ตอนที่ 456
ดื่มชาพูดคุยเรื่องชิงอิง!
“ศิษย์น้องมู่ใช่ไหม? ศิษย์พี่เหยาเชิญไปพบ” คนที่มาพูดกับมู่ชิงเกอ
“ศิษย์พี่เหยา?!”
มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูดอะไรจ้าวหนานชิงก็เอ่ยออกมาอย่างแปลกใจก่อน
สีหน้าของซางจื่อซูและจูหลิงก็ฉายแววเคร่งเครียด แยกกันไปยืนด้านหน้าข้างซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอ
ท่าทางที่ดูตื่นตกใจของทั้งสามคนทำให้คนที่มายิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จ้าวหนานชิงยิ้มแล้วเอ่ยกับคนที่มาว่า “ศิษย์พี่รอสักครู่”
จากนั้นเขาก็กระตุกแขนเสื้อของมู่ชิงเกอ พานางไปมุมอับสายตาแล้วกระซิบถามว่า “เหยาชิงไห่คนนี้เคยเป็นอันดับสามบนทำเนียบชิงอิง ทั้งยังเป็นประมุขน้อย ตระกูลเหยาแห่งเมืองเฟิงเจี้ยง ทั้งยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้าสำนักวิถีโอสถ เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเราทุกคน เขาไปมาอย่างลึกลับและก็ไม่ชอบสนิทสนมกับศิษย์น้องในสำนัก นิสัยเย่อหยิ่ง เหตุใดถึงได้สนใจเจ้า ทั้งๆ ที่เจ้าเพิ่งจะเข้ามา”
นํ้าเสียงของจ้าวหนานชิงดูจนปัญญา
ความโดดเด่นของมู่ชิงเกอนั้นเขารู้ดีมาโดยตลอด และก็รู้ว่าอาศัยความสามารถของนาง เมื่ออยู่ภายในสำนักวิถีโอสถก็ต้องเผชิญหน้ากับเหยาชิงไห่เข้าสักวัน แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงวันแรกก็มาแล้ว เร็วเกินไปหน่อย
ความร้อนใจของเขาไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกร้อนใจตามไปด้วย
เรื่องที่เหยาชิงไห่สนใจนางนั้นเริ่มนับตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
ครั้งนี้ที่เข้ามาในสำนักวิถีโอสถ ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับหนังสือท้ารบของเขา แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการไปด้วย การเผชิญหน้ากันระหว่างทั้งสองคนเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น
“คงไม่ใช่เพราะเจ้ากลายเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิงแล้ว ทำให้เขาต้องถอยหลังไปหนึ่งตำแหน่งจึงอยากจะสร้างความลำบากให้เจ้าหรอกนะ?” จ้าวหนานชิงขมวดคิ้วเดาออกมา
ความคิดของเขาก็คือไม่อยากให้มู่ชิงเกอไป
แต่ว่า…
มู่ชิงเกอขัดจังหวะความคิดของเขา เอ่ยกับเขาว่า “ข้ากับเหยาชิงไห่เจอกันแล้วเมื่อประมาณสองปีก่อน ตอนนี้ ข้ามาถึงถิ่นของเขา เขาเชิญข้าไปพบก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร”
“พวกเจ้าเคยพบกัน?” จ้าวหนานซิงยิ่งแปลกใจ
“ตามที่ข้ารู้มา เหยาชิงไห่นั้นออกจากภาคตะวันออกน้อยมาก ส่วนเจ้าก็เพิ่งมาภาคตะวันออกเป็นครั้งแรก พวกเจ้าไปพบกันที่ไหน?”
