Skip to content

พลิกปฐพี 376

ตอนที่ 376

เศษวิญญาณเมื่อแสนปีก่อน

มือใหญ่ข้างนั้นสะท้อนเป็นภาพอยู่ในดวงตาอันสดใสของมู่ชิงเกอ มันค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกด้านถึงแม้ว่าจีเหยาฮั่วจะหยุดยั้งคนหิมะยักษ์ได้ แต่ก็ยากที่จะทำร้ายมัน

มู่ชิงเกอกัดฟัน ชี้ทวนหลิงหลงขึ้นฟ้า แสดงกระบวนท่าที่ไม่เคยลองใช้มาก่อน

“เพลิงโหมผลาญสวรรค์!” มู่ชิงเกอตะโกนชื่อกระบวนท่าออกไป

ชั่วขณะนั้น ทวนหลิงหลงก็พ่นเปลวไฟนับไม่ถ้วนออกมา เต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า เผาไหม้เกล็ดหิมะกลางอากาศ และก็พุ่งไปยังคนหิมะยักษ์

“โฮก!”

“โฮก!”

หัวของคนหิมะยักษ์ทั้งสองถูกไฟเผาพริบตาเดียวก็เริ่มที่จะละลาย พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน

ส่วนเกล็ดหิมะที่ลอยพลิ้วกลางอากาศไม่หยุดก็ตกเข้าไปในเปลวเพลิง ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา สั่นสะเทือนจนแก้วหูแทบจะแตก!

จีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยเงยหน้ามองเปลวไฟขนาดใหญ่กลางอากาศแล้วท่าทีก็เปลี่ยนไปในทันที

กระบวนท่าเช่นนี้ต้องใช้พลังจิตมากขนาดไหนกัน?

พวกเขามองไปยังมู่ชิงเกอพร้อมกัน

ส่วนในตอนนี้มู่ชิงเกอใช้มือหนึ่งถือทวนหลิงหลงแน่น อีกมือหนึ่งล้วงเอายาออกมากลืนลงไปในปาก สีหน้าขาวซีด

กระบวนท่าเมื่อครู่ เป็นกระบวนท่าที่นางเรียนรู้และสร้างขึ้นมาเอง เหมาะสำหรับการต่อสู้ในพื้นที่กว้างแต่มันสิ้นเปลืองพลังจิตมากไปหน่อย

หลังจากนางฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะแล้ว ก็ทำให้ต้องใช้พลังจิตจำนวนมากในการทะลวงระดับ แต่ขณะเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าพลังจิตสะสมของนางนั้นสูงกว่าคนธรรมดากี่เท่า

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ กระบวนท่าที่ใหญ่โตเช่นเพลิงโหมผลาญสวรรค์นางใช้เพียงสองครั้งพลังจิตก็จะหมด แต่ก่อนหน้านี้เนื่องจากนางได้ต่อสู้มาโดยตลอด ทั้งยังใช้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเรื่อยๆ กระบวนท่าเมื่อครู่จึงทำให้พลังจิตในร่างของนางหมดลง

ดังนั้นเมื่อครู่นางถึงได้รีบใช้ยาเพิ่มพลังจิต

พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดยังคงเผาไหม้เรื่อยๆ

จีเหยาฮั่ว และซีเซียนเสวี่ยมองเห็นมู่ชิงเกอกินยาก็ล้วนแต่เกิดความกังวล

ซีเซียนเสวี่ยมองไปรอบด้าน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเกล็ดหิมะเข้าใกล้และตนเองจะไม่สร้างความลำบากแก่ใครแล้ว นางถึงได้กัดฟันวิ่งออกไปจากอาณาเขตคุ้มกันของมังกรเพลิงเพื่อไปหามู่ชิงเกอ

จีเหยาฮั่วก็รีบเข้ามาเช่นกัน

มู่ชิงเกอมองเห็นท่าทางที่ดูเคร่งเครียดของจีเหยาฮั่วแล้วก็พูดเสียงเข้มว่า “รีบไปดูอิ๋งเจ๋อ”

จีเหยาฮั่วชะงัก นี่ถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ดูแย่ของอิ๋งเจ๋อ เขาพยักหน้าแล้วก็วิ่งไปหาอิ๋งเจ๋อในทันที

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซีเซียนเสวี่ยวิ่งมาถึงข้างกายมู่ชิงเกอ เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล นางร้อนใจมาก ทั้งยังลอบแค้นใจที่ตนเองยังไม่สามารถใช้พลังจิตได้

