Skip to content

พลิกปฐพี 277

ตอนที่ 277

มู่ชิงเกอเจ้าคนใจโลเล!

ปัง!

ปัง ปัง!

ท่ามกลางช่องว่าง ภายในห้องหลอมศาสตราของมู่ชิงเกอ เสียงระเบิดลอยแว่วมาไม่ขาดสาย

เหมิงเหมิงและหยวนหยวนยืนเคียงกัน ทอดสายตาจ้องมองไปยังห้องหลอมศาสตราที่ตลบอบอวลไปด้วยเขม่าควันไฟ บนใบหน้ารูปไข่อันงดงามของทั้งสองฉายแววจนปัญญา

“นี่มันตั้งกี่ครั้งแล้ว? เจ้านายยังไม่ยอมรามืออีก?” เหมิงเหมิงส่ายหน้า ดวงตาคู่โตกะพริบปริบๆ

หยวนหยวนที่อยู่ข้างกายก้มหน้าลง ตั้งอกตั้งใจนับนิ้วมือตนเอง นับนิ้วมือหมดทั้งสิบนิ้วแล้วก็พบว่ายังไม่พอ จุดแดงตรงหว่างคิ้วราวเปลวเพลิงสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยบอกเหมิงเหมิงว่า “12 หรือว่า 15 ครั้ง?”

ทั้งสองคนเพิ่งจะพูดจบ ประตูใหญ่ของห้องหลอมศาสตราก็พลันถูกเปิดออก ควันตลบอบอวลจากด้านใน ลอยออกมาคละคลุ้งไปทั่วในช่องว่าง

“แค่ก แค่ก…”

“แค่ก แค่ก!”

เหมิงเหมิงและหยวนหยวนถูกกลิ่นฉุนแสบจมูกจนทนไม่ไหว รีบถอยหลังไปหลายก้าว

จวบจนควันจางหายพวกเขาถึงได้มองเห็นเงาร่างสะบักสะบอมทว่าองอาจผ่าเผยของคนผู้หนึ่ง เดินออกมาจากด้านใน นางเอามือไพล่หลังเดินมาอย่างเชื่องช้า ก้มหน้า หลุบสายตาคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอก

เมื่อนางเดินผ่านเหมิงเหมิงกับหยวนหยวน ทั้งสองคนถึงได้สังเกตว่าบนใบหน้านางเลอะแถบสีดำและแถบสีแดงเต็มไปหมด อาภรณ์ตัวยาวบนกายก็คล้ายกับว่าควักออกมาจากกองขี้เถ้าอย่างนั้น

ทั้งสองคนส่งสายตามองนางจากไป ใบหน้าเล็กแฝงความตกใจจนหน้าถอดสี

“ลูกพี่ท่านแม่เป็นอะไรไป? มารเข้าครอบงำหรือ?” หยวนหยวนกระตุกชายเสื้อของเหมิงเหมิง เอ่ยถามอาการงุนงง

เหมิงเหมิงกลอกสายตา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มารเข้าครอบงำแล้ว”

“ไม่ใช่แค่หลอมศาสตราหรืออย่างไร เหตุใดต้องทำเรื่องยุ่งยากเพียงนี้?” หยวนหยวนพึมพำงึมงำด้วยความไม่เข้าใจประโยคหนึ่ง

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บกะโหลก ใบหน้างามของเขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา

“เหมิงเหมิงเจ้าทำอะไรน่ะ!” หยวนหยวนเอามือกุมหน้าผากตะคอกใส่ตัวต้นเรื่อง

เหมิงเหมิงถลึงตาคู่โต สองมือเท้าสะเอวเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอาจารย์หลอมศาสตราหรืออย่างไร? อะไรเรียกว่าหลอมศาสตราไม่รู้รึ เจ้านายพยายามพัฒนาตนให้ดีขึ้น อยากจะทะลวงขั้นของตนเอง หลอมอาวุธยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องบ้าคลั่งถึงขั้นไม่กินไม่นอนนี่นา!” หยวนหยวนเอ่ยอย่างได้รับความไม่ยุติธรรม

ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงสภาพร่างกายของลูกพี่ท่านแม่หรืออย่างไร

เหมิงเหมิงแสร้งถอนหายใจทำทีเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์ เอ่ยอย่างจนปัญญา “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักนิสัยของเจ้านายเสียเมื่อไร เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ ครั้งนี้นางเก็บตัวครึ่งเดือน ยังรู้จักเดินออกมาเอง ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ก่อนตอนที่พวกเจ้ายังไม่มากัน เวลาที่นางครํ่าเคร่งกับการหลอม โอสถก็เป็นเช่นนี้”

รอจนมู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ก็ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นที่เรียบร้อยแล้วแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

มองเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนั้น นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “พวกเจ้าทั้งคู่มาทำอะไรกันที่นี่?”

หยวนหยวนวิ่งมาอยู่ข้างกายนางทันที เอ่ยตัดพ้ออย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ลูกพี่ท่านแม่ ท่านเพิ่งจะสังเกตเห็นพวกเราหรือ!”

มู่ชิงเกอกะพริบตาปริบๆ

“ต้องใช่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นท่าทางของเจ้านายจะประหลาดใจเช่นนั้นได้อย่างไร?” เหมิงเหมิงเองก็เดินเข้าไปร่วมวง จีบปากจีบคอใส่มู่ชิงเกอ

“แหะ แหะ” มู่ชิงเกอหัวเราะ เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เมื่อครู่พวกเจ้าอยู่ตรงนี้ตลอดเลยหรือ?”

หลังจากเห็นหยวนหยวนกับเหมิงเหมิงพยักหน้ารับอย่างแรงแล้ว มุมปากนางก็กระตุกเอ่ยชี้แจงว่า “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดปัญหาบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกต”

สุดท้ายแล้ว ทั้งสองคนต่างก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณลับ สื่อความว่า ‘ก็กะว่าอย่างนั้น’ ให้นาง

มู่ชิงเกอลูบปลายจมูกเบาๆ เอ่ยกับทั้งคู่ว่า “ข้าออกไปก่อน หยวนหยวนรั้งอยู่ในช่องว่างชั่วคราวก็แล้วกัน”

ก่อนจะเดินจากไป นางก็หันหลับมาเตือนว่า “ใช่แล้ว ทางด้านโห่ว หากไม่มีเรื่องอะไรพวกเจ้าก็ไม่ต้องไปกวนใจเขา”

เจ้านั้น ติดตรงที่ว่าพลังอำนาจของวงแหวนแม่ลูก ถูกนางสะกดอย่างไม่มีทางเลือก แต่กลับไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมลงให้กับหยวนหยวนและเหมิ งเหมิงสองจอมป่วนนี้

“ทราบแล้ว”

“ลูกพี่ท่านแม่วางใจเถอะ”

เหมิงเหมิงและหยวนหยวนต่างก็ให้คำรับประกัน

มู่ชิงเกอเลิกปลายคิ้ว วางใจ? เพราะว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันนี่แหละ นางถึงไม่วางใจ

“สรุปก็คือหากพวกเจ้าไปหาเรื่องกวนใจเขา ถูกเขารังแกก็ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้กับข้า” มู่ชิงเกอพูดจบก็ หันหลังเดินออกจากช่องว่าง หายไปต่อหน้าคนทั้งสอง

ณ จวนที่พักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ด้านหน้าประตูห้องมีไป๋สี่ยืนขวางอยู่ด้านนอก เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่ายืนอยู่บริเวณโถงทางเดินตรงหน้านาง

“พี่ไป๋สี่ กรุณาถอยสักหน่อย พวกเราจะเข้าไปปรนนิบัตินายน้อย” เซวี่ยนหย่าประคองอุปกรณ์ล้างหน้าบ้วนปากไว้ในมือเอ่ยบอกกับไป๋สี่

