่เกิดจากการต่อสู้อันดุเดือด แล้วก็เงาร่างที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่เดิมทีคิดจะนับจำนวนกระบวนท่า ตอนนี้ดูกระบวนท่าของพวกเขาไม่ออกเอาเสียเลย
“เป็นระดับพลังชั้นสีเงินชั้นสองจริงๆ!”
“คุณชายมู่ผู้นี้อายุน้อยกว่านายน้อยจีอยู่หลายปี อายุเพียงเท่านี้มีระดับพลังยุทธ์ระดับพลังชั้นสีเงินชั้นสองแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว! หากมีเวลาฝึกที่แน่นอนย่อมต้องฝากชื่อไว้บนทำเนียบชิงอิง แต่น่าเสียดาย! ที่พบนายน้อยจีในตอนนี้”
“นี่จะเป็นอะไร? ไม่ว่าแพ้หรือชนะการต่อสู้ในวันนี้ก็เพียงพอให้ชื่อเสียงเขาเลื่องลือ”
“ใช่ ใช่! ยังมีการต่อสู้กับนายน้อยตระกูลอิ๋งครั้งที่แล้วนั่นอีก”
“หึหึ ไม่คิดเลยว่างานแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้ จะกำเนิดผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นไม่ธรรมดาขึ้นผู้หนึ่ง!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เข้าหูคนจำนวนไม่น้อย
ในใจซางอี้เฉินรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน ความภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติในแววตามีเพิ่มขึ้น!
ถ้าหากทำได้ เขาก็อยากที่จะประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้ว่า มู่ชิงเกอคือพี่สาวของเขา! ผู้มีพรสวรรค์ขั้นเทพที่มาจากหลินชวน พัฒนาตัวเองมาจากระดับพลังขั้นสีแดง!
อิ๋งเจ๋ออะไร จีเหยาฮั่วอะไร เมื่อเทียบขั้นกับนางแล้วนับเป็นกระไรได้!
หากมู่ชิงเกอเติบโตที่โลกแห่งยุคกลาง เกิดจากระดับพลังขั้นสีม่วง อันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงต้องเป็นของนางอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาไม่รู้ว่า ตอนที่มู่ชิงเกอยังไม่ใช่มู่ชิงเกอแบบในตอนนี้ นางนั้นก็เป็นเพียงคนไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกพลังยุทธได้ผู้หนึ่ง! นางเริ่มฝึกพลังยุทธ์จริงจังก็ช่วงเจ็ดแปดปีมานี้เอง เทียบกับพวกผู้มีพรสวรรค์ของโลกแห่งยุคกลางเหล่านี้แล้วสั้นกว่ามาก หานฉายไฉ่จ้องมองการต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสองโดยไม่กะพริบตา เขาไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะก้าวหน้ามาได้ไวเช่นนี้ แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าการแข่งขั้นครั้งนี้ยากที่นางจะสามารถเอาชนะได้
‘คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเก่งกาจเพียงนี้!’ หานอี้เหรินดวงตาเป็นประกาย ในใจขุ่นเคืองอยู่บ้าง
ความเก่งกาจของมู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤตอันตราย
หากว่าพี่ชายตนเองถลำลึกลงไปจริงๆ ทั้งสองคนทำเรื่องอะไรที่ขัดต่อศีลธรรมขึ้นมา เกรงว่าจะไม่ใช่ตระกูลหานเพียงตระกูลเดียวที่สามารถขัดขวางไว้ได้
พี่ชายของนาง นางรู้จักดี
เด็กคนหนึ่งที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง ถูกทิ้งให้เกิดและเติบโตเองในหลินชวน กลับสามารถอาศัยกำลังของตนเองหวนคืนกลับมาที่โลกแห่งยุคกลาง และเอาชนะผู้แข่งขันคนอื่นๆ คว้าตำแหน่งนายน้อยตระกูลหานมาได้ คนเช่นนี้บวกกับผู้ที่ไม่ธรรมดาอย่างมู่ชิงเกอ หากว่าทั้งสองร่วมมือกันขึ้นมา ย่อมเป็นภัยพิบัติต่อตระกูล หานอย่างแน่นอน!
