ตอนที่ 365
ชิงเกอ เจ้าชอบใคร
จีเทียนเทียนใช้ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยนํ้าใสๆ มองไปยังอิ๋งเจ๋อ
ดูเหมือนว่าหากถูกสายตาเช่นนั้นจับจ้องมองแล้วปฏิเสธไป ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกผิดชนิดหนึ่งขึ้นมา เหมือนว่าได้ทำผิดร้ายแรงขึ้นก็ไม่ปาน บวกกับข้างกายยังมีอยู่สองคนที่คอยดูความคึกคักโดยไม่สนใจว่าเรื่องจะใหญ่โตอยู่ด้วย คอยพัดกระพือลมใส่ไฟ ในที่สุดเขาจึงพยักหน้าไป
ได้รับคำรับรองจากอิ๋งเจ๋อแล้ว จีเทียนเทียนก็หยุดลงอย่างชาญฉลาด นางรับถาดมาจากสาวใช้ด้านหลังแล้วก็วางลงบนโต๊ะหินตรงหน้าของคนทั้งสาม
เวลานี้เอง ทั้งสามคนถึงได้สังเกตเห็นว่าบนถาดนั้นมีของว่างอยู่สามจาน
เมื่อจีเหยาฮั่วมองเห็น นัยน์ตาก็เปล่งประกายแวววาวออกมา ยื่นมือออกไปคิดจะคว้า ปากก็เอ่ยแนะนำกับทั้งสองคนว่า “นี่เป็นของว่างที่เทียนเทียนทำเองกับมือ แม้แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยได้กิน พวกเจ้าสองคนมีโชคแล้ว! ”
ใครจะรู้ว่า เขาเพิ่งยื่นมือออกไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกจีเทียนเทียนตีลงไป จนต้องเก็บมือกลับ
เขามองจีเทียนเทียนด้วยสีหน้าอดสู ฝ่ายหลังกลับเอ่ยว่า “นี่เตรียมไว้ให้ประมุขน้อยอิ๋งกับเจ้าเมืองมู่”
“หรือว่าข้าไม่อาจกินได้งั้นหรือ? ข้าเป็นพี่ชายของเจ้านะ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า!” จีเหยาฮั่วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ทุกข์ใจ
มุมปากของมู่ชิงเกอประดับรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปหยิบขนมอบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เอ่ยกับจีเทียนเทียนว่า “ขอบคุณมาก”
จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “ขอบคุณมาก”
อิ๋งเจ๋อทำหน้ามึนงง เอ่ยถามว่า “เจ้ามาขอบคุณข้าทำไมกัน?”
จีเหยาฮั่วยิ้มอย่างยินดี “เพราะว่าอาศัยโชคของเจ้า ชิงเกอถึงได้มีบุญปากเช่นนี้!”
ถูกเขาล้อเช่นนี้ บนใบหน้าที่เย็นดุจนํ้าแข็งของอิ๋งเจ๋อก็ปรากฎร่องรอยของความลำบากใจขึ้นมาสายหนึ่ง
ส่วนจีเทียนเทียนแก้มก็ขึ้นสีแดงกํ่า หลังจากวางจานของว่างดีแล้ว ก็วางชาลงตาม จากนั้นถึงได้ถอยออกไปกับสาวใช้
ของว่างที่จีเพียนเทียนทำ หลังจากเข้าปากก็ละลาย มีกลิ่นหอมสดชื่น ทั้งยังไม่ได้รู้สึกหวานจนเลี่ยน แม้แต่มู่ชิงเกอที่ไม่ชอบของหวานก็ยังรู้สึกว่าไม่เลว ความคิดซุกซนในส่วนสึกของจิตใจนางถูกจีเหยาฮั่วกวนขึ้นมา จึงหันไปเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “คุณหนูจีเป็นผู้หญิงที่ดี แต่งกลับบ้านไปก็ไม่เสียหาย”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ยังคงเป็นชิงเกอที่ตาถึง” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างยินดี ไม่ลืมที่จะยื่นมือออกไปหยิบของว่างชิ้นหนึ่งเข้าปาก
ในตอนนี้ในมือของอิ๋งเจ๋อก็ถือของว่างครึ่งชิ้น ส่วนอีกครึ่งอยู่ในปากของเขา ความรู้สึกหอมหวานที่หลงเหลืออยู่ในปาก เขากลับไม่ได้รู้สึกต่อต้าน แต่เดิม ของว่างเช่นนี้นั้นเขาไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าชิ้นนี้เป็นจีเทียนเทียนยื่นมาให้เขากับมือ สายตายังมองมาอย่างคาดหวังให้เขาชิม
และก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาทำตามที่นางต้องการ ตอนนี้ต้องมาฟังทั้งสองคนล้อเลียนไม่หยุด ทำให้เขาอดโต้กลับไม่ได้ “ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าดี ไม่สู้เจ้าแต่งกลับไปเองไหมเล่า?”
มู่ชิงเกอถอนหายใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ระหว่างข้ากับคุณหนูจีนั้นไม่มีวาสนาต่อกัน ที่นางต้องตาต้องใจนั้นไม่ใช่ข้า ส่วนข้าก็ไม่กล้าทำเรื่องฝืนใจคน อื่นเช่นนั้นได้”
ฝีปากของอิ๋งเจ๋อนั้นไม่สู้เขา เมื่อถูกเขาพูดให้เช่นนี้ก็ทำได้เพียงแต่สบถไปหนึ่งคำ
ในเวลานี้จีเหยาฮั่วถึงได้มองมาที่มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ชิงเกอ เจ้ามีคนที่ชอบหรือไม่?”
มู่ชิงเกอชะงักไป
ส่วนอิ๋งเจ๋อที่ได้ยินประโยคนี้ก็หันมามองที่เขา
เขากับจีเหยาฮั่วจ้องมองมู่ชิงเกออย่างสงสัย รอคำตอบจากเขา
ภายใต้การจับจ้องมองของทั้งสองคน มู่ชิงเกอพยักหน้า
ใครจะรู้ว่าการพยักหน้าของนางนี้กลับทำให้ทั้งสองคนทำท่าทางเหมือนกับเห็นของอะไรที่น่าหวาดกลัว นัยน์ตาหดตัวลงมา
มองเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคนแล้วมุมปากของมู่ชิงเกอก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
ในใจบ่นว่า ‘ท่าทีอะไรกัน! ถามข้า ข้าก็ตอบตามความจริงแล้ว กลับมาทำปฏิกิริยาเช่นนี้ใส่อีก? หรือข้าไม่สามารถชอบใครได้งั้นหรือ?’
“พวกเจ้าแสดงท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอสีหน้าดำคลํ้าลง เอ่ยถามออกไป
จีเหยาฮั่วรีบแกล้งไอออกมา พยายามซ่อนความตกตะลึงและกระดากใจ เขายิ้มและเอ่ยว่า “เดิมพวกเราคิดว่าเจ้าจะส่ายหน้า เพราะข้างกายเจ้านั้นมีสาวงามมาก มายแต่ก็ไม่ได้เห็นเจ้าชอบใครมากเป็นพิเศษ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับมีคนอยู่ในใจแล้วจริงๆ”
อิ๋งเจ๋อก็พยักหน้า แสดงความหมายว่าเห็นด้วยกับมุมมองของจีเหยาฮั่ว
มู่ชิงเกอก็ไอออกมาเบาๆ อย่างกระดากใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดถึงเรื่องความรักส่วนตัวต่อหน้าคนที่ไม่สนิท และไม่ใช่ลูกน้อง
“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเป็นสาวงามลํ้าเลิศขนาดไหนถึงสามารถเกี่ยวหัวใจเจ้าไปได้” จีเหยาฮั่วมองมาทางมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าสอดรู้สอดเห็น
“แค่ก งดงามจริงๆ รูปโฉมก็สมบูรณ์แบบไม่มีจุดด้อย” มู่ชิงเกอหลีกเลี่ยงสายตาของจีเหยาฮั่วเอ่ยตอบออกไป
ชั่วขณะนั้น คำตอบนี้ก็ดึงดูดความสงสัยในใจของจีเหยาฮั่ว เขาไล่ถามไปอีกว่า “เพียงแค่รูปโฉมงดงาม เกรงว่าเจ้าคงไม่วางเอาไว้ในใจหรอกใช่ไหม พูดมา เป็นอ่อนโยนเหมือนสายนํ้า มีความเข้าอกเข้าใจ ทั้งยังมีเหตุมีผล ถึงได้มัดใจเจ้าไว้ได้ใช่ไหม?”
