Skip to content

พลิกปฐพี 279

ตอนที่ 279

มู่ชิงเกอผู้ถูกปองร้าย!

“นายน้อย ราชครูมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” ทันใดนั้น บนใบหน้าของเสวี่ยหยาก็ฉายแววยินดีขึ้นมา

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาฉายแววสงสัย “ตัวเจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้ได้อย่างไรว่า เขาถึงแล้ว?”

เสวี่ยหยาอธิบายว่า “นายน้อยคงยังไม่รู้ว่าภายในเผ่าของข้านั้นมีวิธีพิเศษที่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนในเผ่าเดียวกันได้ เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชครู นั่นก็แสดงว่าเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว ข้าคิดว่าพรุ่งนี้เช้า เขาก็น่าจะหาพวกเราพบ”

เมื่อได้ยินถึงคำอธิบายของเสวี่ยหยาแล้ว มู่ชิงเกอก็พยักหน้าอย่างเรียบเฉย ถอนสายตากลับ หลุบตาลง

ความเงียบของนางทำให้เสวี่ยหยารู้สึกตึงเครียดขึ้นมา ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไปตรงไหน

นางมองไม่ออกว่ามู่ชิงเกอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่กล้าไปรบกวน

ทันใดนั้น เซวี่ยนหย่าก็จับมือของนาง นางมองมาทางเสวี่ยหยาแล้วก็ส่ายๆ หน้า

เจียงหลีนั่งอยู่ตรงมุมรถ หลังพิงผนัง มองฉากนี้อย่างนึกสนุก

กลับมาถึงโรงเตี๊ยม เข้าไปในเรือนเล็กแล้ว ไป๋สี่ก็ยังไม่กลับมา แต่เป็นเหมยจื่อจ้งที่นั่งอยู่ข้างในรอพวกนาง หลังจากเห็นว่าทั้งสี่คนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน ลุกขึ้นขอลาในทันที

“พวกเจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยกับเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยา

จากนั้น นางก็กลับไปยังห้องของตนเองกับเจียงหลี ปิดประตูห้อง

“นายน้อยยังคงมีความหวาดระแวงต่อพวกเรา” มองไปยังประตูที่ปิดสนิทแล้วเซวี่ยนหย่าก็เอ่ยกับเสวี่ยหยา

ดวงตากระจ่างทั้งสองข้างของเสวี่ยหยาฉายแววผิดหวัง “ความหวาดระแวงของเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยปิดบัง เช่นนั้นก็ไม่อาจโทษเขาได้ในเมื่อพวกเรามีเรื่องที่ยังปิดบังไว้มากมาย”

เซวี่ยนหย่าพยักหน้า ยิ้มอย่างขมขื่นเอ่ยว่า “ในเริ่มแรกที่ผู้นำตระกูลมู่กำหนดการคัดเลือกที่โหดร้ายนี้ ก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด หากว่าข้าเป็นนายน้อย หากรู้ว่าผู้ถูกเลือกไม่ได้มีแค่คนเดียว และบ่าวที่รับใช้ก็จะไปรับใช้ศัตรูในตอนที่ตนเองพ่ายแพ้ เกรงว่าคงทนไม่ได้”

“บางทีก็อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้นายน้อยถึงได้ระแวงพวกเรามาโดยตลอด ตอนนี้ แผนที่เขาก็ได้รับแล้ว อยู่ดีๆ ข้าก็คิดว่าตัวเองได้หมดประโยชน์ที่จะอยู่กับเขาต่อไปแล้ว” เสวี่ยหยาพูดความในใจของตนเองออกมา

“น้องสาว อย่าได้คิดแบบนั้นเป็นอันขาด!” เซวี่ยนหย่า ห้ามปรามไม่ให้นางคิดมาก “นายน้อยระวังพวกเราก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ก็มีเพียงแค่เวลาที่จะพิสูจน์ทุกอย่างได้”

คำพูดของเซวี่ยนหย่า ทำให้เสวี่ยหยามองนาง ภายในแววตากระจ่างไร้มลทินนั้นแฝงแววสำรวจ

ดูเหมือนว่าคำพูดทำนองนี้จะไม่สมควรที่จะถูกเซวี่ยนหย่าเอ่ยออกมา

เซวี่ยนหย่าถูกนางมองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นยิ้มเอ่ยออกมา “น้องสาวคิดว่าข้าไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ?”

‘เป็นเช่นนั้นจริงๆ!’ เสวี่ยหยาเอ่ยตอบในใจ

เซวี่ยนหย่าเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าจะเลือกมู่ชิงเกอเป็นเจ้านาย แต่ก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด อีกทั้งยังถือเอาอนาคตของเผ่าไว้เป็นเรื่องสำคัญ ถือเอาประโยชน์เป็นที่ตั้ง แต่เมื่อครู่ ตอนที่นางพูดคำพูดเช่นนั้น เสวี่ยหยาสัมผัสได้ถึงว่าในตอนนี้เวลานี้ เซวี่ยนหย่าได้ถือเอามู่ชิงเกอเป็นเจ้านายจริงๆ แล้ว!

“ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไร” เซวี่ยนหย่ายกมือขึ้น ปัดผมที่ตกลงมาขึ้นทัดหู “เพียงแต่ติดตามนายน้อยมาตลอดทางมานี้ทำให้ข้าเชื่อในสายตาของ ตนเองมากยิ่งขึ้นว่าในอนาคต นายน้อยจะต้องประสบผลสำเร็จกลายเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของตระกูลมู่ ในเมื่อในใจข้าได้กำหนดแล้ว เช่นนั้นหากยังคงรักษาระยะห่างอยู่ นั่นไม่ใช่ว่าเป็นการตัดเส้นทางของตนเองหรือ?”

ความเป็นจริงที่เซวี่ยนหย่าพูดกลับยิ่งทำให้คนควรค่าแก่การเชื่อถือ

“ข้ากับน้องสาวไม่เหมือนกัน น้องสาวอาจจะเป็นเพราะรักนายน้อย ถูกเสน่ห์ของเขาทำให้ยินยอมชื่อสัตย์รับใช้ น้องสาวเคยพูดว่า เจ้านายของเจ้ามีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้น ไม่ใช่นายน้อยตระกูลมู่ จุดๆ นี้ สั่นคลอนใจข้ามาก ส่วนข้าเป็นเพราะเชื่อใจนายน้อยว่าเป็นนายน้อยของตระกูลที่แท้จริง” เซวี่ยนหย่ายิ้มให้กับเสวี่ยหยา

ภายในห้อง เจียงหลีกับมู่ชิงเกอเดินไปทางห้องนอน สองมือของนางไพล่อยู่ด้านหลัง มองมู่ชิงเกออย่างสนใจ ยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าระแวงพวกนางอย่างเปิดเผยยิ่งนัก”

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ทุกคนล้วนแต่รู้ดีอยู่แก่ใจ”

“เจ้ากังวลใจเรื่องอะไร?” เจียงหลีเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่เป็นกังวล แต่เป็นเพราะมองไม่ชัด ดังนั้นจึงไม่กล้าเผยตัวเองออกไปก็เท่านั้น ลองคิดดู ถ้าหากว่าพวกเขาสามารถอาศัยกลิ่นอาย ระบุความห่างไกลและสถานที่ของอีกฝ่ายได้จริงๆ พวกนางตามข้าอยู่ตลอด เช่นนั้นความเคลื่อนไหวของข้าก็ไม่ใช่ว่าถูกเปิดเผยแล้ว?”