ส่วนเสวี่ยหยาประคองถาดไว้ใบหนึ่ง ด้านบนเรียงอาหารเลิศรสที่มู่ชิงเกอชื่นชอบเอาไว้

“ชิงเกอกำลังเก็บตัวฝึกฝน ไม่สามารถเข้าไปรบกวนได้” สองมือของไป๋สี่ยกขึ้นกอดอก พิงประตูท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาครึ่งบนหรี่ลงเล็กน้อย

เซวี่ยนหย่าขมวดคิ้วคิดอยากจะเอ่ยอะไร กลับถูกเสวี่ยหยารั้งเอาไว้

เสวี่ยหย่าเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ไป๋สี่ ท่านบอกว่านายน้อยเก็บตัวมากว่าครึ่งเดือนแล้ว เขาก็ต้องกินดื่ม ต้องล้างหน้าบ้วนปากบ้างกระมัง พวกเราก็แค่นำสิ่งของเข้าไป วางแล้วก็ออกมา ไม่ไปรบกวนนายน้อย”

การเก็บตัวของมู่ชิงเกอไม่ได้บอกกล่าวพวกนางทั้งสองคน

เพียงแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนที่พวกนางมาปรนนิบัติ ก็ถูกไป๋สี่ขวางไว้ด้านนอกประตูบอกพวกนางว่ามู่ชิงเกอเก็บตัวฝึกฝน

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือน พวกนางก็พักอยู่ที่เมืองหลิวหั่วเฉิงเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว ตระกูลและกองกำลังหลิวเค่อที่มาเข้าร่วมงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายไปตั้งนานแล้ว เมืองหลิวหั่วเฉิงที่แสนคึกคักก็เปลี่ยนไปเงียบสงบลงมามาก

“พวกเจ้ากำลังสงสัยว่าข้าโกหกหรือ? หรือเป็นห่วงว่าข้ากินชิงเกอไปแล้ว?” ไป๋สี่เอ่ยแววตาเย้าแหย่

เสวี่ยหยาเม้มปาก

เซวี่ยนหย่าขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่ไป๋สี่อย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเพียงต้องการมั่นใจว่านายน้อยปลอดภัยดีเท่านั้น”

“เขาสบายดี” ไป๋สี่กล่าว

“พี่ไป๋สี่ หน้าที่ของพวกเราคือดูแลนายน้อย คุ้มครองนายน้อย ถ้าหากนายน้อยเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเราก็ต้องไปเฝ้าระวังอยู่ข้างกาย” เสวี่ยหยากัดฟันเอ่ย

นางและเซวี่ยนหย่าล้วนเป็นห่วงว่ามู่ชิงเกอลอบไปเผชิญหน้ากับอันตรายข้างนอก หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจะทำอย่างไร?

“หากว่ามู่ชิงเกอมีอันตรายจริง อาศัยความสามารถของพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?” ไป๋สี่หัวเราะเยาะอย่างไม่ไว้ไมตรี

คำพูดประโยคนี้ทำเอาเซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาพูดไม่ออก

ตอนนี้พวกนางทั้งสองคนยังอยู่ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นห้า ขั้นหก ต่างก็ยังไม่ทะลวงระดับพลังขั้นสีเงิน หากว่าแม้แต่มู่ชิงเกอผู้มีระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสามยังจัดการไม่ได้ พวกนางทั้งสองคนจะมีประโยชน์อันใด?

“เป็นห่วงชิงเกอไม่มีปัญหา แต่ว่าพวกเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ให้ดีว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้ได้นั่นก็คือการทำตามสิ่งที่เขาสั่งการไว้” นํ้าเสียงไป๋สี่เยียบเย็นขึ้น นํ้าเสียงที่นุ่มนิ่มซ่อนความน่าเกรงขามเยือกเย็น

“พี่ไป๋สี่สั่งสอนได้ถูกแล้ว” เสวี่ยหยาหลุบตาลง ขนตาเป็นแพยาวซ่อนความรู้สึกของนางเอาไว้ เซวี่ยนหย่าไม่ได้เถียงข้างๆ คูๆ ต่อ

“ให้พวกนางเข้ามาเถอะ” ทันใดนั้นภายในห้องที่เงียบสงบก็แว่วเสียงมู่ชิงเกอลอยมา

ส่วนลึกในดวงตาไป๋สี่เป็นประกายระยิบระยับ เปิดทางที่ขวางไว้

นางยื่นมือผลักบานประตูก็เห็นมู่ชิงเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ เดินบิดเอวเข้าไปในห้อง ไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ สองมือคล้องแขนนางด้วยความสนิทสนม “ชิงเกอ”

มู่ชิงเกอหันหน้ามองนาง มุมปากกระตุกไม่ได้ขัดขวางการเข้าใกล้ของนาง

หลังจากนั้นก็หันไปมองเซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาที่ก้าวเข้ามาในห้อง

สตรีทั้งสองเห็นว่ามู่ชิงเกอนั่งอยู่ในห้องเป็นปกติดี ในใจก็ลอบผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งใจ ทั้งสองคนวางสิ่งของที่ถืออยู่ในมือลงแล้วคุกเข่ารับโทษตรงหน้ามู่ชิงเกอ

“เอาละ ลุกขึ้นมาเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ถือสา

เซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยาเอ่ยขอบคุณและลุกขึ้นยืน เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อย วันก่อนข้าได้รับข่าวจากในเผ่าส่งมา ท่านราชครูออกเดินทางเพื่อมาพบนายน้อยที่โลกแห่งยุคกลาง”

“อ้อ?” มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย ดึงมือออกจากพันธนาการของไป๋สี่ลุกขึ้นยืน

ในที่สุดคนผู้นี้ก็มาสักที! ความสงสัยในใจนางกำลังใกล้จะได้รับคำตอบแล้วใช่หรือไม่?

“ท่านราชครูจะมาถึงเมื่อไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เสวี่ยหยาเอ่ยว่า “ท่านราชครูอยู่ระหว่างเดินทาง ขอให้นายน้อยกำหนดสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกพบกัน”

มู่ชิงเกอละสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นำแผนที่เขตภาคตะวันตกออกมากางบนโต๊ะด้านหน้า นางต้องไปเมืองฝูซาเที่ยวหนึ่ง ไปพบซางหลันรั่วกับมู่เหลียนเฉิงด้วยตนเอง แต่ตอนนี้นางยังอยู่ที่เมืองหลิวหั่วเฉิง…

นิ้วมือของมู่ชิงเกอลากชี้ไปบนแผนที่อย่างง่ายๆ สุดท้ายก็ไปหยุดที่เมืองเมืองหนึ่งระหว่างเมืองหลิวหั่วเฉิงกับเมืองฝูซา “ที่นี่แล้วกัน เมืองเจาหาน”

เสวี่ยหยาจดจำสถานที่ไว้มั่น คำนวณอยู่ในใจชั่วครู่แล้ว จึงเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ตอนที่ได้รับข่าว ท่านราชครูก็มาถึงเขตภาคใต้แล้ว หากว่าใช้ประตูมิติมา เวลาก็จะสั้นลงอีกมาก พวกเราออกเดินทางไปเมืองเจาหานคาดว่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณสิบวัน คำนวณดูแล้วพวกเราพอถึงเมืองเจาหานรออีกแค่ไม่นาน ท่านราชครูก็คงถึง”

มู่ชิงเกอพยักหน้า แบบนี้ดีที่สุด ไม่ต้องเสียเวลานาน

เหตุใดถึงไม่เลือกให้เจอกันที่เมืองฝูซาน่ะหรือ? เพราะว่าที่นั่นมีตระกูลซาง นางไปที่นั่นด้วยธุระส่วนตัว ไม่ปรารถนาให้เวลานั้นมีอำนาจหรือเรื่องราวอื่นแทรกเข้ามา

“พรุ่งนี้ให้ออกเดินทาง” มู่ชิงเกอกำหนดเวลา

“นายน้อย” เวลานี้เองเซวี่ยนหย่าก็เอ่ยปากขึ้น “ท่านเคยให้ข้าจับตาข่าวของมู่ลั่วฟง ไม่กี่วันก่อนข้าสืบข่าวได้ว่ามีคนที่คล้ายมู่ลั่วฟงปรากฎตัวขึ้นที่เขตภาคตะวันตก”

“มู่ลั่วฟงปรากฎตัวออกมาแล้วหรือ?” ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่ลง ดวงตาเรียวแฝงความเย็นชา “หาต่อไป ยืนยันตัวตน”

คนที่กล้าทำเรื่องสกปรกใส่ร้ายนาง นางยังสามารถให้เขาลอยนวลผ่านวันคืนได้อีกหรือ?