“ลั่วซิงเฉิง” มู่ชิงเกอตอบ
จ้าวหนานชิงชะงักไปแล้วก็เข้าใจในทันที
เรื่องที่ลั่วซิงเฉิงก่อตั้งเมืองในปีนั้นทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง เหยาชิงไห่มีสถานะเป็นประมุขน้อยตระกูลเหยา การไปของเขาจึงสามารถเข้าใจได้
“เช่นนั้นเขา…” จ้าวหนานชิงยังคงเป็นห่วงมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในปีนั้นก่อนที่เขาจะจากไปได้สั่งให้ผู้ติดตามมาส่งหนังสือท้าประลองให้ข้า”
ไม่ผิด เป็นผู้ติดตามไม่ใช่ตัวเหยาชิงไห่เอง
จากจุดนี้มู่ชิงเกอก็มองออกแล้วว่านี่เป็นคนที่หยิ่งผยองและถือตัวมากคนหนึ่ง
ความหยิ่งผยองนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเขาคิดว่าตนเองสูงส่ง แต่หาคนที่ทำให้เขายอมรับจากใจจริงได้ยากก็เท่านั้น
ถึงแม้การประมูลในชั้นหนึ่ง มู่ชิงเกอจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็เพียงดึงดูดความสนใจของเขาเท่านั้นไม่ได้ทำให้ยอมรับทั้งหมด
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องมาส่งหนังสือท้าประลองด้วยตนเอง
“เขาท้าประลองกับเจ้า!” จ้าวหนานชิงสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายแววตกใจ
ดูเหมือนกำลังมองเห็นภาพการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อยู่ในจินตนาการ!
เพียงแต่การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่การฆ่าล้างแต่เป็นการประลองความสามารถและความเข้าใจในวิถีโอสถ!
หลังจากจิตใจสงบลงแล้ว จ้าวหนานซิงถึงได้เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าจะไปไหม?”
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้ม ถ้าหากพูดว่านางเป็นศัตรูในจินตนาการของเหยาชิงไห่ เช่นนั้นเขาก็ต้องเป็นศัตรูในจินตนาการของนางในด้านวิถีโอสถเช่นเดียวกัน การได้พบกับคู่มือเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างหนึ่ง นางก็สมควรจะไปพบ ‘ศัตรู’ อย่างเป็นทางการสักครั้ง
เกรงว่าเหยาชิงไห่ก็คิดเช่นนี้ถึงได้ให้ลูกน้องในส่วนในมาเชิญนาง
จ้าวหนานชิงเห็นว่ามู่ชิงเกอได้ตัดสินใจแล้วจึงไม่ได้พูดมากอีก เขาพยักหน้าแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าระวังตัวด้วย พวกข้าจะพาศิษย์พี่เหมยไปชมดูรอบๆ ก่อน หากเวลาพอสมควรแล้วก็จะกลับมา พวกเราจะรอเจ้าอยู่ในที่พักของเจ้า”
“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้า
หลังจากพูดคุยกับจ้าวหนานซิงเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เดินไปตรงหน้าของคนๆ นั้น เอ่ยกับเขาว่า “เชิญนำทาง”
คนอื่นมีมารยาทกับนาง นางก็ต้องปฏิบัติอย่างสุภาพเช่นกัน
คนๆ นั้นพยักหน้าแล้วหันกายไปนำทาง ส่วนมู่ชิงเกอก็ตามเขามุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในส่วนใน
เงาร่างคนค่อยๆ น้อยลง มีสิ่งก่อสร้างที่งดงามละเอียดซับซ้อน ทั้งยังมีบรรยากาศที่สวยงามและสูงส่ง
‘สถานะของเหยาชิงไห่ในสำนักวิถีโอสถสูงส่งขนาดนี้ คิดว่าที่พักคงจะไม่เลวร้าย’ สภาพแวดล้อมเหมือนแดนสวรรค์ทำให้มู่ชิงเกอทอดถอนใจ
