ตอนที่ 458
ตอนเช้าได้ข่าวตอนเย็นตาย
“ไปเถอะ”
ความร้อนใจของเหมยจื่อจ้งนั้นมู่ชิงเกอเข้าใจดี มีคนที่หลงใหลในวิชาปรุงยาคนไหนบ้างที่ได้ยินถึงเรื่องวิถีโอสถแล้วระงับความตื่นเต้นและความคิดอยากจะไป เห็นให้เร็วขึ้นได้
จ้าวหนานชิงยืนขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยากนักที่จะเห็นศิษย์พี่เหมยตื่นเต้นเช่นนี้” เมื่อถูกเขาเย้าแหย่ เหมยจื่อจ้งก็ยิ้มอย่างเก้อกระดาก แต่กลับไม่ได้ปิดบังความร้อนใจในดวงตา หากไม่ใช่เพื่อรอมู่ชิงเกอเกรงว่าเขาคงจะพุ่งเข้าไปในเมืองชั้นในแล้ว
จูหลิงช่วยเขาพูด “เจ้าอย่าได้หัวเราะศิษย์พี่เหมยเลย ตอนที่พวกเราสามคนเพิ่งมาถึงที่นี่ เมื่อได้ยินถึงวิถีโอสถ ก็ร้อนใจเช่นกัน”
“ไปเถอะ ไปเถอะ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว หลังจากพาพวกเจ้าไปดูแล้ว พวกเราก็กลับมากินข้าวกันที่เมืองชั้นนอก” จ้าวหนานชิงหัวเราะแล้วเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้สำรวจเรือนที่พักของตนเองก็ตามกลุ่มคนรีบไปเมืองชั้นในแล้ว ตามเส้นทางมู่ชิงเกอจงใจไปเดินข้างๆ จ้าวหนานชิงแล้ว พูดด้วยสายตาที่ดูคลุมเครือว่า “ศิษย์พี่จ้าว ท่านกับศิษย์พี่ซางเป็นอย่างไรบ้าง?”
นางไม่ได้ลืมว่าจ้าวหนานชิงนั้นมีความรู้สึกที่พิเศษกับซางจื่อซู ในหลินชวนครั้งนั้นก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้ได้ใกล้ชิดกันในโลกแห่งยุคกลางถึงห้าปี จะพูดอย่างไรก็ต้องมีพัฒนาการบ้าง
ใครจะรู้ว่าเสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป จ้าวหนานชิงก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาแล้วถอนหายใจ
เสียงถอนหายใจนี้ทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจ พูดในใจว่า ‘คงไม่ใช่กระมัง! ยากมากที่ข้าจะสนใจพูดเรื่องคนอื่นสักครั้ง แต่ผลสรุปกลับไม่มีความคืบหน้าเลยงั้นหรือ?’
ท่าทางของจ้าวหนานซิงไม่เหมือนกับท่าทีที่ได้สาวงามมาครอบครองเลย
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องการทดสอบ จึงไม่มีโอกาสได้ถาม แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ถามกลับเป็นการเกี่ยวเอาความปวดใจของจ้าวหนานชิงขึ้นมา
“อา ชิงเกอ ศิษย์พี่ของเจ้ามีชีวิตที่ทุกข์ระทมนัก!” จ้าวหนานชิงพูดอย่างเศร้าใจ
“…” มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าที่แท้การพูดถึงเรื่องคนอื่นก็ไม่น่าสนุกเลย
เหมือนว่าได้แทงมีดเข้าไปในใจของจ้าวหนานชิงอย่างแรง
จ้าวหนานชิงค่อยๆ ส่ายหน้า ยากมากที่จะมีใครมาถามเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ระบายมันออกมา “หรือว่าหัวใจของศิษย์พี่ซางของเจ้าเป็นหิน? ไม่ใช่สิ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ว่านางชอบเจ้าหรือ? หรือว่าข้าหล่อเหลาไม่พอ ไม่ใช่แบบที่นางชอบ?”
จ้าวหนานชิงลูบแก้มของตนเอง ท่าทางซึมไป
“…” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าศิษย์พี่จ้าวที่ฉลาดเฉลียวของนางไม่อยู่แล้ว อะไรคือ หล่อไม่พอ ไม่ใช่ลักษณะที่ซางจื่อซูชอบ? คิดว่าเป็น อาหารงั้นหรือ?