เซวี่ยนหย่าพยักหน้า เอ่ยขึ้นอีกว่า “นายน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”

นางปรารถนาที่จะเปล่งวาจาแต่ก็หยุด ส่งสายตามองไปทางไป๋สี่

มู่ชิงเกอก็มองตามสายตาไป เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไป๋สี่ไม่ใช่คนอื่น”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาไป๋สี่ยิ้มอย่างร่าเริง

เซวี่ยนหย่าก็ไม่ได้วิตกอีกต่อไป เอ่ยว่า “เกี่ยวกับแผนที่ บนร่างกายข้ากับน้องเสวี่ยหยา บางทีข้าอาจหาวิธีที่สามารถลอกเอาแผนที่วิธีอื่นได้”

“ว่ามา” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ดวงตาสุกสกาวเปลี่ยนไปร้อนแรงขึ้นมา

“ข้าลองนึกดูดีๆ แล้วเคยเห็นคัมภีร์ในเผ่า ในนั้นบันทึกวิธีการถ่ายโอนที่สามารถถ่ายโอนแผนที่บนร่างกายข้าไปอยู่บนร่างของคนอื่นได้” เซวี่ยนหย่าเอ่ย

“ถ่ายโอน?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

เพียงแค่ถ่ายโอนจะมีประโยชน์อะไร? ไม่ใช่แค่ย้ายจากร่างกายผู้หนึ่งไปอยู่บนร่างกายอีกคนหรือ

เซวี่ยนหย่าเอ่ยขึ้นต่ออีกว่า “ข้ารู้ว่านายน้อยเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีใจให้พวกข้าสองคน แต่ท้ายที่สุดแล้วนายน้อยก็ต้องแต่งงาน หากว่านายน้อยมีคนที่รัก พวกเราทั้งสองคนก็จะถ่ายโอนแผนที่บนร่างกายไปบนร่างกายนาง ขอเพียงนายน้อยมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาก็จะได้แผนที่ไปอย่างง่ายดาย มิใช่เป็นเรื่องดีทั้งสองเรื่องหรอกหรือ?”

พูดจบนางก็มองมู่ชิงเกอด้วยความกังวลใจ เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ไม่แน่ใจว่านายท่านที่ปรากฎตัวและจากไปอย่างกระทันผู้นั้นกับนายน้อยของตนเองมี ความสัมพันธ์เช่นไรกัน

อากัปกิริยาที่สนิทสนมเช่นนั้นคล้ายกับว่าเกินสหายเพศเดียวกัน

ถึงอย่างนั้นนายน้อยตระกูลมู่ของพวกเขาก็ต้องมีทายาทสืบสกุล ดังนั้นวิธีการคือเรื่องจริง การทดลองก็เป็นเรื่องจริง

“หากว่าถ่ายโอนมาที่ร่างข้าโดยตรงล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้นในทันใด

เซวี่ยนหย่าชะงักไป ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้อแรก วิธีการนี้ถ่ายโอนไปบนร่างของสตรีเท่านั้น ข้อสองในฐานะพาหะผู้ที่ถูกถ่ายโอนก็ไม่อาจมองเห็นรายละเอียดของแผนที่เช่นเดียวกับข้าและเสวี่ยหยา”

ดวงตามู่ชิงเกอเป็นประกายไหววูบครู่หนึ่ง เอ่ยบอกกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”

ปฏิกิริยาและคำตอบของนางอยู่เหนือความคาดหมายของเซวียนหย่า

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของมู่ชิงเกอ เสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่าก็ออกจากห้องไป

หลังจากทั้งสองคนดินออกไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เห็นแววตาจับผิดในดวงตาไป๋สี่

“น่าขันหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

วิธีการของเซวี่ยนหย่าไม่มีทางเป็นจริงได้เลย!

“ข้าเฝ้ารอว่าหลังจากนี้มู่ชิงเกอจะทำเช่นไร จะสู่ขอภรรยา? หรือแต่งให้สามี?” ไป๋สี่เอ่ยเย้าแหย่

มู่ชิงเกอหน้าตาถมึงทึง หว่างคิ้วเผยความไม่อินังขังขอบ เอ่ยด้วยความองอาจผ่าเผยว่า “ย่อมต้องสู่ขอสามีน่ะสิ!”

“พรืด!” ไป๋สี่หัวเราะออกมาเบาๆ ส่งสายตาเลื่อมใสให้มู่ชิงเกอ

ไป๋สี่ปรี่มาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นท่าทีคลุมเครือ “เจ้ากับนายท่านผู้นั้น มี…ใช่หรือไม่ อืม อืม?”

สายตาขี้เล่นของมู่ชิงเกอส่งให้นาง “เจ้างูตัวนี้ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านถึงเพียงนั้น?”

คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของไป๋สี่ตั้งตรง สบถด้วยความโมโห “งูแล้วอย่างไร? เป็นงูแล้วสงสัยเรื่องความรักของหญิงชายไม่ได้หรือ?”

มู่ชิงเกอเบิกตากว้างตามองนางเอ่ยเสียงหลง “เจ้าอย่าบอกข้านะว่า ชาติที่แล้วเจ้าไม่เคยรักใครมาก่อน?”

ที่แท้ผู้สูงวัยหมื่นปีที่ยังครองพรหมจรรย์ไม่ได้มีเพียงท่านมั่วผู้เดียว!

สีหน้าไป๋สี่ฉายแววไม่สบอารมณ์ บ่นพึมพำว่า “ความทรงจำของข้ายังฟื้นฟูกลับมาไม่ครบถ้วน ไหนเลยจะจำได้ว่ารักไม่รักอะไร แต่ข้ารู้สึกว่าข้าน่าจะไม่เคยรักใครมาก่อน”

ว่าแล้ว นางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ความรักมีรสชาติเช่นไรกันแน่? อร่อยหรือไม่?”

มุมปากมู่ชิงเกอกระตุก ยิ้มเย็นเอ่ยตอบว่า “ทำได้เพียงสื่อความแต่ไม่อาจหาถ้อยคำมาพรรณนา หากเจ้าสงสัยจริงๆ ก็ต้องลองมีความรักดู”

หืม!

“กับใคร?” ไป๋สี่หยุดชะงักงัน

มู่ชิงเกอกะพริบตา เอ่ยด้วยความจริงจัง “ข้าว่าหยินเฉินไม่เลวทีเดียว”

ไป๋สี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ รีบเอ่ยขึ้นด้วยความรังเกียจทันที “เจ้าจิ้งจอกหน้าเหม็นตัวนั้นน่ะหรือ? ช่างมันเถอะ ได้กลิ่นสาบบนตัวเขาข้าก็รู้สึกแย่แล้ว!”

