ตอนที่ 446
วันปิดรับสมัครของสำนักวิถีโอสถ
เมื่อเดินไปถึงมุมลับตาคน ร่างของมู่ชิงเกอก็วาบเข้าไปในช่องว่าง
เมื่อเข้าไปในช่องว่าง มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้ว่าภาพตรงหน้ามืดลง นางถูกซือมั่วโอบกอดเอาไว้
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าซุกซนมาก” ซือมั่วโอบกอดมู่ชิงเกอแล้วยกนางขึ้นมา หันกายก้าวไปที่เตียงใหญ่
การเคลื่อนไหวดูเชี่ยวชาญมาก ไม่มีพลาดเลยสักนิด เมื่อร่างกายที่สูงเพรียวของมู่ชิงเกอถูกซือมั่วโอบกอดไปเช่นนี้ก็เปลี่ยนเป็นดูเล็กลงมาก
มู่ชิงเกอตกตะลึง นางมองไปยังซือมั่วอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าเขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก
เมื่อเขาวางนางลงบนเตียงแล้วกดร่างลงมา มู่ชิงเกอถึงได้สติขึ้นมา
นางดันสองมือเอาไว้ที่หน้าอกของเขา แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
ซือมั่วยิ้มอย่างชั่วร้าย พูดอย่างจับผิดว่า ”เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าลอบทำร้ายข้า เจ้าว่าข้าจะทำอะไร? แน่นอนว่าต้องสานต่อเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ…”
เขาทั้งพูดทั้งปีนขึ้นมา ใช้มือและเท้ากักขังมู่ชิงเกอเอาไว้ใต้ร่าง
มู่ชิงเกอถูกเขาขังเอาไว้ใต้ร่าง ลมหายใจถี่กระชั้น นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ทำเพื่อเจ้า ด้วยร่างกายของเจ้าในตอนนี้ต้องได้รับการพักผ่อน ไม่เหมาะที่จะออกกำลัง กาย…อืม…แค่ก….หักโหมเกินไป”
“ข้าไม่ขยับก็ได้ ให้เจ้าขยับ” เมื่อซือมั่วพูดจบก็จับเอวของมู่ชิงเกอแล้วพลิกนางขึ้นมาด้านบน
มู่ชิงเกอรู้สึกเพียงว่าถูกพลิกกลับ แล้วนางก็ไปนั่งอยู่บนเอวของซือมั่ว ตอนนี้เขาใช้มือทั้งสองจับเอวของนาง ส่วนมือของนางก็กดลงบนหน้าอกของเขา คร่อมอยู่บนเอวของเขา
ท่าทางคลุมเครือนี้ชวนให้คนเกิดความคิดฟุ้งซ่านได้จริงๆ!
มู่ชิงเกอรู้สึกอาย บิดเอวเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อึม…” ใครจะรู้ว่าซือมั่วจะส่งเสียงที่ทำให้คนหน้าแดงหูแดงออกมา
ชั่วขณะนั้นแก้มของมู่ชิงเกอก็แดงก่ำขึ้นมาราวกับถูกลวก
นางทุบอกของเขาแล้วก็พยายามลงจากร่างกายของเขา ส่วนซือมั่วก็ไม่ได้ห้ามนาง
มู่ชิงเกอกระโดดลงจากเตียง สร้างระยะห่างจากซือมั่ว
“แค่ก” มู่ชิงเกอสะบัดแขนเสื้อเอามือปิดปากพร้อมไอออกมาเบาๆ กลบเกลื่อนความอายของตนเอง
ซือมั่วนอนอยู่บนเตียง ใช้มือยันศีรษะ มองดูนางพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนลึกของนัยน์ตาสีอำพันสะท้อนเพียงภาพของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองไปที่เขา เห็นเสื้อของเขาคลายออก เผยให้เห็นแนวเส้นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบและแนวกระดูกไหปลาร้าอันละเอียดอ่อน
แม้ว่าจะถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมแต่ก็ไม่สามารถปิดบังเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบของเขาได้
เส้นผมยาวที่ไม่ได้ถูกมัดรวบเอาไว้ ตกลงมาตามธรรมชาติรวมไปกับผ้าห่มเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน
รูปโฉมอันงดงามทำให้ท้องฟ้าดูอับแสงไป ความงดงามนี้ทำให้มู่ชิงเกอกลืนนํ้าลายลง
‘น่าตายนัก! ผู้ชายคนนี้ยั่วยวนนางอีกแล้ว! นางต้องสงบใจเอาไว้! ต้านทานต่อสิ่งล่อใจ!’