พูดแล้วเขาก็ยื่นมือออกมาทำมือทำไม้ท่าทางกรุ้มกริ่ม ในใจของมู่ชิงเกอคิดไปถึงลักษณะของเขา…อ่อนโยน เหมือนสายนํ้า? มีความเข้าอกเข้าใจ? มีเหตุมีผล?…อือ ดูเหมือนว่าจะคล้ายกันกับซือมั่วเลย
ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
สายตาอดกวาดมองไปยังกระดิ่งสีทองตรงเอวไม่ได้
‘กระดิ่งนี้ไม่ได้สนมาสักพักแล้ว หรือว่าช่วงนี้เขายุ่งมาก?’ มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
นางไม่ใช่สาวน้อยวัยละอ่อนที่คาดหวังจะได้ยินคำหวานข้างหูทุกคืนทุกวันเสียหน่อย
อีกอย่างพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นคนที่ยุ่งมาก หลังจากจัดการเรื่องยุ่งวุ่นวายเสร็จค่อยติดต่อกัน
“ชิงเกอ ชิงเกอ?”
ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังใจลอย ก็ได้ยินเสียงจีเหยาฮั่วร้องเรียกขึ้นมาไม่หยุด
เมื่อนางได้สติกลับมาแล้วก็มองเขา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงใจลอยไป?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขี้เล่นขึ้นมา “เป็นเพราะพูดถึงคนในใจแล้วก็คิดถึงคนเขา ใช่ไหมละ? เจ้าดูสิ พวกเรานั้นเป็นพี่น้องกัน เจ้ามีคนในใจก็ซ่อนไว้ดีเกินไปแล้ว ไม่เปิดเผยเลยสักนิด คงไม่ใช่ว่ากลัวพวกเราเห็นแล้วจะแย่งเจ้าหรอกใช่ไหม?”
มูชิงเกอหัวเราะอย่างขบขันแล้วส่ายหน้าอธิบายว่า “ข้าเพียงแต่คิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ก็เท่านั้น”
อะไรกัน นางจะกังวลว่าพวกเขาจะมาแย่งซือมั่วกับนางงั้นหรือ?
แค่ก นางรู้ดีว่า ซือมั่วไม่มีรสนิยมนี้!
“สมควรจะพูดเรื่องสำคัญกันได้แล้ว” ในที่สุดอิ๋งเจ๋อก็เอ่ยปากออกมา ตัดบทจีเหยาฮั่วที่กำลังถามซักไซ้เรื่องคนในใจของมู่ชิงเกอ
เมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญ จีเหยาฮั่วก็เก็บท่าทางที่ดูขี้เล่นกลับไป
มู่ชิงเกอก็สงบสติ
สนามรบโบราณของเทพมารไม่ใช่สถานที่ที่สามารถไปอย่างสนุกสนานได้!