เจียงหลีนิ่งคิดแล้วก็พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร? ในเมื่อแผนที่ก็ได้รับแล้ว สำหรับเจ้าพวกนางก็หมดประโยชน์แล้ว ฆ่า? หรือว่าไล่ไป?”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก มองนางแล้วเอ่ยว่า “ยังไม่จำเป็นต้องฆ่า ตอนนี้ให้พวกนางอยู่ข้างกายข้าต่อไป ข้าจำเป็นต้องพบราชครูก่อนถึงจะตัดสินใจได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว ทุกอย่างรอพบคนค่อยว่ากัน เสวี่ยหยาคนนั้นก็ไม่ใช่พูดแล้วว่าพรุ่งนี้เจ้าก็ได้พบเจอแล้ว” เจียงหลีเอ่ยปลอบ

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ที่จริงแล้ว เรื่องของตระกูลมู่สำหรับนางแล้วก็เป็นเหมือนกับนิทาน

นับตั้งแต่เริ่มต้น นางก็ฟังเหมือนกับมันเป็นนิทานเรื่องเล่า ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด และก็เป็นเพราะนางต้องการได้รับเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง สำหรับนายน้อยของตระกูลมู่อะไรนั้น นางไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนำเผ่าอี๋ของตระกูลมู่กลับไปยังบ้านเกิด ฆ่าศัตรู ทำให้ตระกูลมู่กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

ตอนนี้นางได้รับของที่นางต้องการแล้ว ส่วนราชครูเผ่าอี้ก็มาตามนัด นี่เป็นเวลาที่จะอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนได้แล้ว

“ใช่แล้ว แผนที่นั่นมีเบาะแสอะไรบ้างไหม?” ทันใดนั้น เจียงหลีก็ถามขึ้นมา

มู่ชิงเกอมองนางด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด

เจียงหลีถูกนางมองจนกระดากใจ เอ่ยอย่างไม่พอใจไปว่า “มองอะไร? ความทรงจำของข้าถูกเจ้าดูดซับไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะยังจำได้งั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอรีบถอนสายตากลับ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ดูไม่ออกว่าเป็นสถานที่อะไร แต่บนแผนที่มีอักษร…ซุยหานอี้ชุ่น”

“ซุยหานอี้ชุ่น? นี่หมายถึงอะไร?” เจียงหลีขมวดคิ้วตาม

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “หากว่ารู้ความหมายก็คงจะแก้ปริศนาได้แล้ว”

เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ถึงอย่างไรก็มีเบาะแสแล้ว ถือว่ามีความคืบหน้า อย่ารีบร้อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

วันที่สองยามเช้าตรู่

มู่ชิงเกอและเจียงหลีตื่นตั้งแต่เช้า ส่วนเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยาก็จัดเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว

มู่ชิงเกอสั่งให้เสวี่ยหยาไปเชิญเหมยจื่อจ้งมาทานอาหารด้วยกัน

ตอนที่เหมยจื่อจ้งมานั้น ก็ยังคงอยู่ในชุดสีขาวสะอาดไร้มลทิน มู่ชิงเกอกับเจียงหลีสบตากันยิ้มๆ มองท่าทางของเหมยจื่อจ้งอย่างสนใจ

“เป็นอะไรไป?” เหมยจื่อจ้งถูกสายตาของทั้งสองคนมอง จนทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าลงมองตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง

“ไม่มีอะไร พวกเราเพียงแค่รู้สึกนับถือในความสง่าของศิษย์พี่เหมยก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอเอ่ยปากชม

พูดตามจริง ความรู้สึกที่เหมยจื่อจ้งทำให้คนรู้สึกถึงก็คือ ความสะอาด บริสุทธิ์และสงบ ดุจดั่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาวที่สามารถขับไล่ความหนาวเย็นไปได้ และก็เป็นคนเดียวในคนทั้งหมดที่นางใกล้ชิดด้วยแล้ว ทำให้นางรู้สึกว่าไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยมากที่สุด

ถูกมู่ชิงเกอชม ใบหน้าของเหมยจื่อจ้งก็ซับสีแดงระเรื่อ ราวกับเขินอายอยู่อย่างนั้น

สายตาอันแหลมคมของเจียงหลีค้นพบสิ่งนี้ก็รีบจับโอกาสเย้าแหย่ในทันที “ศิษย์พี่เหมยเขินอายงั้นหรือ?”

ถูกนางดูออก ใบหน้าของเหมยจื่อจ้งก็ยิ่งแดงขึ้นมา ยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะทำอะไรดีดุจดั่งชายหนุ่มผู้อ่อนต่อโลก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เจียงหลีหัวเราะเสียงดังขึ้นมา นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าเหมยจื่อจ้งนั้นเงียบมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะยังมีอีกมุมที่ดูน่ารักด้วย

“อย่าไปแกล้งศิษย์พี่เหมยเลย” มู่ชิงเกอเอ่ยห้ามปราม

อะไรกัน!

เจียงหลีหยุดหัวเราะ กัดฟันจ้องไปยังมู่ชิงเกอ ‘เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเจ้าเริ่มแหย่ก่อน? เจ้าคนชั่วร้าย! ตอนนี้มาทำตัวเป็นคนดีขึ้นมา!’

มู่ชิงเกอกลับเลิกคิ้วใส่นาง แล้วเอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “ศิษย์พี่เหมยอย่าได้สนใจ เจียงหลีปากไวชอบพูดจาล้อเล่น รีบมาทานอาหารเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด”

ชั่วขณะนั้นเจียงหลีก็หน้าดำทะมึนขึ้นมา นัยน์ตาสีทองฉายแววโกรธเกรี้ยวจ้องมองมู่ชิงเกอ

แต่น่าเสียดาย มู่ชิงเกอกลับทำเป็นมองไม่เห็นความโกรธของนาง

เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเบาๆ มุมปากยังคงมีรอยยิ้มบางๆ เช่นเดิม เดินเข้ามาในห้องนั่งลงหน้าโต๊ะ

อาหารเช้าเป็นโจ๊กแล้วก็ยังมีอาหารทานเล่นเบาๆ และก็เป็นรสชาติที่เหมยจื่อจ้งชอบด้วย

“ศิษย์พี่เหมย ท่านอาจารย์สบายดีหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามออกไป

ถึงแม้ว่าวิชาหลอมโอสถของนางจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับโหลวชวนป่าย แต่ก็เคยเรียกว่าอาจารย์ ทั้งเขาก็เคยช่วยเหลือตนอยู่บ้างเล็กน้อย

เหมยจื่อจ้งวางตะเกียบในมือลง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ก่อนจะจากมาข้าได้ตั้งใจไปหาอาจารย์เป็นพิเศษ เขาสบายดีและก็คิดถึงเจ้ามาก”

“อาจารย์มีใจแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ

สามคนทานไปคุยเล่นกันไป รับสำรับเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว

เพิ่งจะเก็บถ้วยจานเสร็จ แสงสีขาวสายหนึ่งก็ตกลงที่นอกประตู กลายเป็นไป๋สี่

“ฮ้าวว!”