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์นานๆ ครั้งไม่เป็นอะไรหรอก” นํ้าเสียงราวกับยาเสน่ห์ของซือมั่วดังขึ้น
ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมา นางรู้สึกว่าคำพูดของซือมั่วมีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งกว่าเม่ยจีที่มีมนต์เสน่ห์เสียอีก! นางแทบไม่มีทางต่อต้านเลยเมื่ออยู่ ต่อหน้าเขา
‘ต้องโทษเขาที่หล่อเหลาเกินไป!’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ
แม้แต่นางที่ไม่ได้บ้าผู้ชายหล่อก็ยังเป็นเช่นนี้ มิน่าถึงมีผู้หญิงตั้งมากมายมาชอบเขา!
“ถ้าหากว่าทำได้ ข้าอยากจะขังเจ้าเอาไว้ที่นี่ไม่ให้ใครได้พบเห็นอีก!” มู่ชิงเกอกัดฟันพูดออกมา
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” นัยน์ตาของซือมั่วมืดทึบลง อะไรบางอย่างในดวงตาสั่นไหว
เขากำลังยั่วยวนมู่ชิงเกออยู่จริงๆ แต่มู่ชิงเกอก็ยั่วยวน เขาเช่นกันมิใช่หรือ? ฟ้าเป็นพยาน เขาจำเป็นต้องใช้สติอย่างมากที่จะควบคุมตนเองไม่ให้กดนางลงบนเตียง เพื่อทำตามความปรารถนา
ถึงแม้ว่าเขาจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่เขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาไม่ใช่คนที่ชอบถูกควบคุม หากคิดจะมีนางไปตลอดก็ต้องรู้จักว่าควรหยุดตอนไหน ควรยอมตอนไหน ไม่ฝืนใจนาง
ดังนั้นตอนนี้เขาถึงทำได้แค่เพียงยั่วยวนนางให้ทนไม่ไหว
ไม่ฝืนใจนาง
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ ลอบกัดปลายลิ้นของตนเอง เพื่อทำให้ตนเองมีสติ
“ข้าจะไปปรุงยา เจ้าพักผ่อนเถอะ” มู่ชิงเกอหันหน้าไปไม่มองเขาอีก
ซือมั่วมองแผ่นหลังที่เหยียดตรงของนาง นัยน์ตาสีอำพันฉายแววผิดหวัง แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนินางเพราะเขารู้ดีว่าที่มู่ชิงเกออดทนก็เพราะไม่อยากจะให้ร่างกายของ เขาเกิดปัญหาอะไรขึ้น
แต่ต้องอดทนไปอีกนานแค่ไหนกัน?
นัยน์ตาของซือมั่วทึบแสงลง นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา…
ร่างของเขาเปล่งแสงวาบ หายตัวไปจากเตียง…
ในตอนที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็อยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ แนบชิดไปกับแผ่นหลังของนาง ใช้สองมือโอบกอดตัวนางเข้ามาในอ้อมอก
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…”
เสียงของซือมั่วดังขึ้นที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ ทำให้แผ่นหลังของนางแข็งทื่อ
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอดกลั้นนานๆ ก็ทำให้ย่ำแย่ได้” ซือมั่วใช้สองมือนวดเบาๆ ที่เอวของมู่ชิงเกอ ทำให้ร่างกายของนางเกิดความรู้สึกคันยุบยิบ
นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววปรารถนา เป็นสิ่งที่หัวใจที่โดดเดี่ยวมานับหมื่นปีไม่เคยมี
‘อดกลั้นนานๆ ก็ทำให้ย่ำแย่ได้งั้นหรือ?’
ซือมั่วถอนหายใจอยู่ในใจ เขาไม่ใกล้ชิดกับผู้หญิงมานับหมื่นปีก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร พอตอนนี้มีนางอยู่ข้างกายแล้ว เขากลับอยากพัวพันนางทุกคืนทุกวัน?
