Skip to content

พลิกปฐพี 39

ตอนที่ 39

ใครเข้าตาเขาบ้าง?

ฉินจิ่นห้าวเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว เงาร่างสีขาวที่เดินลงมาทีละก้าวทีละก้าวจากขั้นบันไดสีดำบนฟากฟ้า ทำให้สายตาที่สูงส่งเย็นชามาโดยตลอดของเขาเต็มไป ด้วยความอิจฉาเป็นครั้งแรก มีสิทธิ์อะไร?! มีสิทธิ์อะไร?!

คนไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังได้ รู้จักแต่ทำตัวเสเพลไปวันๆ มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความโปรดปรานจากท่านผู้นี้?

เมื่อก่อน ถ้ามีคนบอกว่าสักวันเขาที่เป็นถึงรุ่ยอ๋องจะมีวันหนึ่งที่ต้องอิจฉาตระกูลมู่ เจียนบ้า เขาก็จะหัวเราะเบาๆ และสั่งให้คนไปตัดลิ้นเจ้าปากมากนั่นทิ้งเสีย

แต่ตอนนี้…

ฉินจิ่นห้าวไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขาอยากจะไปแทนที่มู่ชิงเกอและอยากจะเป็นคนที่เข้าตามหาปราชญ์และวันหนึ่งเขาก็จะได้เป็น ‘เซียน’ ผู้เป็นที่เคารพนับถือและยืนอยู่เหนือทุกคนเหมือนคนที่อยู่ตรงหน้านี้

เป็นผู้ชาย ใครบ้างที่ไม่มีความทะเยอทะยาน

และความทะเยอทะยานในตัวของฉินจิ่นห้าวมีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆไม่มีถดถอยลงแม้แต่นิด

ขอแค่คว้าโอกาสตรงหน้าเอาไว้ให้มั่น เขาก็อาจจะได้ขึ้นครองบัลลังก์และยืนอยู่ในจุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม มือทั้งสองข้างที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของฉินจิ่นห้าวกำเป็นหมัดแน่น ในสายตาของเขามีประกายแห่งความต้องการแรงกล้า ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มาขัดขวาง เขาก็จะฆ่ามันอย่างไร้ซึ่งปรานี

นี่หรือผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ใคร?

ฉินอี้เหยาจ้องชายชุดขาวตาไม่กะพริบ ราวกับว่าการปรากฏตัวของคนผู้นี้เป็นการเปิดทางสว่างทางใหม่ให้กับนาง

บางที นางอาจจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในวังอีกต่อไป

บางที วันหนึ่งนางก็อาจจะกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทุกทิศ

แค่…นางต้องเข้มแข็งขึ้น! เหมือนคนที่อยู่ตรงหน้า

คนจำนวนมากที่ยืนอยู่บนพื้นดิน จ้องเงาร่างสีขาวนั้น แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง

ในใจทั้งเกรงกลัวและชื่นชม แต่ที่มากที่สุดคือการยอมศิโรราบโดยไม่อาจต่อ ต้าน

มีคนเดียวที่ได้รับการยกเว้นจากความรู้สึกพวกนี้ คนๆ นั้นก็คือ มู่ชิงเกอ

สำหรับการปรากฏตัวทุกครั้งของนายตัวประหลาด นางมีเพียงคำเดียวมอบให้ “โอ้อวด”!

มู่ชิงเกอละสายตาจากท้องฟ้า มองคนตัวสูงสวมเสื้อสีเหลืองนวลนั่นโดยไม่รู้ตัว ไหล่ของเขากว้างมาก แต่กลับดูอ่อนแอมากเช่นกัน ในตอนนี้เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดในแผ่นดินนี้เช่นกัน

แต่ดวงตาที่ตาขาวและตาดำตัดกันอย่างชัดเจนคู่นั้น เหมือนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ยังคงแนบนิ่งเหมือนเดิมราวกับว่าไม่มีเรื่องใดในโลกใบนี้ที่จะทำให้เขาตื่นตระหนกได้เลย

เขาเหมือนเป็นคนนอก ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเท่านั้น

บางที อาจจะเป็นเพราะมู่ชิงเกอตั้งใจมองเขาเกินไป จึงทำให้คนบางคนไม่พอใจ

ทันใดนั้น แรงกดดันรอบด้านก็พลันเพิ่มขึ้นราวกับขุนเขาที่กดทับทุกคนเอาไว้โดยเฉพาะบริเวณของชายชุดเหลืองนวลที่ได้รับ ‘การดูแล’ เป็นพิเศษ

“อึก… ” เสียงอึดอัดดังขึ้นทำลายความเงียบ

แววตาของมู่ชิงเกอสาดประกายวาบ มองเห็นคนงามผู้นั้นกำลังใช้มือหนึ่งเพื่อจับขอบโต๊ะไว้ มือหนึ่งปิดปากตัวเองไว้ รอยแยกตรงปลายนิ้วที่ซีดขาวมีโลหิตสีแดงสะดุดตาให้เห็นอยู่รางเลือน นางขมวดคิ้ว สายตากวาดไปที่ชายผู้เหมือน ‘เทพเซียน’ ผู้นั้น

ฉับพลันแรงกดรอบด้านก็สลายไป ฝูงชนต่างพากันถอนใจโล่งอก ราวกับว่าได้เดินกลับมาจากความตายอย่างไรอย่างนั้น

และซือมั่วในชุดตัวยาวสีขาวก็เหินลงมาสู่พื้นดินอย่าง ‘สง่างาม’ และไปนั่งบนเก้าอี้ลายมังกรที่ทำจากหยกขาว ซึ่งเป็นที่ๆ ฮ่องเต้เตรียมไว้ให้

