Skip to content

พลิกปฐพี 368

ตอนที่ 368

เขาก็คือเว่ยมั่วลี่งั้นหรือ?

ซีเซียนเสวี่ยเพียงรู้สึกว่าภายในร่างกายของตนเองดุจดั่งกระดูกแตกหักก็ไม่ปาน ความเจ็บปวดยากจะอดกลั้น คู่ต่อสู้แข็งแกร่งจนเกินไป นางทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้วก็ไม่ใช่คู่มือของเขา

วินาทีนั้นในใจของนางเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา

แต่ในชั่ววินาทีที่เกิดความสิ้นหวังนั้น สีแดงเย้ายวนราวปีศาจที่เคยโผล่มาให้เห็นยามหลับฝันก็บุกเข้ามาในสายตาของนาง

‘ข้าตาลายไปแล้วงั้นหรือ? หรือว่าเพราะใกล้จะตายแล้ว ถึงได้มองเห็นเขา’ ในใจของซีเซียนเสวี่ยไม่ได้เกิดความตื่นเต้นมากมาย กลับเป็นความสงบราบเรียบดังเดิม

“เฮ้ จะช่วยหรือไม่ช่วย?” มองเห็นซีเซียนเสวี่ยปลิวลอยมาทางพวกเขา จีเหยาฮั่วมองไปยังสองคนซ้ายขวาแล้วถามขึ้น

ใครจะรู้ว่า ทันทีที่เสียงของเขาหลุดออกไป นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแวววาววาบ ร่างกายพุ่งออกไปแล้ว กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ยื่นมือออกไปรับร่างของซี

เซียนเสวี่ยที่กำลังตกลงมาเอาไว้

ในเวลานี้นั้นเอง สายตาอันโหดเหี้ยมของชายคนนั้นก็ตวัดมองมายังพวกเขา

ภายในลำคอของเขาเปล่งเสียงคำรามตํ่าราวกับอสูรร้าย หันกายพุ่งมาทางพวกเขา

“ให้ตายสิ!” จีเหยาฮั่วจ้องไป กระโดดขึ้นร่วมมือกับอิ๋งเจ๋อเข้าขัดขวาง ‘สัตว์ประหลาด!’

มู่ชิงเกอรับซีเซียนเสวี่ยเข้ามาในอ้อมอกที่อบอุ่น ซีเซียนเสวี่ยถึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอชัดแล้วจึงเอ่ยว่า “ที่แท้ไม่ใช่ความฝันของข้า”

มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจว่านางกำลังพูดอะไร หลังจากรับนางมาแล้วก็รีบพานางถอยหลัง หลีกหนีจากอาณาเขตการต่อสู้ของทั้งสามคน

ตอนนี้เอง จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อก็ได้ต่อสู้กับ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นอย่างดุเดือดแล้ว

เวลานี้เองมู่ชิงเกอถึงได้สังเกตเห็นว่าพลังจิตของ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นก็เป็นสีทองบริสุทธิ์!

‘ผู้แข็งแกร่งระดับสีทองชั้นสอง!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ในใจได้พิจารณาถึงระดับพลังฝึกปรือของ ‘สัตวประหลาด’ ตัวนั้นแล้ว

โอบเอวของซีเซียนเสวี่ย พานางออกจากใจกลางของสนามรบ มู่ชิงเกอพานางไปสถานที่ที่ยังพอถือได้ว่าปลอดภัยอยู่ที่หนึ่ง พยุงนางนั่งลง ไม่พูดไม่จา เอายา รักษาบาดแผลเม็ดหนึ่งออกมา ป้อนเข้าไปในปากของซีเซียนเสวี่ย

“กินซะ” มู่ชิงเกอสั่ง

ซีเซียนเสวี่ยไม่มีการต่อต้าน เพียงแต่มองเขาแล้วก็กลืนยาในปากลงไป

เพียงแค่กินยาลงไป แก้มของนางก็เกิดสีแดงขึ้นอย่างแปลกประหลาด

นี่ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น หลังจากกินยาเม็ดนี้ลงไป ปฏิกิริยาไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูก!

