Skip to content

พลิกปฐพี 37

ตอนที่ 37

พบคนงามอมโรคอีกครา มหาปราชญ์เสด็จแล้ว!

เพราะความจำที่ดีเยี่ยม ทำให้มู่ชิงเกอกลับมายังสถานที่จัดงานเลี้ยงได้อย่างง่ายดาย เมื่อนางกลับมาถึง ก็เห็นคนจำนวนมากอยู่ในงานเลี้ยงแล้ว สามารถปรากฏตัวในงานเลี้ยงในพระราชวังแบบนี้ แน่นอนว่า ฐานะของคนพวกนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มู่ชิงเกอแทบจะไม่รู้จักใครเลย

เห็นผู้คนทักทายกัน นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองแปลกแยก แน่นอนว่าสายตาเสียดสีและรอยยิ้มเย้ยหยันที่ดูราวกับมองมาอย่างไม่ใส่ใจของคนพวกนั้นที่มองมายังนาง ทำให้นางรู้ว่า ตนเองดูไม่น่าคบหาเท่าใดนัก

มู่ชิงเกอเบะปากอย่างไม่สนใจ และในขณะที่ตัดสินใจจะเดินไปหาที่นั่งที่จัดไว้ให้กับตระกูลมู่ ก็ได้ยินเสียงของท่านอาดังขึ้น

“ชิงเกอ ทางนี้”

พอเงยหน้าขึ้น มู่ชิงเกอเห็นมู่เหลียนหรงกำลังโบกมือให้นางท่ามกลางฝูงชนและข้างกายนางก็มีมู่ซงที่สวมชุดขุนนางยืนอยู่ด้วย

ท่าทางเปี่ยมพลังและความน่าเกรงขามของมู่ซง ดูสะดุดตายิ่งนักแม้อยู่ท่ามกลางฝูงชน

หลายคนอยากจะเดินเข้าไปคารวะแต่เพราะท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของเขา ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไป

ในแคว้นฉิน พูดได้ว่ามู่ชิงเกอทำให้คนรู้สึกรังเกียจ แต่มู่ซงกลับชวนให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใส

คามแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดเจนนี้หากเป็นมู่ชิงเกอคนเก่า คงจะรู้สึกผิดหวังเสียใจแต่มู่ชิงเกอในตอนนี้กลับไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย นางเผยรอยยิ้มเรียบเฉยให้กับทั้งสองแล้วเดินเข้าไปหา

ท่าทีสง่างามกำเริบเสิบสานและความสงบนิ่งแบบนั้นของนางทำให้คนรอบข้างต่างก็จับจ้อง

ราวกับว่า ในใจของพวกเขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่านั้นคือคุณชายตระกูลมู่แน่หรือ เหตุใดจึงเหมือนมีสิ่งใดไม่เหมือนเดิม

“ท่านปู่ ท่านอา” เมื่อเดินเข้าไปใกล้ มู่ชิงเกอก็ทักทายทั้งสองก่อน

มู่ซงที่แอบสังเกตท่าทางของนางอยู่ ยิ่งรู้สึกพอใจ

เป็นคนไร้ค่าแล้วอย่างไร! แต่ก็ยังสามารถทำให้ทุกคนไม่กล้าดูถูกและเกรงกลัวอำนาจของตระกูลมู่ได้อยู่ดี!

“เด็กบ้า เจ้าไปไหนมา แล้วองค์หญิงเล่า?” มู่เหลียนหรง ยื่นมือไปดึงมู่ชิงเกอมาใกล้แล้วกระซิบถามเสียงเบาที่ข้างหูนาง

มู่ชิงเกอแอบคิดในใจว่า นางจะรู้ได้อย่างไรเล่า? แต่ปากก็ยังตอบว่า “องค์หญิงมีธุระต้องไปจัดการ ข้าจึงเดินเล่นอยู่ในอุทยานเพียงลำพัง” ความจริงแล้วบางทีมู่ ชิงเกอก็ไม่เข้าใจความคิดของมู่เหสียนหรงนัก

เรื่องราวของตระกูลมู่ เท่าที่มู่เหลียนหรงเคยเล่าให้ฟัง เห็นได้ชัดว่านางสงสัยบรรดาเชื้อพระวงศ์ ถ้าอย่างนั้น เหตุใดถึงยังต้องการให้มีการแต่งงานระหว่างนางกับคนในเชื้อพระวงศ์เกิดขึ้นด้วย?