“เขาเองก็รังเกียจความอยากอาหารของเจ้า ดูสิพวกเจ้าเหมาะสมกันแค่ไหน?” มู่ชิงเกอกลั้นเสียงหัวเราะ

“…” ปากเล็กๆ ของไป๋สี่เผยอเล็กน้อยมองหน้ามู่ชิงเกอ แยกไม่ออกจริงๆ ว่าคำพูดของนางพูดเล่นหรือว่าพูดจริง

ไป๋สี่สะบัดศีรษะอย่างแรง โยนประเด็นนี้ทิ้งไป “ผลลัพธ์ในครึ่งเดือนมานี้ของเจ้าเป็นอย่างไร?”

มู่ชิงเกอถอนหายใจ ส่ายหน้าช้าๆ “ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ไม่ใช่ว่าจะหลอมได้ง่ายๆ ครึ่งเดือนนี้ข้าไม่มีทางทะลวงชั้น”

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งน้ำมาคลองก็เกิด” ไป๋สี่เอ่ยปลอบ

มู่ชิงเกอพยักหน้า

เหตุผลนี้นางย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงออกมาจากห้องหลอมศาสตรา ก่อนหน้านี้นางต้องการที่จะเร่งเตรียมอุปกรณ์เลื่อนขั้นให้องครักษ์เขี้ยวมังกร แล้วก็ อยากจะหลอมอาวุธยุทธภัณฑ์และเสื้อเกราะขั้นเทวะ จึงร้อนใจอยู่บ้าง

พักผ่อนสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจได้รับผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย

“การหลอมศาสตรานี้ เจ้าควานหาอย่างช้าๆ เพียงลำพังผู้เดียว ไม่แน่ว่าการไปเมืองฝูซาครั้งนี้ เห็นวิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซาง จะมีข้อคิดอื่นๆ บ้าง” ไป๋สี่กล่าว

“คำพูดไม่ผิด แต่ว่าวิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซางจะสามารถพบเห็นได้โดยง่ายได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยครุ่นคิด

ซางเสวี่ยอู่นำหนังมังกรเกราะดินไปบอกว่าจะนำไปหลอมชุดเกราะ รอให้นางเห็นภาพสมบูรณ์ของชุดเกราะบางทีอาจมองเห็นปมบางอย่างจากในนั้น แต่เกรงว่าจะเป็นเพียงการเห็นมุมหนึ่งของภูเขานํ้าแข็งเท่านั้น ซือมั่วเองก็เคยบอกว่า การหลอมศาสตราของตระกูลซางสืบทอดวิธีการหลอมแบบโบราณ คุ้มค่าที่จะเรียนรู้ ดังนั้นหากนางต้องการที่จะทะลวงขั้นการหลอมศาสตราขึ้นอีก เกรงว่าต้องไปเยือนตระกูลซางรอบหนึ่งอย่างเสียมิได้ แต่ว่าเมื่อถึงตระกูลซางแล้ว นางจะสามารถเห็นวิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซางได้อย่างไร?

หากว่าเปิดเผยฐานะออกไป บอกตระกูลซางเรื่องสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตราของนาง ย่อมสามารถดูได้โดยง่าย

แต่ว่านางกลับไม่คิดจะทำเช่นนั้น นางไม่ต้องการเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลซาง ยิ่งไม่คิดจะไปอ้อนวอนตระกูลซาง หรือติดค้างนํ้าใจคนตระกูลซาง

หรือจะไปหาซางเสวี่ยอู่หรือซางหลันรั่วให้พวกนางบอกกับตน

มู่ชิงเกส่ายหน้า ช่างเถอะ นางก็ไม่อยากเอาเรื่องของตนเองไปเกี่ยวข้องกับพวกนาง เพราะเรื่องส่วนตัวถ่ายทอดวิชาลับของตระกูล ถูกผู้คนล่วงรู้เข้าทั้งสองคนต้องได้รับโทษ แล้วนางจะต้องช่วยหรือไม่ช่วย?

ณ ตอนนี้ มู่ชิงเกอไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างซางหลันรั่วกับตนเอง หรือแม้แต่กับซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉินซับซ้อนเกินไป

แม้ว่าพวกนางจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ตาม!

“ถ้าไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ไปขโมย!” ไป๋สี่แววตาวาววับ เอ่ยแนะนำ

ขโมย?

มู่ชิงเกอสะบัดตามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “โดยทั่วไปวิชาหลอมศาสตราเช่นนี้ต่างก็มักจะถ่ายทอดแบบปากต่อปาก ถ่ายทอดกันตัวต่อตัว จะมีตำราอะไรพวกนี้ ทิ้งไว้ได้อย่างไร?”

วิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซาง สำหรับตระกูลซางแล้วไม่ใช่ความลับ แต่ว่ากลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเผยแพร่ออกไป

“นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร?” ไป๋สี่ขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว

“ไปถึงเมืองฝูซาแล้วค่อยว่ากัน” มู่ชิงเกอตัดสินใจในที่สุด

นั่งคิดอยู่ที่นี่คิดไปเรื่อยเชื่อยก็ไม่มีทางแก้ปัญหา มีแค่ไปถึงเมืองฝูซา เดินไปทีละก้าวดูไปทีละก้าว

วันที่สองเวลาเช้าตรู่ มู่ชิงเกอนั่งลงบนรถสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปยังเมืองเจาหาน

สารถีเป็นคนที่นางจ้างมา ส่วนนางกับไป๋สี่ เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่านั่งอยู่ด้านในตัว รถโอ่อ่า

คนขับรถเป็นคนในท้องที่ เดินทางไปมาระหว่างเมืองหลิวลั่วเฉิงกับเมืองเจาหานเป็นประจำ คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี นี่ก็เป็นสาเหตุที่ถูกมู่ชิงเกอจ้าง

บนถนนสายกว้าง รถสัตว์อสูรวิ่งทะยานไปด้วยความรวดเร็ว

คนขับรถยกแส้ฟาดลงไปบนร่างของสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นให้พวกมันวิ่งทะยานอย่างรวดเร็ว

บนใบหน้าของคนขับรถเป็นใบหน้าของความชื่นชม เป้าหมายของความชื่นชมย่อมต้องเป็นมู่ชิงเกอที่อยู่ในตัวรถ

“ช่างเป็นคุณชายเจ้าสำราญตระกูลใหญ่เสียจริง! ออกมาท่องเที่ยวยังมีสาวงามสามคน ที่มีเสน่ห์คนละแบบกันติดตามมาด้วย!” เขาผิวปากเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม เขาเป็นชาวบ้านธรรมดาในเมืองหลิวหั่วเฉิง ไม่รู้ว่าผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทุ่งหญ้าอัสดงไม่กี่วันก่อนนั้นเป็นใคร ตอนที่เช่ารถ เซวี่ยนหย่าบอกเขาว่าพวกนางติดตามคุณชายออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก เขาก็เชื่อตามนั้น

ชื่นชมไปแล้ว คนขับรถก็อดไม่ได้ที่จะคิดเหลวไหล “ไม่รู้ว่าการเดินทางช้าๆ บนเส้นทางสายนี้ หนึ่งบุรุษสามสตรีด้านในรถกำลังทำอะไรอยู่ หึหึ”’

ทำอะไรน่ะหรือ?

เอ่อ…

ด้านในตัวรถที่มีประตูบานหนึ่งกั้นเขาเอาไว้นั้น มู่ชิงเกอนอนเอนตัวท่าทางเกียจคร้าน ผู้ที่นวดบ่านวดไหล่เปลี่ยนมาเป็นเสวี่ยหยา ส่วนผู้ที่ชงชาจุดเครื่องหอม กลับเปลี่ยนมาเป็นเซวี่ยนหย่า

ไป๋สี่น่ะหรือกลับไม่หยุดที่จะเอาขนมเข้าปากตนเอง

ขนมที่เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาตระเตรียมไว้ตลอดการเดินทางนี้เข้าปากนางเกือบทั้งหมด

ที่หยินเฉินเรียกนางว่า ‘อสรพิษจอมตะกละ’ ช่างเป็นฉายาที่เหมาะสมเสียจริง!

