Skip to content

พลิกปฐพี 40

ตอนที่ 40

จอมเสเพลสวะ เศษขยะไร้ค่า

พอสิ้นเสียงคำว่า “ดี”

ทุกคนค่อยๆ ได้สติกลับมาต่างก็เต็มไปด้วยความดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้

โอกาสแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับแคว้นฉิน แต่ยังเป็นโอกาสที่ยากจะได้รับของตระกูลพวกเขาด้วย เพราะไม่แน่ว่าเมื่อพ้นคืนนี้ไป วงศ์ตระกูล ของพวกเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ได้

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสของทุกตระกูลต่างก็ดึงตัวชายหนุ่มของตระกูลตนเองมากำชับเบาๆ ว่าภารกิจคือเข้าตาของท่านผู้นั้นให้ได้

แม้กระทั่งเจ้าอ้วนเช่าที่ถูกตระกูลเช่าลอยแพก็ไม่ได้รับการยกเว้น ถูกสั่งสอนชุดใหญ่

จะว่าไปแล้วการที่เขามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะมู่ชิงเกอ

ในตอนแรก ตระกูลเช่าทราบข่าวโดยบังเอิญว่ามหาปราชญ์เหมือนจะพอใจในตัวคุณชายของตระกูลมู่ แม้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ไม่เสียหายหากพวกเขาจะ พาเจ้าอ้วนเช่าของตระกูลตนเองที่เป็นจอมเสเพลเหมือนกันมาด้วย

ไม่แน่ว่ามหาปราชญ์ที่ดูลึกลับอาจจะมีรสนิยมชอบพวกเจ้าสำราญก็ได้?

มู่ซงเองก็ตื่นเต้น มือหยาบใหญ่ขยุ้มชุดผ้าไหมของตนเองแล้วคลายออก ซํ้าไปซํ้ามาหลายครั้งจนเสื้อยับย่น

ทำให้สายตาของมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ด้านข้างเต็มไปด้วยความสงสัย

ท่าทางสับสนของมู่ซง มู่เหลียนหรงเองก็เห็นเช่นกัน

นางถอนหายใจและพูดกับบิดาว่า “ท่านพ่อไม่ต้องคิดแล้ว ถึงแม้ว่าตระกูลมู่ของเราจะไร้สามารถอย่างไร แต่ก็จะไม่ไปพึ่งพาอำนาจของผู้ใดอย่างแน่นอน”

ได้รับความโปรดปรานจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลินชวนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก สำหรับตระกูลมู่ก็เช่นกัน แต่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ทายาทของตระกูลมู่เป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถด้วย หากความสามารถของมู่ชิงเกออยู่เหนือทุกคน และได้รับการชี้นำจากมหาปราชญ์ในหนทางแห่งการฝึกฝนนั้น ถือว่ามีประโยชน์มาก

แต่ทว่ามู่ชิงเกอกลับเป็นคนที่ไม่สามารถฝึกพลังได้

หากเป็นเช่นนี้ หากต้องไปเข้าไปใกล้ชิดท่านมหาปราชญ์ก็จะกลายเป็นว่าไปพึ่งพาท่านเสียมากกว่า

เท่าที่มู่เหลียนหรงสังเกต ตระกูลมู่อาจพ่ายแพ้ได้ แต่จะทอดทิ้งทายาทไม่ได้หากยังคงมีสายโลหิตที่สืบทอดต่อไป สักวันหนึ่งตระกูลมู่จะต้องกลับมายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ว่ามหาปราชญ์จะสนับสนุนมู่ชิงเกอหรือไม่ นางไม่ได้ใส่ใจเหมือนมู่ซง