เพียงแต่ว่าความคิดเช่นนี้เพียงแต่วาบผ่านสมองของนางไป นางหันไปมองการต่อสู้ทางนั้นก่อน พบว่าจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อสองคนร่วมมือกันถือว่ายังพอขวาง ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นได้อยู่ ชั่วขณะนี้ยังไม่เกิดปัญหาใหญ่จนเกินไป

จากนั้นนางถึงได้หันมามองซีเซียนเสวี่ย คว้าเอาข้อมือของนางขึ้นมา วางสองนิ้วไว้ตรงจุดชีพจรของนาง

ซีเซียนเสวี่ยนั่งอย่างเงียบสงบ ไม่ได้ต่อต้านการเคลื่อนไหวของนาง ดวงตาที่อ่อนโยนดุจสายนํ้ามองเพียงแต่ใบหน้าอันงดงามองอาจของมู่ชิงเกอ

ฟังเสียงชีพจรไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้น นางวางมือของซีเซียนเสวี่ยลง เงยหน้าขึ้นสบตากับนาง

อยู่ดีๆ ก็ถูกมู่ชิงเกอมองมา นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยเกิดความสับสนวุ่นวาย รีบหลบสายตา สองแก้มยิ่งแดงขึ้น

ปฏิกิริยาของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอสงสัยไม่คลาย แต่นางก็ไม่ได้ซักไซ้ถาม เพียงแต่เอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะมียารักษาอาการบาดเจ็บ แต่ภายในสามวันต่อไปนี้ก็ไม่สามารถใช้พลังจิตได้อีก มิเช่นนั้นจะเพิ่มอาการบาดเจ็บขึ้นไปอีก”

“อืม” ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลงพยักหน้า ตอบเสียงเบาเหมือนเสียงยุง

เสียงเบาๆ นี้ทำให้มู่ชิงเกอสงสัยว่านางได้ยินว่าตนเองกำลังพูดว่าอะไรหรือไม่

เวลานี้เอง เสียงของการต่อสู้เปลี่ยนเป็นดังขึ้นหน่อย ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะเพิ่มความดุเดือดขึ้น มู่ชิงเกอหันไปมองยังการต่อสู้ของทั้งสาม พบว่า ‘สัตว์ ประหลาด’ ตัวนั้นยิ่งต่อสู้ยิ่งเหิมหาญ ไม่รู้จักความเจ็บปวด ส่วนจีเหยาฮั่วอาศัยพลังระดับสีทองยังสามารถพอฝืนต่อกรได้ แต่อิ๋งเจ๋อหลังจากพยายามต้านทานอย่างหนักกลับค่อยๆ ถูก ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นคว้าจับจุดอ่อน แล้วโจมตีอย่างรุนแรง โจมตีจนเขาทำได้เพียงแต่ป้องกัน

‘คนประหลาดนั้นมีฝีมือไม่ธรรมดาเลย!’ มู่ชิงเกอตัดสินในใจ

นางหันไปมองซีเซียนเสวี่ย แล้วเอ่ยปากถามไปว่า “เจ้ามาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้วไปยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร?”

ระดับพลังสีทองนั้นได้ทำให้มู่ชิงเกอขจัดโอกาสที่จะเป็นคนจากต่างโลกออกไป

“ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยตอบ

เป็นคนที่ไม่กลัวตายอีกคน!

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกพูดไม่ออก จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อก็ถือว่าแล้วไป ตัวนางเองก็มีเหตุผลที่ไม่มาไม่ได้ แต่ซีเซียนเสวี่ย นี่สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์และสถานะสูงส่งที่สุดในโลกแห่งยุคกลางเชียวนะ กลับวิ่งมาฝึกฝน ตามลำพังที่นี่ได้หรือเป็นเพราะคิดว่าชีวิตในช่วงก่อนหน้านี้เรียบง่ายเกินไปงั้นหรือ? ขาดความท้าทาย!

แน่นอนว่าคำพูดที่พ่นออกมานี้มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยออกไป

ที่นางสนใจมากกว่านั้นก็คือซีเซียนเสวี่ยไปยั่วยุคนที่ร้ายกาจขนาดนั้นได้อย่างไร

“ไม่ใช่ข้าไปยั่วยุเขา หลังจากที่เขามองเห็นข้าแล้ว ก็เข้ามาโจมตี ข้าทำได้แต่เพียงรับมือเท่านั้น” ซีเซียนเสวี่ยอธิบายไปประโยคหนึ่ง

“เขาเริ่มจู่โจมเจ้าก่อนงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า นางอ้าปากคิดจะพูดต่อ แต่ว่าในเวลานี้เอง เงาร่างร่างหนึ่งก็ถูกโจมตีจนลอยปลิวกลับมา ทำให้นางกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับไป

แน่นอนว่ามู่ชิงเกอก็มองเห็นเงาร่างที่ถูกโจมตีจนปลิวลอยกลับมาเช่นเดียวกัน

นางยืนขึ้นมา ยื่นมือออกไปขวางจับกลางหลังของอิ๋งเจ๋อไว้ ขวางไม่ให้เขาปลิวลอยไกลออกไป

