Skip to content

พลิกปฐพี 275

ตอนที่ 275

ความรู้สึกยามมีคนหนุนหลังช่างดีเหลือเกิน! ท่านโห่วออกโรง

“คนที่แย่งของของพวกเจ้าไป ไม่ใช่ร้อยอัคคีของข้า” บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีกลับยังคิดที่จะเล่นลิ้น ปัดความรับผิดชอบ คำพูดประโยคนี้ของเขาทำเอากงหมี่ฟางรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ส่งเสียงตะโกนออกมาทันที “นี้ เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

แต่ว่าหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีเวลานี้ไม่ว่างที่จะไปสนใจนาง เพียงแค่จับจ้องไปที่มั่วหยางด้วยอาการเฝ้าระวัง ป้องกันเกิดเขาเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามขึ้นมา

มั่วหยางมองเขานิ่งๆ เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “นางไม่รู้ธรรมเนียม กองกำลังร้อยอัคคีก็ไม่รู้หรือ?”

ช่างเป็นเรื่องขบขันเสียจริง!

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีย่นคิ้ว ตรึกตรองอยู่รอบหนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราเพียงแค่รับผิดชอบคุ้มครอง ความปลอดภัยของคุณหนูกง การกระทำของนางพวกเราไม่เคยเข้าไปแทรกแซง”

พูดจบ เขาก็มองไปทางกงหมี่ฟาง

หากว่าเวลานี้กงหมี่ฟางมีไหวพริบสักหน่อย อาศัยตอนนี้ยอมลงให้ ปล่อยสัตว์อสูรปีกเดียวไป เรื่องนี้ก็จะปิดฉากลง แต่ว่านางกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ตรงกันข้ามกลับจับตัวสัตว์อสูรปีกเดียวไว้แน่นขึ้น ตะโกนบอกเสียงดัง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าเก็บได้ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเป็นของพวกเจ้าก็เป็นของพวกเจ้ากัน?”

นางชี้ไปที่ซากศพสัตว์อสูรที่อยู่บนพื้น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางมีเหตุผล “อีกอย่าง พวกเจ้าก็มีเยอะแยะแล้ว จะมาแย่งกับข้าอีกทำไม?”

เข้ามาในเทือกเขาซางหลานได้เจ็ดวันแล้ว นางยังไม่ได้ล่าสัตว์อสูรด้วยตนเองเลย

แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นผู้สังหารซากศพสัตว์อสูรปีกเดียวตัวนี้ แต่ว่านางเป็นผู้เก็บได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นสินสงครามของนาง ไม่ว่าจะพูดเช่นไรนางก็ไม่มีวันปล่อยไปเด็ดขาด!

แววตากงหมี่ฟางสะท้อนความเด็ดเดี่ยว ไม่ยินยอมประนีประนอมแม้แต่น้อย

การโต้แย้งอย่างไม่มีเหตุผลของนางทำเอามั่วหยางขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่

ซางอี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่? คิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยคำพูดโดยไม่รู้สึกละอายใจ เช่นนี้ออกมาได้!”

“เจ้าเด็กหน้าเหม็นพูดว่าอะไรนะ?” กงหมี่ฟางตะคอกใส่ซางอี้เฉินทันที

เวลานี้เอง นางถึงได้ตั้งใจมองหน้าซางอี้เฉิน ลอบพิจารณารายละเอียดรอบหนึ่ง และในทันใดนั้นนางก็จำฐานะของเขาขึ้นมาได้ “อ๋อ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็คือสวะของตระกูลซางผู้นั้นนี่เอง เสียดายที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่กลับเป็นผู้ที่ไม่มีสายเลือดสืบทอดจากตระกูลซาง”

นํ้าเสียงของกงหมี่ฟางเต็มไปด้วยแววดูถูกและเหยียดหยาม

นางสังเกตเห็นซางเสวี่ยอู่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เป็นตระกูลในเขตภาคตะวันตกเช่นเดียวกัน นางย่อมจำซางเสวี่ยอู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลานี้ซางเสวี่ยอู่ก็มีชื่อ เสียงไปทั่วทุ่งหญ้าอัสดง

เมื่อเดาได้ถึงฐานะของซางเสวี่ยอู่ นางก็เดาได้ว่าบุรุษที่ทะเลาะกับซางเสวี่ยอู่อยู่ตลอดเวลาผู้นั้น เป็นน้องชายที่ไม่ได้เรื่องของซางเสวี่ยอู่นั้นเอง

“เจ้า!” ซางอี้เฉินโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม

ชั่วพริบตาเดียวซางเสวี่ยอู่ก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายซางอี้เฉิน ใบหน้างดงามฉายแววเย็นชา มองกงหมี่ฟางด้วยสายตาเย็นยะเยือก “คุณหนูกงได้โปรดระวังวาจา อี้ เฉินไม่ใช่คนไร้ค่าแน่นอน”

สายตาของกงหมี่ฟางตวัดผ่านมายังซางเสวี่ยอู่อย่างมาดร้าย ฉายแววริษยาเอ่ยเย้ยหยันขึ้นว่า “ทำไมหรือ? ข้าพูดผิดตรงไหนกัน? นี่เป็นเรื่องจริงที่ใครๆ ในเขตภาค ตะวันตกต่างก็รู้กันดี!”

“เจ้าว่าใครไร้ค่า?” เสียงเย็นชากล้าได้กล้าเสียดังแทรกขึ้นมาในทันใด ดึงดูดความสนใจของทั้งสองฝ่ายขึ้นทันที

ผู้คนพากันหันไปตามเสียง เห็นแค่ว่าในป่าด้านหลัง องครักษ์เขี้ยวมังกรมีคนเดินออกมาสองคน

คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีแดงเฉิดฉันสง่างาม คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำทะมึนลึกลับยากจะคาดเดา เห็นคนผู้นี้ชัดๆ แล้วแท้ๆ แต่ในห้วงความคิดกลับมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลือนรางยิ่งนัก แม้กระทั้งท่าทางยังจำไม่ได้ เพียงจำได้ลางๆ ว่าในอ้อมกอดของเขามีเจ้ากระต่ายท่าทางทึ่มทื่อแต่น่ารักตัวหนึ่ง

การมีอยู่ของเขาทำให้ผู้คนละเลยโดยง่าย ต่างพากันพุ่งความสนใจไปที่คุณชายสวมอาภรณ์สีแดงซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า

เมื่อใบหน้างดงามสะดุดตาราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องท้องนภา ยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ปรากฎขึ้นตรงหน้าทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างก็ ตกอยู่ในอาการตะลึง

มั่วหยางเห็นผู้ที่เดินเข้ามาก็รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที องครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น ประสานเสียง “คุณชาย!”

มู่ชิงเกอก้าวเท้าเดินผ่านพวกเขาอย่างมั่นใจ เดินมาอยู่หน้าสุดเผชิญหน้ากับคนของกองกำลังร้อยอัคคี “ลุกขึ้นเถอะ”

มั่วหยางและคนอื่นๆ ลุกขึ้นตามคำสั่ง

หลังจากที่มู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นพลังจากกายของพวกเขาก็ขึงขังขึ้นหลายส่วน คล้ายกับว่ากระบี่ที่ออกจากฝัก ผ่านการเช็ดถูมาแล้วรอบหนึ่ง

“เป็นเจ้าที่พูดว่าเขาไร้ค่าใช่ไหม?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง กวาดสายตามองผ่านคนของกองกำลังร้อยอัคคี ไปหยุดอยู่ที่กงหมี่ฟาง

ราวกับว่าในสายตาของนาง คนของกองกำลังร้อยอัคคีไม่มีค่าพอให้นางเอ่ยถึง

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้คนของกองกำลังร้อยอัคคีรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก

เสียงของมู่ชิงเกอทำเอากงหมี่ฟางได้สติจากอาการตะลึงในความงาม เมื่อเห็นว่านางมองตนเองก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง พยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย ท่าทางเงอะๆ งะๆ นั่นไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ามู่ชิงเกอกำลังถามอะไร

ดีมาก” เมื่อนางยอมรับ มู่ชิงเกอก็เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยความเย็นชาสองพยางค์

ดีมาก? ดีมากอะไรกัน?