มู่ซงยิ้มขื่นไม่พูดอะไร เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาให้ลูกหลานได้รับรู้ “ตระกูลม่ชนะหรือแพ้แล้วมีประโยชน์อันใด เพราะข้ารู้อยู่แก่ใจแล้ว ตอนนี้ข้าแค่อยากให้เรามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพบกับอันตรายอะไรอีก และตอนนี้เราเหมือนติดอยู่ในคลื่นทะเลจะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังกลับหลังก็ไม่ได้อีก แล้วคนแก่อย่างข้าสามารถคุ้มครองพวกเจ้าได้แค่ในเวลานี้ แต่ไม่สามารถคุ้มครองพวกเจ้าได้ทั้งชีวิตได้ โอกาสในวันนี้คาดว่าคง…” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็พยักหน้าเบาๆ

ความหมายนั้นชัดเจนอยู่แล้ว วันนั้นมหาปราชญ์อาจเพียงแค่บังเอิญผ่านมาเห็นมู่ชิงเกอรับโทษด้วยความกล้าหาญ จึงรู้สึกพอใจ แต่ตอนนี้เขาอาจจะรู้แล้วว่าหลานชายของมู่ซงเป็นคนไร้ค่า ประกอบกับผู้ที่มีความสามารถของแต่ละตระกูลและเชื้อพระวงศ์ที่คอยจับตามอง เกรงว่า เขาคงจะไม่เหลือบแลมู่ชิงเกออีกแล้ว

‘ที่แท้ท่านผู้เฒ่าก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องนี้’ บทสนทนาของทั้งสอง ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ริ้วรอยความกังวลที่หางตาของมู่ซงทำให้นางเกือบจะอดไม่ไหวบอกความลับเรื่องที่ว่านางสามารถฝึกพลังได้แล้วออกไป

แต่สุดท้ายนางก็กัดฟันอดทนไว้

หากสถานการณ์ของตระกูลมู่ยังไม่มั่งคง นางจะไม่เปิดเผยความจริงเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้ตระกูลมู่ถูกสั่งเก็บเร็วกว่าเดิม

ระหว่างที่ทุกตระกูลกำลังเตรียมการ งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น

นางกำนัลในวังยกสุราชั้นเลิศและกับแกล้มออกมา นางรำก็เริ่มร่ายรำ

พอดื่มกันได้สักพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาสำคัญ

ฮ่องเต้แคว้นฉิน ฉินชางยกมือขึ้น นางรำทั้งหลายก็หยุดร่ายรำและค่อยๆ ถอยออกไป เหลือพื้นที่ตรงกลางเวทีทรงกลมที่ยกสูงเอาไว้

ฉินชางแอบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นเขาหรี่ตา และยกมุมปากขึ้นเบาๆ ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ จึงค่อยๆ พูด ขึ้นมาว่า “วันนี้ถือเป็นโอกาสที่สำคัญ หนุ่มสาวของแต่ละตระกูลจงออกมาแสดงฝีมือทั้งหมดที่พวกเจ้าเคยร่ำเรียนมาให้องค์มหาปราชญได้ชื่นชม”

พอพูดจบเขาก็มองโอรสที่เป็นที่โปรดปรานของตนพร้อมส่งสายตา

ตามกำหนดการองค์ชายทั้งหลายจะยังไม่ขึ้นเวทีแสดงฝีมือ แต่ให้ทายาทที่มีฝีมืออยู่ในระดับปานกลางของแต่ละตระกูลขึ้นไปก่อน เพราะเมื่อเวลาองค์ชายขึ้นไป จะได้เปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจน

การวางแผนแบบนี้ถือว่าดี แต่พวกเขาประเมินซือมั่วผิดไป

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเริ่มตามแผน พอชายหนุ่มคนแรกของตระกูลหนึ่งขึ้นเวทีไป ซือมั่วพูดขึ้นมาว่า “แสดงพรสวรรค์ด้านพลังนั้นน่าเบื่อเกินไป ในเมื่ออยากจะแสดงความสามารถของตนเอง ลองคิดดูว่าตนเองสามารถทำอะไรอย่างอื่นได้บ้างจะดีกว่า”

นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาเคยพูดในคืนนี้แต่กลับทำลายแผนการที่ฮ่องเต้แคว้นฉินวางไว้เสียป่นปี้

สีหน้าฮ่องเต้ดูแย่ลง ทรงเม้มปากเงียบๆ

และคุณชายคนที่ยืนอยู่บนเวทีคนนั้นก็ตะลึงยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ

“หากไม่มีความสามารถพิเศษอะไรก็ลงไป” กู่หยาปรากฏตัวขึ้น พูดอย่างเย็นชาคำหนึ่งจบแล้วก็ยกมือขึ้นปล่อยพลังโจมตี ทำให้คนผู้นั้นตกจากเวทีไป ฉากตรงหน้าทำให้คนจำนวนไม่น้อยตื่นจากฝันหวาน ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์

คุณชายพวกนี้วันๆ คิดแต่จะฝึกพลังแล้วจะมีกระจิตกระใจอะไรไปเรียนพวกดนตรี คำกลอน หมากรุก วาดภาพพวกนี้กัน?

มหาปราชญ์อยากจะชมการแสดงความสามารถพิเศษ ตอนนี้ในใจของคนจำนวนมากมีความรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก

ในบรรดาตระกูลต่างๆ นอกจากตระกูลมู่ที่วางตัวอยู่ เหนือเรื่องๆ นี้แล้ว ตระกูลที่ดูตื่นเต้นที่สุดคือตระกูลเช่า ผู้นำตระกูลเช่าซึ่งก็คือบิดาของเจ้าอ้วนเช่าพลันรู้สึกว่า การที่ตนเองพาเจ้าอ้วนเช่ามาเป็นความคิดที่ชาญฉลาด แล้ว

แต่ฉับพลันเขาก็ต้องหมดหวังอีกรอบ

เพราะลูกชายของตนเองนอกจากกิน เที่ยว เล่นการพนัน ก็ไม่มีความสามารถอะไรที่จะเอาออกมาแสดงได้

ภายในงานเลี้ยงดูเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที

ฉินชางกังวลจนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สบตากับไทเฮาอยู่หลายครั้ง เจียงกุ้ยเฟยและฮองเฮารีบสั่งให้ลูกชายของตนเองออกไปแสดงความสามารถ แต่พระสนมที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวใบหน้ากลับดูเรียบเฉยและดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในสายตาเหมือนซ่อนความกังวลไว้

ไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนเวที ทำให้คำสั่งของฉินชางเหมือน เป็นแค่เรื่องน่าขบขัน

ซือมั่วมองสถานการณ์นิ่งๆ ราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแทบจะไม่ได้มองมู่ชิงเกอเลย แต่ทุกการกระทำของมู่ชิงเกอกลับไม่รอดพ้นจากสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

ที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะแค่อยากจะเห็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์นานๆ

หลังจากที่ลังเลไปสักพัก ฉินอี้เหยามองเวทีที่ไม่มีใครเลยพร้อมเม้มปากก้าวเท้าเดินออกไป

“เจ้าจะทำอะไร?”

แต่ว่านางเพิ่งจะก้าวเท้าออกไป ก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นและอยู่ๆ ข้อมือของนางก็ถูกคนๆ หนึ่งคว้าไว้ แรงบีบนั่นเกือบทำให้นางคิดว่ากระดูกของตนเองคงหักไป แล้ว

นางเงยหน้าขึ้นมองและสบเข้ากับสายตาอันเยือกเย็นของเสด็จพี่ตน “เสด็จพี่” นางพึมพำเบาๆ

ฉินจิ่นห้าวจ้องนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดว่า “สถานการณ์แบบนี้ผู้หญิงอย่างเจ้าทำได้แค่ดูอยู่ห่างๆ ทำไม? เจ้าอยากจะขึ้นไปแสดงความสามารถ จงใจจะแย่งโอกาสกับข้างั้นรึ?”