คนๆ นั้นพามู่ชิงเกอมายังที่ที่สภาพแวดล้อมหรูหราแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยกับนางว่า ”ศิษย์พี่เหยาอยู่ที่นี่ เขาบอกว่าเมื่อเจ้ามาถึงแล้วก็เข้าไปได้เลย ข้าไม่เข้าไปแล้ว”
พูดจบแล้วเขาก็หันกายจากไป ไม่ได้ชักช้า
มู่ชิงเกอแปลกใจ คิดไม่ออกว่าเหยาชิงไห่จะเล่นอะไร ระหว่างทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องคราวหลังแน่นอน
ความเกี่ยวข้องเพียงอย่างเดียวของทั้งสองคนก็คือ หนังสือท้ารบของเหยาชิงไห่เมื่อสองปีก่อน
‘หรือที่เขาเรียกหาข้าในครั้งนี้ก็เพื่อจะพูดถึงเรื่องนี้?’ มู่ชิงเกอคาดเดาความคิดของเหยาชิงไห่ นางก้าวเข้าไปในเรือนหลังเล็ก
ภายในเรือนให้ความรู้สึกสว่างไสว ป่าที่อุดมสมบูรณ์ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่าสถานที่ที่ตนเองเข้ามานั้นไม่ใช่เรือนที่พักแต่เป็นป่าไม้แห่งหนึ่ง มีเสียงนํ้าไหลข้างๆ หู หัวใจของมู่ชิงเกอสั่นไหวตามเสียงนํ้าไป
หลังจากเดินผ่านเส้นทางป่าหนาแน่น นางก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าสว่างจ้าขึ้น นํ้าตก ตกลงมาจากฟากฟ้าลงไปในสระ
สระนํ้าใสสะอาด ภายในสระมีหญ้านํ้าเกิดขึ้นเต็มไปหมด ทั้งยังมีปลาหลายตัวว่ายอยู่ในนั้น บนขอบฝั่งมีหินกองอยู่ เกิดเสียงสะท้อนของนํ้าออกมา
“เจ้ามาแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงแสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าของของสถานที่แห่งนี้ มู่ชิงเกอหันมองไปก็มองเห็นว่ามีศาลาไม้ที่เรียบง่ายและสง่างามอยู่ด้านข้างสระนํ้า
และก็มีคนๆ หนึ่งนั่งบนพื้นกำลังชงชาอยู่
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง จดจำสถานะของเขาได้ในทันที ‘เหยาชิงไห่’
ถึงแม้นางเคยพบเหยาชิงไห่เพียงครั้งเดียวเมื่อสองปีก่อน แต่นางก็ยังจำใบหน้าของเขาได้
“เข้ามานั่ง” เหยาชิงไห่เงยหน้ามองนาง นํ้าเสียงดูไม่ใส่ใจ
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่มู่ชิงเกอก็ยังได้ยินถึงกลิ่นอายทรงอำนาจในนํ้าเสียง
เป็นกลิ่นอายอำนาจของผู้ที่มีตำแหน่งสูง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเดินไปยังศาลา
นางเข้าไปในศาลาแล้วก็ตรงเข้าไปนั่งที่นั่งว่างตรงข้ามเหยาชิงไห่
ชาร้อนจอกหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “ลองชาสมุนไพรที่ข้าปรุงขึ้นเองดู ช่วยสร้างสมาธิ ดื่มบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายสมดุล”
มู่ชิงเกอยกจอกชาขึ้นมาที่ริมฝีปาก ดื่มไปหนึ่งคำ หลังจากวางจอกชาลงไปแล้วนางถึงได้พูดว่า “อืม ไม่เลว
หากว่าเพิ่มกลิ่นชวนฉงจือเข้าไปก็จะดีกว่านี้อีก”
เหยาชิงไห่เลิกคิ้วขึ้น มองนางอย่างสนใจแล้วก็ยิ้มออกมา
มู่ชิงเกอเหลือบมองเขาแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าอยู่ที่นี่ คิดว่าประมุขน้อยเหยาคงลงแรงไปไม่น้อยถึงได้ทำให้สำนักวิถีโอสถยอมยกเว้นให้ข้า”
เหยาชิงไห่ยิ้มกว้างขึ้น เขาไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของมู่ชิงเกอ “บังเอิญได้ยินเรื่องที่เจ้าต้องการเข้าสู่ส่วนในโดยตรง ข้าจึงพูดมากไปนิดหน่อย”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “ก็ไม่ถือว่าพูดมาก ถือว่าได้ช่วยข้า แต่ว่าประมุขน้อยเหยาคงไม่ได้ทำเรื่องนี้เพราะต้องการคำขอบคุณจากข้า เพราะหากข้าต้องการเข้าร่วมงาน ชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็ต้องอยู่ในส่วนใน”