หานอี้เหรินไม่หวังที่จะเห็นว่าพี่ชายของตนเองกลายเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเพราะบุรุษเพียงคนเดียว ยิ่งไม่หวังให้พี่รองที่ไม่ได้กลับมาง่ายๆ ต้องสูญเสียทุกอย่างที่ได้มาด้วยความยากลำบากไปเพราะบุรุษเพียงคนเดียว
ดังนั้น นางจะต้องจบทุกอย่างนี้ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะ เกิดขึ้น!
เวลานี้เอง สายตาที่หานอี้เหรินมองมู่ชิงเกอก็เติมไปด้วยรังสีสังหาร
แม้ว่ารังสีสังหารของนางจะเก็บซ่อนไว้ด้วยความระมัดระวังแล้ว ก็ยังทำให้หานฉายไฉ่ที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้ เขาหันมามองน้องสาวที่อยู่ข้างๆ ดวงตาเรียวยาวแฝงความบีบคั้น
หานอี้เหรินตะลึงอยู่ในใจรีบสำรวมอาการ ยิ้มแหยๆ เอ่ยว่า “พี่รอง ท่านมองอะไรหรือ?”
“หานอี้เหริน ไม่ต้องทำเป็นฉลาด” หานฉายไฉ่เอ่ยเตือนขึ้นหนึ่งประโยคเสียงเรียบราบ
ไม่ว่ารังสีสังหารของหานอี้เหรินเมื่อครู่นี้จะมีต่อใคร เขาก็ไม่ปล่อยให้นางทำเรื่องวุ่น
ตึง!
เสียงปะทะกันบาดหูดังขึ้น ในที่สุดเงาร่างของทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็แยกจากกันอีกครั้ง
เมื่อเห็นภาพชัดเจน ก็มีสายตาจำนวนไม่น้อยสังเกตไปที่ร่างจีเหยาฮั่ว ราวกับต้องการดูว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ถึงกระนั้นอาภรณ์ของจีเหยาฮั่วนอกจากยับย่นนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่มีรอยฉีกขาดใดๆ และไม่มีบาดแผล
ส่วนมู่ชิงเกอยังมีท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“ผ่านไปแล้ว 215 กระบวนท่า เหลืออีก 85 กระบวนท่า” จีเหยาฮั่วเอ่ยเตือนพร้อมรอยยิ้ม
แต่ว่าทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ปิดตาทั้งสองข้าง กุมทวนหลิงหลงพุ่งเข้าใส่จีเหยาฮั่วอีกครั้ง จีเหยาฮั่วแววตาจริงจังขึ้นฉับพลัน มองมู่ชิงเกอด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
อิ๋งเจ๋อก็ผุดลุกขึ้นยืนตรงที่ตนเองนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว มองดูทั้งสองคนที่กำลังประลองกันอยู่…ไม่สิ ควรจะพูดว่า มองมู่ชิงเกอ
ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามของกองกำลังหลิวเค่อเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น!