กงหมี่ฟางมีสีหน้าท่าทางงงงวย

“มานี่” มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยอธิบาย เพียงแค่ตะโกนออกมาคำหนึ่ง

ไม่ต้องเรียกชื่อ ซางอี้เฉินก็รู้ว่ามู่ชิงเกอเรียกตนเอง เขารีบรุดมาอยู่ตรงหน้านาง ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม ราวกับเด็กน้อย เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ลูกพี่”

“เอ่ยท้าประลองกับนางซะ” มู่ชิงเกอไม่ได้มองเขาเลยสักแวบ เพียงแต่เอ่ยคำสั่ง สั่งลงมา

หา?

ซางอี้เฉินเงยศีรษะขึ้นด้วยความตกใจ มองดูมู่ชิงเกอ และมองดูกงหมี่ฟางที่ยังคงมีอาการงงงวย

ไม่ใช่เพียงแค่กงหมี่ฟาง แม้แต่คนของกองกำลังร้อยอัคคี ไหนจะซางเสวี่ยอู่ต่างก็ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอ

เมื่อเห็นว่าซางอี้เฉินไม่มีการขยับตัว มู่ชิงเกอก็เบือนหน้าปรายตามองหน้าเขาเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นว่า “ทำไมหรือ? ได้ฉายาว่าไร้ค่ายังชอบจนไม่ยอมปล่อยมือหรือ?”

ซางอี้เฉินชะงักไป เหมือนว่าจะเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเท้ายาวๆ ออกมา เอ่ยกับกงหมี่ฟางว่า “ข้าขอท้าประลองเจ้า”

พูดแล้ว ก็หันไปมองคนของกองกำลังร้อยอัคคี เอ่ยด้วยความมั่นใจในตนเอง “นี่เป็นเรื่องระหว่างตระกูลของพวกเรา หรือว่ากองกำลังร้อยอัคคีคิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง”

คำพูดประโยคนี้ ทำเอาหัวหน้ากองกำลังย่อยที่เตรียมจะเอ่ยออกมากลืนคำพูดกลับไป ก่อนหน้านี้เขาปัดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้ ชัดเจน หากว่าตอนนี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการท้าประลองของตระกูล จะมิเป็นการตบหน้าตนเองหรือ?

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีมีสีหน้าลำบากใจปิดปากไม่เอ่ยวาจา

กงหมี่ฟางกัดริมฝีปากด้วยความโกรธเคือง ถลึงตาใส่ซางอี้เฉินไม่เอ่ยสิ่งใด

ซางอี้เฉินยิ้มหัวเราะเหยียดหยาม “แม้แต่การท้าประลองของคนไร้ค่าเจ้ายังไม่กล้าตอบรับ?”

เขากัดฟัน เน้นเสียงคำว่า ‘ไร้ค่า’ สองพยางค์ ราวกับกดความคับข้องใจไว้เนินนาน

ซางเสวี่ยอู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วรู้สึกปวดใจ เป็นเพราะว่าอี้เฉินไม่มีสายเลือดหลอมศาสตราของผู้สืบทอดตระกูลซาง ดังนั้นจึงถูกหัวเราะเยาะว่าไร้ค่าเรื่อยมา

เป็นเพราะว่าเขาไม่มีสายเลือดหลอมศาสตรา ดังนั้นแม้ว่าพรสวรรค์ระดับพลังยุทธ์ของเขาจะสูงเพียงไหนก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ

เขาค่อยๆ เก็บซ่อนตัวเอง ฝึกพลังยุทธ์เงียบๆ ไม่เคยเอ่ยอธิบายใดๆ กับใคร มีเพียงนางกับท่านแม่เท่านั้นที่รู้ว่าอี้เฉินของพวกเขาไม่ได้ไร้ค่า

ซางเสวี่ยอู่เงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของมู่ชิงเกอ ปลายจมูกแสบร้อน

การปรากฎตัวของพี่ใหญ่ราวกับว่าได้ทยอยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของพวกนางในปัจจุบัน ทำให้พวกนางปล่อยวางความกังวลลงช้าๆ กลับไปเป็นตัว ของตนเองอย่างผ่าเผย

แม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่ยอมรับพวกเขา ทว่ากลับทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีที่พึ่งพา มีที่พึ่งพิง

ด้วยเหตุนี้นางจึงสามารถบอกปฏิเสธได้อย่างกล้าหาญ เมื่อครั้งที่จีเหยาฮั่วดูหมิ่นตระกูลซาง ด้วยเหตุนี้หลังจากที่อี้เฉินถูกด่าว่าไร้ค่าก็ลุกขึ้นยืนพิสูจน์ตนต่อคนใต้หล้า อย่างกล้าหาญ!

จุดนี้นางทำไม่ได้ แต่พี่สาวของพวกนางกลับสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย

การท้าประลองจากคนไร้ค่าคนหนึ่งยังไม่กล้าตอบรับ?

ไฟโกรธในใจกงหมี่ฟางปะทุสูงขึ้น ‘ปุด!’

ที่นี่ยังมีคนอยู่มากมายเพียงนี้ หากว่าวันนี้นางประหม่าหวาดกลัวจริงๆ หากเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป มิเป็นการขายหน้าไปถึงตระกูลหรอกหรือ’?

“ท้าประลองก็ท้าประลองสิ! แค่คนไร้ค้าคิดจะหาเรื่องตาย ข้ายังจะเห็นใจทำไม?” เมื่อหุนหันพลันแล่นขึ้นมา กงหมี่ฟางก็ตกปากรับคำ

รวดเร็วเสียจนหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ก่นด่าในใจ ‘ช่างสมองหมูเสียจริง! วิธีการยั่วยุเช่นนี้ยังฟังไม่ออก?’

ในฐานะที่เขาเป็นกองกำลังหลิวเค่อที่ผ่านการต่อสู้มามากมาย ประสบการณ์มีมากกว่าคุณหนู คุณชายในตระกูลที่หลบอยู่ในบ้านนั่งมองท้องฟ้าอยู่ในบ่อตั้งเท่าไร

ตั้งแต่ที่ซางอี้เฉินลุกขึ้นมาเอ่ยปากท้าประลอง เขาก็รู้สึกว่าคนไร้ค่าที่เล่าลือกันผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา คุ้มครองกงหมี่ฟางมาตลอดทาง นางมีความสามารถเท่าไรมีหรือที่เขาจะไม่รู้?

คนที่มีระดับพลังชั้นสีเทาขั้นสองสำหรับเขาแล้วก็เป็นเช่นไก่อ่อนที่อ่อนแอ

น่าเสียดายที่กงหมี่ฟางตกปากรับคำเสียแล้ว เวลานี้เขาได้แต่หวังว่าซางอี้เฉินจะเป็นคนไร้ค่าดังเช่นคำเล่าลือ แม้แต่ผู้ที่มีระดับพลังชั้นสีเทาขั้นสองก็สู้ไม่ได้ “คุณหนูกง หากว่าสู้ไม่ไหวก็รีบยอมแพ้เสีย อย่าทำการอะไรโดยใช้อารมณ์” ก่อนหน้าที่กงหมี่ฟางจะเดินออกไป หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคียังเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบคุ้มครองกงหมี่ฟาง หากว่ากงหมี่ฟางได้รับบาดเจ็บจากการท้าประลองขึ้นมา หลังจากกลับไปแล้วพวกเขาก็คงจะชี้แจงกับตระกูลกงได้ยาก

ทว่ากงหมี่ฟางกลับไม่รับนํ้าใจ คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวเลิกขึ้น ถลึงตาและตะคอกใส่เขาว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะแพ้ให้กับคนไร้ค่าคนหนึ่งหรืออย่างไร?”