มือของเหยาชิงไห่ที่กำลังคนชาอยู่ชะงักเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบคำ
ที่เขาช่วยพูดก็ไม่ใช่เพราะต้องการคำขอบคุณจากมู่ชิงเกอ
สองปีก่อนเขาให้คนทิ้งคำพูดเอาไว้ และก็คือหนังสือท้าประลอง ภายในคำพูดได้ระบุถึงเวลาที่จะจัดงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้เอาไว้ และก็แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจะประลองกับมู่ชิงเกอในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ
เขาเป็นอาจารย์ปรุงยา เมื่อพบคนที่สนใจในทางเดียวกันก็ต้องอยากจะประลองฝีมือในวิชาปรุงยา
ดังนั้นหากจะพูดว่าเขาช่วยมู่ชิงเกอให้เข้าส่วนในได้ ยังไม่สู้พูดว่าเขาทำเพื่อประลองกับอีกฝ่ายดีกว่า
มู่ชิงเกอมองความเกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจนถึงพูดเช่นนี้ออกมา
“แต่เนื้อหาในการทดสอบทั้งสามนั้นข้าไม่รู้” เหยาชิงไห่วางที่คนชาในมือลง มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ที่เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อพูดเรื่องเหล่านี้งั้นหรือ? เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น”
เหยาชิงไห่ยิ้มบางๆ บนใบหน้าปรากฎเสน่ห์อันมีเอกลักษณ์ออกมา “ในเมื่อเข้าสู่ส่วนในแล้ว ตามกฎเจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่”
มู่ชิงเกอหัวเราะไม่ได้ต่อคำ
เมื่อเห็นนางนิ่งเงียบ เหยาชิงไห่ก็ไม่ได้ฝืน เพียงแต่เอ่ยว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพียงรู้สึกว่าพวกเราสองคนสมควรพบกันอย่างเป็นทางการสักครั้ง ในลั่วซิงเฉิงครั้งนั้นไม่มีโอกาสเช่นนี้”
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
“และข้าก็จะได้ถือโอกาสคุยกับเจ้าเรื่องอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงพอดี” เหยาชิงไห่ล้อเล่น
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง นัยน์ตาเกิดประกายแสงออกมา นางพูดยั่วยุว่า “ข้ายังคิดว่าประมุขน้อยเหยาที่สงบเสงี่ยม ไม่สนใจชื่อเสียงเหล่านี้เสียอีก ดูแล้ววันนี้เจ้าคงคิดจะพิสูจน์ว่าอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงของข้านั้นเป็นของจริงหรือไม่ใช่ไหม”
“เพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น ใครก็มีเป็นธรรมดา เจ้าไม่ต้องประชดข้า” รอยยิ้มของเหยาชิงไห่ไม่เปลี่ยน ความมีมารยาทของเขาทำให้มู่ชิงเกอต้องมองใหม่
เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “อยู่ดีๆ เจ้าก็มีชื่อเสียงขึ้นมา ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็โด่งดังไปทั่วโลกแห่งยุคกลาง ตอนนี้ก็ยังเอาชนะเว่ยมั่วลี่กลายเป็นอันดับหนึ่งบน ทำเนียบชิงอิงอีก เรื่องราวทั้งหมดของเจ้าล้วนแต่ทำให้คนรู้สึกสงสัยต้องการศึกษา แต่ตอนนี้นอกจากที่รู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซางแล้ว เรื่องที่เหลือก็ไม่มีอีก”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ฟังที่เหยาชิงไห่พูด
