Skip to content

พลิกปฐพี 38

ตอนที่ 38

เขาเป็นเซียน!

มังกรพยัคฆ์วายุพวกนี้ไม่มีอยู่ในหลินชวน และพวกมันเป็นสัญลักษณ์ของชายผู้เก่งกาจที่สุดในผืนแผ่นดินนี้ ว่ากันว่าทุกที่ๆ เขาปรากฏกายจะต้องมีมังกรพยัคฆ์วายุลากรถให้เขา

และลือกันว่า มังกรพยัคฆ์วายุที่ดูน่าเกรงขาม ท่าทางดุร้าย และมีระดับฝีมือไม่ย่อหย่อนไปกว่ายอดฝีมือขั้นนํ้าเงินเลยสักนิด เป็นสัตว์ที่เขานำกลับมาตอนออกไป เที่ยวเล่นนอกเขตอาณาจักร สัตว์ที่ดูดุร้ายขนาดนี้กลับคู่ควรแค่ลากรถให้กับเขา

แสดงว่าความแข็งแกร่งของเขาคงจะเหนือระดับของแผ่นดินผืนนี้ไปมากแล้ว กระทั่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ก็ยังไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมอง

ฮ่องเต้ของแคว้นฉิน ฉินชาง ยอมรับว่าเคยเจอลมพายุที่รุนแรงมาก่อน แต่แวบแรกที่เห็นเกี้ยวสีดำสนิทที่มังกรพยัคฆ์วายุลากมา ก็สั่นไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้ ต้องเข้าใจว่า ในหลินชวนมีแคว้นมากมาย และระหว่างแคว้นด้วยกันก็มักจะมีปัญหาขัดแย้งกันตลอด แต่อาณาจักรเซิ่งหยวนก็ยังสามารถคงอยู่ในแผ่นดินนี้ได้อย่างมั่นคง เป็นอาณาจักรอันดับ 1 เพียงหนึ่งเดียว ส่วนใหญ่แล้วก็พึ่งพาชายผู้เก่งกล้าท่านนี้

ถ้า…ถ้า ความโชคดีแบบนี้จะเกิดขึ้นในแคว้นฉินล่ะก็

เขาก็จะ…

ฉินชางตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งริมฝีปากก็เริ่มสั่นระริก

ไม่ว่าอย่างไร จะต้องคิดหาวิธีให้องค์มหาปราชญ์รั้งอยู่ที่แคว้นฉินให้ได้! แม้จะไม่สามารถอยู่ตลอดไป ก็ต้องรีบสร้างสัมพันธ์เข้าไว้

เพราะตัดสินใจเอาไว้แต่แรกแล้ว เมื่อเห็นเกี้ยวมังกรพยัคฆ์วายุ ก็ยิ่งรู้สึกมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิมสายตาคนที่ลึกลํ้าของฉินชาง ค่อยๆ กวาดมองบรรดาชายหนุ่มแต่ละคน

ในงานเลี้ยงโดยไม่พูดอะไร เหมือนกับว่าทุกอย่างจะสำเร็จตามฟ้าหมายหรือไม่นั้น กุญแจสำคัญอยู่ที่ ‘กำลังหลักของแคว้น’ กลุ่มนี้

ในขณะนั้น ฉินชางราวกับได้ยินบรรดาแคว้นอื่นๆ สรรเสริญเยินยอตัวเขา ภาพของการประจบประแจงนี้ทำให้เขายิ้มอย่างเปี่ยมสุข

เกี้ยวมังกรพยัคฆ์วายุ เพียงพริบตาก็วูบจากขอบฟ้ามาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าบริเวณงานเลี้ยงของพระราชวังในทันที

ความเร็วอันน่าตื่นกลัวนั่น ทำเอาผู้คนที่อยู่ข้างล่างตกใจ ความแตกต่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง

ฉินชางที่เพิ่งได้สติจากความตกใจรีบนำทุกคนคุกเข่าลงทำความเคารพ “ฮ่องเต้แคว้นฉิน ฉินชาง ประชาชน และราชวงศ์น้อมต้อนรับองค์มหาปราชญ์!”

ขณะที่ทุกคนจะคุกเข่า มู่เกอที่ต้องคุกเข่าลงทั้งที่ในใจไม่ยินยอม แอบบ่นและจดบัญชีนี้ไว้ในใจ ทันใดนั้น เงาสีดำเงาหนึ่งก็วาบผ่านไปปรากฏตัวหน้าเกี้ยวมังกร พยัคฆ์วายุ

คนผู้นั้นพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านประมุขสั่งว่าไม่ต้องคุกเข่า”

หืม?