นี่คือความสงสัยในใจของใครหลายๆ คน ถึงกระนั้นในตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดอธิบายพวกเขาได้
กระบวนท่าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไปโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น อีกทั้งต้อนมุมปิดทางถอยของจีเหยาฮั่ว บีบจนเขาต้องต้านรับอย่างเอาจริงเอาจัง
พัดของจีเหยาฮั่วปัดป่ายไปมาไม่หยุด เกิดเป็นแสงเงินโค้งไปมากลางอากาศ
เกือบทุกครั้งที่ลงมือก็จะทิ้งบาดแผลเป็นทางยาวบนร่างของมู่ชิงเกอ ไม่นานบนร่างของมู่ชิงเกอก็มีรอยแผลเป็นทางยาวสิบยี่สิบรอยเต็มไปหมด
แม้ว่ารอยแผลเหล่านี้จะไม่ลึก แต่ว่ากลับทำให้ดูน่าอเนจอนาถนัก
ทว่า มู่ชิงเกอกลับดูคล้ายหลงลืมไม่รู้สึกรู้สาเสียอย่างนั้น ยังคงปิดตาทั้งสองข้าง ตวัดทวนหลินหลงอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นไอพลังบนร่างของนางก็เปลี่ยนแปลงฉับพลันพลังสีเงินขั้นสองมีความรู้สึกเหมือนว่าจะตีฝ่าด่าน
“ชิงเกอจะทะลวงขั้นแล้ว!” ไป๋สี่เอ่ย
“คิดไม่ถึงว่าจะทะลวงขั้นในการต่อสู้!”
“ผิดแปลกเกินไปแล้ว! ใครบ้างที่จะทะลวงขั้นไม่ใช่ไปหาที่สงบๆ สักที่ ตั้งใจทะลวงขั้นบ้าง เหตุใดจึงมีอะไรผิดแปลกเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าระหว่างการต่อสู้ สู้ไปสู้มาก็ทะลวงขั้นเสียแล้ว!”
“แย่แล้ว! ทะลวงขั้นเช่นนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว หากว่าธาตุไฟเข้าแทรกจะทำอย่างไร?”
“ข้ากังวลแค่ว่าหลังจากที่เขาทะลวงขั้นแล้ว จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะหรือไม่? ข้าเอาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลมาลงพนันว่านายน้อยจีชนะนี่สิ!”
“เจ้าวางใจเถอะ นายน้อยจีสะกดข่มไว้ทุกจุดแล้ว แม้ว่าเขาจะทะลวงขั้นสำเร็จก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายน้อยจี”
‘มู่ชิงเกอ!’ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของหานฉายไฉ่ กำหมัดไว้แน่น โครงหน้าหล่อเหลาก็ยับย่นขึ้นมา
ความตึงเครียดของเขานำมาซึ่งสายตาของหานอี้เหรินและหร่วนชิงเหลียน
ครืน!
พลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า บนร่างของมู่ชิงเกอเกิดเป็นแสงสีเงินเจิดจ้าพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
ทะลวงขั้นแล้ว!
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสาม!
“คืนก่อนที่ชิงเกอร่ายเพลงทวน เหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง บวกกับการเก็บตัวฝึกฝนในสามวันนี้ การทะลวงขั้นในวันนี้ก็เป็นเพียงเรื่องจะช้าจะเร็วก็เท่า นั้น” หยินเฉินเอ่ยนิ่งๆ
“ทะลวงขั้นแล้ว! ทะลวงขั้นจริงๆ ด้วย!”
“บัดซบ! นี่เก่งเกินไปแล้ว เท่านี้ก็อยู่ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสามแล้วหรือ?”
“มารดามันเถอะ! ตัวข้าเลื่อนระดับสบายๆ เช่นนี้ก็ดีสิ!”
“นี่คือพรสวรรค์อย่างไรล่ะ!”