ให้เงินตำลึงกับคนขับรถมากพอ ก็สามารถให้เขาเร่งเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองเจาหานข้ามวันข้ามคืนไม่ได้หยุดพัก เพราะว่าเดินทางทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน วันที่แปดช่วงพลบคํ่าที่ออกจากเมืองหลิวหั่วเฉิงมา ในที่สุดรถสัตว์อสูรก็ขับเข้ามาในเมืองเจาหาน คนขับรถคุ้นเคยกับเมืองเจาหานเป็นอย่างดี ขับรถสัตว์อสูรตรงไปที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

เมื่อจอดรถนิ่งสนิทดีแล้ว คนขับรถก็เอ่ยปากบอกคนที่นั่งอยู่ด้านในว่า “คุณชาย มาถึงเมืองเจาหานแล้วขอรับ”

ประตูรถที่ปิดสนิทเปิดออก ผู้ที่มุดออกมาเป็นคนแรกคือเซวี่ยนหย่า นางก้าวลงจากรถสัตว์อสูร พิจารณาการตกแต่งของโรงเตี๊ยมแล้วจึงพยักหน้าหันหลังกลับมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอที่อยู่ในรถว่า “นายน้อย พวกเรามาถึงแล้ว”

จากนั้นมู่ชิงเกอก็เดินออกมาจากในรถสัตว์อสูร ด้านหลังนางเป็นเสวี่ยหยากับไป๋สี่

เมื่อทั้งสี่คนปรากฎตัว ในสายตาของคนขับรถก็ฉายแววตาชื่นชมขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินออกมาต้อนรับเห็นท่าทางของพวกเขา ก็ตะลึงในความงามอยู่กับที่ชั่วขณะ

รอจนได้สติกลับมา ห้วงความคิดของเขาก็บังเกิดความชื่นชมเช่นเดียวกับคนขับรถ

ขณะเดียวกัน เขาก็พูดงึมงำในลำคอ “แปลกประหลาดไปแล้ว คนงามที่พบเห็นในสองวันนี้มากกว่าตลอดชีวิต ของข้ารวมกันตั้งมากมายนัก”

คำพูดพึมพำของเขาไม่มีผู้ใดสนใจ หลังจากอารมณ์กลับคืนเป็นปกติ เขาก็ปรี่เข้าไปต้อนรับมู่ชิงเกอและคณะทันที

เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นคนขับรถก็จากไป ทั้งสี่คนเดินตามบันไดเข้าสู่ประตูโรงเตี๊ยม เพราะว่าเป็นช่วงเวลาพลบค่ำ ภายในเมืองไม่ได้คึกคักเช่นตอนกลางวัน ดังนั้นภาย ในโถงใหญ่ของโรงเตี้ยมก็ไม่มีผู้อื่น มีความสงบเงียบเด่นชัดหลายส่วน

แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศเช่นนี้ กลับทำให้มู่ชิงเกอพึงพอใจ

หากว่าด้านในวุ่นวายจอแจ เป็นภาพเสียงอึกทึกครึกโครม นางก็คงสะบัดหน้าจากไปโดยไม่ต้องคิด

“คุณชาย ท่านต้องการห้องพักกี่ห้องขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์เดินพาพวกเขามาถึงหน้าโต๊ะ แววตาคลุมเครือ สอบถามด้วยนํ้าเสียงสื่อความนัย “ห้องพักของพวกเราเก็บเสียงได้ดีเป็นพิเศษ เตียงนอนหลังใหญ่ ท่านวางใจได้”

ตลอดทางที่ผ่านมา มู่ชิงเกอชินชากับความเข้าใจผิดเช่นนี้ไปเสียแล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ความปรารถนาดี’ ของเสี่ยวเอ้อร์ นางเพียงแค่เอ่ยถามนิ่งๆ ว่า “มีเรือนพักเดี่ยวๆ ที่เงียบสงบและไม่ถูกรบกวนหรือไม่?”

เสี่ยวเอ้อร์ชะงักไป รีบแย้มยิ้มขึ้นมา “แหะๆ ความคิดของคุณชาย ข้าน้อยเข้าใจดี บังเอิญเหลือเกินที่โรงเตี๊ยมของเรามีเรือนพักแยกอยู่จริงๆ แต่ว่าราคาจะแพงอยู่บ้าง”

เมื่อเขาพูดจบ เซวี่ยนหย่าก็ควักเอาตำลึงทองก้อนหนึ่งทิ้งไว้บนโต๊ะ

เสียงตำลึงทองกระทบโต๊ะทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาแวววาว สองมือของเขารีบประคองตำลึงทองขึ้นมาเอาเข้าปากกัดดู ลูบคลำอย่างวางไม่ลง โค้งเอว เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าสดใสกว่าก่อนหน้านี้ว่า “ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณแม่นาง ให้ข้าน้อยพาพวกท่านไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?”

“นำทางด้านหน้าเลย” เซวี่ยนหย่าเอ่ย

“ได้เลยขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์นำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเบิกบานแจ่มใส

มู่ชิงเกอก็พาสามสาวงามเดินตามหลังเขาไป

เมื่อเดินอ้อมจากห้องโถงใหญ่ไปลานด้านหลัง เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เกือบทำให้มู่ชิงเกอยืนไม่อยู่ล้มลงไป

“มู่ชิงเกอ! เจ้าคนใจโลเล ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอจนได้!”

คำพูดที่แหลมคมนี้ ดึงดูดความสนใจของทั้งห้าคนในทันที

เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินนำทางอยู่ข้างหน้าได้ยินประโยคนี้ ร่างกายก็สั่นขึ้นมาอย่างยั้งใจไม่อยู่ ราวกับว่าเขาเกรงกลัวเจ้าของนํ้าเสียงนี้มาก

เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาหรือแม้แต่ไป๋สี่ล้วนแปลกใจยิ่ง สตรีที่มีความคับแค้นใจเต็มท้องนี้เป็นใคร และมีความสัมพันธ์เช่นไรกับมู่ชิงเกอ ในนั้น ผู้ที่ตกใจเห็นจะเป็นมู่ชิงเกอ!

นางหันหลังกลับไปมองสตรีใบหน้างดงามที่เลิกคิ้วเอามือเท้าเอวยืนอยู่บนบันไดลานด้านหลังที่กำลังเผชิญหน้ากับนาง ก็เบิกตาโตอ้าปากค้างด้วยความตระหนก ตกใจ

‘ยายคนนี้มาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’

ที่สำคัญคือ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะพบกันได้นํ้าเน่าเช่นนี้?

หากพูดว่าไม่ใช่ชะตาฟ้ากำหนด เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อ

เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้างดงามทรงเสน่ห์แปลกตา ยังมีสีผม สีดวงตาที่ไม่เหมือนผู้คนทั่วไป คล้ายปีศาจที่จุติขึ้นมาในโลกมนุษย์!

คิดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า เผยใบหน้างดงามของตนเองออกมา

“เจียงหลี! นี่เจ้า…” มู่ชิงเกอตะโกนร้องเรียกชื่อนางด้วยอาการตะลึง

แต่ว่าไม่รอให้นางได้เอ่ยจนจบ เจียงหลีก็ขัดขึ้นอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด “เมื่อครู่ข้าเห็นคนผู้หนึ่งคล้ายคลึงเจ้า ก็เดาได้ว่าต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน พอออกมาดูก็เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย! เจ้าคนนิสัยไม่ดี เดินทางมานานถึงเพียงนั้นไม่ส่งข่าวคราวเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังจะมีสามงามรายล้อม! ในใจเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่?”