คำสั่งนี้หยุดทุกคนที่กำลังจะคุกเข่าไว้ทัน ทำให้มู่ชิงเกอที่ไม่ยอมคุกเข่าไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของใคร

นางยักคิ้วเบาๆ รู้สึกเหมือนคนเสื้อดำผู้นั้นกวาดตามองนางแวบหนึ่ง

“ขอบพระทัยองค์มหาปราชญ์ ขอบพระคุณใต้เท้าท่านนี้” ฉินชางพูดด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยการสำนึกบุญคุณ ในใจรู้สึกว่ามหาปราชญ์ให้ความสำคัญกับแคว้น ฉิน

“ไม่ต้อง” กู่หยาตอบกลับอย่างเยือกเย็นและมองฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ครู่หนึ่ง หากไม่ใช่ว่าท่านประมุขของพวกเขารู้ว่าแม่นางผู้นั้นจะต้องไม่ยอมคุกเข่าลง และไม่อยากสร้างปัญหาให้นางแล้วล่ะก็ หาไม่จะสั่งเช่นนี้ทำไม?

เอ ~! ตั้งแต่พบกับคนผู้นี้ ท่านประมุขของพวกเขาจากที่เป็นภูเขานํ้าแข็งก็ละลายกลายเป็นเพียงแม่นํ้าอบอุ่นสายหนึ่ง

“ท่านปู่ ท่านยืนกลางอากาศได้หรือไม่” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ถามมู่ซงเสียงต่ำ

มู่ซงตอบว่า “ถ้าทะลวงขั้นนํ้าเงินขึ้นไปได้ก็จะสามารถยืนกลางอากาศได้ แต่จะได้นานแค่ไหนนั้นก็ต้องดูพลังจิตอีกที ปู่ของเจ้าสามารถยืนได้เพียงแค่ชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”

พูดจบก็มองคนที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างง่ายดายด้วยความอิจฉา

ความจริงแล้วการที่กู่หยาสามารถยืนบนอากาศหรือเดินกลางอากาศได้ไม่ใช่เรื่องแปลก คนที่สามารถอยู่ข้างกายคนผู้นั้นได้ จะอ่อนฝีมือได้อย่างไรเล่า?

ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นพลังฝีมือขั้นม่วงในตำนานก็เป็นได้ เอาผู้แข็งแกร่งระดับขั้นม่วงมาเป็นผู้รับใช้?

เมื่อความคิดนี้แพร่กระจายไปในหมู่ลูกชายตระกูลต่างๆ สายตาที่พวกเขามองเกี้ยวมังกรพยัคฆ์วายุก็ร้อนขึ้นมา

แม้กระทั่งองค์หญิงฉางเล่อที่ปกติแล้วเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ตอนนี้ก็มองไปยังเกี้ยวสีดำสนิทด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าคนในเกี้ยวคือความหวังเดียวของนาง หากสามารถกราบเขาเป็นอาจารย์ได้ล่ะก็ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องตกเป็นตัวหมากตัวหนึ่งในวังวนราชวงศ์แห่งนี้ได้ ก่อนหน้านี้ที่นางถามเรื่องของมหาปราชญ์จากมู่ชิงเกอ นางไม่ได้ถามเพื่อท่านแม่หรือพี่ชาย แต่เพื่อตนเอง

“เรียนท่านมหาปราชญ์งานเลี้ยงตระเตรียมพร้อมแล้ว ขอเชิญท่านมหาปราชญ์” ฮ่องเต้ผู้ส่งศักดิ์กลายเป็นคนเชิญแขกไปเสียแล้ว แต่เมื่อนึกถึงผลประโยชน์ในอนาคต ฉินชางก็ต้องยอมแต่โดยดี

รุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวแอบสบตากับรัชทายาทฉินจิ่นซิว ในสายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งการแก่งแย่ง

ฉินจิ่นห้าวแค่นเสียงเย็น เขามั่นใจในความสามารถของตนเองเต็มร้อย

ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้คว้าโอกาสในการทำความรู้จักกับมหาปราชญ์ไว้ให้ดี ครั้งนี้เขาจะไม่ทำผิดซํ้าสอง และยิ่งกว่านั้นคือมหาปราชญ์เหมือนจะมีความรู้สึกดีๆให้กับ เจ้าคนไร้ค่าอย่างมู่ชิงเกอ และไอ้เจ้าไร้ค่านั้นก็แอบมีใจคิดไม่ซื่อกับเขาไม่ใช่หรือ?

บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาส!

แม้ว่าฉินจิ่นห้าวจะไม่รู้ว่าทำไมมหาปราชญ์ถึงได้พอใจคนไร้ค่าคนหนึ่ง แต่เขากลับเชื่อว่ามหาปราชญ์ก็คงเพียงหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกของมู่ชิงเกอเท่านั้น คงจะคิดว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง แต่รอให้เขารู้ว่ามู่ชิงเกอก็เป็นได้แค่คนไร้ค่า เขาก็จะต้องเลิกสนใจมู่ชิงเกอและหันเหสายตาอาทรนั้นมาที่เขาแทนแน่

อีกอย่าง ในแคว้นฉินแห่งนี้ความสามารถของเขาเองก็ถือว่ายากจะพานพบในรอบร้อยปี

และเขาก็มีน้องสาวที่มีพรสวรรค์ไม่แพ้กัน นี่ไม่ใช่จะยิ่งเข้าตามหาปราชญ์มากกว่าผู้อื่นหรอกรึ?