คนที่มาสืบเรื่องนางแน่นอนว่าจะไม่ได้รับข่าวสารที่มีประโยชน์ เรื่องของตระกูลเล่อในครั้งนั้นทำให้นางให้ความสนใจกับเบื้องหลังของตนเองและเก็บรักษามัน เป็นอย่างดี
นางไม่อยากจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกครั้ง ดังนั้นหลังจากที่สร้างเขี้ยวมังกรขึ้นมาแล้ว นางก็ร่วมมือกับหานฉายไฉ่ปิดกั้นทุกเส้นสายที่คิดจะสืบประวัติของนาง ภายในสองปีมานี้ นางได้สร้างข้อสงสัยขึ้นมากมาย ทำให้คนยากที่จะสืบหาความจริง ภายในนั้นซือมั่วก็ลงแรงไปไม่น้อย โลกแห่งยุคกลางในตอนนี้ คิดว่าคงจะมีแค่ตำหนักเทพเท่านั้นที่จะมีอำนาจพอจะสืบหาประวัติของนางได้
“เจ้าไม่ยอมให้คนสืบก็เอาเถอะ ข้าสามารถเข้าใจได้ เพราะข้าก็ไม่ชอบให้ใครมาแอบสืบเรื่องของข้าลับหลังเช่นกัน” เหยาชิงไห่เอ่ย
คำพูดของเขาดูเหมือนกับการพูดคุยเล่นๆ ทั่วไป แต่ก็ดูเหมือนกำลังจะพูดอะไร
สรุปแล้วตอนนี้มู่ชิงเกอยังไม่รู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขา เพียงแต่ตัดสินว่าเหยาชิงไห่เป็นคนที่เก่งในการเจรจาต่อรองคนหนึ่ง
“ตอนนี้ เจ้าเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง ส่วนเว่ยมั่วลี่ก็ตามหลังเจ้า ส่วนพวกข้าไม่กี่คนก็ถอยหลังไปหนึ่งตำแหน่ง ธิดาเทพซีหลุดออกจากห้าลำดับแรก ส่วนรุ่นเยาว์ทั้งแผ่นดินก็ถือเจ้าเป็นผู้นำ”
“ประมุขน้อยเหยากำลังยกยอข้างั้นหรือ?” มู่ชิงเกอพูดล้อเล่น
“ไม่” เหยาชิงไห่ส่ายหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ความแข็งแกร่งของเว่ยมั่วลี่นั้นไม่มีใครสงสัย แต่ตัวคนกลับแข็งเหมือนไม้กระดาน ล่าสุดได้ยินว่าสติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกรงว่าคงพูดคุยได้รู้เรื่องยากกว่าเมื่อก่อน ส่วนจีเหยาฮั่วก็มีพฤติกรรมแปลกๆ ถึงความสามารถจะไม่เลวแต่ก็ยากที่จะรับผิดชอบภาระหนัก อิ๋งเจ๋อไม่เลวแต่เสียดายที่ถูกตระกูลเลี้ยงจนค่อนข้างเคร่งขรึม ทำให้ยากที่จะคิดนอกกรอบ ส่วนธิดาเทพซี…ภายในบรรดาผู้หญิงนางก็ถือว่าเป็นชั้นยอด พูดว่านางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในโลกแห่งยุคกลางก็ไม่มากเกินไป แต่นางกลับขาดแรงจูงใจและความสามารถในการวางแผน ส่วนเจ้า…,”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดลง มองมู่ชิงเกออย่างจริงจัง
ส่วนท่าทีของมู่ชิงเกอก็ไม่เปลี่ยน มองเขาอย่างขี้เล่น
“ถึงแม้ที่มาของเจ้าจะไม่ชัดเจน แต่ไม่กี่ปีมานี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล หรือว่าพรสวรรค์ หรือ กลอุบาย รวมไปถึงจิตใจก็ล้วนแต่ทำให้คนตะลึง”
เหยาชิงไห่พูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดพูด ใช้นัยน์ตาที่ฉายแวว วาววาบมองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพูดอย่างขบขันว่า “ประมุขน้อยเหยาพูดถึงทั้งหกคนบนทำเนียบชิงอิงแล้ว แต่กลับข้ามตนเองไปนะ?”
“ข้าหรือ?” เหยาชิงไห่ส่ายหน้ายิ้มออกมา “มู่ชิงเกอ หลังจากเจ้ามีชื่อเสียงออกมา ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่เจ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าล้วนแต่สืบมา อย่างละเอียด เจ้ารู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร?”