การที่มู่ชิงเกอทะลวงขั้นขณะต่อสู้มีทั้งคนตระหนก มีทั้งคนยินดี และก็มีผู้ที่ไม่พอใจ แต่ว่าสำหรับคนที่ห่วงใยมู่ชิงเกอแล้ว การเลื่อนระดับอย่างฉับพลัน พลังเพิ่มสูงขึ้นของนาง นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยนางก็มีหลักประกันเพิ่มขึ้นหลายส่วน
สุดท้ายแล้วจีเหยาฮั่วก็เก็บแววตายั่วเย้าขี้เล่น เขาเม้มปากแน่นเริ่มจริงจังกับการรับมือ
วิถีทวนของมู่ชิงเกอรวดเร็วมาก ทั้งยังแม่นยำรุนแรง เขามองเห็นข้อมือมู่ชิงเกอที่จับทวนหลิงหลง ออกกระบวนท่ารวดเร็ว พลังจิตที่รุนแรงเด็ดขาดจู่โจมเข้าใส่ข้อมือของมู่ชิงเกอ ทำให้ทวนหลิงหลงของนางบินถลาออกไป
ภาพทวนเทพหลุดมือ ทำเอาทุกคนกลั้นลมหายใจ
ราวกับว่าการเลื่อนระดับอย่างกะทันหันของมู่ชิงเกอ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบที่จะพ่ายแพ้ของนางได้
ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่ชิงเกอเปิดออกช้าๆ ความสงบนิ่ง ในดวงตาสุกสกาวนิ่งเงียบไร้คลื่นลม มีเพียงแสงสีเงินจางๆ เกิดขึ้น “กระบวนท่าที่ 280”
นางไม่ได้เรียกคืนทวนหลิงหลง แต่กำหมัดมือเปล่าพุ่งเข้าจู่โจมใส่จีเหยาฮั่ว
การต่อสู้ระยะประชิด!
ใช้กล้ามเนื้อร่างกายต่อสู้ระยะประชิด ถึงจะเป็นทักษะพิเศษของนาง!
สิ่งที่เรียนมาจากภพที่แล้ว ประยุกต์เข้ากับสิ่งที่ได้เรียนในภพนี้!
ไม่มีชื่อเรียก ท้ายที่สุดมู่ชิงเกอคิดจะใช้วิธีการต่อสู้ซึ่งหน้าชนิดนี้มาจบการต่อสู้ในครั้งนี้
พลังจิตในกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าวิธีการเคลื่อนไหวจะเป็นไปตามวิธีการเคลื่อนไหวของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน มู่ชิงเกอตกอยู่ในโลกของตนเอง นางรู้สึกว่าร่างกายภายในมีพลังที่ถาโถมไม่หยุดหย่อน สามารถทำให้นางสยบฟ้าพิชิตปฐพี
หมัดของนางแหวกแรงลมที่เป็นอุปสรรค พุ่งไปด้านหน้าจีเหยาฮั่ว
จีเหยาฮั่วท่าทีเปลี่ยนไป พัดในมือยกขึ้นมากันอยู่ด้านหน้ารับหมัดของมู่ชิงเกอ
ถึงกระนั้นหมัดของมู่ชิงเกอกลับไม่ได้หยุดลงด้วยเหตุนี้ กลับยิ่งรุนแรงขึ้น
ปัง!
เสียงหมัดกับพัดปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว
และทันใดนั้นเองพัดก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่วงกราวกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ข้อมือของจีเหยาฮั่วสั่นสะท้านรุนแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ไม่คิดเลยว่าหมัดเดียวจะทำลายยุทธภัณฑ์ระดับเทวะแตกเป็นชิ้นๆ?
แม้ว่ายุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจะไม่ใช่ของเลอค่า แต่ก็เป็นยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเชียวนะ!
สามารถทำลายยุทธภัณฑ์ระดับเทวะได้ในหมัดเดียว นี่เป็นพลังแบบไหนกันแน่?
เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่มีพลังเทพมาตั้งแต่เกิดอย่างตระกูลอิ๋งก็ทำไม่ได้
ขณะที่ทุกคนอยู่ในอาการตื่นตระหนกก็หันไปมองอิ๋งเจ๋ออย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ใบหน้าเย็นชาของเขามองไม่ออกว่ายินดีหรือขุ่นเคือง เห็นเพียงแค่โครงหน้าเขายับย่น มองไปทางที่มู่ชิงเกอเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
บนทุ่งหญ้าอัสดง เงียบสนิทไม่มีเสียงอันใดแม้แต่น้อย
ไม่ว่าใครต่างก็อยู่ในอาการตะลึงกับภาพที่มู่ชิงเกอทำลายยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะของจีเหยาฮั่วแตกเป็นชิ้นๆ ในหมัดเดียว
‘ไม่พอ! ยังไม่พอ!’ หมัดของมู่ชิงเกอยังคงกำแน่น หมัดเมื่อสักครู่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะระบายพลังทำลายล้างที่อยู่ในกายนาง
นางพุ่งเข้าโจมตีใส่จีเหยาฮั่ว แสดงกำลังที่จู่ๆ ปะทุขึ้นมาในร่างกาย
‘คิดไม่ถึงว่าศิลปะการใช้หมัดของเขาจะคล่องแคล่ว เพียงนี้!’ รอบกายจีเหยาฮั่วแทบจะถูกล็อคด้วยเงาหมัด ไม่สามารถหลบหลีกได้ทำได้เพียงเผชิญหน้ากับหมัด
รุนแรงเหล่านี้ซึ่งหน้า
ปัง ปัง ปัง!