กรรร์~~~!

อยู่ๆ มังกรพยัคฆ์วายุทั้งหลาย ก็ส่งเสียงขู่อย่างพร้อมเพรียงกัน

กระแสกดดันทะลุก้อนเมฆลงมา ทำให้คนบนพื้นต่างก็ตื่นตระหนก

ความคิดของทุกผู้พลันหยุดลง ต่างแหงนหน้าขึ้นมองเกี้ยวมังกรพยัคฆ์วายุบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว

กู่หยา ยืนกอดกระบี่ มองด้านล่างอย่างไม่แยแส

ฉินชางรีบพูดด้วยความตื่นตระหนก  “ใต้เท้า เรา…ข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือเปล่า?”

‘เจ้าไม่ได้ทำ แต่ท่านประมุขของพวกข้าไม่พอใจที่เจ้าคิดไม่ซื่อกับตระกูลมู่ และตั้งใจใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือให้แก่ตัวเอง’ กู่หยาคิดในใจ แต่ไม่ได้ตอบฉินชาง

ท่าทางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาทำให้ฉินชางที่เคยชินกับการถูกทุกคนปกป้องเอาใจเกิดโทสะ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร

เขาแค่หวังว่างานเลี้ยงในคืนนี้จะไม่ล้มเหลว

ทันใดนั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ เสียงอันน่าดึงดูดยากจะคาดเดาของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล “หนวกหู” คำคำเดียวราวกับเป็นมนต์สาปแช่งที่ร้ายแรงก็ไม่ปาน ทำให้มังกรพยัคฆ์วายุต่างเงียบและก้มหน้าลง

ทุกผู้ที่อยู่บนพื้นดินยิ่งไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ราวกับว่าที่ทั้งหมดต่างเงียบลงกะทันหันเพราะคนผู้นี้บอกว่าเสียงดังเกินไป คำๆ นี้ไม่มีน้ำเสียงของการกดดันข่มขู่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ทุกคนบนพื้นรู้สึกราวกับว่ารอบด้านถูกปิดตายไว้ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ และคนเดียวเป็นข้อยกเว้นก็คือมู่ชิงเกอที่รู้จักคนๆ นี้อยู่แล้ว

อยู่ๆ เกี้ยวก็พลันเปลี่ยนรูป

ในสายตาของทุกคน คือ มีพายุสีดำพัดผ่านเกี้ยวสีดำนํ้าหนักมหาศาลหลังนั้นพลันหายไปมีบันไดสีดำเป็นขั้นๆ จากบนลงล่างขึ้นมาแทนที่

มังกรพยัคฆ์วายุทั้งแปดตัวแบ่งเป็นสองฝั่งก้มลงคารวะอย่างนอบน้อม

มังกรพยัคฆ์วายุตัวที่เหลือเป็นตัวที่ศีรษะใหญ่ที่สุดและดูน่าเกรงขามที่สุด เวลานี้กลับอยู่ใต้ร่างคนผู้หนึ่งเป็นเก้าอี้ให้แก่เขา

ชุดสีขาวที่ปลิวไปมาแม้ไร้ซึ่งแรงลม ราวกับเป็นเพียงแสงสว่างแสงเดียวที่มีอยู่ท่ามกลางรัตติกาล ปลายแขนเสื้อสีม่วงดูสูงส่งน่าค้นหา ราวกับเป็นสีที่เกิดขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

ผมยาวราวหมึกดำนั้น เพียงรวบไว้อย่างลวกๆ ประกอบกับชุดสีขาว ก็ราวกับสีขาวและดำทั้งหมดบนโลกนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

เจิดจ้าดั่งดวงตะวัน เกรงว่านี่คงเป็นความประทับใจแรกของทุกคนตอนที่เห็นซือมั่ว

เพราะเจ้าจะเห็นหน้าเขาไม่ชัด จะรู้สึกได้เพียงว่าตัวเขาเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้าจนไม่กล้าสบมองตรงๆ กลับเป็นความรู้สึกอดไม่ได้ที่จะต้องคุกเข่า ในตอนที่เขาเผยใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติให้ทุกคนด้านล่างได้เห็นอย่างชัดเจนนั้น

แทบจะทุกคนต่างก็สูดหายใจเย็นเยียบ ถูกใบหน้าละเอียดงามเป็นหนึ่งดั่งหยก งามราวชาวสวรรค์จนลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง

เวลานี้ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์สามัญและเซียนช่างชัดเจนเหลือเกิน

พวกเขาเป็นมนุษย์สามัญ แต่ท่านนี้…คือเซียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version