มู่ชิงเกอส่ายหน้าเอ่ยกับนางว่า “เพียงแค่ใช้พลังจิตจนหมดเท่านั้น พักผ่อนครู่หนึ่งก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ได้ฟังคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว ซีเซียนเสวี่ยถึงได้วางใจลง

ส่วนในตอนนี้จีเหยาฮั่วได้พยุงอิ๋งเจ๋อเดินเข้ามา สีหน้าดูแย่มาก

ซีเซียนเสวี่ยมองเห็นสีหน้าดำคลํ้าของอิ๋งเจ๋อแล้วก็หลุดเสียงออกไปว่า “เขาถูกสิ่งเหล่านั้นเจาะเข้าไปด้านในแล้ว”

จีเหยาฮั่วพยักหน้า มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “อิ๋งเจ๋อได้พยายามสุดความสามารถเพื่อขับออกแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้จัดการได้ยากนัก”

ก่อนหน้านี้เขาก็เกือบถูกของสิ่งนี้เจาะเข้าร่างกาย ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นเขายังจดจำได้ดี นับประสาอะไรกับอิ๋งเจ๋อในตอนนี้?

มู่ชิงเกอมองอิ๋งเจ๋อ ตอนนี้นางก็ไม่มีทางเลือกที่ดีมากนัก ได้เพียงแต่เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หากว่ามีเกล็ดหิมะเหล่านี้มาอีก นางก็ไม่มีปัญญาจะวางเพลิงพวกมันได้อีกแล้ว

จีเหยาฮั่วพยักหน้า แล้วก็แบกอิ๋งเจ๋อขึ้นหลัง

ซีเซียนเสวี่ยก็เข้ามาพยุงแขนของมู่ชิงเกอ ซึ่งนี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอหันมองนาง

ส่วนซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยด้วยสายตาที่เคร่งเครียดว่า “เจ้าสูญเสียพลังจิตไปมาก ให้ข้าพยุงเจ้าเดินเถอะ”

พูดแล้วก็พามู่ชิงเกอเดินไปด้านหน้า

มู่ชิงเกอมองนาง ที่จริงแล้วก็คิดจะพูดกับนางว่าถึงแม้นางจะใช้พลังจิตจนหมด แต่ก็ยังมีพลังกายอยู่ ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะม้วนที่หนึ่ง แต่เดิมก็เป็นการฝึกฝนร่าง กายอยู่แล้ว ร่างกายของนางนั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก ดังนั้น แม้ว่าจะใช้พลังจิตจนหมดก็ไม่ได้ทำให้เกิดอาการร่างกายหนักอึ้งหรือเหนื่อยล้าเช่นคนปกติ เพียงแต่ว่า เมื่อมองเห็นชีเซียนเสวี่ยอยากช่วยอย่างขยันขันแข็งเช่นนั้นแล้ว นางก็เงียบลงไม่ได้พูดอธิบายออกมา

ในที่สุดทั้งสี่คนก็เดินออกมาจากสถานที่อันแปลกประหลาดนั้นได้ บนฟ้าไม่มีเกล็ดหิมะและรอบด้านก็ไม่มีเสานํ้าแข็ง

เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขาถึงได้นั่งลงพักผ่อน การต่อสู้เมื่อครู่นั้นอันตรายมาก เกล็ดหิมะประหลาดทำให้คนไม่ทันได้ป้องกันตัว

มู่ชิงเกอสำรวจร่างกายของอิ๋งเจ๋อแล้วก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

ครู่หนึ่งจีเหยาฮั่วถึงได้เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น เอ่ยกับจีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยว่า “เหมือนว่าข้าจะพอรู้แล้วว่าเหตุใดที่นั้นถึงได้มีเศษซากร่างเต็มไปหมด”

พูดจบแล้ว นางก็มองอิ๋งเจ๋อ เอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม “เกล็ดหิมะที่เกิดขึ้นมาจากกลิ่นอายแห่งความตายเหล่านี้ เพียงแค่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะแช่แข็ง หลังจากที่แช่แข็งไปทั้งตัวแล้วก็จะแตกสลาย…”

จีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ

“อิ๋งเจ๋อล่ะจะทำอย่างไร?” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างร้อนใจ

เขามองไปยังอิ๋งเจ๋อ ตอนนี้นั้นครึ่งหนึ่งของร่างกายเขา รวมทั้งขาได้เปลี่ยนเป็นสีเทาแห่งความตายแล้ว เขาหลับตา สีหน้าดูแย่มาก ดูเหมือนว่าจะสูญเสียปฏิกิริยา ตอบสนองไปแล้ว