ไป๋สี่หาวออกมา ท่าทางที่ดูเกียจคร้าน ดูเหมือนจะง่วงมาก

นางไม่ได้สนใจมองเจียงหลีกับเหมยจื่อจ้งเลย พุ่งตรงเข้าไปข้างกายของมู่ชิงเกอ แขนพันรอบคอนางทำตัวดุจดั่งงูที่ไร้กระดูก พิงไปบนตัวของนาง หัวก็เอนพิงลงไป เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ข้าง่วงมากเลย ให้ข้ากลับไปนอนที ข้าอาจจะทะลวงระดับแล้ว”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก อิจฉามาก!

ออกไปกินอาหาร ก็รู้สึกว่าจะทะลวงระดับ หลับแล้วตื่นขึ้นมาก็สามารถทะลวงระดับได้ อะไรจะดีขนาดนี้?

นางกวาดสายตามองไป ก็มองเห็นเจียงหลีที่มีท่าทีอิจฉาเช่นเดียวกัน

มีเพียงเหมยจื่อจ้งที่ดูงงๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มู่ชิงเกอยิ้มให้เขา ยกมือขึ้นโบก เก็บไป๋สี่เข้าไปในช่องว่าง

เหมยจื่อจ้งมองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

มู่ชิงเกอไอออกมา อธิบายว่า “ไป๋สี่เป็นสัตว์อสูรวิญญาณจำแลงกายมา ร่างเดิมของนางคืออสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ เป็นสัตว์อสูรพันธสัญญาของข้า”

เหมยจื่อจงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่นัยน์ตาที่เคยเงียบสงบนิ่งมาโดยตลอดกลับไม่อาจระงับความตกตะลึงได้

“วันนี้ศิษย์พี่เหมยวางแผนจะทำอะไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เมื่อวาน พวกนางเร่งรีบจากไป ทั้งยังไปทั้งวัน ทำให้เหมยจื่อจ้งต้องอยู่คนเดียว คิดแล้วก็รู้สึกผิดมาก

เหมยจื่อจ้งนิ่งครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แต่เดิมคิดว่าจะฝึกหลอมโอสถ แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะมาถึงโลกแห่งยุคกลาง มีหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงคิดว่าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”

“ความคิดนี้ไม่เลว!” เจียงหลีเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้ชิงเกอมีธุระ ต้องอยู่ในโรงเตี๊ยม ไม่สู้พวกเราออกไปเดินเล่นในเมืองเจาหานนี้ด้วยกัน และก็จะได้เลยไปกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อส่งข่าวให้พวกจ้าวหนานชิง”

แต่เดิมมู่ชิงเกอคิดจะส่งข่าวให้พวกจ้าวหนานชิงด้วยตนเอง แต่ตอนนี้นางมีเรื่องต้องจัดการมากมาย เจียงหลีจึงเสนอตัวจัดการเรื่องนี้ให้เอง

“ก็ดี” เหมยจื่อจ้งพยักหน้าตกลง

เห็นพวกเขามีเรื่องที่ต้องไปทำกันแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่พูดอะไรมาก

ไม่นาน เหมยจื่อจ้งกับเจียงหลีก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปด้วยกัน หลักจากพวกเขาไปไม่นาน เซวี่ยนหย่าก็ออกไปเช่นเดียวกัน ภายในโรงเตี๊ยมเหลือแค่เพียงมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยา

มู่ชิงเกอรออยู่ในห้องคนเดียว แล้วก็พิจารณาดูแผนที่อย่างละเอียด แต่ว่าก็ยังคงไม่เข้าใจถึงความหมายของตัวอักษรอยู่ดี ในใจของนางมีความรู้สึกว่า ขอเพียงเข้า ใจอักษรเหล่านั้นนางก็จะสามารถรู้ได้แล้วว่าแผนที่นั้น นำไปสถานที่ไหน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเกือบถึงเที่ยง ในที่สุดเสวี่ยหยาก็ไปพาคนที่สวมผ้าคลุมทั้งตัว ทั้งยังมีไม้เท้าในมือเดินเข้ามา

ทั้งสองคนยังไม่ทันได้เข้าใกล้ มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังคนที่ถือไม้เท้า ‘มาแล้วหรือ!’ คนที่รอมาถึงแล้ว นัยน์ตากระจ่างของมู่ชิงเกอก็ยิ่งดูกระจ่างชัดขึ้นไปอีก

“นายน้อย ท่านราชครูมาถึงแล้ว” เสวี่ยหยามาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนาง

ส่วนคนข้างกายนางก็ยื่นมือออกมา เผยให้เห็นฝ่ามือที่เหี่ยวย่นของคนชรา ดึงผ้าคลุมศีรษะของตัวเองลงมา

ใบหน้าชราที่มู่ชิงเกอเคยเห็นปรากฎขึ้นตรงหน้านาง ราชครูของเผ่าอี๋ เอามือขวาที่ไม่มีไม้เท้ามาแนบกับด้านหน้าหน้าอกตนเอง ก้มศีรษะให้มู่ชิงเกอ “นายน้อย!”

“เสวี่ยหยา เจ้าออกไปก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยไล่เสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาขบริมฝีปากพยักหน้า ถอยออกไป ปิดประตูห้อง

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินเข้าไปใกล้ราชครู นาง จ้องมองเขาดูเหมือนว่าจะควักเอาความลับที่เขาซ่อนอยู่ออกมาให้หมด

แต่ ราชครูก็ดูสงบนิ่งมาก ดวงตาคู่นั้นดูปราดเปรื่อง แฝงความอ่อนโยนและรอยยิ้ม ดูเหมือนว่ารู้แจ้งทุกอย่างอยู่แก่ใจ

มู่ชิงเกอเดินวนรอบราชครูรอบหนึ่งแล้วก็มาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของเขาอีกครั้ง

นางไพล่มือไว้ด้านหลัง หลังเหยียดตรง ท่าทีดูเคร่งขรึม จ้องราชครู นางค่อยๆ เอ่ยปากว่า “แผนที่นั้นข้าได้รับมาแล้ว”

นัยน์ตาของราชครูเปล่งประกาย เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ยินดีด้วยขอรับนายน้อย!”

สำหรับประโยคของเขาที่ว่า ‘ยินดีด้วย’ นั้น มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจ นางหันกาย กลับไปยังที่นั่งที่เคยนั่งอีกครั้ง แล้วก็นั่งลง เอ่ยกับราชครูว่า “ข้าให้ท่านมาหาข้า ในเมื่อท่านมาแล้วก็คงจะเดาออกอยู่แล้วถึงจุดมุ่งหมายของข้า”

“ขอรับ” ราชครูเอ่ยตอบอย่างสงบ มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก เชิญราชครู”

“เรื่องของตระกูลมู่ข้าได้เคยพูดกับนายน้อยแล้ว” ราชครูเอ่ย

“เช่นนั้นก็พูดถึงเรื่องที่ข้าไม่รู้หรือไม่ก็ควรพูดถึงเรื่องที่พวกท่านปิดบังข้าอยู่” มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ราชครูยิ้ม กวาดตามองรอบๆ แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย ผู้เฒ่าชรามากแล้ว สามารถนั่งแล้วค่อยพูดได้หรือไม่?”