ยังมี…แค่ก ความรู้สึกที่ซางจื่อซูมีให้นางก็ดึงกลับมานานแล้ว!
“ศิษย์พี่จ้าว ท่านต้องพยายามเข้านะ ไม่ใช่ว่ามีคำพูดที่ว่า ผู้หญิงดีๆ มักแพ้ทางผู้ชายขี้ตื๊ออยู่หรือ” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบ
“ผู้หญิงดีๆ มักแพ้ทางผู้ชายขี้ตื๊อ?” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดถึงคำพูดของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มเล็กน้อย แล้วก็หยุดพูด นางก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดคำแบบนี้ออกไปได้อย่างไร
ทันใดนั้น จ้าวหนานซิงก็คว้าข้อมือของนางแล้วก็มองนางอย่างเคร่งขรึมว่า “ชิงเกอหรือว่ามหาปราชญ์ก็อาศัยวิธีนี้จีบเจ้า?”
อา…
มู่ชิงเกอไม่คิดว่าจะชักไฟมาสู่ตัวเอง
แต่เมื่อเผชิญกับสีหน้าที่ต้องการคำชี้แนะของจ้าวหนานชิงแล้ว นางก็รู้สึกไม่ดีที่จะโกหก จึงไอออกมาเบาๆ กลบเกลื่อนความอับอาย พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถือว่า ใช่”
ขณะเดียวกันนางก็พูดในใจว่า ‘อะไรคือถือว่าใช่? เห็นได้ชัดว่าใช่! รู้สึกดี!’ อา! นึกถึงตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะซือมั่วตามพัวพันไม่หยุด บีบจนนางต้องมองหัวใจของตนเองให้ชัดๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเอง เพราะนางเอาแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา จะมีเวลาไปคิดถึงเรื่องความรู้สึกได้อย่างไร?
คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้นัยน์ตาของจ้าวหนานชิงเปล่ง ประกายขึ้นมา
ดูเหมือนเขาได้รับพลังสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ จึงเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้ารู้แล้ว! ขอบคุณมากชิงเกอ! อีกอย่างช่วยขอบคุณมหาปราชญ์แทนข้าด้วย”
พูดแล้วเขาก็ยืดกายขึ้นเดินไปทางซางจื่อซูอย่างฮึกเหิม
มู่ชิงเกอชะงักอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าจ้าวหนานซิงเข้าใจอะไร
“จื่อซู เจ้ามากับข้าครู่หนึ่ง” จ้าวหนานซิงมุ่งตรงไปตรงหน้าของซางจื่อซูยื่นมือออกไปขวางทางเดินของนางไว้
ซางจื่อซูมองเขาอย่างแปลกใจ นัยน์ตาเกิดความสงสัย
แต่จ้าวหนานชิงกลับไม่ได้ถอย แต่กลับกัดฟันลากข้อมือของซางจื่อซู ในขณะที่นางกำลังตกใจอยู่นั้นก็พูดกับจูหลิงว่า “รบกวนศิษย์น้องจูพาศิษย์พี่เหมยและชิงเกอไปด้วย ข้ามีอะไรจะพูดกับจื่อซูสักหน่อย”
จูหลิงถูกการกระทำของจ้าวหนานซิงทำให้ตกใจ แต่นางก็ยังถือว่าเป็นคนที่มีความคิดว่องไวอยู่ เมื่อมองเห็นฉากนั้นแล้วก็ยิ้มจนตาโค้งแล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
จ้าวหนานซิงลากซางจื่อซูวิ่งไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ซางจื่อซูยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกจ้าวหนานซิงพาไปแล้ว ระดับพลังของนางไม่สู้เขาจึงถูกลากไป
หลังจากทั้งสองคนไปไกลแล้ว จูหลิงถึงไปเดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอ หัวเราะและพูดออกมาว่า “ชิงเกอเจ้าพูดอะไรกับเจ้าทึ่มจ้าวหนานชิงกันแน่?”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ”ศิษย์พี่จ้าวไม่ได้ทึ่ม’’
จูหลิงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ใช่ ปกติมองไปก็ดูฉลาดดี แต่เมื่อพบกับจื่อซูก็เปลี่ยนเป็นทึ่มทื่อทันที อยู่ดีๆ เขาก็กล้าขึ้นมา เจ้าพูดอะไรกับเขา?”