“อึก!” อิ๋งเจ๋อหยุดการถอยกลับลงได้แล้วปากก็กระอักเลือดออกมา

เขาไม่ได้พูดจา เอาเม็ดยาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไป หลังจากลมหายใจกลับมาหายใจได้อย่างราบรื่นแล้ว เขาถึงได้มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณ”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า แล้วก็มองไปยัง ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นที่กำลังต่อสู้ตัวต่อตัวกับจีเหยาฮั่ว

ด้วยความรวดเร็ว จีเหยาฮั่วยังสามารถต่อสู้กับคนผู้นั้นได้

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็มองเห็นจีเหยาฮั่วเหมือนจะกลายร่างเป็นลมพายุสายหนึ่ง โอบล้อมหมุนรอบ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้น

‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นก็เหมือนกับถูกจับเอาไว้ ยืนอยู่ที่เดิม ส่งเสียงคำรามออกมาไม่หยุด

ครู่หนึ่ง เงาร่างของจีเหยาฮั่วถึงได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับถอยมาทางพวกมู่ชิงเกอ

ส่วน ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นก็ลงจากกลางอากาศมายืน อยู่บนพื้น ร่างกายสองแขนและก็สองขามีเชือกสีทองมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

“โฮก!”

‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนั้นออกแรงขัดขืน ท่ามกลางเส้นผมที่กระเซอะกระเซิง ดวงตาที่ดุร้ายคู่นั้นดูไม่มีความรู้สึกอื่นใด สายตาที่จ้องมองพวกเขาดูเหมือนจะมีเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น

“ย่ามันสิ เขาเป็นใครกัน! ร้ายกาจถึงขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่ใช่คู่มือ!” จีเหยาฮั่วด่าออกมา

“เชือกของเจ้านั้นแข็งแรงพอหรือไม่?” มู่ชิงเกอค่อนข้างเป็นห่วงกับปัญหานี้

จีเหยาฮั่วรีบตอบในทันทีว่า “วางใจเถอะ เชือกนี้เป็นสมบัติลํ้าค่าของพวกเราตระกูลจี หากถูกมันมัดเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรวิญญาณที่ร้ายกาจก็ยังหลุดออกมาไม่ได้”

“เขาคือเว่ยมั่วลี่” ทันใดนั้น ซีเซียนเสวี่ยก็ใช้มือคํ้าหินสีดำยืนขึ้นมาแล้วพูดออกไป

เมื่อคำพูดของนางหลุดออกไป รอยยิ้มของจีเหยาฮั่วก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้าในทันที ไม่เพียงแต่จีเหยาฮั่ว แม้แต่มู่ชิงเกอกับอิ๋งเจ๋อก็ตกตะลึง หันไปมองซีเซียนเสวี่ย

จีเหยาฮั่วหันคอที่แข็งค้างไปมองหน้าซีเซียนเสวี่ย ยิ้มอย่างอึดอัดเอ่ยว่า “ธิดาเทพซี เจ้าอย่าได้ล้อเล่นเลย? สัตว์ประหลาดที่รูปร่างคล้ายคนนี่นะหรือคือเว่ยมั่วลี่?” ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้าด้วยท่าทางที่ดูเคร่งขรึม “ตระกูลเว่ยกับตระกูลซีล้วนแต่อยู่ในภาคกลาง ตอนที่เว่ยมั่วลี่มีชื่อเสียงขึ้นนั้น ข้าก็เคยเห็นเขาหลายครั้ง จำไม่ผิดแน่ คนที่แม้แต่ตระกูลเว่ยก็ไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหว เว่ยมั่วลี่ เพียงแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้”

“โฮก! โฮก!” ในเวลานี้เอง เว่ยมั่วลี่ก็ส่งเสียงคำรามออกมาอีก ความดุร้ายในสายตายิ่งดูเข้มข้นขึ้นไปอีก เสียงร้องที่ดูน่ากลัวนี้ทำให้จีเหยาฮั่วหันไปมองเขาอีก เขาไม่สามารถจะเชื่อมโยงระหว่าง ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนี้ กับอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงเข้าด้วยกันได้จริงๆ

“เขา…เว่ยมั่วลี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” จีเหยาฮั่วหลุดเสียงพูดออกไป

ซีเซียนเสวี่ยขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “แต่เดิมเว่ยมั่วลี่ก็ เป็นคนที่คลั่งในการต่อสู้มากอยู่แล้ว คิดแต่จะฝึกฝนฝีมือ ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ หลายปีก่อนออกจากตระกูลเว่ย ก็เพื่อค้นหาการทะลวงระดับที่สูงขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าสนามรบโบราณแห่งเทพมารนี้จะเป็นเขตหวงห้าม แต่พวกเราก็ล้วนแต่รู้ดีว่า ภายในอันตรายจะมีโอกาสซ่อนอยู่ แม้แต่พวกเราก็ล้วนแต่มากัน แล้วเขาจะพลาดได้อย่างไร?”

อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย “นี่มีความเป็นไปได้สูง พวกเราสามารถคิดถึงที่นี่ได้ เขาเองก็ต้องคิดได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาที่นี่ได้กี่ปีแล้ว”

พูดแล้วเขาก็ ขมวดคิ้วขึ้นอีก เสนอการคาดเดาที่ดูใจกล้าออกมา “หรือว่าหลังจากที่เขาออกมาจากตระกูลเว่ยแล้วก็เข้ามาที่นี่เลย?”

จีเหยาฮั่วสูดลมหายใจเข้า “นี่ก็หลายปีมาแล้ว! เขาอยู่ในสนามรบโบราณคนเดียวมาหลายปีงั้นหรือ?”

“ที่ข้าสงสัยยิ่งกว่าก็คือเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าจะเสียสติไป” มู่ชิงเกอเงียบลงไปครู่หนึ่งแล้ว มองไปยังเว่ยมั่วลี่แล้วพูดออกมา

จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่ก็ไม่มีอะไรควรค่าแก่การสงสัยกระมัง หากว่าเอาข้าเข้ามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ หลายๆ ปี ข้าก็คงเป็นบ้าไปเหมือนกัน”

อิ๋งเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งเอ่ยว่า “อิงตามนิสัยของเจ้าเมื่ออยู่ที่นี่นานหลายปีก็จะต้องเป็นบ้าแน่นอน นี่ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเว่ยมั่วลี่นั้นมักจะไปไหนมาไหนคนเดียวจน คุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวแล้วจะถูกความโดดเดี่ยวทำ ให้เป็นบ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร? สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ดูผิดปกติมาก”

“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาพบเจออะไรเข้าในสนามรบโบราณ…” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววลึกลํ้า เอ่ยการคาดเดาออกมา

นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเปล่งประกาย เอ่ยออกไปว่า “เจ้าจะพูดว่าเขาได้พบเจอกับคนต่างโลกใช่ไหม? แล้วถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้?”

“ไม่น่าเป็นไปได้” ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้าเอ่ยออกมา

คำพูดของนางดึงดูดความสนใจของคนทั้งสาม ซึ่งล้วนแต่อยากฟังว่าเหตุใดนางถึงได้วิเคราะห์เช่นนี้

ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยว่า “ในตอนที่ข้าพบกับเขานั้น เขาไม่ได้มีท่าทีเหมือนถูกคนไล่ล่า อีกทั้งถึงแม้ว่าเขาจะมีสภาพดูไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ดูไม่ค่อยมีสติก็เท่านั้น”

“ไม่มีการไล่ล่า ไม่มีบาดแผล…” มู่ชิงเกอพึมพำเบาๆ

“ธิดาเทพซี เหตุใดเจ้ากับเว่ยมั่วลี่ถึงได้ต่อสู้กันขึ้นมาได้?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

ซีเซียนเสวี่ยกลับส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ข้าก็เพิ่งเข้ามาไดไม่นาน ถูกม่านหมอกกักขังอยู่หนึ่งวัน เพิ่งจะเดินมาถึงที่นี่ก็มองเห็นเงาคนหมอบนิ่งอยู่ตรงหน้าเหมือนกับกำลังแทะเล็มอะไร บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของข้าแล้วคิดว่าข้าเป็นศัตรู ถึงได้โจมตีข้าขึ้นมา”

“แทะเล็ม?” มู่ชิงเกอสังเกตถึงจุดๆ นี้

ชั่วขณะนั้น สีหน้าของซีเซียนเสวี่ยก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ชี้นิ้วไปยังมุมไกลออกไปที่ไม่โดดเด่น

ทั้งสามคนมองตามนิ้วของนางไปแล้วนัยน์ตาก็หดตัวลง

ที่นั่นกลับมีกองกระดูกคนตายสุมอยู่ เว่ยมั่วลี่แทะเล็มกระดูกคนตาย?!

ความคิดนี้ได้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงไปชั่วขณะ

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นเข้ามา ทั้งสี่คนมองออกไปก็เห็นเว่ยมั่วลี่ฉีกเชือกที่มัดบนร่างของเขาจนขาดออกแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version