“ตามสบาย” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ

ราชครูก้าวเท้า เดินไปยังตำแหน่งที่ใกล้มู่ชิงเกอมากที่สุด แล้วนั่งลง

นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเขาถึงเอ่ยว่า “ที่มาของตระกูลมู่ เมื่อก่อนข้าได้เล่าให้นายน้อยฟังโดยสังเขปแล้ว ก่อนหน้านี้ นานมาแล้ว ตระกูลมู่เป็นกลุ่มอำนาจระดับสูงในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ยิ่งใหญ่ กล้าหาญ สูงส่ง ก็เพราะเป็นเช่นนี้ถึงได้ดึงดูดให้คนจำนวนมากยอมจำนนถือเอาตระกูลมู่เป็นเจ้านาย ต่อสู้ร่วมสงครามไปทั่วสารทิศกับตระกูลมู่”

ในที่สุดราชครูก็เริ่มต้นเล่าเรื่อง เขาเริ่มจากยุคการเริ่มต้นที่งดงาม นัยน์ตาฉายแววระลึกถึง

ความระลึกถึงเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่าเขามีชีวิตมาจากยุคนั้น!

แต่นี่เป็นไปได้งั้นหรือ? อีกอย่างตระกูลมู่นั้นมาจากแผ่นดินใหญ่เทพมารอย่าง นั้นหรือ? และก็สามารถพูดได้ว่าแผ่นดินบ้านเกิดก็คือ แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร! ซือมั่วล้วนแต่สามารถอยู่มาได้เป็นหลายหมื่นปี ราชครูเบื้องหน้าล่ะอยู่มากี่ปีแล้ว?

คนที่สามารถอยู่มาได้นานขนาดนี้ได้จะมีพลังระดับไหนกัน?

ยิ่งคิด ในใจของมู่ชิงเกอก็ยิ่งรู้สึกเยียบเย็น

“…น่าเสียดาย ตระกูลมู่นั้นซื่อตรงจนเกินไป ในที่สุดก็เดินไปจนถึงทางตัน” ราชครูเอ่ย

“ตึงเกินไปจนล้มรึ?” มู่ชิงเกอพึมพำ

ประโยคที่นางพูดโดยไม่ตั้งใจนี้ตกเข้าไปในหูของราชครู ซึ่งก็ทำให้นัยน์ตาอันปราดเปรื่องของราชครูฉายแวว วาววาบ เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “นายน้อยพูดได้ถูกต้อง ตึงเกินไปจนล้ม ตระกูลมู่แข็งแกร่งเกินไป ทำให้คนนับไม่ถ้วน หวาดกลัว และข้อเสียก็เด่นชัด นั่นก็คือในสายตาของคนตระกูลมู่ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ทั้งความแข็งแกร่งของตระกูลมู่ก็ทำให้พวกเขามั่นใจว่าสามารถควบคุมจิตใจคนได้ คิดว่าคนที่ทำผิดจะยอมรับผิด คิดว่าความใจกว้างก็จะสามารถทำให้คนเปลี่ยนใจได้ คิดว่าไม่มีใครกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของตระกูลมู่!”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย้ยหยัน มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ก็คือหยิ่งผยอง นางค่อยๆ เอ่ยว่า “ในสายตาของพวกเจ้า การล่มสลายของตระกูลมู่อาจจะเกิดจากถูกหักหลังหรือถูกใส่ร้าย แต่เท่าที่ข้าดู เป็นเพียงการนำหายนะมาสู่ตัวเท่านั้น”

ราชครูชะงัก ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำให้สะอึก

“นำหายนะมาสู่ตัว! นำหายนะมาสู่ตัว…” ราชครูพึมพำประโยคนี้ซํ้าไปซ้ำมา ใบหน้าฉายแววโล่งใจ เขายืนขึ้นในทันใด คำนับมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูซื่อสัตย์ว่า “นายน้อย หลายปีมานี้มีเพียงท่านคนเดียวที่มองความจริงทะลุปรุโปร่ง”

มู่ชิงเกอกลับไม่ยอมรับคำพูดของเขา เอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่มองออกหรอก ที่จริงแล้วในใจของพวก ท่านทุกคนก็ชัดเจนรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อก็เท่านั้น”

ราชครูอยู่บนเก้าอี้ คำพูดที่แหลมคมของมู่ชิงเกอดุจดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงบนตัวเขา ทำให้เขาได้สติ

ใช่แล้ว! ไม่ยอมเชื่อ

ไม่ยอมเชื่อว่าที่ตระกูลมู่ถดถอย เป็นเพราะพวกเขาแส่หาเรื่องตายทีละนิด…ทีละนิด ถ้าหากว่าพวกเขาไม่หยิ่งผยองถึงขนาดนั้น ไม่ดื้อดึงขนาดนั้น ป้องกันก่อนไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้น วันนี้เวลานี้ ยังจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่?

บางทีตระกูลมู่อาจคงยังเพลิดเพลินอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองพร้อมทั้งอำนาจแห่งจ้าวผู้ปกครองต่อไป!

ทันใดนั้นราชครูก็ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เสียแรงที่ข้าเป็นผู้เฝ้ามองของสวรรค์สามารถมองทะลุลิขิตฟ้าและทำนายอนาคตได้ แต่ว่ากลับเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว ปิดบังดวงตาทั้งสองข้างให้มืดบอด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ล้มเหลว นายน้อย ขอบคุณท่านมาก!”

“ผู้เฝ้ามอง…” มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจถึงความซาบซึ้งใจในนํ้าเสียงของเขา แต่เป็นเพราะคำศัพท์ที่แปลกใหม่คำหนึ่งดึงดูดเอาไว้

ราชครูพยักหน้า เล่าเรื่องราวต่อ “แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเป็นสถานที่ที่นายน้อยจำเป็นต้องไป นั่นเป็นแผ่นดินที่กว้างใหญ่มาก ครอบครองด้วยขุมกำลังที่แข็งแกร่ง สำหรับคนที่อื่นนั้น คนข้างในก็คือเทพ คือมาร ด้านแสงสว่างคือเทพ ส่วนด้านที่มืดดำนั้นเป็นมาร นอกจากเทพ มาร สองเผ่าแล้วยังมีเผ่าที่พิเศษอีกเผ่า สามารถทำนายอนาคต มองเห็นชะตากรรมและลิขิตฟ้า คำนวณโชค และเคราะห์ถูกเผ่าเทพและเผ่ามารเรียกว่าผู้เฝ้ามอง เพียงแต่ว่า จำนวนคนของเผ่านี้น้อยมาก ตอนนี้นอกจากข้าและศิษย์พี่ของข้าแล้ว เกรงว่ามีแค่ไม่ถึงห้าคน”

“เผ่าเทพ เผ่ามาร…” มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง นางค่อยๆ รู้สึกว่า นางอยู่ใกล้เผ่าในตำนานเหล่านั้นเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว

ตระกูลมู่มีข่าวสารของเคล็ดวิชาเทวะ ส่วนเคล็ดวิชาเทวะก็เป็นวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าเทพ ดังนั้นพูดได้ ว่า…ตระกูลมู่เป็นเผ่าเทพงั้นหรือ?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววล้ำลึก

นัยน์ตาฉายแววขบขัน!

จะต้องเลวร้ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ? นางเป็นชนรุ่นหลังของเผ่าเทพ แล้วซือมั่วเป็นเผ่ามารอย่างนั้นหรือ? ย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดของหานฉายไฉ่ ดูเหมือนไม่ว่านางจะเป็นคนตระกูลมู่หรือไม่ ถ้าหากว่าไปถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร นางก็ต้องกลับไปอยู่ในขุมกำลังของเผ่าเทพงั้นหรือ?

หลังจากทะลวงระดับเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว การเข้าร่วมเผ่าไหนนั้นแบ่งแยกอย่างไรกันแน่?

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ความสงสัยนี้พุ่งขึ้นมาจากใจ แต่ว่านางไม่ได้ถามราชครู เพราะว่านางคิดว่าปัญหานี้เอาไปถามซือมั่วจะดีกว่า! เก็บความคิดตัวเองแล้วนางก็ฟังราชครูพูดต่อ

“เริ่มแรกตระกูลมู่ครอบครองผู้เฝ้ามองทั้งหมดสามคน เป็นเกือบครึ่งของจำนวนผู้เฝ้ามองทั้งหมดในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แค่คิดก็รู้แล้วว่าตระกูลมู่ในตอนนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่น่าเสียดายที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ก็มีวันล่มสลาย ในตอนที่ตระกูลมู่แผ่ขยายยิ่งใหญ่ ผลประโยชน์ของเทพอื่นๆ ถูกคุกคาม ในที่สุดพวกเขาก็ร่วมมือกันเปิดสงครามใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนกับตระกูลมู่ ฆ่าศิษย์ของตระกูลมู่ทั้งหมด!” ราชครูพูดถึงเรื่องราวเก่าก่อนแล้วนัยน์ตาก็ขึ้นสีแดงกํ่า

“ฆ่าล้าง แต่ว่าในที่สุดก็ยังมีคนหนีออกมาได้” มู่ชิงเกอเอ่ย

ราชครูถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าตระกูลมู่จะแข็งแกร่งแต่ก็ต้านทานมดเล็กๆ นับล้านกลุ้มรุมไม่ได้ ผู้เฝ้ามองคนหนึ่งของตระกูลมู่เสียสละชีวิตของตนเองทำนายออกมาว่าเคราะห์ครั้งนี้ของตระกูลมู่ยากจะหลุดพ้น แต่ยังมีโอกาสผงาดใหม่หลังจากผ่านไปหมื่นปี จากนั้นก็ตกตายไป เพราะคำทำนายของเขาทำให้ประมุขตระกูลมู่ในขณะนั้นตัดสินใจ ใช้พลังเวทย์มหาศาล ฉีกข้อจำกัดของช่องว่างให้คนในเผ่าส่วนหนึ่งหนีไป ออกไปจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ภายในนั้นมีสายเลือดหลักของตระกูลมู่อยู่สายหนึ่งซึ่งก็ได้หนีไปที่หลินชวน ส่วนข้าและเผ่า อี๋บนเกาะตูเล่อก็เป็นคนรับผิดชอบในการอารักขาสายเลือดกลุ่มนั้นในตอนที่เดินทางผ่านทะเลแห่งทุกข์ก็ได้ถูกประมุขตระกูลให้รั้งอยู่ที่นั้น”

“ตระกูลมู่ในหลินชวนก็คือสายหลักของตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ?!” มู่ชิงเกอถูกข่าวนี้ทำให้ตกตะลึง

“ไม่ผิด!” ราชครูเอ่ยอย่างมั่นใจ “ภายในตระกูลมู่ ครอบครองเคล็ดวิชาเทวะวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าเทพ และก็เป็นเหตุผลที่เทพอื่นๆ โลภอยากได้ ในก่อนที่จะเริ่มการฆ่าล้าง ประมุขตระกูลได้แยกเคล็ดวิชาเทวะออกเป็นสามส่วน ส่วนกลางซ่อนไว้ ส่วนล่างใช้ล่อลวง ส่วนบนเก็บไว้กับตนเองเพื่อเป็นของสืบทอดแก่ทายาทสายหลักตระกูลมู่”

“หมายความว่าอย่างไร พูดให้ชัดเจน!” เคล็ดวิชาเทวะคือสิ่งสำคัญที่มู่ชิงเกอต้องการจะรู้

ราชครูเอ่ยเสียงเข้มออกมาว่า “เคล็ดวิชาเทวะส่วนบนมีส่วนหนึ่งที่ได้หายสาบสูญไปนานแล้ว ส่วนเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนและส่วนกลางสามารถแยกฝึกฝนได้ แต่ส่วนล่างจำเป็นต้องเรียนส่วนบนและส่วนกลางก่อนถึงจะฝึกฝนได้ ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ประมุขตระกูลถึงได้ตัดสินใจใช้ส่วนล่างล่อเหล่าเทพที่โลภมาก ให้เวลาแก่สายเลือดตระกูลมู่หลบหนี ส่วนส่วนกลางนั้นถูกเขาซ่อนไว้ในที่ลับ ทิ้งไว้เพียงแผนที่แผ่นหนึ่ง ในก่อนที่จะไปหลินชวนได้แยกออกเป็นสองมอบให้พวกข้า พวกข้าก็เลยแยกออกเป็นสองกลุ่ม แบ่งเป็นรอที่ทะเลแห่งทุกข์และทะเลทราย ท่องวิญญาณ เพราะว่าทางที่จะออกจากหลินชวนมีแค่สองเท่านั้น”

มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว!

ในขณะเดียวกันนางก็ดีใจ! ภายในความบังเอิญนางได้เติมเต็มเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนแล้ว!

นี่เป็นชะตาฟ้าลิขิต หรือว่าเป็นเรื่องที่บรรพชนตระกูลมู่คำนวณไว้ดีแล้วกันแน่?

“และก็หมายความว่า เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างยังอยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ราชครูพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

มู่ชิงเกอถอนหายใจเข้าลึกๆ เหตุผลที่นางอยากจะไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารดูเหมือนว่าจะมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง

“เล่าต่อ” หลังจากมู่ชิงเกอสงบจิตใจแล้วก็เอ่ยขึ้น

ราชครูเอ่ยต่ออีกว่า “ประมุขตระกูลมู่ได้กำหนดกฎที่โหดเหี้ยมให้แก่นายน้อยผู้ถูกเลือก เพื่อคัดเลือกผู้นำตระกูลมู่ที่แท้จริงให้กลับมาสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร จุดนี้ หลังจากที่นายน้อยได้พบตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลาง แล้วก็น่าจะรู้ในตอนแรกที่ประมุขตระกูลทำเช่นนี้ก็ เพราะถูกบีบจนหมดทางเลือก เพราะว่าอาศัยเพียงแค่คำกล่าวของผู้เฝ้ามองแค่คนเดียว เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่า หลังจากหมื่นปีผ่านไป โอกาสเพียงหนึ่งเดียวสายนั้น ของตระกูลมู่จะเป็นใครกันแน่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ ให้สายหลักของตระกูลมู่ไม่ได้มีอำนาจในการสืบทอดอีกต่อไป ผู้นำตระกูลมู่จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถ แต่ไม่อาจไม่พูดได้ว่าสายเลือดหลักนั้นมีข้อได้เปรียบอย่างแน่นอน”

“ข้อได้เปรียบที่ท่านพูดถึงก็คือเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนที่ขาดส่วนหนึ่งนั้นใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอหัวเราะ

จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจว่าจะฝึกฝนอย่างไร นั้นมีประโยชน์อะไรกับนาง?

“นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล ปล่อยตามธรรมชาติ เมื่อสายนํ้ารวมตัวแล้วก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง” ราชครูเอ่ย

มู่ชิงเกอยังไม่คิดที่จะคุยกับเขาเรื่องนี้ยิ่งไม่อยากจะให้ เขารู้ว่าตนเองได้เติมเต็มเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนแล้ว จึงเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้แสดงว่าสายเลือดที่เหลือรอด ผู้ที่แย่งชิงไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคน”

ราชครูพยักหน้า “พวกเรากลุ่มนี้คือกลุ่มที่หนีออกมาก่อน ดังนั้นมีคนอีกกี่คนหลบหนีออกมาได้นั้น พวกเราก็ไม่รู้ แต่ว่า…”

อยู่ดีๆ เขาก็หยุดชะงัก รู้สึกลังเลเล็กน้อย

“แต่ว่าอะไร?” มู่ชิงเกอซักถาม

ราชครูลังเลครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้ามองมู่ชิงเกอ “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้มาพบนายน้อยโดยเร็วก็เพื่อจะเตือนนายน้อยเรื่องหนึ่ง!”

ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมของเขาทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอลํ้าลึกขึ้น

ราชครูเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ทำนายชะตาของนายน้อย ทำนายได้ว่านายน้อยกำลังจะมีเคราะห์ใหญ่ในใกล้ๆ นี้ เป็นเคราะห์เกี่ยวพันถึงชีวิต! อีกอย่างข้าได้ดู ดาว มีดาวแห่งเคราะห์ร้ายดวงหนึ่งกำลังบีบเข้ามาใกล้นายน้อยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ช่วงนี้นายน้อยต้องระมัดระวัง! ”

“ดาวแห่งเคราะห์ร้ายงั้นหรือ? เกี่ยวพันถึงชีวิต?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางถามว่า “เจ้ารู้ว่าดาวดวงไหนหมายถึงข้างั้นหรือ?”

ราชครูกลับส่ายหน้า เอ่ยอย่างละอายว่า “ดาวชีวิตของนายน้อยข้ามองไม่เห็น เพราะว่าข้าเป็นผู้เฝ้ามองของตระกูลมู่! ผู้เฝ้ามองของตระกูลมู่จะมองไม่เห็นดาวชีวิตของประมุขแห่งตระกูลมู่!”

ในตอนที่พูดประโยคนี้จบ นํ้าเสียงของเขาก็ฉายแววตื่นเต้น นํ้าเสียงนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่า เขาได้แน่ใจสถานะของมู่ชิงเกอแล้ว!

ความหมายที่ซ่อนอยู่นี้แน่นอนว่ามู่ชิงเกอเข้าใจ แต่นางก็ไม่รับคำ

หลังจากราชครูสงบสติแล้วก็เอ่ยต่อว่า “แต่ว่าข้าสามารถมองเห็นดาวเคราะห์สีดำที่เป็นตัวแทนของโชคชะตาของตระกูลมู่ ส่วนดาวแห่งเคราะห์ร้ายนั้นก็กำลัง

กดข่มดาวเคราะห์สีดำอยู่”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยเสียงเข้มว่า “พูดได้ว่าที่ดาวแห่งเคราะห์ร้ายกำลังสะกดข่มก็คือคนที่เป็นตัวแทนของโชคชะตาของตระกูลมู่ ท่านแน่ใจขนาดนั้นเลยหรือว่าข้าก็คือคนๆ นั้น?”

“นายน้อย!” ราชครูลุกขึ้นยืนในทันที เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยก็คือคนๆ นั้นเป็นความหวังที่ตระกูลมู่รอมานับหมื่นปี! จุดๆ นี้ข้าแน่ใจมาก! ข้าใช้ตำแหน่งผู้เฝ้ามองเป็นประกัน!”

มู่ชิงเกอโบกมือ ไม่ได้สนใจ “ที่ข้าเรียกท่านมา นอกจากคิดจะถามเรื่องราวที่พวกท่านปิดบังข้าให้ชัดเจนแล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ข้าคิดจะพูดให้ชัดเจน”

“นายน้อยเชิญพูด” ราชครูสงบใจนั่งลงอีกครั้ง

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่สนใจในเคล็ดวิชาเทวะเท่านั้น สำหรับผู้สืบทอดอะไรนั้นของตระกูลมู่ ข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดไปถึงการรับผิดชอบหน้าที่ฟื้นฟูตระกูลมู่ ตัวข้าเองก็มีเรื่องราวต้องทำมากมายอยู่แล้ว ไม่มีความสามารถจะไปจัดการเรื่องที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นได้ ดังนั้นท่านไปหาคนอื่นที่เหมาะสมเป็นนายน้อยเถอะ ถึงอย่างไรผู้ถูกเลือกก็ไม่ได้มีแต่ข้าเพียงคนเดียว!”

“นายน้อย ท่านคิดว่าท่านสามารถหลีกหนีชะตากรรมได้อย่างนั้นหรือ? ท่านคือคนที่ชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว การปรากฎตัวของท่านก็เพื่อมอบความหวังให้แก่ตระกูลมู่” ราชครูส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “อย่ามาพูดคำพูดล้างสมองเหล่านี้กับข้า ทำตัวเหมือนพวกลัทธิมารอย่างนั้นแหละ”

อะไรคือ ชะตาฟ้าลิขิต? อะไรคือคนที่ถูกเลือก?

นางเป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งจากโลกอื่นที่บังเอิญเข้ามาในร่างของมู่ชิงเกอแล้วก็ฟื้นขึ้นอีกครั้งในโลกนี้ก็เท่านั้น ถ้าหากว่านางไม่มา มู่ชิงเกอก็คงกลายเป็นฝุ่นไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีคนที่ถูกเลือกอะไรนั้นอีก?

“เอาละ ข้าไม่พูดเรื่องนั้น แต่ว่านายน้อยเคยคิดหรือไม่ว่า เคล็ดวิชาเทวะเป็นสิ่งที่ผู้สืบทอดทุกคนของตระกูลมู่ต้องการ ท่านต้องการเคล็ดวิชาเทวะ แม้ว่าจะไม่ยอมรับตำแหน่งแล้วคนอื่นจะยอมปล่อยท่านไปหรือไม่? ถึงแม้ว่าท่านจะใจกว้างยอมแบ่งปันเคล็ดวิชาเทวะกับคนอื่น แล้วคนอื่นจะยอมปล่อยให้มีหอกข้างแคร่อยู่หรือไม่? ยอมปล่อยให้ในโลกนี้ยังมีอีกคนหนึ่งที่ฝึกเคล็ดวิชาเทวะงั้นหรือ?” ราชครูเอ่ยด้วยเจตนาดี

เหตุผลนี้มู่ชิงเกอเข้าใจดี คำพูดของราชครูทำให้นางนิ่งเงียบลง

คิดจะออกจากการแก่งแย่งชิงดีก็ต้องละทิ้งเคล็ดวิชาเทวะ แต่ว่านางไม่อยากจะทิ้งเคล็ดวิชาเทวะ นี่ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

อย่าพูดแต่ว่านางเลย เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ล้วนแต่จะไม่ยอมละทิ้งของที่ตนเองได้มาอย่างยากลำบากหรอก

“ดังนั้น นายน้อย มีหลายเรื่องที่ไม่ใช่ว่าท่านคิดจะถอยก็ถอยได้ ในนาทีที่ท่านได้รับเคล็ดวิชาเทวะนั้น ก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว สลัดไม่หลุด” ราชครูเอ่ยปลอบ

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ ใจลอยออกไป

เดิมพันนี้ นางสามารถเล่นต่อไปได้ แสดงบทบาทของผู้สืบทอดตระกูลมู่ ได้รับเคล็ดวิชาเทวะ จากนั้นละ? ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ต่อกรกับคนอื่น คนอื่นก็ทำเพื่อเคล็ดวิชาเทวะ เพื่อให้มีผู้แย่งชิงลดลงอีกหนึ่งก็จะมาต่อกรกับนางอยู่ดี เพื่อปกป้องตัวเองนางก็จะต้องโจมตีตอบโต้ ไม่นางตาย! ก็อีกฝ่ายตาย!