“ข้าเปล่า” ความกล้าทั้งหมดที่ฉินอี้เหยารวบรวมมาได้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น

“หึ ไม่คิดก็ดี” ฉินจิ่นห้าวปล่อยข้อมือของฉินอี้เหยาและไม่มองหน้านางอีก

การกระทำของทั้งสองนอกจากฉินจิ่นซิวที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้ว ก็ไม่มีใครเห็นอีก เขาเพียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ แล้วหันหน้าหนี

‘นี่แหละคือความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของคนในราชวงศ์’

ในขณะที่มองแผ่นหลังของพี่ชาย ในใจของฉินอี้เหยาก็เต็มไปด้วยความอ้างว้าง

สำหรับไทเฮาและเสด็จพ่อ นางก็เป็นเพียงหมากที่มีไว้ใช้จัดการกับตระกูลมู่

และสำหรับเสด็จแม่และเสด็จพี่ นางก็ยังเป็นหมากที่ต้องพร้อมจะเสียสละทุกอย่างในเวลาที่พวกเขาต้องการ

ไม่มีคนขึ้นไปบนเวที ก็จะไม่มีการเปรียบเทียบ ฉินจิ่นห้าวเห็นฉินจิ่นซิวขยับตัวเล็กน้อย ก็รีบกัดฟันลุกขึ้นยืน และเดินขึ้นเวทีไป

ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและรู้จักแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าทำให้ฮ่องเต้ฉินพึงพอใจ แต่ทำให้สายตาของรัชทายาทดูมืดครึ้มลง

บนใบหน้าอันสวยงามของเจียงกุ้ยเฟยทั้งภาคภูมิใจและได้ใจ

ฉินจิ่นห้าวยืนอยู่กลางเวที หันไปคารวะซือมั่วอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ยามปกติจิ่นห้าวเอาแต่มุ่งมั่นฝึกฝนพลังจนไม่ได้ใส่ใจความสามารถอื่นๆ ข้าน้อยก็มีเพียงความสามารถในการบรรเลงเพลงพิณที่พอจะดูได้อยู่บ้าง เพื่อความสำราญของมหาปราชญ์หวังว่าพระองค์จะไม่ทรงตำหนิ”

พูดจบองครักษ์ก็นำพิณโบราณขึ้นมาถวาย ฉินจิ่นห้าวนั่งลงอย่างสง่า นิ้วทั้งสิบค่อยๆ สัมผัสกับตัวพิณ

ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ความสามารถในการเล่นพิณของฉินจิ่นห้าวนั้นไม่เลวเลย

มู่ชิงเกอก้มหน้าลงฟังแอบเสพความสุนทรีย์ เพียงแต่น่าเสียดายจริง

มู่ชิงเกอส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเย้ยหยันความรู้สึกรักที่ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่งยอมเพื่อหญิงสาวได้ทุกอย่างที่เนื้อเพลงกำลังสื่อ เพราะหากเนื้อเพลงสื่อถึงสงครามคงจะเหมาะกับตัวเขามากกว่า

เสียดายจริงๆ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษบางคนที่ขึ้นมาแต่ไม่ได้เอาสมองมาด้วย มู่ชิงเกอค่อยๆ ก้มหน้าลงลิ้มรสสุราในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ เมื่อการแสดงของฉินจิ่นห้าวจบลง รอบข้างก็มีเสียง ‘ฮือฮา’ ดังขึ้น แต่ซือมั่วกลับไม่แสดงอาการใดๆ และไม่ได้เอ่ยชมอะไรทั้งนั้น ผลลัพธ์นี้ทำให้ฉินจิ่นห้าวสีหน้าดูเปลี่ยนไปก่อนจะลง

จากเวที

มีรุ่ยอ๋องขึ้นเปิดฉากก่อน ต่อมาชายหนุ่มจากหลายตระกูลก็ขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่องและสิ่งที่แสดงก็เป็นอะไรที่ซํ้าไปซํ้ามา มู่ชิงเกอชมการแสดงจนเริ่มเอือม ตอนที่ชายหนุ่มของตระกูลสุดท้ายขึ้นแสดง เป็นการแสดงฟันดาบ แต่ก็ยังคงไม่ทำให้ซือมั่งรู้สึกอะไรได้เลย

งานเลี้ยง ดูเหมือนกำลังจะเลิกราแล้ว มู่ชิงเกอกำลังคิดว่าในที่สุดก็จะได้กลับบ้านไปนอนแล้ว แต่ไม่คิดว่า อยู่ๆ น้ำเสียงลึกลับแปลกประหลาดก็ดังขึ้น “คุณชายตระกูลมู่ผู้ที่มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่ว เหตุใดถึงไม่ยอมขึ้นมาแสดงความสามารถถวายมหาปราชญ์สักหน่อยเล่า?”