ในส่วนลึกในนัยน์ตามู่ชิงเกอเผยยิ้มเย็นชา เอ่ยกำชับกับซางอี้เฉินอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ต้องการต่อสู้แบบไหนก็สู้ไปแบบนั้น ถึงแก่ความตายก็ไม่เป็นไร”

คำพูดประโยคนี้สำหรับซางอี้เฉินแล้ว เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

“เข้าใจแล้ว ลูกพี่!” ทันใดนั้นเขาก็ยืดอกหลังตรง สลัดความกังวลทั้งหมดทิ้งไป!

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำร้ายกงหมี่ฟางจนถึงแก่ความตายหาเรื่องลำบากให้มู่ชิงเกอได้ แต่การสั่งสอนหนักๆ สักครั้งก็เป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้

ซางอี้เฉินหัวเราะอย่างน่ากลัวอยู่หลายส่วน เริ่มเคลื่อนไหวขยับข้อมือ

เวลานี้กงหมี่ฟางก็ยืนอยู่หน้าผู้คน ประจันหน้ากับเขา

นางนำสัตว์อสูรปีกเดียวทิ้งไว้ที่หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคี ออกคำสั่งด้วยนํ้าเสียงไม่น่าฟัง “นี่ เฝ้าไว้ให้ข้าให้ดี หลังจากที่ข้าสั่งสอนเจ้าคนไร้ค่านี้เสร็จแล้วค่อยคืนให้ข้า”

จวบจนถึงตอนนี้นางก็ยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ทว่าก่อนที่นางจะเริ่มลงมือ ก็หันไปมองซางเสวี่ยอู่แวบหนึ่งด้วยความไม่วางใจ เอ่ยกับนางว่า “บอกไว้ก่อนนะ ข้าชนะแล้วเจ้าไม่สามารถมาท้าประลองข้าอีก” ซางเสวี่ยอู่เป็นคนที่มีรายชื่อติดอยู่บนทำเนียบฉูเฟิ่ง นางสู้ไม่ได้แน่นอน

“ข้าไม่ลงมือ” ซางเสวี่ยอู่ตอบเสียงดังฟังชัด

เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้น้องชายนางสามารถจัดการได้ง่ายดาย มีโอกาสให้นางลงมือที่ไหนกัน? อีกอย่างผู้ที่ซางอี้เฉินสู้ไม่ได้ นางเองก็สู้ไม่ได้เช่นกัน ก็ระดับพลังยุทธ์ของซางอี้เฉินสูงกว่านางนี่นา

เมื่อได้รับการรับรองจากซางเสวี่ยอู่แล้ว กงหมี่ฟางก็วางใจลงเปราะหนึ่ง จากนั้นดวงตาเรียวงามราวแพรไหมก็หันไปมองมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยท่าทีเขินอายว่า “คุณชายมู่ นี่เป็นเรื่องระหว่างตระกูลของพวกเรา หากหมี่ฟางโชคดีเป็นผู้ชนะ ท่านเองก็อย่าได้สอดมือเข้ายุ่ง ช่วยพวกเขากลั่นแกล้งข้า”

นํ้าเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างมีจริตจะก้านนี้ บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรได้ฟังแล้วถึงกับขนลุกขนพอง แม้แต่คนของกองกำลังร้อยอัคคีเองก็ไม่มีข้อยกเว้น!

ทว่าท่าทางของมู่ชิงเกอยังคงเป็นปกติเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “วางใจ”

ดูเอาเถอะ!

อะไรเรียกว่าความแตกต่าง?

สามารถทนได้ในสิ่งที่คนทั่วไปทนไม่ได้ คุณชายของพวกเขาช่างไม่ธรรมดาเหลือเกิน!

ในมุมที่มองไม่เห็น บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรต่างพากันมองมาที่มู่ชิงเกอด้วยสายตาชื่นชม มีเพียงซือมั่วที่ถูกละเลยผู้เดียวที่ใช้สายตาประหาร เย็นชาจ้องมองไปยัง สตรี…อืม…สตรีที่กล้ามาหยอกเย้าสตรีของเขาต่อหน้าเขา

กงหมี่ฟางที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาประหลาดรอบด้าน หลังจากที่มั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีวันพลาดก็เชิดหน้าขึ้นชี้ไปทางซางอี้เฉิน “นี่ เจ้าคนไร้ค่าตระกูลซาง อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้า ข้าให้เจ้าลงมือก่อน”

เจ้าคนสมองหมูนี่!

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีรู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดมน

ซางอี้เฉินกลับยิ้มเย็นชาอย่างขี้เล่น เอ่ยบอกนางอย่างไม่เกรงใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก!”

พูดจบร่างกายเขาก็หายไปมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้ากงหมี่ฟางอย่างรวดเร็ว ความเร็วระดับนั้นเร็วเสียจนนางไม่รู้สึกถึงการเข้ามาใกล้ของเขาเลยสักนิด เมื่อซางอี้เฉินมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้านาง นางก็ตะลึงอยู่กับที่ ลืมการโต้ตอบกลับไปชั่วขณะ

ซางอี้เฉินหัวเราะกับท่าทางทำอะไรไม่ถูกของนาง ในมือกลับสะบัดอย่างไม่ไว้ไมตรี

บัง!

รักหยกถนอมบุปผาคืออะไร? สำหรับซางอี้เฉินคนหนุ่มที่ยังไม่รู้จักความรักผู้นี้ ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด!

หมัดเดียวซัดเข้าที่แก้มของกงหมี่ฟาง เจ็บจนนางได้สติ ตื่นจากภวังค์ นํ้าตาไหลพราก

“โอ๊ย! เจ้ากล้าทำร้ายข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” กงหมี่ฟาง โมโหสุดขีด ตกอยู่ในความบ้าคลั่งไม่มีสติ

เงาะแสงกะพริบขึ้นบนฝ่ามือของนาง นางหยิบเอาอาวุธของตนเองออกมาฟาดใส่ซางอี้เฉิน กระบวนท่าโหดเหี้ยมรุนแรงนั้นแฝงไปด้วยไอสังหาร

ซางอี้เฉินกลับหลบหลีกโดยง่าย ยังคงต่อสู้ด้วยสองมือเปล่า

เขาเบี่ยงตัวจับข้อมือกงหมี่ฟางไว้ ออกแรงบิด ก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของนาง

โอย!

เสียงร้องโอดครวญของนางตามมาด้วยเสียง ‘เคร้ง’

อาวุธในมือหล่นลงพื้น นางที่สูญเสียอาวุธไปแล้วยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซางอี้เฉิน

ช่างเป็นการถูกเอาคืนที่งดงาม!

“ไร้ค่า! ไร้ค่า! กล้าด่าว่าข้าไร้ค่า!” ซางอี้เฉินกลั่นแกล้งกงหมี่ฟางพลางระเบิดอารมณ์โมโหตะคอกใส่

คนของกองกำลังร้อยอัคคีมองด้วยความอกสั่นขวัญแขวน คนที่เป็นหัวหน้ากองกำลังสัมผัสได้ว่าซางอี้เฉินไม่ได้ใช้พลังจิตรับมือกับกงหมี่ฟางเลย

‘เขาเป็นคนไร้ค่าจริงหรือ? บางที…อาจแค่ไม่สันทัดด้านการหลอมศาสตรา…’ หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีผู้นี้ค้นพบความจริงโดยไม่ทันตั้งตัว

“โอย!”

“โอย! โอย!”