หมัดของมู่ชิงเกอรัวลงบนร่างของจีเหยาฮั่วอย่างต่อเนื่อง
“กระบวนท่าที่ 300!”
ขณะที่จีเหยาฮั่วหลีกหนีสภาพอเนจอนาถนั้น มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นทันใด สายตาเย็นชามองหน้าเขา หมัดขวาตะบันใส่ปลายคางของเขาอย่างจัง
ตึง!
หมัดนี้แทบจะทำลายปลายคางจีเหยาฮั่ว หากไม่ใช่ว่าในเวลาที่สำคัญเขาใช้พลังจิตป้องกันได้ทันเวลา เกรงว่าตอนนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคงถูกทำลาย หน้าเบี้ยว ฟันหัก สภาพสะบักสะบอมไปแล้ว
จีเหยาฮั่วกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่งสาดกลางอากาศ ตัวคนก็บินถลาออกไป ล้มควํ่าลงบนทุ่งหญ้าอัสดง ทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบสงบ
แม้แต่เสียงลมยังสามารถฟังได้ยินได้อย่างชัดเจน!
เช่นนี้ก็…ชนะแล้วหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง แม้แต่จีเหยาฮั่วเองในขณะที่บินถลาอยู่กลางอากาศเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
เขาถูกหมัดเดียวของมู่ชิงเกอต่อยจนพร่าเบลอ ความเจ็บปวดบริเวณกระดูกปลายคาง ยังรู้สึกว่ามันไม่มีทางเป็นความจริง!
ชนะแล้ว!
คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะชนะแล้ว!
แพ้แล้ว!
คิดไม่ถึงว่าจีเหยาฮั่วจะแพ้แล้ว!
ข้อตกลงของพวกเขาคือ มู่ชิงเกอสามารถทำให้จีเหยาฮั่วบาดเจ็บได้ภายใน 300 กระบวนท่าก็ถือว่าชนะ
ส่วนตอนนี้ กระบวนท่าที่ 300 มู่ชิงเกอต่อยจีเหยาฮั่วถลาออกไป จนเขากระอักเลือดในหมัดเดียว นี่ยังไม่ถือว่าได้รับบาดเจ็บหรือ?
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างของนางสั่นเล็กน้อย ใต้ผิวหนังของนางปรากฎแสงสีทองออกมาให้เห็นลางๆ พลังที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างนางยังไม่ได้ใช้ออกไป
นางอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งอดทนต่อความรู้สึกที่ร่างกายภายในถูกฉีกขาด ใบหน้ายับย่น
จีเหยาฮั่วกุมหน้า กลับมายืนอยู่ตรงหน้านางใหม่
“แพ้ชนะเป็นอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเยือกเย็น
“เจ้าชนะแล้ว” พลังจิตที่ออกจากฝ่ามือจีเหยาฮั่ว ไม่หยุดที่จะนวดปลายคางตนเอง เอ่ยกับมู่ชิงเกออย่างไม่สบอารมณ์
บนทุ่งหญ้าอัสดง ทุกคนเกรียวกราวอืออา แม้ว่าจะคาดเดาจุดจบได้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินจีเหยาฮั่วยอมแพ้ออกมากับหูตนเอง ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ประหลาดใจ
ใบหน้าเฉยชาของมู่ชิงเกอ พยักหน้ารับ
นางยกมือขึ้นเรียกคืนทวนหลิงหลง จากนั้นก็รีบหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“เพ่ย! จะรีบหนีไปไหน?” จีเหยาฮั่วบ่นพึมพำ
การจากไปของมู่ชิงเกอ ทำลายความเงียบบนทุ่งหญ้าอัสดง
“มู่ชิงเกอ!”