เขากลัวจริงๆ ว่าจะทำให้คนในอ้อมอกตกใจ
คำพูดของซือมั่วทำให้มู่ชิงเกอไร้คำพูดที่จะตอบโต้ นางคิดอยากจะแกล้งพูดแทงใจไปสักหลายประโยค แต่เมื่อคิดถึงสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้แล้ว ก็รู้สึกสงสาร
“แค่ก…เรื่องนั้น..สีหน้าของมู่ชิงเกอดูกระดากใจ นางก้มหน้าลง ไม่มองซือมั่ว พูดด้วยนํ้าเสียงที่ดูไม่ปกติว่า “ก่อนที่ร่างกายของเจ้าจะฟื้นฟู ให้สิบวันต่อหนึ่งครั้ง”
พูดแล้วนางก็รีบหนีออกจากอ้อมกอดของซือมั่ว พุ่งเข้าไปในห้องปรุงยาด้วยสองแก้มที่แดงกํ่า
‘น่าตายนัก! น่าตายนัก! เพียงแค่เรื่องของผู้หญิงผู้ชายเท่านั้นเอง? ทำไมถึงได้อายขนาดนี้!’ มู่ชิงเกอทั้งวิ่ง ทั้งดูแคลนปฏิกิริยาของตนเอง
ซือมั่วยืนยิ้มอยู่ที่เดิมเพราะความยินดีที่เหนือความคาดหมาย
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยบอกเสี่ยวเกอเอ๋อร์ว่าตอนที่นางเขินอายนั้นยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่” ซือมั่วพูดกับตัวเอง
ซือมั่วสลัดเงาร่างของมู่ชิงเกอไปจากหัวใจไม่ได้
ความรักและคิดถึงนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกวัน แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกกลัว
ทันใดนั้นสีหน้าของซือมั่วก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้น เขาคิดไปถึงตอนที่อยู่ในวังไท่ฮวงก่อนหน้านี้ หลังจากลูกน้องทั้งสี่รายงานเรื่องราวแก่เขาเสร็จ
ชิงเหยียนและหลิงจิวกลับไม่รู้จักที่ตายถามเขาถึงที่มาของเสี่ยวเกอเอ๋อร์!
ท่าทางของพวกเขาแสดงออกว่าชอบเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา!
“ชิ! ลงโทษให้พวกเขาไปเฝ้าดินแดนเวิ้งว้างหลายปีถือว่าเบาสำหรับพวกเขาเกินไปแล้ว!” ซือมั่วพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดำทะมึน
ส่วนในขณะเดียวกันนี้ เจ้าเมืองย่อยทั้งสองที่ถูกเขาลงโทษให้ไปเฝ้าดินแดนเวิ้งว้างก็มีสีหน้าขมขื่น พวกเขาเพียงแต่ถามถึงบ้านเดิมของพระชายาเท่านั้น เพื่อที่จะ เลียนแบบองค์ราชาไปหาคู่หมายที่เหมาะสมที่นั้น แต่กลับถูกลงโทษให้มาที่นี่
ดินแดนเวิ้งว้างเป็นสถานที่ว่างเปล่า อย่าพูดถึงผู้หญิงเลย แม้แต่คนสักคนก็ไม่มี
พวกเขาเจ้าเมืองย่อยทั้งสองคนมาเฝ้าอะไรอยู่ที่นี่กัน?
“แก้แค้น! นี่เป็นการแก้แค้น!” หลิงจิวพูดอย่างคับข้องใจ
ชิงเหยียนก็มองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด พูดในใจอย่างเจ็บปวดว่า ‘องค์ราชาผู้กล้าหาญไร้เทียมทานเปลี่ยนเป็นคนขี้หึงและใจแคบไปตั้งแต่เมื่อไหร่?’