กงหมี่ฟางถูกหมัดประเคนจนต้องส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างไม่ขาดสาย เหมือนถูกห่อเป็นก้อนแล้วโยนไปโยนมา

ภาพเหตุการณ์นี้หากว่าทั้งสองฝ่ายเป็นชายก็ยังดี แต่ว่าสตรีนางหนึ่งถูกต่อยจนเป็นเช่นนี้ ทำเอากองกำลังหลิวเค่อเกิดความรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาวูบหนึ่ง

นอกจากบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ไม่มีความความรู้สึกแล้ว มีเพียงแววตาของซือมั่วที่ฉายแววสนุกสนาน รู้สึกว่าซางอี้เฉินเปลี่ยนเป็นรื่นหูรื่นตาขึ้นมาบ้าง

“คุณชายมู่ พอเท่านี้เถอะ” หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยปากขึ้นมา

มู่ชิงเกอกลับแสยะยิ้มน้อยๆ มองเขาแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้ายังไม่ได้ยินคุณหนูกงยอมแพ้เลย นี่ก็หมายความว่านางยังสามารถรับได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นางก็อาจจะพลิกสถานการณ์ตอบโต้ขึ้นมาได้ก็ได้?”

‘สภาพนางในตอนนี้ยังสามารถพลิกสถานการณ์หรือ? ยังสามารถตอบโต้ได้หรือ? คุณชายมู่ท่านหลอกเด็กสามขวบหรืออย่างไร?’ หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีสบถในใจ

หน้าเนื้อใจเสือ! หน้าเนื้อใจเสือเกินไปแล้ว!

“โอ๊ย!” กงหมีฟางส่งเสียงร้องโอดครวญขึ้นอีกครั้ง ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา ใบหน้าของนางถูกต่อยจนบวมเป็นหัวหมู มองใบหน้าไม่ชัด ส่วนตามตัวที่มีอาภรณ์ห่อหุ้มอยู่ดูไม่ชัดว่ามีบาดแผลเท่าไรกันแน่ แต่ดูจากที่ซางอี้เฉินลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรีแล้วเกรงว่าคงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก

“คุณหนูกง!” ในใจของหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีร้องเป็นเสียงเดียวว่า ‘แย่แล้ว!’ คิดจะนำคนของกองกำลังร้อยอัคคีรุดเข้าไป คนของกองกำลังร้อยอัคคีเพิ่งจะขยับตัว กองกำลังเขี้ยวมังกรก็ล้อมเอาไว้ทันที ขวางไม่ให้พวกเขาเดินหน้าต่อ

เสียงเย็นชาของมู่ชิงเกอดังแทรกองครักษ์เขี้ยวมังกรแว่วมาว่า “คิดจะทำลายกฎเกณฑ์หรือ? หากอยากต่อสู้ กองกำลังเขี้ยวมังกรพร้อมจะสู้ด้วยถึงที่สุด”

ในใจของหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีทั้งเดือดทั้งร้อนใจ กองกำลังเขี้ยวมังกรขวางอยู่ด้านหน้าทำให้เขามองไม่เห็นสภาพสะบักสะบอมของกงหมี่ฟาง ได้ยินแต่เสียงร้องโอดโอยของนางที่ดังขึ้นไม่หยุด

เมื่อหมดปัญญา เขาก็ทำได้เพียงตะโกนออกมาว่า “คุณหนูกง ยังไม่รีบยอมแพ้อีก?”

เมื่อถูกเขาเตือนสติ กงหมีjฟางจึงได้ส่งเสียงระโหยโรยแรงขึ้นว่า “ข้า…ข้ายอมแพ้…ข้าแพ้แล้ว…”

หลังจากที่นางเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา หมัดของซางอี้เฉินก็หยุดอยู่เพียงแค่ปลายจมูกของนาง ทำนางตกใจจนแทบสิ้นสติ

ซางอี้เฉินสะบัดหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังพยักหน้าลงเล็กน้อยเขาจึงได้เก็บหมัด ถอยหลังหนึ่งก้าว จัดระเบียบอาภรณ์ของตนเอง

การประลองจบสิ้นลง องครักษ์เขี้ยวมังกรก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว กลับไปอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ

ทำให้คนของกองกำลังร้อยอัคคีมองเห็นสภาพของกงหมี่ฟางได้ชัดเจนในเวลานี้เอง

เฮือก!

คนของกองกำลังร้อยอัคคีที่ได้เห็นชัดๆ แล้ว อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจหนาวเย็นเข้าปอด ในใจเอ่ยด้วยความนับถือ ‘เด็กหนุ่มตระกูลซางผู้นี้ขยี้ดอกไม้งามอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ แม้ว่าคุณหนูกงจะไม่ใช่โฉมสะคราญ แต่ว่าก็เป็นสตรีแน่งน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายขนาดต่อยจนเป็นหัวหมู’

ซางอี้เฉินกลับไปยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น เป็นเพราะว่าการต่อสู้เมื่อครู่…อืม มาจากการต่อสู้ฝ่ายเดียว

เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเม้มริมฝีปากมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาระยิบระยับ

ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอทอดมองไปยังกงหมี่ฟาง เอ่ยเหยียดหยาม “แม้แต่คนไร้ค่ายังเอาชนะไม่ได้ กับคำว่าคนไร้ค่าก็ยังไม่คู่ควร”

เมื่อกงหมี่ฟางได้ยินเช่นนี้ ดวงตาสองข้างพร่าเบลอ โมโหจนหมดสติไป

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชาว่า “คุณชายมู่ แม้จะบอกว่าเป็นการต่อสู้อย่างยุติธรรม แต่ว่าคุณชายซาง ต่อยคุณหนูกงจนมีสภาพเช่นนี้ พวกเราก็ไม่สามารถไปชี้แจงกับตระกูลกงได้”

คำพูดของเขาทำเอาสายตาของซางเสวี่ยอู่ยุ่งเหยิง มองซางอี้เฉินด้วยความกังวลขึ้นมาบ้าง

ส่วนซางอี้เฉินกลับมองเขาด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ

มู่ชิงเกอเผยยิ้มเย็นชา “กองกำลังหลิวเค่อระดับนภาเช่นร้อยอัคคี คิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับตระกูลที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังอะไรไม่ได้ แพร่ออกไปไม่กลัวว่าจะขายหน้าไปถึงหัวหน้ากองกำลังของพวกเจ้ารึ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เรื่องนี้เป็นนางที่ท้าทายขึ้นมาก่อน หากว่ากองกำลังร้อยอัคคีของพวกเจ้าขี้ขลาดตาขาวกลัวเรื่องเล็ก ก็ไปบอกให้คนตระกูลกงมาหากองกำลังเขี้ยวมังกรหรือมาหาข้า ข้ากำลังคิดจะคิดบัญชีเรื่องที่คุณหนูของพวกเขามาแย่งสินสงครามของกองกำลังเขี้ยวมังกรอยู่พอดี”

คำพูดนี้ทำเอาคนของกองกำลังร้อยอัคคีหดหู่ไปตามๆ กัน ยังกล่าวโทษมาอีกหนึ่งเรื่องทำให้กองกำลังร้อยอัคคีหมดคำจะพูด

“ยังไม่พานางจากไปอีก? คนของกองกำลังร้อยอัคคีเองก็สนใจจะเก็บซากสัตว์อสูรที่นี่หรืออย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยประชดประชัน

นางมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแค่หลบอยู่มุมหนึ่งดูสถานการณ์ จวบจนซางอี้เฉินถูกหัวเราะเยาะว่าไร้ค่านั่นแหละ นางถึงได้เดินออกมา

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีสีหน้าบึ้งตึง กัดฟันสั่งให้ลูกน้องพากงหมีฟางที่หมดสติจากไป

ก่อนจะจากไปเขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ป่าเขาไม่เปลี่ยนสี สายนํ้าไม่เปลี่ยนทิศ พวกเราพบกันใหม่โอกาสหน้า”

“งานล่าสัตว์ยังไม่สิ้นสุด พูดถึงโอกาสหน้าอันใด” มู่ชิงเกอเอ่ยเย้าแหย่

สีหน้าของหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีเคร่งขรึม ออกคำสั่งกับบรรดาคนของร้อยอัคคี “พวกเราไป”

คนของกองกำลังร้อยอัคคี มาอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างว่องไว

เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องที่คนเข้ามา ไม่มีใครเก็บเอามาใส่ใจ นอกจากซางอี้เฉินกับซางเสวี่ยอู่

จนกระทั่งออกมาจากเทือกเขาซางหลาน ในใจของพวกเขาก็ยังมีความรู้สึกหนึ่งที่สลัดอย่างไรก็ไม่ออก ‘มีคนหนุนหลังช่างดีเหลือเกิน!’