“ในเมื่อปัญหาในบ้านล้วนแต่แก้ไขแล้ว พวก เราก็กำหนดเวลาไปกันเถอะ” จีเหยาฮั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอคิดคำนวณในใจเล็กน้อย หลังจากนี้อีกครึ่งปี นางต้องไปยังสำนักวิถีโอสถภาคตะวันออกกับเหมยจื่อจ้ง และก็หมายถึงว่าเวลาในการเดินทางไปสนามรบโบราณของเทพมารในครั้งนี้นานที่สุดก็ไม่อาจเกินครึ่งปีได้
รวมกับเวลาเดินทางกลับไปกลับมาอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นเสี่ยวไฉ่ก็ยังต้องล่าช้าไปสักพักหนึ่ง
เวลาที่เหลือก็ยังเหลืออีกไม่กี่วันแล้วจริงๆ
“ที่ดีที่สุดก็คือออกเดินทางภายในสองวันนี้” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม
เวลาสองวันนี้ต่างฝ่ายต่างเตรียมความพร้อมของใครของมันก็ถือว่ามากพอสมควร
อิ๋งเจ๋อพยักหน้าแสดงว่าเห็นด้วย
จีเหยาฮั่วเอ่ยว่า “ดี! เช่นนั้นก็กำหนดเป็นอีกสองวันหลังจากนี้พอดีกับที่ตาเฒ่าพาเทียนเทียนไปภาคตะวันออกวันพรุ่งนี้ ลดปัญหายามพวกเราออกไปลงได้มาก”
“เจ้าคิดจะไปโดยไม่ให้คนในบ้านรู้งั้นหรือ?’’ มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เพียงแต่ข้าที่เป็นเช่นนี้หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองถามอิ๋งเจ๋อดู ที่ครั้งนี้เขายอมมาหาข้าที่นี่ เป็นเพราะเขาคิดจะอ้างชื่อของข้าออกจากบ้าน ไม่ได้ เปิดเผยให้คนในตระกูลรู้ว่าจะไปสนามรบโบราณของเทพมาร”
มู่ชิงเกอมองอิ๋งเจ๋อ ฝ่ายหลังเงียบลง แต่ว่าความหมายนั้นกลับเด่นชัด
“เหตุใดจึงต้องปิดบังคนในตระกูลด้วย?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
จีเหยาฮั่วเอ่ยว่า “หากว่าให้พวกเขารู้แล้ว เกรงว่าพวกเราคงไม่ได้ไปสนามรบโบราณ”
“สนามรบโบราณสำหรับคนในโลกแห่งยุคกลางแล้วก็เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ห้ามเข้าไปใกล้ แต่ก็ยังดึงดูดคนให้เข้าไปใกล้ไม่หยุด” อิ๋งเจ๋อพูดออกมา
มู่ชิงเกอชะงัก คิดถึงคำพูดของคนทั้งสองอย่างละเอียด
“ต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องไม่หยุดท้าทายความสามารถของตนเอง” อิ๋งเจ๋อเอ่ยออกไปอีกหนึ่งประโยค
“ใช่แล้ว ชิงเกอ เจ้าในตอนนี้ระดับฝึกปรืออยู่ที่ระดับไหนแล้ว? อิ๋งเจ๋อนั้นข้ารู้ว่าอยู่ระดับสีเงินชั้นหก การไปสนามรบโบราณของเทพมารในครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาความรู้สึกที่จะทะลวงระดับ เจ้าเล่า?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองทั้งสองคน เห็นอิ๋งเจ๋อเองก็มองมา จึงเอ่ยตอบว่า “ระดับสีทองชั้นหนึ่ง เพิ่งจะทะลวงระดับไม่นาน”
“อะไรนะ! ระดับสีทองชั้นหนึ่ง! ไม่ใช่ว่าสองปีก่อนเจ้ายังอยู่ระดับสีเงินชั้นสามอยู่เลยมิใช่หรือ? การเลื่อนระดับของเจ้าออกจะเร็วไปเสียหน่อยไหม? ถึงกลับไล่ ตามข้ามาทันแล้ว!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างตกตะลึง
สองปีก่อนเขาจ่ายเงินให้มู่ชิงเกอเพื่อซื้อยาทะลวงขอบเขตระดับเทวะมาแล้วเก็บตัวถึงครึ่งปีถึงได้ทะลวงเข้าสู่ระดับสีทอง
ส่วนเจ้าคนนี้กลับทะลวงมาจนถึงระดับเดียวกันกับเขาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ไม่ส่งสัญญาณอะไรให้คนอื่นรู้เลย!