“มู่ชิงเกอ!”
“มู่ชิงเกอ!”
บนทุ่งหญ้าอัสดง ผู้คนที่ได้สติจากอาการตื่นตระหนก ต่างก็พากันตะโกนร้องเรียกชื่อมู่ชิงเกอออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนตระกูลจีต่างวิ่งเข้ามาดูอาการจีเหยาฮั่วด้วยความเป็นห่วง
อิ๋งเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมาทางเขา
พวกมั่วหยางที่เห็นมู่ชิงเกอจากไปอย่างเร่งรีบ ในใจก็เป็นกังวล ทุกคนต่างพากันกลับไปค่ายเขี้ยวมังกรเงียบๆ มู่ชิงเกอที่ควรอยู่รับเสียงร้องยินดี บัดนี้กลับหายไปจากสายตาของทุกคน
หลังจากนาทีที่นางจากไป ท่ามกลางผู้คนก็มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!
“อ๊าก! ทรัพย์สินตระกูลข้า!” เสียงเตือนนี้ ทำให้ทุ่งหญ้าอัสดง เริ่มมีเสียงร้องโอด
ครวญระงม
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” อิ๋งเจ๋อเดินมาอยู่ข้างตัวจีเหยาฮั่ว เอ่ยถามเบาๆ
จีเหยาฮั่วส่ายหน้า “บาดแผลภายนอก ทว่า ข้าคิดไม่ตกว่าเหตุใด เขาถึงได้มีพลัง แข็งแกร่งเช่นนี้! ”
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบ สิ่งที่จีเหยาฮั่วคิดไม่ตกก็เป็นสิ่งที่เขาเองคิดไม่ตกเช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถให้ความกระจ่างกับพวกเขาได้
มู่ชิงเกอกลับไปที่ค่ายเขี้ยวมังกรอย่างเร่งรีบ พรวดเข้าไปในกระโจมหลัก
“อามั่ว!”
ซือมั่วที่พิงเก้าอี้ดูหนังสือด้วยท่าทีเกียจคร้าน เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่พรวดพราดเข้ามาจากนอกประตู ดวงตาสีอำพันเป็นประกาย หนังสือในมือยังไม่ทันถึงพื้น เขาก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอเสียแล้ว
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” เขาประคองมู่ชิงเกอ เห็นแสงสีทองรางๆ บนผิวกายนางแล้วแววตาก็ขรึมลง
“ภายในร่างกายข้าคล้ายกับว่ามีพลังอันแสนยิ่งใหญ่ หากไม่ปล่อยออกไป รู้สึกว่าร่างกายจะระเบิดออกมา” เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากมู่ชิงเกอสีหน้าซีดขาวเอ่ย อธิบายอาการของตนเองกับซือมั่ว
ความรู้สึกนี้กับความรู้สึกยามที่นางฝันว่าฝึกเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเหมือนกัน ทำให้นางไม่สงสัยเลยสักนิดว่าหากนางไม่สามารถระบายพลังภาย ในร่างกายออกไปได้ร่างกายของนางจะระเบิดขึ้นมาจริงๆ
ซือมั่วจับมือของนางไว้ทาบกับหน้าอกของตนเอง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ต่อยข้า”
อะไรนะ!
มู่ชิงเกอช้อนสายตาขึ้นมามองซือมั่วด้วยความตระหนก
อะไรคือการต่อยเขา?