คำพูดดุร้ายน่ายำเกรงนี้ไม่เพียงสะกดเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเท่านั้น ยังทำให้เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยานิ่งงันไปด้วย

ในใจของพวกนางคาดเดาความสัมพันธ์ของสตรีที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันกับนายน้อยของตนเอง ส่วนเสี่ยวเอ้อร์กลับส่งสายตาชื่นชมและเลื่อมใสให้มู่ชิง

เกอ

สตรีที่นิสัยดุร้ายเช่นนี้ก็ถูกคุณชายในอาภรณ์สีแดงนี้สยบลงได้ ไม่เลื่อมใสไม่ได้จริงๆ!

มีเพียงไป๋สี่ผู้เดียวที่รู้เรื่องเจียงหลีมาบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ฐานะที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ ดังนั้นนอกจากการปรากฎตัวอย่างเหนือความคาดหมายของเจียงหลีแล้ว นางยังกอดความรู้สึกชมเรื่องสนุกเอาไว้

อยากจะเห็นว่าการปรากฎตัวอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันของฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่จะทำให้มู่ชิงเกอมีปฏิกิริยาเช่นไร

เจียงหลีย่ำบันไดเดินลงมา พริบตาเดียวก็ปรากฎอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ “เจ้าคนใจโลเล เจ้าพูดออกมาสิว่าในใจ เจ้ามีข้าอยู่หรือไม่? เสียแรงที่ข้าดั้นด้นมาตั้งไกลเพื่อมาหาเจ้า ทิ้งเกียรติยศชื่อเสียงเงินทอง แพรพรรณอาหารชั้นเลิศ…อุบ…”

คำพูดของนาง ถูกการกระทำของมู่ชิงเกอตัดบท

ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็ยื่นมือไปบีบที่แก้มของนางแล้วออกแรงดึงอย่างแรง

“โอ๊ย! เจ็บนะ!” เจียงหลีปัดมือมู่ชิงเกอออก กุมแก้มตนเองไว้แล้วเอ่ยกล่าวโทษ

”ข้าเพียงแค่ต้องการแน่ใจว่าเป็นเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ภาพมายา” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอทำเอาเซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาตกตะลึง

พวกนางติดตามมู่ชิงเกอมาตั้งนาน ไม่เคยเห็นว่ามู่ชิงเกอปฏิบัติต่อใครเช่นนี้มาก่อน หรือว่าสตรีที่ปรากฎตัวขึ้นมากะทันหันผู้นี้ถึงจะเป็นรักแท้ของนายน้อย?

ความสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับนายท่านที่ปรากฎตัวก่อนหน้านี้ เป็นพวกนางเข้าใจผิดไป?

ทันใดนั้น สีหน้าของสองสาวก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา

“อยากจะดูว่าเป็นเรื่องเท็จหรือไม่ ควรจะหยิกเจ้าสิไม่ ใช่หยิกข้า!” เจียงหลีปล่อยมือที่กุมแก้มเอาไว้เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ โจมตีใส่มู่ชิงเกอ

แต่ว่า มือของนางเพิ่งจะไปได้ครึ่งเดียว ก็ถูกมู่ชิงเกอจับไว้แน่นค้างอยู่กลางอากาศ

ในขณะที่เจียงหลีแปลกใจอยู่นั้น นางก็ดึงรั้งอย่างแรง ฝ่ายแรกไม่ทันได้เตรียมป้องกันก็ถลาเข้าสู่อ้อมกอดของนาง

“ได้พบเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ดีเหลือเกิน!”

เจียงหลีขัดขืน ทันใดนั้นได้ยินเสียงแฝงความรู้สึกของมู่ชิงเกอดังข้างหู คำพูดประโยคนี้ทำให้นางหยุดขัดขืน ปล่อยให้มู่ชิงเกอสวมกอดตนเองไว้

ภาพที่ทั้งสองตระกองกอดกันนั้น กระตุ้นคนรอบข้างนี้ ทำให้เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยายิ่งแน่ใจว่าสตรีผู้นี้เป็นรักแท้ของนายน้อย ในใจและในแววตาของเสวี่ยหยาอ้างว้างเดียวดายขึ้นหลายส่วน

เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมผิวปาก กวาดสายตามองสาวงามเหล่านั้น ในใจทอดถอนใจด้วยความเศร้า ‘แข่งเรือ แข่งพายได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้จริงๆ!’

ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของมู่ชิงเกอกลับมาเป็นปกติแล้ว เจียงหลีก็ผละออกจากอ้อมกอดของนาง ยกมือขึ้นลูบหน้าผากของมู่ชิงเกอเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป? ช่วงนี้ได้รับความลำบากใจอะไรหรือเปล่า?”

มู่ชิงเกอจับมือนางลง ส่ายหน้าช้าๆ นางเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้กลั่นออกมาจากใจ ความรู้สึกแท้จริงในใจ

สำหรับนางแล้ว เจียงหลีเรียกได้ว่าเป็นคู่หู

ต่อหน้าเจียงหลี นางไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนความรู้สึก แล้วก็สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการพูดได้เต็มที่

ทันใดนั้นอารมณ์ของนางก็สั่นไหวเล็กน้อย ละสายตาจากเจียงหลีมองขึ้นไปข้างบนตรงบันไดยังจุดที่เจียงหลีเคยยืน

ที่ตรงนั้นมีเงาร่างสูงโปร่ง สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ท่วงท่าสุขุมอ่อนโยน คิ้วตาดั่งภาพวาด ราวกับเทพเซียนลงมาจุติ

“ศิษย์พี่เหมย” จ้องมองคนผู้นั้น มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อย ในแววตาแฝงรอยยิ้ม

ภายในเรือนพักของโรงเตี๊ยม เปลวเทียนลุกโชน พวกไป๋สี่ถอยออกไป มอบพื้นที่ว่างให้กับทั้งสามคนที่ไม่ได้พบกันมานาน

ในห้องโถง พวกเขาทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะกลม เปลวเทียนในตะเกียงโคมไฟลุกโชน แสงไฟพลิ้วไหว ขนมหวานนํ้าชาจัดวางไว้อย่างลงตัว

มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน หลังจากรินนํ้าชาให้เจียงหลีกับเหมยจื่อจ้งคนละหนึ่งถ้วยด้วยตนเองแล้ว ถึงรินใส่ถ้วยชาตรงหน้าตนเองเต็ม แล้วจึงวางกานํ้าชาลง

“ได้พบชิงเกอที่นี่ ช่างดีเหลือเกิน” เหมยจื่อจ้งเอ่ยขึ้น เสียงราบเรียบ นํ้าเสียงของเขายังคงกระจ่างใสราบเรียบ ราวกับว่าไร้ซึ่งความปรารถนาไร้ข้อเรียกร้อง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราววุ่นวายในโลกมนุษย์

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้ได้รับจดหมายจากท่านปู่บอกว่ามีสหายเก่าแก่ไปเยี่ยมเยียนถามไถ่เขา ยังบอกอีกว่าจะมาหาข้าที่โลกแห่งยุคกลาง ข้าก็เดาได้ว่าเป็นพวกศิษย์พี่ แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้”

พูดจบ นางก็หันไปทางเจียงหลี “ที่ทำให้ข้าแปลกใจที่สุดคือเจ้าไม่เป็นฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่หรือ เหตุใดจึงตามมาที่นี่?”

เจียงหลีเสยผมบริเวณหัวไหล่ตนเอง เลิกคิ้วใส่นาง “ข้าคิดว่าอาณาจักรก็ไม่อาจเทียบกับสาวงามเช่นเจ้าได้ ฉะนั้นข้าถึงได้มา!”