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน นับแต่ที่ออกมาจากเทือกเขาซางหลาน มู่ชิงเกอก็มีคำสั่งให้ซางอี้เฉินและซางเสวี่ยอู่กลับค่ายที่ตั้งตระกูลซาง ส่วนนางก็พา องครักษ์เขี้ยวมังกรกลับค่ายเขี้ยวมังกร

แต่ละกองกำลังหลิวเค่อก็ทยอยพากันออกมาจากเทือกเขาซางหลานไม่ขาดสาย มีผลลัพธ์ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป

ต่อมามีเวลาพักผ่อนห้าวัน ผู้คนพากันเปิดตลาดขายสินค้าขึ้นในทุ่งหญ้าอัสดงชั่วคราว จำหน่ายหนังสัตว์ แก่นอสูร สมุนไพร แร่ธาตุที่ได้มาจากเทือกเขาซางหลานเป็นต้น

ผู้ที่นำมาแลกเปลี่ยนไม่ใช่มีเพียงกองกำลังหลิวเค่อ ยังมีคนจากหลายตระกูล อาศัยโอกาสอันดีงามนี้ มู่ชิงเกอก็ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรจัดแผงขายสินค้าในตลาดเช่นกัน แต่ว่าผู้ที่เป็นหลัก กลับเป็นโย่วเหอและเซวี่ยนหย่า ใครใช้ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรบุรุษบึกบึนเหล่านั้นทำการค้าไม่เป็นกันเล่า?

ให้พวกเขาไปซื้อของก็เกรงว่าจะขาดทุนจนมู่ชิงเกอต้องกระอักเลือด!

เมื่อกลับออกมาในวันที่สอง คนตระกูลกงก็มาเยือนถึงหน้าประตู แต่ว่าพวกเขาไม่ได้มากล่าวโทษ แต่ว่ามาขอโทษขอโพย

มู่ชิงเกอรับรองพวกเขาในกระโจมกลาง

ผู้ที่มาเป็นผู้ดูแลตระกูลกง ฐานะไม่สูงไม่ตํ่า ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นผู้ดูแลหลักของตระกูลกงในการเดินทางในทุ่งหญ้าอัสดง

เมื่อเขาเห็นมู่ชิงเกอก็สำรวมท่าทาง ส่งมอบศิลาวิญญาณระดับตํ่าหนึ่งร้อยเม็ด กับสมุนไพรสดใหม่ที่เลือกมาจากตลาด

“แหะแหะ คุณชายมู่ เรื่องของหมี่ฟางข้าได้ยินมาจากคนของกองกำลังร้อยอัคคีแล้ว เรื่องนี้เป็นหมี่ฟางที่ผิด นางไม่ควรไปถือเอาของที่เป็นของกองกำลังเขี้ยวมังกรเป็นของตน ได้รับการสั่งสอนก็ถือว่าสมควรแล้ว สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มอบเป็นของไถ่โทษให้กับคุณชายมู่และกองกำลังเขี้ยวมังกร หวังว่าคุณชายมู่ผู้ยิ่งใหญ่จ มีเมตตา ไม่ถือสาเด็กที่ไม่รู้ความ” ผู้ดูแลตระกูลกงผู้นี้ช่างเจรจา แสดงท่าทางไกล่เกลี่ยเพื่อยุติข้อขัดแย้ง

มู่ชิงเกอหรี่ตาลงทั้งสองข้าง ปรากฎความขี้เล่นในดวงตา

คนผู้นี้เลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องของซางอี้เฉิน เป็นเพราะมีความคิดอื่น หรือคิดว่าโยนเรื่องนี้ให้เป็นการล่วงเกินกองกำลังเขี้ยวมังกร ดีกว่าการแพ้ให้กับคนไร้ค่าแล้วจะมีหน้ากว่ามาก?

‘นี่ก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง’ เพิ่งจะได้พบหน้ากัน มู่ชิงเกอก็ประเมินอยู่ในใจ

นางหลุบตาลงตํ่า เอ่ยขึ้นท่าทางไม่ชัดว่า “เพียงแค่สัตว์อสูรปีกเดียวตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ของที่ผู้ดูแลกงนำมาให้ไม่เล็กน้อยเลย”

สัตว์อสูรปีกเดียว ราคาขายในท้องตลาดก็แค่ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 30 เม็ดเท่านั้น

ผู้ดูแลกงกลับทำใจดีสู้เสือเอ่ยขึ้นว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับสัตว์อสูรปีกเดียว แต่เป็นเรื่องที่หมี่ฟางทำเรื่องผิดธรรมเนียมปฏิบัติก่อน”

ความหมายก็คือนี่เป็นการขอขมา ไม่ใช่ราคาของสัตว์อสูรปีกเดียว มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “อาการบาดเจ็บของคุณหนูกงเป็นอย่างไรบ้าง?”

“อ้อ เป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น หลังจากกินยาเข้าไปก็ดีขึ้นมากแล้ว เชื่อว่าผ่านการสั่งสอนครั้งนี้ไป หมี่ฟางเองก็จะปรับปรุงนิสัยระงับอารมณ์ได้บ้าง” ผู้ ดูแลกงเอ่ยขึ้นทันที

“การประลองอย่างยุติธรรมระหว่างคุณหนูกงกับซางอี้เฉิน…” มู่ชิงเกอเน้นเสียงหนักตรงคำว่า ‘ยุติธรรม’ เป็นพิเศษ

ใบหน้าอวบอ้วนของผู้ดูแลกงกระตุก ยิ้มอย่างฝืนใจเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายซางจะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ดูท่าว่าข่าวลือภายนอกล้วนไม่น่าเชื่อถือ หมี่ฟางความสามารถไม่เท่าคนอื่น แพ้แล้วก็ไม่ยินยอม รอให้ภายภาคหน้าขยันหมั่นเพียร ฝึกฝนจนมีความสามารถ หากนางต้องการจะไปแลกเปลี่ยนวิชากับคุณชายซาง นั่นก็เป็นเรื่องของพวกคนรุ่นหลัง ตระกูลกงเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

เขาเอ่ยคำตอบที่มู่ชิงเกอต้องการออกมา นั่นคือการไม่ยกเรื่องนี้ไปหาเรื่องตระกูลซาง แต่ก็แสดงออกอย่างไม่ยอมแพ้ว่าครั้งนี้กงหมี่ฟางพ่ายแพ้แต่ก็มีสักวันที่จะกลับมากู้สถานการณ์ สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอกลับไม่รู้สึกอะไร

ซางอี้เฉินมีความสามารถย่อมไม่กลัวว่ากงหมี่ฟางจะกลับมาท้าประลอง แต่หากไม่มีความสามารถแพ้ให้กับคนที่เคยพ่ายแพ้ต่อตน นั่นก็พูดได้เพียงว่าเขามันไม่ได้เรื่อง

“ตระกูลกงช่างเป็นตระกูลใหญ่ที่เข้าใจเหตุผล แยกแยะถูกผิดจริงเชียว” ได้รับคำตอบที่พึงพอใจ มู่ชิงเกอก็กล่าวยกยอขึ้นประโยคหนึ่ง

คำพูดประโยคนี้ย่อมทำให้ผู้ดูแลกงมีสีหน้ายิ้มแย้ม อกเอวยืดหลังตรงขึ้นหลายส่วน

เขาคว้าโอกาสนี้เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ในการมา “ในเมื่อเรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายลงแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอถามคุณชายมู่อย่างไม่อายสักประโยค ภายภาคหน้ามีโอกาสที่ ตระกูลกงกับกองกำลังเขี้ยวมังกรจะร่วมมือกันหรือไม่?”