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เขายังคงพยายามใช้พลังจิตขับกลิ่นอายแห่งความตายให้ออกมาอยู่ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะผ่านศึกมา สูญเสียพลังจิตไปมาก ทั้งยังมาถูกกลิ่นอายแห่งความตายมากขนาดนี้กัดกร่อนอีก เกรงว่า…”

“ข้าจะส่งพลังจิตให้เขา!” จีเหยาฮั่วรีบเอ่ยในทันที

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองเขาแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสามารถลองดูได้”

จีเหยาฮั่วดีใจ นั่งสมาธิลงที่ด้านหลังของอิ๋งเจ๋ออย่างไม่ลังเล สองมือยันไว้ที่ด้านหลังของเขา ส่งพลังจิตผ่านแขนเข้าไปสู่ภายในร่างกายของอิ๋งเจ๋อ

ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าพักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ ข้าจะไปดูต้นทางเอง”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “เจ้าหรือ?”

ซีเซียนเสวี่ยหัวเราะเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังใช้พลังจิตไม่ได้ แต่ก็ยังทำหน้าที่อย่างการดูต้นทางได้อยู่”

พูดแล้วนางก็เอาขลุ่ยไม้ไผ่อันหนึ่งออกมา แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หากว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้ ข้าก็จะเป่ามัน แจ้งให้พวกเจ้าทราบ อีกอย่างหากว่าข้าไม่สามารถวิ่งหนีกลับมาเองได้ พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปช่วยข้า ให้รีบหนี

โดยเร็วไปก็พอ”

มู่ชิงเกอขมวดคิวเม้มริมฝีปาก

ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยว่า “ไม่ต้องรู้สึกว่าข้าไม่ห่วงตนเอง ข้าเพียงแต่คิดว่าหากพวกเจ้าไปช่วยข้า ก็เท่ากับว่าสิ่งที่ข้าได้แจ้งเตือนพวกเจ้าไปก็คงเปล่าประโยชน์”

เมื่อนางพูดจบแล้วก็หันกายเดินออกไป

มู่ชิงเกอมองแผ่นหลังของนางจนหายลับไปจากสายตา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งสมาธิหลับตา

ความเร็วในการฝึกฝนของนางนั้นรวดเร็วมาก นั่งสมาธิไปครู่เดียว พลังจิตที่สูญเสียไปก็ฟื้นฟูกลับมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

ในขณะที่นางกำลังคิดจะนั่งสมาธิต่อนั้น ก็ได้ยินเสียงกระอักออกมาคำหนึ่งพร้อมกับกลิ่นเลือด

นางรีบถอยออกมาจากสมาธิในทันทีและลืมตาขึ้น

ดูเหมือนว่ากลิ่นอายแห่งความตายบนร่างของอิ๋งเจ๋อที่อยู่ข้างกายนางนั้นจะกระจายอีกเล็กน้อย ส่วนจีเหยาฮั่วที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นกระอักเลือดออกมา หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึม แผ่นหลังเปียกไปทั้งแผ่น พื้นด้านหน้าของเขายังมีกองเลือดอยู่กองหนึ่ง

มู่ชิงเกอรีบยืนขึ้นมา เดินไปข้างกายของจีเหยาฮั่วแล้วเอ่ยกับเขาว่า “วิธีนี้ใช้ไม่ได้แล้วรีบถอยออกมา”

จีเหยาฮั่วส่งพลังจิตเข้าไปในร่างของอิ๋งเจ๋อ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้อิ๋งเจ๋อดีขึ้นแต่กลับทำให้ตนเองได้รับภาวะสะท้อนกลับอีก นี่ก็แสดงให้เห็นได้ชัดแล้วว่าวิธีการนี้ใช้ไม่ได้

จีเหยาฮั่วลืมตาขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม มองมาทางมู่ชิงเกอด้วยนัยน์ตาที่แดงฉาน เขาไม่อยากให้อิ๋งเจ๋อมาตายไปเช่นนี้ ขอเพียงแต่ยังมีโอกาสรอดเหลืออยู่ เขาก็จะไม่ยอมพลาดไปอย่างเด็ดขาด ความดื้อรั้นในดวงตาของเขาทำให้มู่ชิงเกอสั่นไหว ทันใดนั้นหัวของนางก็มีวิธีหนึ่งวาบขึ้นมา เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “เจ้าเอาพลังจิตย้ายออกมาจากร่างกายของเขาก่อน ข้าจะลองวิธีอื่นดู”