มู่ชิงเกอน่ะหรือมีชื่อเสียงขจรไกล?

เป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ล่ะสิไม่ว่า!

ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ ต่างหัวเราะเยาะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

มู่ชิงเกอที่เริ่มจะเคลิ้มๆ พอได้ยินคำพูดนี้ก็เบิกตาโตในทันที สายตาอันเยือกเย็นเหมือนมีไหนเลยจะเหลือความง่วงงุนอยู่อีก แทบไม่ต้องเสียแรงนางก็หาเจ้าของเสียงนั้นเจอในทันที

เหอเฉิงนั่งอยู่ประจำที่ของตน นางเห็นรอยยิ้มอันเยือกเย็นของเหอเฉิง

“นั่นสิ! คุณชายตระกูลมู่ไม่สามารถฝึกฝนพลังได้คิดว่าคงใช้เวลามากมายไปกับเพลงกลอน ไม่สู้ให้คุณชายตระกูลมู่ออกมาแสดงให้ดูหน่อยเล่า”

ท่ามกลางผู้คนชายหนุ่มบางตระกูลที่สนิทสนมกับเหอเชิง ก็เริ่มส่งเสียงสนับสนุน

และบางคน แม้ว่าจะไม่สนิทกับเหอเฉิง แต่กลับเอาความไม่พอใจที่ได้รับจากสายตาเย็นชาของซือมั่วมาระบายใส่มู่ชิงเกอแทน

“ใช่ๆๆ! ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเจ้าชู้เสเพล ชื่อเสียงโด่งดัง สามารถเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอันดับ 1 ในลั่วตูได้ก็ถือเป็นความสามารถหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ลองแสดง ความสามารถนี้ออกมาให้พวกเราได้ชื่นชมเสียหน่อยเป็นไร”

“เพียงแต่ไม่รู้ว่า มู่ชิงเกอจะแสดงความสามารถว่าจะประมูลแย่งพวกนางโลมอย่างไร หรือจะแสดงว่าท่าทางโอ้อวดเป็นอย่างไร”

เสียงหัวเราะจากรอบๆ ดังขึ้น จนพวกเขาลืมไปแล้วว่า ซือมั่วก็อยู่ตรงนี้ และลืมไปแล้วว่าที่นี่คือพระราชวัง แต่พยายามจะระบายความไม่พอใจทุกอย่างลงกับเจ้า จอมเสเพลนี่

“ถ้าอย่างนั้นลองให้คุณชายตระกูลมู่แสดงความสามารถในการแต่งกลอนดูเถิด ได้ข่าวว่า คุณชายตระกูลมู่ *สามารถทำให้ผู้หญิงเปียกด้วยมือได้นี่นา” (พ้อง เสียงกับคำว่าแต่งกลอนอันไพเราะให้กับหญิงสาว) คำดูถูก ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ฮ่องเต้ฉินกลับไม่ได้ห้ามปราม เพียงนั่งชมสีหน้าที่แย่ลงเรื่อยๆ ของมู่ซง

“ไอ้พวก อื้อ…” เจ้าอ้วนเช่าอยากจะลุกขึ้นมาตอบ แต่ถูกพี่น้องในตระกูลของตนเองเอามือปิดปากและหยุดเสียงของเขาเอาไว้

ชายหนุ่มของทุกตระกูลต่างก็มาลงที่มู่ชิงเกอ ใช้นางมาเป็นที่ระบายอารมณ์และไม่มีใครสังเกตเห็นประกายเย็นเยียบจากสายตาของซือมั่วที่กำลังมอง ‘กำลัง สำคัญ’ ผู้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแห่งแควันฉินพวกนี้ สายตาราวกับมองดูคนที่ตายแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version