รอยยิ้มมุมปากมู่ชิงเกอกดลึก ให้คำตอบว่า “ขอเพียงเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งคู่ กองกำลังเขี้ยวมังกรก็จะไม่ปฏิเสธการร่วมมือเป็น พันธมิตรกันแน่นอน”

“ดี! ได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของคุณชายมู่ ข้าก็วางใจ” ผู้ดูแลกงลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอ่ยบอกมู่ชิงเกอว่า “วันนี้ข้าขอตัวลากลับก่อน วันหลังมีโอกาสร่วมมือ ข้าน้อยจะขอมาเยี่ยมเยียนใหม่”

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับเล็กน้อย ออกคำสั่งกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูว่า “ส่งแขก”

เมื่อออกมาจากค่ายของกองกำลังเขี้ยวมังกร บ่าวรับใช้ข้างกายผู้ดูแลกงก็เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านผู้ดูแล ตระกูลกงของพวกเราไฉนต้องไปนอบน้อมกับกองกำลังเขี้ยวมังกรด้วยเล่า?”

ผู้ดูแลกงถลึงตาใส่เขา เอ่ยแก้ไขให้ถูกต้องว่า “อะไรคือการนอบน้อม? ไม่รู้จักพูดก็ไม่ต้องพูด”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ ข้าน้อยผิดไปแล้ว” บ่าวรับใช้ละลํ่าละลักเอ่ยออกมา

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผู้ดูแลกงอารมณ์ดีหรือไม่ หลังจากที่ตำหนิบ่าวรับใช้แล้วก็เอ่ยอธิบายด้วยความพึงพอใจว่า “กองกำลังเขี้ยวมังกรม้ามืดตัวนี้ ผู้ที่อยากปีนป่ายไม่ได้มีแค่ตระกูลกงเราเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังกลัดกลุ้มที่ไม่มีโอกาสสานสัมพันธ์กับกองกำลังเขี้ยวมังกร ไม่คิดเลยว่าหมี่ฟางจะนำเรื่องตกใจที่น่ายินดีมาให้แก่ข้า”

บ่าวรับใช้เอียงศีรษะ “ท่านผู้ดูแล เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ? คุณหนูของเราถูกต่อยจนมีสภาพเช่นนั้นยังเป็นเรื่องตกใจที่น่ายินดีอีกหรือ?”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร?” ผู้ดูแลกงค้อนใส่เขาทีหนึ่ง “ไม่มีเรื่องที่หมี่ฟางก่อขึ้น พวกเราจะมีโอกาสเดินเข้าไปในค่ายกองกำลังเขี้ยวมังกรหรือ? พลังการต่อสู้ของกองกำลังเขี้ยวมังกรชวนให้ผู้คนตื่นตกใจ คุณชายมู่ผู้นั้นก็มีพลังไร้ขีดจำกัด ร่วมมือกับพวกเขาต่อไปภาระมากมายก็สามารถมอบหมายได้อย่างวางใจ ความเสี่ยงด้านการขนส่งก็จะลดน้อยลง สำหรับตระกูลกงแล้วต่างก็เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น หมี่ฟางไม่ได้รับความเป็นธรรมครั้งหนึ่ง แลกมาด้วยผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่า”

“เช่นนั้นแล้วเรื่องที่คุณหนูเราถูกต่อยจนมีสภาพเช่นนี้ก็จบเท่านี้หรือ” บ่าวรับใช้เอ่ย

ผู้ดูแลกงถอนหายใจ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คุณชายมู่ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม การสนทนาเมื่อครู่นี้ เขาก็พยายามบีบให้ข้าแสดงท่าทีออกมา ครั้งนี้หมี่ฟางพ่ายแพ้ตระกูลกงเรายอมรับ แต่ว่าหากวันหน้าระดับพลังยุทธ์หมี่ฟางประสบความสำเร็จจะไปท้าเจ้าเด็กตระกูลซางอะไรนั้น ใครก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากข้าไม่เอ่ยออกไปเช่นนี้เกรงว่าความร่วมมือต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องไปพูดถึง”

บ่าวรับใช้พยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ผู้ดูแลกงสะบัดชายเสื้อ “ไปกันเถอะ หลังจากกลับไป แล้วก็ปลอบหมี่ฟางดีๆ นิสัยของนางอย่างไรก็ต้องแก้”

ผู้ดูแลกงพาบ่าวรับใช้เดินไปจากเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของกองกำลังเขี้ยวมังกร

ในขณะที่พวกเขาสนทนากัน ในค่ายกองกำลังเขี้ยวมังกร มั่วหยางก็ยืนอยู่ในกระโจมของมู่ชิงเกอรอฟังคำสั่งของนาง

“ตระกูลกงเป็นตระกูลที่รู้จักยืดหยุ่น ลักษณะเช่นนี้หากสืบทอดไปสามรุ่น ตำแหน่งตระกูลใหญ่ของเขตภาคตะวันตกในภายภาคหน้าย่อมมีตระกูลกงถือครองอยู่หนึ่งตำแหน่ง ต่อไปร่วมมือกับพวกเขา เจ้าต้องระวังให้มากอย่าได้ถูกคิดบัญชี ผู้ดูแลกงผู้นั้นมาขอโทษเป็นเรื่องเท็จ มาขอความร่วมมือคือเรื่องจริง”

มั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอด้วยความไม่เข้าใจ “คุณชาย ข้าน้อยไม่เข้าใจว่า ในเมื่อตระกูลกงเจ้าเล่ห์แสนกล เหตุใดพวกเราต้องรับปากร่วมมือกับพวกเขา ด้วย? ตอนนี้ตระกูลที่ต้องการร่วมมือกับกองกำลังเขี้ยวมังกรมีไม่น้อย”

ตัวเลือกมีมากมาย เพราะอะไรต้องเลือกตระกูลที่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน?

ปลายนิ้วเรียวของมู่ชิงเกอเคาะลงบนพนักเก้าอี้เบาๆ หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งมองมั่วหยาง นางเอ่ยขึ้นช้าๆ “มั่วหยาง เจ้าจำไว้ให้ดีว่าที่นี่คือโลกแห่งยุคกลางไม่ใช่หลินชวน อยู่ที่นี่พวกเราเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีอำนาจบารมีใดให้พึ่งพิง ที่นี่ไม่มีตระกูลมู่ ไม่มีกองทัพตระกูลมู่ แล้วก็ไม่มีเชื้อพระวงศ์ตระกูลฉิน พวกเราต้องการที่จะแข็งแกร่ง ยืนหยัดอย่างมั่นคงก็ต้องรีบก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ก้าวแรกก็คือสร้างความสัมพันธ์เอื้อประโยชน์ให้กับตระกูลในโลกแห่งยุคกลาง ตระกูลกงก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายความร่วมมือ หลังจากหว่านแหดูแล้ว เจ้าถึงจะได้รายชื่อที่สามารถร่วมมือในระยะยาวฉบับหนึ่ง”

“คุณชาย ข้าเข้าใจแล้ว” มั่วหยางเอ่ยเสียงหนักแน่น

มั่วหยางควักหนังสือวางแผนฉบับหนึ่งออกมาจากอก วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้ามู่ชิงเกอ จากนั้นก็ถอยออกไป

มู่ชิงเกอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นการวางแผนเกี่ยวกับการพัฒนากองกำลังเขี้ยวมังกร เรื่องนี้ ในวันแรกที่นางมาถึงทุ่งหญ้าอัสดง มั่วหยางก็เอ่ยถึง ตอนนั้นการตอบรับของมู่ชิงเกอคือให้เขาไปคิดมาให้ชัดเจน วาดแผนการส่งให้นาง บัดนี้ แผนการนี้ก็วางอยู่ตรงหน้านาง สามวันหลังจากนั้น มู่ชิงเกอก็ปิดประตูไม่พบใคร นางหลบอยู่ในกระโจม ปฏิเสธการขอเข้าพบของตระกูลผู้มีอำนาจอื่นๆ เพียงแค่ปรึกษากับซือมั่วเรื่องการพัฒนากองกำลังเขี้ยวมังกรต่อไปในอนาคต