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วฉายแววแห่งความหวังขึ้น

เขาเม้มปากแน่นพยักหน้าแล้วถอนพลังจิตของตนเองกลับ ในตอนที่สองมือของเขาออกจากแผ่นหลังของอิ๋งเจ๋อนั้น พลังจิตของเขาก็เหลือเพียงเล็กน้อยแล้ว

มู่ชิงเกอรีบโยนเม็ดยาหลายเม็ดไปที่มือของเขารีบเอ่ยว่า “รีบกินยาแล้วก็พักผ่อนซะ”

ที่นี่มีอันตรายอยู่เต็มไปหมด หากว่าไม่มีพลังจิตแล้วอาจจะตายไปโดยไม่รู้สึกตัวได้

จีเหยาฮั่วทำตาม กินยาในมือ แต่ก็ไม่ได้รีบพักผ่อนในทันที แต่กำลังรอดูว่ามู่ชิงเกอมีวิธีอะไรจะช่วยอิ๋งเจ๋อ

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้สนใจเขา เอาหม้อผลาญสวรรค์ออกมา เตาหลอมสี่ขาปรากฎออกมาเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมัน ร่างของเตาเป็นสีแดงแผ่กลิ่นอายของความหยิ่งผยอง บนเตามีลวดลายสลักอยู่เต็มไปหมด ทั้งดูเรียบง่ายและดูแปรเปลี่ยนอย่างไม่คาดคิด ให้ความรู้สึกอันเป็นนิรันดร

มู่ชิงเกอเอาอิ๋งเจ๋อวางลงไปในหม้อผลาญสวรรค์แล้วก็ดีดพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเข้าไปจุดหม้อ แล้วพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เริ่มเผาไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว

มีหม้อผลาญสวรรค์คุ้มกัน ร่างกายของอิ๋งเจ๋อจะไม่เป็นอะไร

กลิ่นอายสีดำเทาค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากเหนือศีรษะของเขา แล้วก็หายไปภายในหม้อผลาญสวรรค์ และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเห็นวิธีของมู่ชิงเกอได้ผลและอิ๋งเจ๋อดีขึ้นแล้ว จีเหยาฮั่วถึงได้วางใจนั่งสมาธิพักผ่อน

มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลังจ้องมองอิ๋งเจ๋ออยู่ข้างหม้อผลาญสวรรค์

วิธีนี้ของนางก็คือการมองอิ๋งเจ๋อเป็นเหมือนโอสถ ในเมื่อหิมะที่สร้างขึ้นมาจากกลิ่นอายแห่งความตายเหล่านี้ กลัวพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด เช่นนั้นวิธีนี้ก็น่าจะได้ผล

และหม้อผลาญสวรรค์ก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง!

กลิ่นอายแห่งความตายบนใบหน้าของอิ๋งเจ๋อค่อยๆ ถอยออกไปและนี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอโล่งใจ

หากเพิ่งจะเข้ามาในสนามรบโบราณได้ไม่กี่วันอันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงก็ตายแล้ว เกรงว่าพวกเขาทั้งสามก็คงจะรอดได้ยาก

‘สนามรบโบราณของเทพมารนั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดจริงๆ’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ เป้าหมายหลักในการเข้ามาของนางนั้นก็เพื่อเอาซากร่างของเทพมาร แล้วเอาเลือดออกมา ตอนนี้เห็นเศษซากร่างมาไม่น้อย แต่กลับไม่อาจจะเอามาได้

“หวังว่าต่อไปจะโชคดีขึ้นบ้าง” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ก็ดังขึ้น

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาหดตัวลง

จีเหยาฮั่วก็ถูกเสียงขลุ่ยทำให้ตื่นขึ้น เขายืนขึ้นมาเดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามว่า “เป็นเสียงอะไร?”

มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้มว่า “เป็นเสียงเตือนจากซีเซียนเสวี่ย ดูท่าแล้วคงมีอันตรายเข้ามาใกล้”

นางคิดแล้วก็เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “ข้าจะไปรับนาง เจ้าดูแลอิ๋งเจ๋อ เมื่อพวกเรากลับมาแล้วจะได้จากไปทันที”

จีเหยาฮั่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น

จากนั้น เงาร่างของมู่ชิงเกอก็หายไปจากที่เดิม

ซีเซียนเสวี่ยพยายามวิ่งหนี ส่วนปากก็เป่าขลุ่ยไม้ไผ่ไม่

หยุด ด้านหลังของนางมีม่านหมอกสีดำเป็นก้อนๆ ไล่ตามติดมาอย่างบ้าคลั่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version