ราวกับว่ากลัวว่านางจะไม่ได้แต่งงานกับองค์หญิง ถึงขั้นจะยัดเยียดแม่ดอกบัวขาวนั้นให้กับนางด้วย

“เจ้าซื่อบื้อ! ปกติบอกว่าตนเป็นจอมเจ้าชู้เสเพล แต่มีโอกาสดีๆ แบบนี้ไยไม่รู้จักรักษาเอาไว้ ปีหน้าเจ้าก็จะเข้ารับการสวมหมวกแล้ว เมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเข้า พิธีวิวาห์และมีลูกหลานเพื่อสืบทายาทให้แก่ตระกูลมู่สืบไป แต่หากไปทำให้พระคู่หมั้นไม่พอใจ แล้วไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า ข้ากับท่านปู่เจ้าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน” มู่เหลียนหรงบ่นยืดยาว

มู่ชิงเกอพลันเข้าใจทุกอย่างในทันที

ความเป็นจริงแล้วมู่เหลียนหรงทำไปก็เพราะ…

แต่ว่านางคงต้องผิดหวังเสียแล้ว

ไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าร่างกายแต่เดิมเป็นหญิง ไม่อาจมีลูกกับผู้หญิงด้วยกันได้ถึงแม้ว่าเครื่องมือมายาจะเหมือนจริงเพียงไหน แต่เรื่องแบบนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ หากสักวัน ฐานะที่แท้จริงของนางปรากฏ แล้วให้นางไปหาผู้ชายสักคนเพี่อให้กำเนิดทายาท แค่คิดนางก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวแล้ว

“เหอะๆ ท่านอา ท่านช่างว่างเสียจริง” มู่ชิงเกอยิ้มเย้ย

มู่เหลียนหรงอึ้งที่ได้ยินคำพูดกับนํ้าเสียงเอือมระอาของหลานชาย นางยกมือขึ้นกำลังจะตีแต่ถูกมู่ซงห้ามเอาไว้ “พอเถอะ จะทำอะไรก็ดูก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน” พูดจบเขาก็นำทั้งสองเดินไปยังที่นั่งประจำของตระกูลมู่

พอได้ยินท่านพ่อสั่ง มู่เหลียนหรงก็ไม่พูดอะไรต่ออีก แต่จ้องมู่ชิงเกอเพี่อเป็นการตักเตือน

มู่ชิงเกอยิ้มบางเดินตามมู่ซงไปอย่างไม่สนใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นของมู่ชิงเกอทำให้มู่เหลียนหรงโกรธจนเกือบจะเดินไปดึงหูของมู่ชิงเกออย่างไม่ให้เกียรติสถานที่

ที่นั่งของตระกูลมู่ถูกจัดให้อยู่ถัดจากที่นั่งขององค์ฮ่องเต้

เดิมทีที่นั่งขององค์ฮ่องเต้ต้องอยู่สูงที่สุด แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม ตำแหน่งที่นั่งของฮ่องเต้เหมือนจงใจจะทำให้ตํ่าลงกว่าเดิมเล็กน้อย ด้านบนที่นั่งยังจงใจเว้นที่นั่งกว้างไว้อีกที่หนึ่ง ที่นั่งนั้นมีเก้าอี้และโต๊ะที่แกะสลักจากหยกขาวโปร่งแสงดั่งหิมะวางอยู่

ด้านบนวางอุปกรณ์รับประทานอาหารเอาไว้ เมื่อเทียบกับของฮ่องเต้แล้วดูสวยงามและหรูหรากว่าเล็กน้อย ทุกอย่างดูสูงค่ากว่าคนธรรมดา 1 ระดับ

มู่ชิงเกอตามมู่ซงไปนั่งตรงที่นั่งของตระกูลมู่ ค่อยๆ กวาดสายตามองที่นั่งสูงตรงนั้น ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอก นางก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นเป็นที่นั่งของใคร นางกล้ายืนยันว่าที่ตรงนี้เตรียมไว้ให้เจ้าเฒ่าประหลาดนั่นแน่นอน

‘ดูไม่ออกเลยนะ ว่าเจ้าแก่ฮ่องเต้ฉินนี่จะเคารพนับถือนายตัวประหลาดมากขนาดนี้’