“การวางแผนของมั่วหยางเจ้าก็ดูแล้ว มีความเห็นว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอน ผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้านางก็คือซือมั่ว

ชีอมั่วกำลังปอกเปลือกผลไม้ให้นาง ขนตาเรียงเป็นแพยาวบดบังอารมณ์ความรู้สึกของเขา ท่าทีมุ่งมั่นนั่นทำเอามู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะกลืนนํ้าลาย

พิถีพิถันปอกผลไม้ที่อยู่ในมือ ดึงเอาเยื่อออกไปจากเนื้อผลไม้ ยื่นผลไม้ที่ปอกสะอาดไปจ่อที่ปากมู่ชิงเกอ มองนางกินลงไปแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในกองทัพแต่ละกองต่างก็มีใจกลาง ในส่วนนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องไปใส่ใจ เจ้าสามารถสร้างองครักษ์เขี้ยวมังกรกองหนึ่ง แล้วก็สามารถสร้างองครักษ์เขี้ยวพยัคฆ์ องครักษ์เขี้ยวจิ้งจอกขึ้นมาได้เช่นถัน ดังนั้นการวางแผนของมั่วหยางไม่ได้มีปัญหามากนัก สิ่งสำคัญคือคนที่สร้างขึ้นมาใหม่ จะผูกมัดเช่นไร จะจงรักถักดีไม่ปันใจจากเจ้าเช่นไร”

มู่ชิงเกอเคี้ยวผลไม้ในปากพลางขมวดคิ้ว “นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกว่ายุ่งยาก ในกองกำลังหนึ่งความเชื่อใจกันถือเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับลูกน้องแล้วความจงรักภักดีที่เป็นหนึ่งไม่มีสองก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ว่าข้ากลับไม่มีเวลาไปสร้างจิตใจจงรักภักดีเช่นนี้ ความเชื่อเช่นนี้”

นี่ถึงจะเป็นสาเหตุหลักที่มู่ชิงเกอกังวลว่าจะขยายการรับสมัครดีหรือไม่

หากคนที่รับเข้ามาเอาแต่สร้างเรื่องให้นางทั้งวัน ไม่สู้ให้นางเริ่มต้นที่ยังไม่รับสมัครคนเพิ่ม รักษาองครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยคนไว้ก็เพียงพอ

ซือมั่ววางผลไม้ในมือลง เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์รู้ไหมว่าที่มั่นของกองกำลังระดับนภาเช่นกองกำลังกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถีอยู่ที่ ไหน?”

มู่ชิงเกอชะงัก เรื่องนี้นางไม่รู้จริงๆ

เรื่องของกองกำลังหลิวเค่อ นางมอบหมายให้มั่วหยาง เป็นผู้จัดการทั้งหมด ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรมากนัก

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง ซือมั่วก็ยิ้ม “ในแต่ละเขตต่างก็มีเมืองที่ยึดเอากองกำลังหลิวเค่อเป็นหลักอยู่ สถานที่เหล่านั้นผู้ดูแลจะไม่ใช่ตระกูลใดแต่เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา”

มู่ชิงเกอสองตาเป็นประกาย! “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้? เช่นนั้นเท่ากับว่าในมือของสามกองกำลังที่ยิ่งใหญ่นี้ต่างก็กุมเมืองไว้เมืองหนึ่ง?”

ซือมั่วยิ้มเล็กน้อยพยักหน้า “เมืองที่กองกำลังกลืนจันทร์ดูแลอยู่ที่เขตภาคเหนือ เมืองของกองกำลังร้อยอัคคีอยู่ที่เขตภาคตะวันออก เมืองของกองกำลังยักษ์วิถี อยู่ที่รอยต่อระหว่างเขตภาคใต้และตะวันตก”

“ความหมายของเจ้าคือกองกำลังเขี้ยวมังกรก็ต้องไปตีเมืองมาเมืองหนึ่งใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอลอบถาม

ถึงอย่างไรตอนนี้กองกำลังเขี้ยวมังกรก็เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาแล้ว แต่ยังคงไม่มีที่มั่นที่แน่นอน นี่ก็ไม่ดีนัก! อีกอย่างก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานับแต่นี้

ซือมั่วส่ายหน้า “รอยต่อระหว่างเขตภาคกลางและภาคตะวันตก มีเมืองร้างแห่งหนึ่ง ข้าคิดว่าที่นั่นเหมาะสำหรับให้กองกำลังเขี้ยวมังกรยึดครอง”

“เมืองร้าง?!” มู่ชิงเกอร้องเสียงหลง

คำถามข้อแล้วข้อเล่าผุดขึ้นมาจากส่วนลึกในใจนาง

เป็นเมืองเช่นไรกันถึงถูกทิ้งให้รกร้าง?

สถานที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตภาคกลางและเขตภาคตะวันตก ตำแหน่งที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีผูใดถือครอง?

เหตุใดซือมั่วถึงให้นางเลือกเมืองร้างแห่งหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์? ไม่ใช่การไปยึดครองเมืองๆ หนึ่งที่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว?

มองดูท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัยเต็มท้องของนาง ซือมั่วก็ยื่นมือมาลูบเรือนผมนางเบาๆ เอ่ยหัวเราะเบาๆ

“รอให้จบเรื่องทางนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปดู เมื่อถึงเวลานั้นจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกพยักหน้ารับ “ดูแล้วการพัฒนากองกำลังเขี้ยวมังกรต้องทำเช่นนี้แล้วแหละ”

เมื่อครั้งอยู่ที่ตระกูลมู่แคว้นฉิน นางปรารถนาเพียงแค่เป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ไม่มีเรื่องอะไรทำ กลับคิดไม่ถึงว่า พอมาถึงโลกแห่งยุคกลาง จะต้องไปเป็นเจ้าเมือง?

พอคิดถึงจุดนี้ขี้นมานางก็รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ว่า นี่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินไปเช่นนี้

“ข้างกายเจ้ามีคนไม่น้อย เหตุใดไม่เลือกใช้สักหน่อย?” ซือมั่วเอ่ยเตือน

มู่ชิงเกอชะงักกลอกสายตาไปมา หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล “ไม่ผิด! ให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนเอง ดีกว่าสิ้นเปลืองอยู่ข้างกายข้า”

สิ่งสำคัญก็คือว่านางยังสามารถสะบัดเรื่องที่อยู่ในมือได้ดีเหลือเกิน!

สลัดภาระได้ มู่ชิงเกอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย นางบิดเอวด้วยท่าทีเกียจคร้าน เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “พรุ่งนี้เป็นช่วงสุดท้ายของการแข่งขันล่าสัตว์ กองกำลัง หลิวเค่อระคับปฐพีขึ้นไป แยกกันสร้างเวทีประลอง ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นเวทีไปท้าประลองได้ทั้งนั้น ตามที่รู้กันโดยทั่วไป รักษาได้ก็เป็นการรักษาความน่าเกรงขามของกองกำลัง หากว่าพ่ายแพ้ก็เสียหน้า”

“ก่อนหน้านี้สองด่าน กองกำลังเขี้ยวมังกรแสดงฝีมือไว้โดดเด่น ด่านสุดท้ายนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะต้องรักษาไว้ให้ได้” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ

บนแผงของกองกำลังเขี้ยวมังกร เมื่อ ‘สินค้า’ ปรากฎกองเป็นภูเขา ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงไม่น้อย

มู่ชิงเกอหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องแน่นอน เจ้าคิดว่าควรส่งใครไปเฝ้าเวทีประลอง?”

ดวงตาสีอำพันของซือมั่วเป็นประกาย เอ่ยยิ้มๆ “ข้าคิดว่าโห่วไม่เลวเลยทีเดียว!”