สำนักวิถีโอสถ ภาคตะวันออก
สำนักวิถีโอสถจะรับสมัครศิษย์สามปีครั้ง ทุกๆ ครั้งก็มักจะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง มีคนนับไม่ถ้วนดั้นด้นเดินทางมาที่นี่ บางทีก็เป็นบรรดาอาจารย์ปรุงยาที่ฝ่าความยากลำบากข้ามภูเขาข้ามทะเลเดินทางมาที่นี่เพื่อเข้ารับการทดสอบ
ผู้ที่มีพรสวรรค์ก็จะถูกสำนักวิถีโอสถคัดเลือก ได้กลายเป็นเด็กฝึกหัดหรือไม่ก็อาจารย์ปรุงยา
หากไม่มีพรสวรรค์ แต่โชคดีก็อาจจะได้เป็นผู้คุ้มกันของสำนักวิถีโอสถ ถึงแม้จะไม่ใช่อาจารย์ปรุงยาแต่อย่างน้อยก็ได้ทำความรู้จักกับอาจารย์ปรุงยา มีเส้นสายของตนเองซึ่งก็เป็นผลดีอย่างหนึ่ง
ภายในโลกแห่งยุคกลางนั้น หากสามารถรู้จักกับอาจารย์ปรุงยาได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว
รู้จักกับอาจารย์ปรุงยาก็หมายความว่าหากต้องการยาก็สามารถไปหาอาจารย์ปรุงยาที่คุ้นเคย ซึ่งดีกว่าจะไปเสี่ยงโชคซื้อจากที่อื่น
สำนักวิถีโอสถเป็นเหมือนกับเมืองๆ หนึ่ง
เพียงแต่ไม่เหมือนกับเมืองทั่วไปตรงที่หากไม่ใช่ช่วงเวลารับศิษย์ ที่นี่ก็จะถูกปิดตาย ห้ามไม่ให้คนนอกเข้า
มีเพียงแต่ช่วงเวลารับสมัครศิษย์เท่านั้นที่โรงเตี๊ยม ร้านเหล้า ร้านนํ้าชา ร้านค้าจะเปิดให้กับคนนอก
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง มีคนหนุ่มสาวสี่คนรวมตัวอยู่ด้วยกัน
สี่คนนี้ คนหนึ่งสะอาดสะอ้านไร้มลทิน คนหนึ่งหล่อ หลาสง่างามดุจต้นไผ่ ส่วนผู้หญิงอีกสองคนก็งดงามไปคนละแบบ คนในชุดสีขาวเหมือนภูเขาหิมะอันศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งและเยียบเย็น ทำให้คนทั่วไปไม่กล้าลบหลู่หรือเข้าใกล้ ส่วนอีกคนก็ดูมีเสน่ห์ โดยเฉพาะไฝที่ใต้ตาทำให้นางดูมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น
เมื่อทั้งสี่คนนั่งอยู่รวมกันก็เกิดภาพอันงดงาม ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงที่ต้องการเข้ามาคุยก็ต้องถอยออกไปอย่างลังเลเมื่อมองเห็นสัญลักษณ์บนหน้าอกของสามคนในนั้น
เพราะสัญลักษณ์นั้นหมายถึงส่วนในของสำนักวิถีโอสถ…นั้นไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้!
ส่วนในของสำนักวิถีโอสถนั้นหมายถึงว่าสามคนนั้นล้วนแต่เป็นศิษย์ชั้นยอดของสำนักวิถีโอสถ
“คิดไม่ถึงว่าหลายปีมานี้ชิงเกอจะพบเจอเรื่องมากมายขนาดนั้น! พวกเราสามคนกลับไม่ได้อยู่ข้างกายนาง ลำบากศิษย์พี่เหมยแล้ว”
เหมยจื่อจ้งยิ้มบางๆ “สามารถอยู่ข้างกายชิงเกอก็เป็นโชคดีอย่างหนึ่ง แต่พวกเจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว หลายปีมานี้เรียนรู้อยู่ในสำนักวิถีโอสถจนวิชาปรุงยาก้าวหน้า จนข้าที่เป็นศิษย์พี่ตามหลังแล้ว”
ถึงเขาจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงความอิจฉาริษยาหรือเสียใจเลย
เพราะในใจของเขานั้นการติดตามมู่ชิงเกอเป็นเรื่องสำคัญกว่า ส่วนวิชาปรุงยา…แต่เดิมก็เป็นความฝันที่ เขาใฝ่ฝันมาโดยตลอดแต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลงชื่อแล้ว” ทันใดนั้นซางจื่อซูก็มองออกไปยังกลุ่มคนด้านนอกแล้วพูดออกมา