คำพูดของนาง ทำเอามู่ชิงเกอแย้มยิ้ม ได้พบสหายเก่าแก่ในต่างแดน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผู้คนชื่นชอบเสียจริง

“พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน? แล้วมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ยังมีอีก ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์พี่จูเล่า?” มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

ก็ต้องรู้ก่อนว่าตอนแรกกว่านางจะเดินทางออกจากทะเลแห่งทุกข์ก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีถึงจะมาถึงโลกแห่งยุคกลาง ตอนนี้อยู่ที่โลกแห่งยุคกลางเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่

แน่นอนว่าพวกเจียงหลีไม่ต้องจัดการปัญหาระหว่างการเดินทางหลายเรื่องเช่นนาง อ้อมไปไม่รู้เท่าไร เสียเวลาไปไม่น้อย แต่การที่พวกเขามาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้ก็ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงเกินไปแล้ว

เหมยจื่อจ้งหัวเราะ มองดูเจียงหลีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยอธิบายกับมู่ชิงเกอว่า “หลังจากที่เจ้าจากมา พวกเราสี่คนก็รั้งอยู่ที่แคว้นกู่วู่อยู่หลายวัน เข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิง นางบอกพวกเราว่าที่แคว้นกู่วู่มีเขตแดนพิเศษที่สามารถยกระดับพลังยุทธ์ได้รวดเร็ว ขอเพียงก้าวข้ามไปได้ก็บรรลุเป้าหมายในการออกจากหลินชวน ดังนั้นพวกเราจึงไปที่นั้น”

เขาพูดอย่างสบายใจ แต่มู่ชิงเกอก็สามารถเดาได้ว่าเขตแดนพิเศษที่มีประสิทธิ์ภาพเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อาจถึงขั้นอันตรายสาหัส

พวกเขาเหล่านี้หากฝึกยุทธ์ตามปกติทั่วไปแล้ว เรื่องที่จะเดินทางออกจากหลินชวนก็เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น แต่ว่าเพื่อให้ได้มาพบกับนางเร็วหน่อย กลับยอมที่จะเสี่ยงอันตราย นี่จะไม่ให้นางรู้สึกซึ้งใจได้อย่างไร?

“นี่ เจ้าไม่ต้องคิดไปเอง! พวกเราเองก็สงสัยว่าที่โลกแห่งยุคกลางนี้เป็นเช่นไร แค่ถือโอกาสตามหาเจ้าระหว่างทางเท่านั้น” เจียงหลีเอ่ยแทรกขึ้น

มู่ชิงเกอที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมมีหรือจะฟังความหมายในคำพูดของนางไม่ออก? นางแค่ไม่ต้องการให้ตนรู้สึกละอายเพราะเรื่องนี้ก็เท่านั้น

“จากนั้นล่ะ?” มู่ชิงเกอไม่รีบร้อน คํ่าคืนนี้อีกยาวนาน นางสามารถรับฟังโดยละเอียด จึงเอ่ยถามช้าๆ

“จากนั้นพวกเราก็ออกมาอย่างราบรื่น และก็ค้นพบกับประตูมิติโบราณบานหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ” เหมยจื่อจ้งอมยิ้มเล็กน้อยเอ่ยต่อ

“ประตูมิติ!” มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย

“ประตูมิตินั่นก็อยู่ในแคว้นกู่วู่ แต่ข้ากลับไม่เคยรู้มาก่อน ช่างน่าโมโหจริงๆ หากรู้ว่ามีประตูมิตินั่นเร็วกว่านี้ ตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปทางทะเลแห่งทุกข์แล้ว” เจียงหลีนึกขึ้นมาในตอนนี้ก็รู้สึกโมโหจนทนไม่ได้ รู้สึกว่าฮ่องเต้หญิงอย่างนางน่าขายหน้านัก

“มาทางทะเลแห่งทุกข์ก็มีข้อดีเหมือนกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ หากว่าไม่ได้ผ่านทะเลแห่งทุกข์ แต่ใช้ประตูมิติ นางจะพบเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางได้อย่างไร?

“หลังจากที่เจอประตูมิติ และผ่านการตรวจสอบจนมั่นใจจากเหล่าผู้อาวุโสในแคว้นกู่วู่แล้ว พวกเราก็ไปพบท่านปู่มู่ จากนั้นก็กลับไปที่แคว้นกู่วู่ใช้ประตูมิติข้ามมา แต่ว่าในระหว่างที่มา กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิด ทำให้พวกเราพลัดหลงกับศิษย์น้องจ้าวทั้งสาม” เหมยจื่อจ้งเอ่ย เสียงราบเรียบ เอ่ยถึงการสูญหายของพวกจ้าวหนานชิงสามคนนั้นแล้วเขาไม่มีท่าทีกังวลใจเผยออกมาให้เห็นสักนิด

ทำให้มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีข่าวคราวของศิษย์พี่จ้าวแล้วหรือไม่?”

เหมยจื่อจ้งพยักหน้ายิ้มๆ “ศิษย์น้องจ้าวมันสมองปราดเปรื่อง สามารถเข้าใจวิธีการแต่ละสำนักของโลกแห่งยุคกลางได้อย่างรวดเร็ว เขาแจ้งข่าวมาทางกองกำลังหลิวเค่อบอกพวกเราว่า พวกเขาทั้งสามอยู่ที่เขตภาคตะวันออกปลอดภัยดี หลังจากที่ติดต่อกับศิษย์น้องจ้าว พวกเราก็ใช้วิธีเดียวกันนี้แจ้งข่าวกลับไปทางกองกำลังหลิวเค่อ ทั้งสองฝ่ายปรึกษากันว่าพวกเขาจะตามหาเจ้าที่เขตภาคตะวันออก ส่วนพวกเราตามหาเจ้าที่เขตภาคตะวันตก หลังจากนั้นก็ส่งข่าวระหว่างกันผ่านกองกำลังหลิวเค่อ หากผ่านไปหนึ่งปีแล้วไม่มีข่าวคราวของเจ้าก็ นัดหมายว่าจะไปพบกันที่เขตภาคกลางไม่ก็เขตภาคเหนือ แล้วค่อยปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อ โชคดีที่พวกเราได้เจอเจ้าก่อน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!

มู่ชิงเกอเข้าใจในบัดดล

นางไม่เลื่อมใสในความปราดเปรื่องของจ้าวหนานชิงไม่ได้จริงๆ องค์ชายสี่แห่งแคว้นอวี๋ย่อมไม่อาจดูเบา!

การแจ้งข่าวผ่านกองกำลังหลิวเค่อ ย่อมเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุดในโลกแห่งยุคกลาง!

เพราะไม่ว่าทุกคนจะสูญหายไปที่ใด ขอเพียงมีเมืองก็สามารถเข้าใจองค์กรกองกำลังหลิวเค่อนี้ จากนั้นก็สามารถเห็นข้อมูลข่าวสารที่ประกาศออกมา จ้าวหนานชิงใช้ความสะดวกสบายของกองกำลังหลิวเค่อนี้ เป็นสะพานส่งข้อมูลระหว่างกัน

“พวกเจ้ามาที่โลกแห่งยุคกลางนานเท่าไรแล้ว?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

“มาได้เดือนกว่าแล้ว” เหมยจื่อจ้งเอ่ยตอบ เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับฮ่องเต้หญิงโผล่ในบริเวณใกล้เคียงกับประตูมิติ ส่วนประตูมิติบานนั้นก็มีปลายทางอยู่ที่เขตภาคตะวันตก หลังจากได้ยินกองกำลังเขี้ยวมังกรจากกองกำลังหลิวเค่อ ก็เดาว่าบางทีอาจเป็นเจ้า รู้ว่างานล่าสัตวัครั้งใหญ่ของกองกำลังหลิวเค่อจัดขึ้นที่ทุ่งหญ้าอัสดง ก็อยากที่จะไปเสี่ยงโชคดู ดูว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่”

“แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องไปแล้ว” เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ย

มู่ชิงเกอหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องไปแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่จบลงแล้ว หากว่าพวกเราคลาดกันวันนี้ เกรงว่าการพบกันครั้งหน้ายังยากที่จะเอ่ย”

สถานการณ์ในภาพรวม มู่ชิงเกอถามละเอียดแล้ว นางเอ่ยถามเจียงหลี “แล้วประตูมิตินั่นอยู่ที่ไหนหรือ สามารถส่งไปที่หลินชวนได้หรือไม่?”