“แค่ก” มู่ชิงเกอหลุบตา ปิดช่อนความในใจ นางพูดกับจูหลิงว่า “ศิษย์พี่จู พวกเราไปเถอะ”
ซางจื่อซูถูกจ้าวหนานชิงพาไปที่ลับตาแห่งหนึ่ง ที่นั้นไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา
เงาร่างของสองคนถูกเงาต้นไม้และอาคารบดบัง ถึงตอนนี้ซางจื่อซูถึงได้หลุดออกจากมือของจ้าวหนานชิง นางนวดๆ ข้อมือของตนเอง มองไปยังเขาด้วย นัยน์ตาที่ฉายแววแววโมโห
จ้าวหนานชิงไม่หวั่นไหว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยกับซางจื่อซูว่า “จื่อซู ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้านั้น เจ้าก็รู้ดีมาโดยตลอด ข้าเองก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกวันนี้ข้าอยากจะถามเจ้าว่าในใจของเจ้านั้นมีข้าหรือไม่?”
การสารภาพรักอย่างกะทันหัน ทำให้นัยน์ตาของซางจื่อซูฉายแววสับสนวุ่นวาย
นางคิดจะหลีกเลี่ยงหลบออกจากสถานการณ์ที่ทำให้นางไม่สงบนี้ แต่นางเพิ่งจะขยับก็ถูกจ้าวหนานซิงคว้ากลับมา จับสองแขนของนางเอาไว้แล้วเอ่ยกับนางว่า “จื่อชู ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าแสดงความรู้สึก ข้าเพียงอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าชอบเจ้า หากว่าเจ้ายังไม่มีคนในใจ ข้าก็จะตื๊อเจ้าไปตลอด จนกว่าเจ้าจะชอบข้า”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง จึงแก้ไขทันที “ไม่! ข้าไม่ต้องการให้เจ้าชอบคนอื่น ข้าต้องการให้เจ้าชอบข้าเท่านั้น!”
ความบ้าอำนาจของเขาในวันนี้ทำให้ซางจื่อซูตะลึง จ้าวหนานซิงเมื่อก่อนจะเฝ้ารอเงียบๆ ไม่เหมือนวันนี้ที่เปิดเผยความรู้สึกออกมา ทั้งยังไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“ข้า…เจ้าลืมข้าเสียเถอะ” นัยน์ตาของซางจื่อซูฉาย แววขัดขืนดิ้นรน หันหน้าออกไปแล้วเอ่ยอย่างขมขื่น
คำตอบของนางทำให้จ้าวหนานซิงรู้สึกเหมือนโดยสายฟ้าฟาด!
เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเองโดนฉีกทำลาย เอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงที่แหบพร่าว่า “ทำไม?”
ซางจื่อซูขัดขืนออกมาจากมือของจ้าวหนานชิง หันหลังให้เขา ฝืนนํ้าตาไม่ให้ไหลแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่บริสุทธิ์ ชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับใคร”
ในใจของนางไม่เคยลืมความอดสูในครั้งนั้น
ถึงมู่ชิงเกอจะมาทันทำให้นางไม่ได้สูญเสียความบริสุทธิ์ แต่ร่างกายของนางก็ถูกคนสัมผัสแล้ว จะเรียกว่าบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
จ้าวหนานชิงคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่แปดเปื้อนอย่างนาง
ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็มีเสียงหัวเราะดังเข้ามา “ที่แท้ที่เจ้าคอยหลบเลี่ยงข้ามาตลอดก็เพราะเรื่องนี้เองหรือ?”
ซางจื่อซูชะงัก สองไหล่สั่นเบาๆ ในเมื่อวันนี้จ้าวหนานซิงได้พูดความในใจออกมาแล้ว เช่นนั้นนางก็ต้องพูดเช่นกัน เมื่อคิดว่านับแต่นี้ไปจ้าวหนานชิงจะละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อนางไปชอบผู้หญิงคนอื่น หัวใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว
ทันใดนั้นจ้าวหนานชิงก็หันร่างซางจื่อซูกลับมา บังคับให้นางเผชิญหน้ากับตนเอง เขาก้มหัวลงมาหาซางจื่อซู โดยที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ซางจื่อซูตกใจมาก ถอยไปด้านหลัง แต่แผ่นหลังก็ชนเข้ากับกำแพงเย็นเยียบ
ส่วนเงาร่างของจ้าวหนานชิงก็ปกคลุมเข้ามาแล้วบังคับจูบบนริมฝีปากนาง ขณะที่นางกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง ซางจื่อซูเบิกตากว้าง นางลืมที่จะขัดขืนไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนหัวระเบิด
จ้าวหนานชิงจุมพิตนางอย่างรุนแรงจน ริมฝีปากของนางบวมเจ่อถึงได้ยอมปล่อย เขากดหน้าผากแนบไปกับหน้าผากของนางแล้วกระซิบว่า “ทั้วชีวิตนี้ข้ารักเจ้าเพียงคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความบริสุทธิ์ของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่บริสุทธิ์แล้ว ข้าก็จะแต่งกับเจ้า ให้เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าซางจื่อซูไม่ชอบเขา ดังนั้นเขาถึงได้ควบคุมความรู้สึกตนเองมาโดยตลอด ตอนนี้เขาได้รู้ความคิดของซางจื่อซูแล้ว ดังนั้นจะควบคุมความรู้สึก ของตนเองไปอีกทำไม?