หมัดเมื่อครู่ที่นางต่อยจีเหยาฮั่ว นางรู้สึกว่าไม่ได้ใช้พลังมากนักก็ต่อยจนเขากระเด็นออกไป หากว่าต่อยซือมั่ว…
“เร็วเข้า!” ซือมั่วเอ่ยเร่งอย่างไม่อธิบาย
“อาการบาดเจ็บของเจ้า” มู่ชิงเกอลังเล
ส่วนลึกในตาซือมั่วรู้สึกอบอุ่น เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขาเสมอ
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกรีบปล่อยพลังภายในร่างกายเจ้าออกมา” ซือมั่วยิ้ม รอยยิ้มนั่นทำให้มู่ชิงเกอเชื่อมั่น ทำตามสิ่งที่เขาบอกโดยไม่ต้องกล่าวให้มากความ
นางเม้มปากแน่น สุดท้ายก็ปล่อยพลังภายในร่างกายออกมา
พลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานสายหนึ่งออกมาจากหมัดทำลายล้างของนาง ซัดเข้าใส่แผ่นอกของซือมั่ว
หน้าอกของเขาราวกับกลายเป็นนํ้าวนขนาดใหญ่ดูดกลืนพลังที่ทะลักออกมาจากภายในร่างของมู่ชิงเกอไม่ขาดสาย
ประมาณหนึ่งก้านธูป มู่ชิงเกอถึงรู้สึกว่าพลังภายในร่างกายถูกดูดไปไม่น้อย นางถอนหายใจเอ่ยกับซือมั่วว่า “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซือมั่วส่ายหน้า ลูบเปลือกตาของมู่ชิงเกอเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไร”
เก็บมือกลับมาแล้วมู่ชิงเกอก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” ในใจของนางแอบรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน แต่ก็พูดไม่ถูกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
หากไม่ใช่ซือมั่วดูดซับพลังของนางไปได้ทันเวลาแล้วล่ะก็ เกรงว่าจุดจบของนางก็คงระเบิดเช่นเดียวกับในห้วงความฝันซํ้าแล้วซํ้าเล่านั้น
“วิธีการฝึกพลังยุทธ์ของเคล็ดวิชาเทวะกับการฝึกในยุคปัจจุบันไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งอยู่บ้าง ไม่เป็นอะไร ค่อยๆ ฝึกการควบคุมให้เป็นก็พอแล้ว” ซือมั่วเอ่ยปลอบ
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็พยักหน้า ถึงอย่างนั้นเมื่อซือมั่วมองบาดแผลเป็นริ้วๆ บนร่างของมู่ชิงเกอแล้ว ก็เยือกเย็นขึ้นมาทันใด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอาการบาดเจ็บเหล่านี้มู่ชิงเกอฟื้นฟูตั้งนานแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงร่องรอยเสียหายบนชุดเท่านั้นเอง
แต่ในใจของเขายังคงมีความคิดที่อยากจะสังหารคนอย่างควบคุมไม่ได้
“มู่ชิงเกอ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ออกมาพบหน่อย” ทันใดนั้นเสียงของหานฉายไฉ่ก็ดังขึ้นด้านนอกกระโจม
มู่ชิงเกอชะงักหันไปมองซือมั่ว
ซือมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
“เจ้าไม่หึงหรือ?” มู่ชิงเกอมองปฏิกิริยาตอบกลับของเขาด้วยความสงสัย
ซือมั่วเอ่ยว่า “ข้าเชื่อใจเจ้า”
มู่ชิงเกอ ‘จุมพิต’ แก้มเขาทีหนึ่ง หันหลังเดินออกมาจากกระโจมหลัก
ข้างนอกกระโจมไม่มีเงาร่างของหานฉายไฉ่อยู่ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะหายไปจากที่เดิม
เมื่อปรากฎกายอีกครั้งก็อยู่ที่สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งนอกค่ายเขี้ยวมังกร
หายฉายไฉ่ยืนหันหลังให้นาง มู่ชิงเกอถามขึ้นว่า “เจ้าเรียกข้าออกมามีเรื่องอะไรหรือ?”