อีกอย่าง จากคำพูดของราชครูก็สามารถตัดสินได้แล้วว่า มู่ลั่วฟงนั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกเหมือนกันกับนาง ผู้สืบทอดของตระกูลมู่นั้นมีกี่คนกันแน่ ใครก็พูดได้ไม่ชัด

หากว่านางสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงท้ายสุดกลายเป็น คนชนะคนสุดท้าย เช่นนั้นก็จำเป็นต้องรับผิดชอบภาระ นางจะรับหรือว่าไม่รับ?

หรือจะเป็นเหมือนกับตอนนี้ที่ถึงแม้ว่านางจะแสดงท่าทีออกมา ว่าตนเองไม่ได้คิดจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้แก่ตระกูลมู่อะไรนั้น เผ่าเทพอื่นๆ เหล่าเทพที่เคยมีความแค้นกับตระกูลมู่จะเชื่องั้นหรือ? ก็ต้องไล่ฆ่านางเหมือนเดิม ส่วนนางจะต่อต้านก็ต้องมีกำลังที่เพียงพอ เหล่านักรบของตระกูลมู่คือทางเลือกที่ดีที่สุด

ผลสรุปสุดท้ายอย่างไรก็มีแค่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือนางนำคนของตระกูลมู่ที่เหลือไปตายด้วยกัน ตัดความหวังของตระกูลมู่ให้สิ้นซาก ไม่ก็นางนำเหล่านักรบตระกูลมู่สู่ความสำเร็จเอาชนะเผ่าเทพเหล่านั้น บทสรุปอันหลังจะมีอะไรแตกต่างกับการรับผิดชอบภาระฟื้นฟูตระกูลมู่เล่า?

‘นี่เป็นหลุมกับดัก! เป็นหลุมกับดักหมื่นปี!’ มู่ชิงเกอด่าว่าในใจ เพราะว่าเคล็ดวิชาเทวะทำให้นางตกเข้าไปในหลุมกับดักขนาดใหญ่ที่วางแผนไว้นานนับหมื่นปี ปีนขึ้นมาไม่ได้!

ที่ทำให้นางโมโหก็คือนางถูกคนเมื่อหมื่นปีก่อนวางแผนเล่นงานแล้ว!

แคร๊ก!

มู่ชิงเกอกำมือแน่น จนกระดูกนูนขึ้นมา

ราชครูมองนาง เห็นรอบกายของนางเต็มไปด้วยไอเย็น ทั้งร่างดูเคร่งเครียดมาก

“นายน้อย…” ราชครูเอ่ยเรียกเสียงเบา

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง

ผ่านไปนาน นางถึงได้ลืมตาขึ้น ถอนหายใจออกมา เอ่ยกับราชครูว่า “ดูแล้ว พวกท่านกำหนดว่าเป็นข้าแล้ว ส่วนข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเลือกได้อีก”

ประโยคนี้พูดอย่างฝืนใจมาก

ในตอนนี้เวลานี้ นางอยากจะระบายโทสะ! จะจัดการอย่างไรดี?

นางคิดอยากจะขุดเอาประมุขหมื่นปีของตระกูลมู่ผู้นั้นขึ้นมา เหยียบยํ่าให้สาแก่ใจสักรอบ เพื่อระบายแค้นที่ตนถูกวางแผนเล่นแง่

“นายน้อย ฟื้นฟูตระกูลมู่เป็นชะตาของท่าน” ราชครูอยู่เอ่ยกับนางอย่างเคารพ

ถุย!

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างรำคาญว่า “อย่ามาพูดกับข้าถึงคำว่า ชะตาชีวิตฟ้าลิขิตอะไรนั้น! คิดอยากจะพูดกับข้าถึงเรื่องนั้นก็รอให้ข้าได้เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางและก็ส่วนล่างมาก่อนค่อยพูด”

ราชครูเงียบลง รู้กาลเทศะไม่ไปแย่งมู่ชิงเกอพูด

รอครู่หนึ่งจิตใจของมู่ชิงเกอก็สงบลงเอ่ยถามราชครูว่า “ในเมื่อท่านมีชีวิตอยู่มาตั้งนานแล้ว ทั้งยังเป็นผู้เฝ้ามอง เคยได้ยินถึงคำว่าซุยหานอี้ชุ่นหรือไม่?” นางเอ่ยถึงคำบนแผนที่ขึ้นมาอีกครั้ง

“ซุยหานอี้ชุ่น?” ราชครูขมวดคิ้วเอ่ย

เขาพยักหน้า นัยน์ตาที่ชาญฉลาดฉายแวววาววาบ “ข้าจำได้ว่าบนแผนที่ที่พวกเราเก็บรักษามีคำว่า ซุยหาน สลักอยู่”

“ไม่ผิด” มู่ชิงเกอยอมรับ

ราชครูนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ซุยหาน ไม่เข้าใจแต่หากว่ารวมกับอี้ชุ่นแล้ว ข้าก็มีการคาดเดาหนึ่ง”

“ว่ามาให้ฟังหน่อย” มู่ชิงเกอสนใจตื่นเต้นขึ้นในทันที

ราชครูมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “หมื่นปีก่อน บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารคุ้นเคยในการใช้ชุ่น มาแทนความหมายของช่องว่างที่ถูกพลังของเทพผ่าเปิดออก ส่วนคำ ว่า อี้ เป็นจำนวน ซุย ก็คือเวลา เช่นนั้น หาน ก็น่าจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกช่องว่างนั้น”

‘ที่แท้สี่คำนี้ก็ต้องแยกกันอธิบาย!’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ

นางไม่ได้ออกเสียง ฟังการวิเคราะห์ของราชครูต่อ

“ซุยอี้** ช้าคิดว่าหมายถึงช่องว่างที่ถูกเปิดออก มีอายุหนึ่งพันปี เป็นช่องว่างกำเนิดใหม่ ถูกตั้งชื่อว่าหาน** คิดว่าในช่องว่างก็คงจะเย็นยะเยือกมาก” ราชครูเพิ่มเติม

“เหตุใด ซุยอี้ ไม่ได้หมายถึงหนึ่งปีแต่เป็นพันปีละ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

ราชครูส่ายหน้าเอ่ยว่า “หนึ่งปีนั้นเป็นไปไม่ได้ ปีในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนิยมนับเป็นพันปี ตอนนี้หมื่นปีผ่านไป ช่องว่างนั้นก็มีอายุสิบกว่าปีแล้ว”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วข้าจะหาช่องว่างได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

ราชครูคิดครู่หนึ่งแล้วก็ยืนขึ้นเอ่ยว่า “นายน้อย บนแผนที่มีอักษรอื่นๆ หรือสัญลักษณ์อื่นๆ หรือไม่?”