สายตาที่เขามองมู่ชิงเกอเหมือนว่ามองเห็นผีไม่มีผิด!
อิ๋งเจ๋อเองก็ตกตะลึงมาก เขานั้นถือเอามู่ชิงเกอเป็นคู่มือ และรอให้เขาเติบโตจนถึงระดับเดียวกันแล้วค่อยต่อสู้กัน ตกลงกันมาโดยตลอด แต่ไม่คิดว่า มู่ชิงเกอกลับตลบหลังกันอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง! นี่ทำให้เขาเหมือนได้รับการโจมตี อย่างรุนแรง เพิ่มความแน่วแน่ที่อยากจะทะยานสู่ความแข็งแกร่งในใจขึ้นไปอีก
“มา! พวกเรามาต่อสู้กันหน่อย!” ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็ยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น มองไปยังเขา นัยน์ตาฉายแวววาววาบ แล้วก็มองไปทางอิ๋งเจ๋อ และก็ตามที่คิด นัยน์ตาของเจ้าคนนี้ก็มีเปลวไฟอยากต่อสู้ลุกโชนขึ้นเช่นเดียวกัน
“ทำไมจะต้องต่อสู้ด้วย?” มู่ชิงเกอปฏิเสธ
จีเหยาฮั่วกลับเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยประลองกันครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นระดับพลังฝึกปรือต่างกันเกินไป ข้าต่อสู้ไม่ได้เต็มที่ ตอนนี้พวกเราต่างก็อยู่ระดับสีทองชั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน พวกเราสามารถมาต่อสู้กันอย่างเต็มที่สักยก”
มู่ชิงเกอกะพริบตา มองเขาแล้วเอ่ยว่า “ก่อนจะออกเดินทางไม่ใช่ว่าต้องพักผ่อนรักษาตนเองให้ดีไม่ใช่หรือ?”
จีเหยาฮั่วกลับเอ่ยว่า “เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนฝีมือกัน ไม่ใช่การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเสียหน่อย ไม่มีอันตรายหรอก”
จากนั้น เขาก็สะบัดมือ ถือพัด เอ่ยท้าประลองกับมู่ชิงเกอว่า “ตอนนี้อาวุธของพวกเราก็มีระดับเดียวกันแล้ว ยุติธรรมมาก!”
พูดจบแล้วเขาก็มองไปยังอิ๋งเจ๋อ ดูเหมือนว่าคิดจะถามความคิดของเขา
อิ๋งเจ๋อยืนขึ้นมาเงียบๆ มองไปยังมู่ชิงเกออย่างจริงจัง แล้วพูดว่า “ครั้งแรกที่ประมือกันข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคู่มือที่หาได้ยาก แต่เพราะว่าในเวลานั้นพลังฝึกปรือของเจ้าตํ่าจนเกินไป ไม่สามารถประมือกันดีๆ ได้ ทำให้ข้ารู้สึกเสียดายมาก ข้ารอให้พลังฝึกปรือของเจ้าเสมอข้ามาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับเหนือลํ้าข้าไปแล้ว ดังนั้นวันนี้ข้าก็คิดจะประลองกับเจ้าสักครั้งเช่นกัน”
คำพูดของทั้งสองคนทำให้มู่ชิงเกอไม่รู้จะด่าหรือจะหัวเราะดี
สายตาของนางกวาดตามองไปยังร่างของทั้งสองคนไปมา สุดท้ายก็แบมือเอ่ยว่า “ก็หมายความว่า วันนี้ต้องต่อสู้กันให้ได้ใช่ไหม?’’
จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบแล้วพยักหน้า
มู่ชิงเกอถามหยั่งเชิง “ไม่อาจประนีประนอมได้เลยรึ?”
ทั้งสองคนเงียบไปอีกครั้งแล้วส่ายหน้า
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ ยืนขึ้นมา “เช่นนั้นก็สู้เถอะ”