มู่ชิงเกอแอบคิดในใจ ‘นายตัวประหลาด’ เป็นสรรพนาม ‘ด้วยความเคารพ’ ที่นางใช้เรียกซือมั่ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งที่คิดว่าเขามีอายุเป็น 1000 ปีแล้วก็ทำให้นางนึกถึงสัตว์ประหลาดผีร้ายที่อยู่คับฟ้า ที่นางเคยได้ยินมาเมื่อชาติที่แล้ว แน่นอนว่ารูปโฉมอันหล่อเหลาเป็นหนึ่งของซือมั่วทำให้เขาดูเหมือนเทพเซียนเสียมากกว่า แต่ว่าหากจะให้นางเรียกไอ้ถํ้ามองคนนั้นว่า “พี่ชายเซียน” มัน คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

“เกอเอ๋อร์ องค์มหาปราชญ์มาที่แคว้นฉินจริงๆ แล้วท่านเคยไปหาเจ้าหรือเปล่า” อยู่ๆ มู่ซงก็ถามเสียงตํ่า ขัดจังหวะความคิดของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอรีบดึงสติตัวเองกลับมามองท่านปู่แล้วตอบว่า “ข้าอยู่ในตำหนักทุกวัน เจอใครบ้างท่านปู่ก็น่าจะรู้ดีที่สุด”

สายตาที่ดูมีความหวังของมู่ซงเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง เพราะคำตอบแสน ‘จริงใจ’ นี้ เขาถอนหายใจแล้วพูดเองเออเองว่า “หรือว่าวันนั้น มหาปราชญ์จะพูดไปอย่างนั้นเอง? ท่านผู้เฒ่าคงลืมเจ้าไปแล้วกระมัง”

คำพูดของมู่ซง มู่ชิงเกอได้ยินทุกคำและทำให้นางรู้สึกอึดอัด

นางรู้ว่าท่านปู่ผู้เก่งกล้าในชาตินี้ของนาง ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะให้นางพึ่งบุญบารมีของผู้มีอำนาจในการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยต่อไป

แต่นางกลับไม่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น!

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรต่อและสังเกตแขกรอบๆ อีกครั้ง ทันใดนั้นนางเห็นเจ้าอ้วนเช่าที่โบกมือให้นางสุดแรงเกิด อยู่บนที่นั่งซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากนาง

ไม่คิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเชิญตระกูลเช่ามาด้วย

มู่ชิงเกอยิ้มให้เขา ยังไม่ทันได้หุบยิ้ม ก็รู้สึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตและความโกรธแค้นที่มองนางอยู่ มู่ชิงเกอค่อยๆ หันหน้าไปมองที่นั่งตรงมุมที่ดูมืดๆ เห็นเป็นเหอเฉิงที่นั่งอยู่เพียงลำพัง

เหอะ เขาก็มาด้วยรึ?

จะว่าไปแล้ว ตระกูลเหอก็ช่างกล้า ทำเรื่องไว้ขนาดนั้น ยังกล้าปล่อยเขาออกมาให้ขายหน้า หรือว่างานเลี้ยงครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นจึงจำเป็นต้องให้หนุ่มสาวทุก ตระกูลมาเข้าร่วม?

ในใจพลันสว่างวาบ มู่ชิงเกอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มหยอกเย้าไปให้เหอเฉิง ในใจวางแผนอะไรบางอย่าง

แม้ว่าการปรากฏตัวของเจ้าอ้วนเช่า จะทำให้นางรู้สึกแปลกใจ และเหอเชิงที่ควรจะหลบคำนินทาอยู่ที่บ้านก็มาปรากฏตัวในที่แห่งนี่

พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง

อื้ม เป็นการรวมพลหนุ่มสาวผู้มากความสามารถแห่งเมืองลั่วตูแคว้นฉินโดยแท้

เมื่อสักครู่นางไม่ทันได้สังเกต แต่ตอนนี้มู่ชิงเกอรู้แล้วว่างานเลี้ยงต้อนรับของนายตัวประหลาดในครั้งนี้เหมือนจะเชิญคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยมาเข้าร่วม และใบหน้าของหนุ่มสาวทั้งหลายต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น

ราวกับว่างานเลี้ยงต้อนรับในครั้งนี้ เป็นงานเลี้ยงเลือกคู่และสาวงามที่ทุกคนต่างก็อยากจะแย่งชิงก็คือนายตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ

หืม! มู่ชิงเกอตกใจกับความคิดของตนเอง

แม้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกของนางกำลังบอกนางว่าการคาดเดานี้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว

ในระหว่างที่สายตาของมู่ชิงเกอกำลังกวาดมองไปรอบๆ ก็มีอะไรบางอย่างสีเหลืองนวลวาบผ่านตานางไป นางอึ้ง และจ้องนิ่งที่คนๆ นั้นในทันที

‘เป็นเขา!’ พอเห็นใบหน้าอันขาวซีดดวงนั้นชัดเจนแล้ว มู่ชิงเกอก็แอบคิดในใจ

สีเหลืองนวลที่กระจ่างนั้น เมื่อสวมใส่อยู่บนตัวเขา แล้วกลับดูโดดเด่น หน้าตางดงามดั่งภาพวาด แต่เพราะความขาวซีดที่ต่างจากคนทั่วไปของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาแตกสลายโดยไม่รู้ตัว

ราวกับว่า ภายในอาณาเขต 6 ฟุตรอบตัวเขาเป็นพื้นที่ ที่ ‘ห้ามเข้าใกล้’

มาร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังแบบนี้ ผมยาวของเขากลับไม่ได้รวบขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ปล่อยให้มันปลิวไสวไปตามสายลม เขานั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ราวกับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่? เขาเป็นใครกัน?

มู่ชิงเกอถามตัวเองในใจ

แต่ด้วยความบังเอิญจึงสบเข้ากับดวงตานิ่งสงบไร้อารมณ์คู่นั้นเข้า ฉับพลัน ทุกอย่างรอบด้านค่อยๆ เงียบลง ราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงนางกับเจ้าของสายตาคู่ นั้น

เย็นชาเสียจริง!

มู่ชิงเกอพยายามดึงสติของตนเองกลับมา ดึงเสียงฮือฮารอบข้างกลับมา อุณหภูมิที่ลดลงก็ราวกับค่อยๆ เพิ่มขึ้นดังเดิม นางเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรแต่ยังคงสบตากับ คนที่นั่งอยู่ไกลลิบๆ ผู้นั้น

‘ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนหรือพบเจอกับอะไร ถึงจะทำให้สายตาของคนๆ หนึ่งเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเขาขังตัวเองไว้ท่ามกลางปราสาทหิมะ ไม่ยอมให้อุณหภูมิที่สูงเกินไปได้เข้าใกล้’

“ท่านอา คนๆ นั้นคือใครกัน” มู่ชิงเกอโน้มตัวไปหามู่เหลียนหรงแล้วถามเบาๆ

มู่เหลียนหรงเงยหน้าขึ้นมองตามมู่ชิงเกอแค่ชั่วขณะเดียวแล้วรีบดึงสายตากลับมา พูดกับนางเสียงเบาว่า “เขาคือเสียนอ๋อง เกิดมาก็ทำให้เสด็จแม่ของตนเองต้อง ตาย ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ชอบเก็บตัวไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้นัก ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้จัก ไม่แน่ว่ากระทั่งคนในวังเองก็อาจจะไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”

เสียนอ๋อง ? คนที่ทำให้เสด็จแม่ของตนต้องตาย? ร่างกายไม่แข็งแรง?

สิ่งที่มู่เหลียนหรงอธิบาย ก็ดูเข้ากันกับท่าทางอันเยือกเย็นของเขา บางทีความเยือกเย็นแบบนั้นอาจบ่งบอกถึงความผิดหวังและใช้ชีวิตบนโลกโดยไม่หวังสิ่งใด

มู่ชิงเกอเม้มปากก้มหน้าลงไม่มองเขาอีก

ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับตัวนาง นางก็จะไม่เสียเวลาไปคิด ในตอนนี้สิ่งที่นางสนใจคือข่าวที่มู่เหลียนหรงเผลอหลุดออกมา

นั่นก็คือสายข่าวของตระกูลมู่ องค์ชายที่แม้กระทั่งคนในวังก็ไม่รู้จัก แต่มู่เหลียนหรงแค่มองไกลๆ ก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร นอกจากพวกเขาจะรู้จักและสนิทสนมกันอยู่แล้วก็มีอีกความเป็นไปได้ที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้นั่นก็คือมู่เหลียนหรงมีข้อมูลของเสียนอ๋องผู้นี้อย่างละเอียด จึงทำให้สามารถบอกได้ในแวบแรกที่เห็น

สายข่าวแบบนี้ถือเป็นของดี! มีค่ามหาศาลเซียวนะ!