หายฉายไฉ่หันกลับมาเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ ในดวงตาเรียวยาวมีความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “มู่ชิงเกอ เจ้าต้องไปจากเขา พวกเจ้าไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้”
ดวงตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่ลง นํ้าเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน “หานฉายไฉ่ ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้เจ้าเข้ามายุ่มย่ามชีวิตของข้า”
หายฉายไฉ่เบิกตาทั้งสองข้าง มองหน้านางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร? เจ้าถูกความรักบังตาทั้งสองข้างแล้วใช่ไหม? เขากับเจ้า กับพวกเราไม่ใช่พวกเดียวกัน”
“ใช่พวกเดียวกันหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องให้เจ้ามากังวล” น้ำเสียงราบเรียบของมู่ชิงเกอติดจะเย็นชาสักหน่อย
“เขาเป็นมาร! มารนะ เจ้าเข้าใจหรือไม่? ถ้าหากมีวันหนึ่งพวกเราสามารถเข้าไปในโลกแห่งเทพมารตามตำนาน เจ้ากับเขาก็ต้องเผชิญหน้ากัน และถึงแม้ว่าจะไปที่แห่งนั้นไม่ได้ ระหว่างเจ้ากับเขาก็เป็นไปไม่ได้ เขาสามารถมีอายุอยู่เป็นพันๆ หมื่นๆ ปี แล้วเจ้าล่ะ? เกรงว่าต่อให้เจ้าฝึกพลังยุทธ์ถึงระดับพลังชั้นสีทอง อายุขัยก็อยู่ได้เพียงหมื่นปีเท่านั้น สำหรับเขาแล้วเจ้าก็เป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิต เจ้าคิดว่าเขาจะทุ่มเททั้งชีวิตมารักเจ้าหรือ?” หานฉายไฉ่เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเดือดดาล
มาร! ซือมั่วเป็นมาร!
สุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบจนได้ แม้ว่าจะไม่ได้ออกมาจากปากซือมั่วก็ตาม
ในค่ายตระกูลจี จีเหยาฮั่วรับโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปแล้ว ไม่มีอะไรน่ากังวล เหมือนที่ตัวเขาบอกเอาไว้ หมัดสุดท้ายของมู่ชิงเกอต่อยเข้าที่ปลายคางของเขา ไม่ ใช่บนร่างกาย แม้ว่ามันจะทำให้เขาเจ็บปวดมาก แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก
พอรับโอสถแล้วแล้วเขาก็แทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก
แต่ว่า
จีเหยาฮั่วส่องกระจกที่อยู่ในกระโจม พิจารณารายละเอียดบนใบหน้า บ่นพึมพำว่า “คล้ายว่าใบหน้าข้าจะเบี้ยวไปหน่อย”
ทันใดนั้น สายตาเขาก็ตกตะลึง หันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าในกระโจมของเขามีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนได้อย่างไร สวมชุดคลุมตัวยาวสีดำทมิฬ เรือนกายสูงใหญ่ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่ง ทว่า เขากลับมองใบหน้าของคนผู้นี้ไม่ชัด
“เจ้าเป็นใคร?” จีเหยาฮั่วคำรามขึ้นเสียงดัง คนผู้นี้ปรากฎตัวอยู่ในกระโจมตนเอง แต่กลับไม่ได้ทำให้คนในตระกูลแตกตื่น ที่สำคัญก็คือเขาสัมผัสถึงพลังจิตไม่ได้เลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะเห็นเงาคนในกระจกแล้วล่ะก็ เขาคงไม่เห็น
เพียงแค่จุดนี้ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา!
“ข้ามาส่งหนังสือท้าประลองกับเจ้า” น้ำเสียงเย็นชาราวกับประกาศิตฟ้ามาเยือน ไม่ยอมให้ปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น