มังกรพยัคฆ์วายุที่เขานั่งมาเอาขาเหยียบพรมนุ่มหลากสีสันที่ปูเอาไว้บนพื้น แหงนหน้าคำรามเสียงตํ่าขึ้นฟ้าไปเสียงหนึ่ง มังกรพยัคฆ์วายุทั้ง 8 ตัว ก็กลายเป็นแสงสว่าง 8 ดวงในทันที ลอยเข้าไปในปากของมันและถูกมันกลืนลงไป

จากนั้นมันก็คลานเข้าไปอยู่ข้างๆ เท้าของเจ้าของแล้วหลับตาลงนอน

กู่หยาที่ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ลายมังกรก็ทำตัวดั่งเงา แฝงตัวอยู่ตรงมุมมืด

ฉากทั้งหมด เหมือนเป็นภาพมายา จนกระทั่งบันไดสีดำนั้นหายไป ทุกคนจึงค่อยๆได้สติ

มู่ชิงเกอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

อย่างไรก็ตาม ภาพที่มังกรพยัคฆ์วายุกลืนพวกเดียวกัน มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

‘เขาเก่งกาจระดับไหนเชียว? มากกว่าขั้นม่วงเลยรึ?’

“แค่ก แค่ก ” เสียงฝืนกลั้นอาการไอดังขึ้น

สายตาของซือมั่วที่ราวกับหยุดได้ทุกสรรพสิ่งนั้น ค่อยๆ ปรายตามองไปตามเสียงนั้น

ฮ่องเต้แคว้นฉิน เป็นผู้ที่มีความรู้สึกที่เฉียบไว ตอนฉินชางมองตามสายตาของเขาไปและมองเห็นร่างของคนที่ทำให้เขาเดียดฉันท์นัยน์ตาก็มีความเย็นเยียบวาบผ่าน รีบออกคำสั่ง “เสียนอ๋องไม่สบาย ยังไม่รีบส่งตัวเขาออกไปอีก”

นํ้าเสียงแบบนั้น ราวกับสั่งให้คนเอาของไร้ค่าชิ้นหนึ่งไปทิ้ง ไม่มีนํ้าเสียงของความเป็นห่วงเป็นใยอยู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีแม้แต่คำสั่งให้ไปเชิญหมอหลวง องครักษ์ในวังรับคำสั่งท่ามกลางความน่าเกรงขามของซือมั่ว พวกเขารีบพยุงฉินจิ่นเฉินออกไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบเงาร่างสีเหลืองนั้นไม่ได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย

พอคนที่ตนเองเกลียดจากไปแล้ว ฉินชางจ้องฮองเฮาอย่างตำหนิแวบหนึ่ง

หานฮองเฮารีบอธิบายเสียงเบาว่า “หม่อมฉันคิดว่าอย่างไรเขาก็เป็นโอรสองค์หนึ่งของฝ่าบาท”

เจ้าตัวอัปมงคลแบบนั้น คู่ควรกับการจะเป็นลูกชายของเขาหรือ? หากไม่ใช่เพราะต้องรักษาชื่อเสียง เขาคงจะทำให้ไอ้เด็กผลาญบิดามารดาคนนี้ตายไปตั้งนานแล้ว

ฉินชางแอบคิด แต่ไม่กล้าพูดออกมา

เพราะเขาไม่กล้าให้ท่านที่นั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดในงานเลี้ยงรู้ว่าเขามีใจคิดจะฆ่าลูกของตนเอง

“นั่ง” เสียงที่ฟังดูเย็นชาจนทำให้ผู้คนไม่อาจต่อต้านดังขึ้นอีกครั้ง

ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ โน้มตัวลงขอบพระทัย แล้วนั่งลงกับที่ ในเวลานี้ ราวกับว่าคนชุดขาวที่นั่งอยู่บนแท่นสูงนี่ต่างหากจึงจะเป็นเจ้าของตัวจริงของที่นี่ หลังจากที่ฉินชางนั่งลง ก็แอบส่งสายตาให้กับไทเฮา พอไทเฮาพยักหน้าทีหนึ่ง เขาจึงหันกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพูดว่า “มหาปราชญ์ เสด็จมายังเมืองฉินของข้า ถือเป็นเกียรติของแคว้นเรายิ่งนัก วันนี้ในวังจึงจัดงานเลี้ยง ข้อแรก เพื่อต้อนรับองคมหาปราชญ์ และ ข้อสอง เพื่อให้องค์มหาปราชญ์ทรงเมตตาลองดูว่าหนุ่มสาวรุ่นใหม่คนใดในแคว้นฉินที่ฝีมือพอใช้ได้ ไม่ทราบมหาปราชญ์ทรงคิดเห็นว่าอย่างไร?” คำพูดพวกนี้ ถือว่าพูดอย่างชาญฉลาด

ไม่ได้พูดตรงๆ ว่า ไหนๆ ท่านก็มาแคว้นฉินแล้ว ข้าก็ต้อนรับท่านอย่างดี ท่านรับหนุ่มสาวของแคว้นฉินกลับไปเป็นศิษย์ให้พวกเราสร้างความสัมพันธ์อันดีกันไว้ เพียงแต่ ซือมั่วเป็นใครกัน?

เมื่อได้ยินคำพูดอ้อมค้อมประโยคนี้ มุมปากเขาก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

ความเยือกเย็นนั้น ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง พวกแก่ๆ ก็กลัวจะทำให้ท่านไม่พอใจ หนุ่มสาวก็กำลังคิดอยู่ว่าจะแสดงฝีมือของตนเองอย่างไรดี หน้าผากสองด้านของฉินชางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ในตอนที่เขาใกล้จะรับไม่ไหวแล้วกล่าวขออภัยกับคำที่พูดไปนั้น เสียงคล้ายจะหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า ‘ดี’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version