ช่วงสุดท้ายของการแข่งขันล่าสัตว์ จัดขึ้นบนทุ่งหญ้าอัสดง

เมื่อฟ้าสาง เวทีประลองของแต่ละกองกำลังหลิวเค่อก็ปรากฎบนทุ่งหญ้าอัสดง ผู้ที่สามารถมีเวทีประลองได้มีเพียงกองกำลังหลิวเค่อระดับปฐพีขึ้นไป กองกำลังหลิวเค่อระดับตํ่ากว่าระดับปฐพีทำได้เพียงชื่นชม

แท้จริงแล้วงานแข่งขันล่าสัตว์เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ของกองกำลังหลิวเค่อ เป็นวันแห่งความสุขของทุกคน ไม่มีกฎกติกาการแข่งขันที่เข้มงวด และก็ไม่มีรางวัล พิเศษ แต่หากเจ้ามีความสามารถก็สามารถปล่อยออกมาในโลกแห่งกองกำลังหลิวเค่อได้

เวทีประลองของกองกำลังเขี้ยวมังกร อยู่รวมกับกองกำลังกลืนจันทร์ ร้อยอัคคีและยักษ์วิถี

สี่กองกำลังระดับนภาที่ยิ่งใหญ่แบ่งกันเป็นสี่ทิศ กองกำลังเขี้ยวมังกรอยู่ทิศตะวันตกพอดี

บนทุ่งหญ้าอัสดง สายลมโชยเอื่อยเมฆลอยเด่นคล้อย ธงของกองกำลังเขี้ยวมังกรโบกสะบัดเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ ศีรษะมังกรที่มีฟันเขี้ยวแหลมคมด้านบนเปี่ยมไปด้วยอำนาจน่าเกรงขาม

บนเวทีประลองอื่นๆ มีคนอยู่เต็มเป็นพรวนตั้งนานแล้ว

ผู้ที่คัดเลือกให้มาเฝ้าเวที ต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้กล้าในกองกำลัง

แม้กระทั่งเวทีประลองของกองกำลังระดับปฐพีบางแห่ง ผู้ที่เฝ้าเวทีก็เป็นหัวหน้ากองกำลัง

มีเพียงเวทีประลองของกองกำลังเขี้ยวมังกรเท่านั้นที่ไม่มีผู้ใดสักคน มีเพียงกระต่ายน้อยท่าทางทึ่มทื่อตัวหนึ่ง หมอบอยู่บนนั้น กระต่ายตัวนั้นมีลักษณะพิเศษ ร่างกายเป็นสีขาว ใบหูเรียวยาวกลับเป็นสีดำ ดวงตาคู่สีทองพราวระยับราวกับเปลวเพลิงอย่างไรอย่างนั้น บนลำคอของมันยังมีปลอกคอสีทอง คล้ายกับสัตว์เลี้ยงที่สตรีในห้องหอนิยมเลี้ยงดูอย่างนั้น

“เอ๊ะ? เหตุใดบนเวทีประลองของกองกำลังเขี้ยวมังกรมี เพียงกระต่ายตัวหนึ่ง?”

“นั้นสิ คนเฝ้าเวทีประลองล่ะ?”

“ช่างน่าแปลกเสียจริง บนเวทีประลองไม่พบคนเฝ้าเวที แต่กลับมีกระต่ายนอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

อ่า…

ความสงสัยนี่เองผู้คนที่อยู่ด้านข้างเวทีประลองของกองกำลังเขี้ยวมังกรต่างพากันชี้ไม้ชี้มือ หัวเราะครืนๆ ความจริงแล้วไม่โทษพวกเขาที่ตาไม่มีแวว ความรู้ไม่ถึง ทำได้เพียงโทษที่ลักษณะของโห่วช่างน่ารังแกเกินไป ใครเล่าจะคาดเดาได้ว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่ทึ่มทื่อไร้เดียงสานี้จะซ่อนบรรพบุรุษแห่งเหล่าอสูรร้ายเอาไว้?

‘เจ้ามนุษย์สมควรตาย! ข้าจะสูบสมองของพวกเจ้าให้เกลี้ยง! คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหัวเราะเยาะข้า! มู่ชิงเกอก็ด้วย! คิดไม่ถึงว่าให้ข้ามาเฝ้าเวทีประลอง ได้รับเสียง

หัวเราะเยาะ!’ โห่วคำรามด้วยความโกรธอยู่ในใจ แต่ติดอุปสรรคเรื่องปลอกคอสีทองทำให้ไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้

ท่านโห่วผู้ยิ่งใหญ่เหตุใดถึงตกต่ำมาถึงจุดนี้ได้? แพร่ออกไปเขายังจะมีหน้าพบสัตว์อสูรอยู่หรือ?

ตอนนี้เขาร้อนใจอยากให้มีคนเดินขึ้นมาบนเวทีประลองหาความตาย ให้เขาได้ระบายความอัดอั้นในใจออกไป

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ได้ยินคำวอนขอของเขาหรืออย่างไร มีคนเดินขึ้นมาบนเวทีประลองยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ

สายตาของโห่วค่อยๆ เลื่อนมอง สุดท้ายก็หยุดที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความยั่วเย้า

คนที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง กระดิกเท้าข้างหนึ่ง มองโห่วด้วยสายตาดูหมิ่น “กระต่ายน้อย เจ้าปรากฎตัวอยู่บนเวทีประลองแห่งนี้ คงมิใช่ว่ามาช่วยเฝ้าเวทีให้กองกำลังเขี้ยวมังกรหรอกนะ”

‘ยินดีด้วย ตอบถูกแล้ว!’ โห่วเอ่ยเสียงเหี้ยมในใจ ทว่าเขากลับถูกบุรุษบางคนสั่งการให้ไม่อาจเอ่ยปากสนทนา

“ในเมื่อเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจล่ะกัน หากไม่ระวังตีเจ้าจนตาย อย่าได้แค้นเคืองข้าเล่า!” คนผู้นั้นพูดจบก็ง้างหมัดขึ้น

“โฮก!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ดังขึ้นจากบนเวทีประลองของกองกำลังเขี้ยวมังกร สะเทือนจนผู้คนเวียนหัวตาลาย ตาแทบจะถลนออกจากเบ้า แทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่

ทุกคนเห็นแค่ว่าเงาร่างคนผู้หนึ่งกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ลอยถลาออกมาจากเวทีประลองกองกำลังเขี้ยวมังกร พุ่งไปยังทุ่งหญ้าอัสดงไกลลิบ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ผู้คนถูกภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนกตกใจ ตัวแข็งทื่อเป็นหิน

ส่วนโห่วกลับทำปากพะงาบๆ แววตาฉายความเบื่อหน่าย ไก่อ่อนจริงๆ เชียว!’

จากอาการตื่นตระหนกสู่สภาวะปกติ ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองทยอยมองไปที่กระต่ายบนเวทีประลองตัวนั้น แม้แต่เวทีประลองด้านข้างก็หยุดการต่อสู้ มองมาทางนี้

บุรุษวัยกลางคนระดับชั้นสีเงินขั้นสองกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง

“โฮก!”

เป็นเสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังขึ้นอีกครั้ง ผู้คนเห็นภาพชัดเจนว่าผู้ที่ส่งเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดออกมาก็คือเจ้ากระต่ายที่นอนหมอบอยู่ กลางเวทีประลองนั่นเอง!

จากนั้นบุรุษวัยกลางคนระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสองก็เป็นเช่นคนที่ขึ้นเวทีมาก่อนหน้านี้ กระอักเลือด ตกอยู่ในอาการหมดสติลอยถลาออกไปตกอยู่ส่วนหนึ่งของทุ่งหญ้าอัสดง

ผู้คนต่างพากันสูดลมหายใจเย็นยะเยือก มองดูเจ้ากระต่ายทึ่มทื่อตัวนั้นด้วยความตกใจ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version