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ซางจื่อซูก็ชะงักอยู่ที่เดิม จ้องมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
“ภายในสำนักวิถีโอสถมีผนังเงาทั้งหมดสิบสองแผ่น ทุกๆ แผ่นจะแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตของปรมาจารย์วิถีโอสถหนึ่งท่าน ทุกๆ วันจะมีศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนมาชมดู แต่สามารถเข้าใจได้เท่าไหร่นั้นก็ต้องพึ่งตนเอง” จูหลิงพามู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งมายังสถานที่มีผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นแล้วก็อธิบายให้ทั้งสองคนฟัง
“ผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตของปรมาจารย์วิถีโอสถสิบสองท่าน” มู่ชิงเกอรู้สึกตะลึงอยู่ในใจ นี่เป็นสมบัติที่หาได้ยาก!
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น นัยน์ตาของเหมยจื่อจ้งก็ฉายแววยินดี
เขาไม่ได้พูดมากความ แต่เดินไปยังผนังเงาแผ่นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ไปนั่งสมาธิหันหน้าเข้าสู่ผนังเงาร่วมกับคนอื่นๆ
มู่ชิงเกอมองไปยังผนังเงาเหล่านี้ ทุกๆ แผ่นมีร่องรอยการตัด ผิวเรียบมาก แต่นางกลับมองไม่เห็น…ประสบการณ์ชีวิตของปรมาจารย์วิถีโอสถอะไรนั่นเลย
จูหลิงอธิบายว่า “ผนังเงาทุกๆ แผ่นต้องไปนั่งตรงหน้าของมันเท่านั้นถึงจะมองเห็น”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากที่ไกลๆ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ! ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจแล้ว! ข้านั่งอยู่ที่นี่เกือบสิบปีในที่สุดก็เข้าใจวิถีโอสถในผนังเงาแผ่นนี้แล้ว!”
มู่ชิงเกอกับจูหลิงหันมองไป ก็เห็นว่าตรงหน้าของผนังเงาแผ่นหนึ่ง มีศิษย์ส่วนในคนหนึ่งยืนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ขมับของเขามีผมสีขาวแซมดูซีดเซียว ท่าทางไม่ ปกติ
จากนั้นก็มีผู้คุ้มกันสำนักเข้ามาอย่างรวดเร็วและพาเขาออกไป
มีเสียงหัวเราะของเขาดังไปตลอดทาง แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกขนลุก
จูหลิงเอ่ยว่า “ถึงแม้ผนังเงาจะดีแต่ก็รบกวนจิตใจของคนได้ง่าย หากไม่ระวังดำดิ่งลงไป เกรงว่าคงจะมีจุดจบเช่นคนเมื่อครู่ ข้าเคยได้ยินมาว่าเคยมีคนที่กระอักเลือด จนตายหลังจากที่เข้าใจวิถีโอสถบนผนังเงาด้วย”
คำคมว่า ‘ได้ยินข่าวตอนเช้าแล้วตายในตอนเย็น’ โผล่เข้ามาในหัวของมู่ชิงเกอ
เวลานี้เองนางก็ได้ยินจูหลิงพูดอีกว่า “พูดกันว่า ในประวัติศาสตร์ของสำนักวิถีโอสถ คนที่เข้าใจวิถีโอสถบนผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นนี้ได้เร็วที่สุดก็คือเหยาชิงไห่ เขาใช้เวลาทั้งหมดสามปีทำความเข้าใจวิถีโอสถสิบสองชนิดบนผนังเงาทั้งหมด”