มู่ชิงเกอกลืนนํ้าลายด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นเพียงจอมเสเพลไม่มีสิทธิ์จะรู้

ความลับของตระกูลมู่ ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ แต่กลัวว่าหากนางยิ่งรู้ความจริงมาก เพียงใด ก็จะยิ่งง่ายต่อการตกเป็นเครื่องมือของคนรอบข้างเพียงนั้น

ตอนนี้ คนกลุ่มหนึ่งที่มีคนคอยคุมกันอย่างดีก็เดินเข้ามา

การเข้ามาของพวกเขา ทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มเงียบ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน

มู่ชิงเกอยืนขึ้นตามมู่ซง และเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นางรู้จัก ฉินจิ่นห้าว ฉินอี้เหยา ยังมีไทเฮา และเจียงกุ้ยเฟย

ชายชุดสีเหลืองทองอร่ามลายมังกรที่เดินอยู่หน้าสุด ไม่รู้จักก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร

น่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ปล่อยให้นางรอเก้อในวันนั้น

หน้าตาก็ดูพอใช้ได้ ท่าทางกล้าหาญเกรียงไกร แต่ในแววตามากแผนการทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกไม่ชอบข้างๆ ตัว เขามีหญิงสาวที่สวยใสผุดผ่องยืนอยู่สองนาง แต่เหมือนจะอายุไม่น้อยแล้ว นางที่บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎหงส์ท่าทางสูงสง่าเปี่ยมศักดิ์น่าจะเป็นภรรยาเอกของฮ่องเต้ ฮองเฮาแห่งแคว้นฉิน และอีกคนที่สวมชุดผ้าไหมสีขาวปักลายดอกไม้สีม่วง หน้าตาสวยสดงดงาม ท่าทางดูอ่อนโยนดุจสายนํ้า ดูจากการแต่งตัวของนางแล้ว น่าจะเป็นหนึ่งในสนมคนใดคนหนึ่งของฮ่องเต้

ข้างหลังฮองเฮามีชายคนหนึ่งเดินตามมา รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับฉินจิ่นห้าวหลายส่วน แต่เหมือนฮองเฮามากกว่า เพียงแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ทำลายความสูงส่งที่ถ่ายทอดมาจากฮองเฮาไปเสียหมด เขาสวมชุดสีเหลืองสีอ่อนกว่าของฮ่องเต้เล็กน้อย และ มงกุฎที่ประดับบนศีรษะก็บ่งบอกถึงฐานะของเขาได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ไม่ต้องให้มู่เหลียนหรงบอก มู่ชิงเกอก็เดาออกว่าชายคนนี้เป็นลูกชายของฮ่องเต้แล้วยังเป็นรัชทายาทที่ฮองเฮาให้กำเนิด

‘เหอๆ เป็นคนเหมือนกันแต่โชคชะตาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ ต่างก็เป็นลูกชายของฮ่องเต้เหมือนกันแท้ๆ แต่เสียนอ๋องกลับถูกลืม’ มู่ชิงเกอแอบถอนหายใจแต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

ในกลุ่มคนที่เดินมานางไม่เห็นองค์หญิงตัวน้อยที่เจอเมื่อตอนเย็นเลย พอคิดทบทวนสักพักนางก็เข้าใจแล้วว่าในพระราชวังแห่งนี้ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคงจะไม่สามารถร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ได้และอาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้ผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลผู้นี้ในใจมีแผนการอะไรบางอย่าง

มู่ชิงเกอหยุดคิดและยืนอยู่ข้างๆ มู่ซงอย่างสงบเสงี่ยม แต่ว่าฮ่องเต้ที่มาช้ากลับไม่ได้นั่งประจำที่ แต่นำทุกคนยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง อยู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดลงเล็กน้อย เสียงกระดิ่งลมดังขึ้น

ทุกคนเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือมังกรพยัคฆ์วายุท่าทางดุร้ายน่าเกรงขามหลายตัวกำลังลากรถสีดำหนักอึ้งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version