หากว่าประตูมิติสามารถใช้ได้ เช่นนั้นมิเท่ากับว่านางสามารถไปมาระหว่างโลกแห่งยุคกลางกับหลินชวนได้บ่อยๆ หรือ? ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินต้องการกลับไปตระกูลมู่หลินชวนก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาอีกต่อไป ใช้ประตูมิติส่งกลับไปก็สามารถแก้ปัญหาความทุกข์จากการรอคอยให้ท่านปู่ได้เร็วขึ้น

“น่าจะได้นะ ผู้อาวุโสบอกว่าเป็นประตูมิติสองทาง อีกอย่างก็ถูกรักษาไว้ค่อนข้างดี ขอเพียงมีศิลาวิญญาณ สนับสนุนเพียงพอก็สามารถกลับไปยังหลินชวนได้ แต่ว่าประตูมิตินั้นช่างเป็นตัวกินศิลาวิญญาณ ครั้งนี้ที่พวกเราแยกจากกัน ก็เป็นเพราะศิลาวิญญาณไม่เพียงพอ” เจียงหลีถอนลมหายใจ

“ด้วยกำลังทรัพย์ของแคว้นกู่วู่ แคว้นอวี๋ ยังมีโรงโอสถสาขาย่อยไม่พอหรือ?” มู่ชิงเกอตกใจ

นี่ต้องใช้ศิลาวิญญาณเท่าไรกัน?

เจียงหลีเบ้หน้า “เดิมทีศิลาวิญญาณที่หลินชวนก็น้อยอยู่แล้ว จ้าวหนานซิงทุ่มเทสุดความสามารถแล้วยังได้มาแค่ศิลาวิญญาณขั้นตํ่าหนึ่งพันก้อน ศิษย์พี่เหมยของ เจ้าได้จากโรงโอสถมาห้าร้อยกว่าก้อน ที่แคว้นกู่วู่ข้าออกสองพันก้อน รวมกันแล้วก็ร่อแร่ หากว่ามีอีกสักห้าร้อยก้อน พวกจ้าวหนานซิงสามคนนั่นคงไม่ไปโผล่ที่เขตภาคตะวันออก”

“เหตุใดจึงไปโผล่ที่เขตภาคตะวันออกล่ะ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ใครจะไปรู้?” เจียงหลียักไหล่

มู่ชิงเกอเม้มปากคำนวนอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงจริงจัง “เท่ากับว่าการใช้ครั้งหนึ่ง ต้องใช้ศิลาวิญญาณขั้นตํ่าประมาณสามพันก้อน?”

เจียงหลีกลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “พูดแบบนี้ไม่ได้ ผู้ อาวุโสบอกว่าพลังวิญญาณระหว่างโลกแห่งยุคกลางกับหลินชวนต่างกัน จากหลินชวนมาโลกแห่งยุคกลาง เป็นเรื่อง่าย จากโลกแห่งยุคกลางไปหลินชวนนั้นเป็นเรื่องยาก พวกเราห้าคนใช้ศิลาวิญญาณขั้นตํ่าสามพันก้อนมาโลกแห่งยุคกลาง หากว่าจำนวนคนเท่ากันจาก โลกแห่งยุคกลางไปหลินชวน เกรงว่าจำนวนศิลาวิญญาณที่ต้องการ จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า ถึงขั้นสองเท่า สามเท่า”

“เท่ากับว่า จำนวนศิลาวิญญาณที่ใช้กับจำนวนคนและพลังวิญญาณเกี่ยวข้องกัน?” มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

“อืม คือความหมายเช่นนี้แหละ” เจียงหลีพยักหน้า จากนั้น นางก็เอ่ยถามว่า “เจ้าอยากกลับไปที่หลินชวนหรือ?”

“มีความคิดเช่นนี้ แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้” มู่ชิงเกอไม่ได้ปิดบัง หากว่ามีประตูมิติ นางก็มีความคิดที่จะกลับไปดูท่านปู ท่านอา ยังมีน้องชายลูกพี่ลูกน้องที่ยังไม่ได้พบหน้า ยังมีพวกเจ้าอ้วนแช่เช่าอีก

“เมื่อถึงเวลานั้นแล้วข้าจะพาเจ้าไป” เจียงหลีเอ่ย

“ตกลง” มู่ชิงเกอพยักหน้า

ทั้งสามคนระลึกความหลังไปค่อนคืน สุดท้ายแล้วมู่ชิงเกอก็เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งและเจียงหลีว่า “พรุ่งนี้ข้าให้คนส่งข่าวนี้ให้กับศิษย์พี่จ้าว บอกพวกเขาว่าพวกเราพบกันแล้ว หากว่าพวกเขาพบโอกาสที่ดีในเขตภาคตะวันออก ก็ไม่ต้องสิ้นเปลือง มีสมาธิในการฝึกยุทธ์ก็พอ ครั้งหน้ายังมีโอกาสได้พบกัน ส่วนศิษย์พี่เหมย ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร?”

นางไม่ได้ถามเจียงหลี เพราะนางรู้ว่าเจียงหลีมาถึงนี่ก็เพื่อติดตามนาง เป็นจริงตามคาด ได้ยินว่านางไม่ได้เอ่ยถามตนเอง เจียงหลีก็ยิ้มเบิกบานขึ้นมาทันที เหมยจื่อจ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยตอบช้าๆ “ช้าไม่คุ้นเคยกับโลกแห่งยุคกลาง หากไม่รบกวนเกินไปข้าก็ร่วมเดินทางไปกับชิงเกอ”

มู่ชิงเกอคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “เขตภาคตะวันออกมีสำนักวิถีโอสถ ที่นั่นเป็นที่รวมตัวกันของอาจารย์หลอมโอสถ พวกศิษย์พี่จ้าวเองก็พอดีสามารถไปฝึกฝนที่นั่น ข้าเอง ช้าเร็วก็ต้องผ่านไป หากว่าศิษย์พี่เหมยไม่ถือสาก็รอข้าก่อน รอให้ข้าทำธุระเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางไปสำนักวิถีโอสถเขตภาคตะวันออกพร้อมกัน”

“ตกลง!” เหมยจื่อจ้งพยักหน้า

ด้านนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างมีแสงรำไร เหมยจื่อจ้งกลับไปพักผ่อนแล้ว ส่วนเจียงหลีกลับอยู่ต่อ นางกับมู่ชิงเกอเอนตัวลงบนเตียงนอน เหมือนเมื่อครั้งอยู่ที่หลินชวน

“ชิงเกอ เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจหรือ?” เจียงหลีเอนตัวนอนบนเตียง หันคีษะมองมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอพยักหน้า “กลุ้มใจไม่น้อย แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจัดการที่สุดในตอนนี้คือแผนที่สองฉบับ”

“แผนที่อะไรหรือ?” เจียงหลีพลิกกายมานอนควํ่าอยู่ข้างกายนาง เอ่ยถามด้วยความสงสัย

แววตามู่ชิงเกอไหววูบ มองหน้านางแล้วเอ่ยถามว่า “แคว้นกู่วู่ของพวกเจ้ามีวิธีลับอะไร ที่จะลอกแผนที่ที่สลักบนผิวหนังของคนออกมาหรือไม่?”

เจียงหลีกะพริบตา เอ่ยขึ้นอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก “มีสิ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version