มู่ชิงเกอครุ่นคิด แผนที่ปรากฎขึ้นในหัวของนางอีกครั้ง นอกจากคำสี่คำนั้น บนภาพภูเขาและแม่นํ้าบนแผนที่ ก็มีอักษรเล็กๆ แถวหนึ่งค่อยๆ โดดเด่นขึ้นมา…

“กานปาคุนซื่อเจิ้นหลีสือปา…” มู่ชิงเกอพึมพำเอ่ย

ราชครูได้ยินแล้วกลับดวงตาเปล่งประกาย!

เขาพูดคำที่มู่ชิงเกอพูดออกมาซํ้าอีก หลังจากที่มู่ชิงเกอพูดจบ ก็เอ่ยอย่างยินดีว่า “ในนี้มีความหมายซ่อนเอาไว้! อีกอย่าง นี่เป็นฝีมือของศิษย์พี่ข้า!”

พูดจบแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “แย่แล้ว! ในเมื่อศิษย์พี่ของข้ามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนที่นี้ เช่นนั้นเขาก็ต้องสามารถคาดเดาออกได้ว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางถูกซ่อนไว้ที่ไหน”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “พูดให้ชัดหน่อย”

ราชครูสูดหายใจเข้าลึกๆ มองมู่ชิงเกอด้วยนัยน์ตาที่ดูเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ของข้าก็เป็นผู้เฝ้ามองของตระกูลมู่เช่นเดียวกัน แต่เดิมผู้ที่สมควรจะติดตามสาย หลักออกมานั้นควรจะเป็นเขา แต่เขากลับยืนยันว่าคนที่เป็นความหวังสุดท้ายในหลังจากหมื่นปีนั้นจะไม่ปรากฎอยู่ในสายหลัก ยิ่งไม่ยอมไปถิ่นที่ทุรกันดารเช่นหลินชวน ถึงได้ถูกเปลี่ยนเป็นข้า ส่วนเขาตามไปกับสายรองสายหนึ่ง เวลาผ่านไปหมื่นปี ข้าไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ข้าก็เชื่อว่าเพียงแค่เขาหาคนที่เขารู้สึกว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมก็จะสนับสนุนเต็มที่ วิธีการซ่อนความหมาย เช่นนี้เป็นวิธีที่เขาทำขึ้นเอง ข้ามองออกได้ในพริบตา แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าประมุขตระกูลซ่อนเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางไว้ที่นั่น แต่ก็คงจะไปหาก่อนที่จะได้รับเบาะแส ศิษย์พี่ของข้าร้ายกาจมาก การปรากฎตัวของนายน้อย ทำให้ดวงดาวแห่งโชคชะตาของตระกูลมู่สั่นไหว เกรงว่าเขาคงจะรู้สึกได้แล้ว ยิ่งอาจจะเดาได้ว่าแผนที่อยู่กับนายน้อย หรือไม่ดาวแห่งเคราะห์ร้ายของนายน้อยก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเขา!”

มู่ชิงเกอได้ยินแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ นางเอ่ยกับราชครูว่า “เรื่องเหล่านี้อย่าเพิ่งไปสนใจ ในเมื่อเป็นวิธีที่ศิษย์พี่ของท่านทำขึ้นมา ท่านก็น่าจะสามารถแก้ไขได้ ภารกิจของท่านในตอนนี้ก็คือรีบแก้ปริศนานี้ให้ข้าได้เข้าไปหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางในช่องว่างก่อนคนอื่น”

“ขอรับ!” ราชครูรับคำสั่งในทันที

“ช่วงเวลานี้ท่านก็ติดตามข้าไปเถอะ ไม่ต้องทำเรื่องอื่น ตั้งใจทำความเข้าสัญลักษณ์ก็พอแล้ว” มู่ชิงเกอแน่นอนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เขากลับไปในเวลานี้

ดีที่ ราชครูก็ไม่รีบกลับ ดูเหมือนจะกังวลเรื่องเคราะห์ร้ายของมู่ชิงเกอ และก็ยิ่งกังวลเรื่องดาวแห่งเคราะห์ร้ายที่อาจส่งผลร้ายต่อมู่ชิงเกอด้วย ดังนั้นหลังจากมู่ชิงเกอเสนอให้เขาอยู่ต่อ เขาก็ไม่แม้แต่จะคิด ตอบตกลงในทันที

ในเมืองเจาหาน เจียงหลีกับเหมยจื่อจ้งประกาศข่าวในกลุ่มของหลิวเค่อเสร็จแล้ว ก็ส่งข่าวเรื่องที่หามู่ชิงเกอพบให้พวกจ้าวหนานซิงสามคนที่อยู่ไกลถึงภาคตะวันออก

เพิ่งจะจัดการเรื่องราวเสร็จพวกเขาก็มองเห็นเซวี่ยนหย่าปรากฎตัวอยู่ในกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ

ดูเหมือนนางจะมองไม่เห็นทั้งสองคน เดินไปทางสถานที่รับส่งข่าวสาร

นัยน์ตาของเจียงหลีขยับไหว เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “พวกเราตามไปดูกัน”

เหมยจื่อจ้งมองนางแวบหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ ไม่ปฏิเสธ

สองคนเดินไปถึงด้านหลังของเซวี่ยนหย่า เห็นนางกำลังมองเหล่าข่าวสารที่ประกาศอยู่อย่างละเอียด ข่าวสารเหล่านี้ ส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นเหมือนกันกับข่าวสารที่พวกเขาส่งให้กับจ้าวหนานชิงไม่มีอะไรแปลกแยก

อีกอย่าง คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องก็ดูไม่เข้าใจ

ดูอยู่ครู่หนึ่ง เจียงหลีก็แตะไหล่เซวี่ยนหย่าอย่างสงสัย ให้นางหันกลับมา

มองเห็นเจียงหลีกับเหมยจื่อจ้ง นัยน์ตาของเซวี่ยนหย่าฉายแววตกใจ แต่ก็ยังคงย่อกายคำนับ “แม่นางเจียง คุณชายเหมย”

“เจ้ากำลังดูอะไรอยู่?” เจียงหลีถามตรงๆ

เซวี่ยนหย่าหันกลับมา มองไปยังข่าวสารเหล่านั้นอีกครั้ง จ้องไปที่อันหนึ่งในนั้น แล้วอธิบายแก่คนทั้งสองว่า “ก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่ง มีคนชั่วช้าคนหนึ่งแอบอ้างชื่อของนายน้อยไปทำมิดีมิร้ายต่อผู้หญิง จากนั้นก็หนีหายตัวไป ส่วนในตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ส่งข่าวให้กับพวกเราว่าเขาปรากฎตัวขึ้นแล้ว อยู่ในภาคตะวันตกนี่เอง”

“อะไรนะ! ถึงกลับมีคนกล้าแอบอ้างชื่อของมู่ชิงเกอ? เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?” การให้ความสำคัญของเจียงหลีมักจะไกลไปจากคนอื่น

เหมยจื่อจ้งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แอบอ้างชื่อของมู่ชิงเกอไปทำมิดีมิร้ายต่อผู้หญิงงั้นหรือ?”

เขาสบถออกมาคำหนึ่ง แสดงท่าทีโมโห

เซวี่ยนหย่าหันกลับมา ยิ้มให้กับทั้งสองคน “ในเมื่อมีข่าวของเขาแล้ว ข้าต้องไปรายงานนายน้อยทันที”

“พวกเราจะกลับไปด้วยกันกับเจ้า” เจียงหลีเอ่ย

*ซุยซี – หนึ่งขวบปี **หาน – หนาว/เย็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version