ตอนที่ 486
หุ่นเชิดเทพมาร แยกจาก
ประโยคที่ว่า ‘อย่ากลัวไป มีข้าอยู่’ ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นใจ
นางหันมองทูตเทวะของตำหนักเทพคนนั้นแล้วหุบยิ้ม
ปัง!
สองขาของทูตเทวะงอลงอย่างควบคุมไม่ได้ คุกเข่าลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ การคุกเข่าของเขานี้มีเสียงกระดูกหักดังแว่วมา
ความสูงระดับนี้ทำให้มู่ชิงเกอสามารถเอามือวางไว้บนหัวดึงเอาความทรงจำของเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้กับซือมั่วที่ลอบจัดการทุกอย่างแล้วก็ยกมือขึ้นจับวิญญาณเทวะของทูตเทวะ
“อ๊าก!” ความเจ็บปวดของการถูกแย่งความทรงจำ ทำให้ทูตเทวะดิ้นหลุดออกจากการควบคุม ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
ซือมั่วแค่นเสียงออกมา ทำให้เขากลับไปแข็งทื่อเหมือนกับท่อนไม้อีกครั้ง เพียงครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ถอนมือออกร่างกายของทูตเทวะล้มลงไปกับพื้นสิ้นสติไป
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยกับซือมั่วว่า “พวกเขาไม่มีประโยชน์แล้ว”
ซือมั่วพยักหน้า ยกมือขึ้น ทำให้คนที่เหลืออีกสองร้อยกว่าคนละลายกลายเป็นหมอกควันสีดำแล้วหายไปจากตรงหน้าของมู่ชิงเกอ การฆ่าล้างของซือมั่วไม่มีกลิ่นคาวเลือดแต่ก็ยังทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึงได้อยู่ดี
ในใจของนางมีคำบรรยายประโยคเดียวคือ ‘ดีดนิ้วเพียงพริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นหมอกควัน’ เป็นการอธิบายภาพที่เห็นตรงหน้าได้ใกล้เคียงที่สุดแล้ว
‘ความห่างชั้นเอ๋ยความห่างชั้น!’ มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ
”เสี่ยวเกอเอ๋อร์มองเห็นอะไรหรือ?” ซือมั่วดึงมือของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถาม
ทั้งสองคนเดินเล่นกันอยู่ด้านบนถํ้าจิ่วเฉวียน มู่ชิงเกอตอบว่า “ที่แท้ตำหนักเทพก็ตามหาหม้อผลาญสวรรค์มาโดยตลอด อีกทั้งภารกิจนี้ก็ถูกส่งมอบมาจากแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นคนให้หาและหาเพราะอะไรนั้น เจ้าคนนี้ไม่รู้เรื่อง ส่วนที่มาตามไล่ล่าข้า ครั้งนี้เขาทำเป็นการส่วนตัวคิดจะสร้างผลงาน ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แจ้งข่าวเรื่องหม้อผลาญสวรรค์ให้ตำหนักเทพในภาคกลางรู้ แต่ว่า…”
นางค่อยๆ ขมวดคิ้ว “งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจบลงแล้ว แม้ว่าทางสำนักวิถีโอสถจะปิดบังเรื่องหม้อผลาญสวรรค์ แต่ด้วยสายสืบของตำหนักเทพแล้ว คงรู้ในอีกไม่ช้าก็เร็ว” นางเม้มปากและรู้สึกหนักใจ
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดเป็นความลับเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งนี้ตำหนักเทพสูญเสียคนไปมากมาย เรื่องที่หม้อผลาญสวรรค์อยู่กับนางจะต้องถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้าก็เร็ว
ความกังวลใจของมู่ชิงเกอนั้น ซือมั่วเห็นด้วย เขาพูดว่า “ไม่สู้ให้ข้าไปทำลายตำหนักเทพให้เลยดีไหม?”
มู่ชิงเกอชะงัก หัวเราะออกมา “ไม่ดี”
นางสูดลมหายใจ เข้าลึกๆ พูดด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชนว่า “สำหรับข้าแล้วตำหนักเทพเป็นเพียงแค่อุปสรรคบนเส้นทางฝืนชะตาฟ้าของข้าก็เท่านั้น หากว่าเพียงแค่นี้ข้าก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แล้วจะพูดถึงการฝืนชะตาฟ้าได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์วางแผนไว้ว่าอย่างไร?” นัยน์ตาของซือมั่วฉายแวววาววาบ ถามออกมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีแผนการอะไร ไม่มีเหตุผลที่แน่ชัด ตำหนักเทพไม่กล้าทำอะไรกับข้าอย่างโจ่งแจ้งหรอก อาจจะเพียงลอบลงมือเท่านั้น อีกอย่างตำหนักเทพในภาคกลางจะรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ก็ยังไม่แน่ ดังนั้นยังวางแผนอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นก่อนที่ศึกจะมาถึง!”
ซือมั่วเหลือบมองนาง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ มีบางครั้งที่เจ้าแน่วแน่ซะจนทำให้คนนับถือ และทำให้คนปวดใจ”
มู่ชิงเกอยิ้ม นางไม่รู้สึกว่าตนเองพิเศษกว่าใคร และก็ไม่คิดว่าตนเองแน่วแน่ นางเพียงทุ่มเทกับเส้นทางที่นางเลือกก็เท่านั้น
“เทียบกับตำหนักเทพแล้ว ข้าสงสัยมากกว่าว่าเหตุใดคนของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรถึงได้สนใจหม้อผลาญสวรรค์” มู่ชิงเกอมองซือมั่ว
“ต้องการให้ข้าสืบความให้เจ้าไหม?” ซือมั่วเอ่ย
ใครจะรู้ว่ามู่ชิงเกอจะปฏิเสธในทันที “ไม่จำเป็น เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วข้าก็จะรู้เอง”
นางไม่อยากให้ซือมั่วไปร่วมมือกับใครเพื่อสืบข่าวของเผ่าเทพให้นางอีก
“ได้” ซือมั่วพยักหน้า ไม่ได้ดื้อดึง แต่เขาจะคอยมองอยู่ด้านข้างเฉยๆ จริงๆ หรือไม่นั้นก็ไม่แน่
มู่ชิงเกอมองรอบด้าน ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เพื่อที่จะหลบคนเหล่านี้ ข้าถึงได้มาถึงที่นี่ เดิมยังคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ ตรวจดูตานํ้าพุร้อนทั้งเก้าสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่มีอารมณ์แล้ว”
“ได้ยินมาว่าถํ้าจิ่วเฉวียนแห่งภาคตะวันออกมีนํ้าพุร้อนเก้าแห่งที่ให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน มีตานํ้าพุร้อนแห่งหนึ่งที่สามารถมองดูอนาคตได้ ไม่สู้พวกเรา…”
“ไม่ไปแล้ว ไม่อยากไป” มู่ชิงเกอตัดบทซือมั่วแล้วหันหน้าไปอีกทาง
การปฏิเสธของนางดูผิดปกติเล็กน้อย ซือมั่วมองนางแวบหนึ่งแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
“เช่นนั้นพวกเราก็กลับเถอะ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ” ซือมั่วเอ่ย
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก แก้มแดงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถลึงตามองซือมั่วแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็หายตัวไปจากที่เดิม
เมื่อกลับไปถึงช่องว่างแล้วซือมั่วก็ลากมู่ชิงเกอไปยังทิศทางที่แตกต่างจากที่นางคิดเอาไว้
“พวกเราจะไปไหนหรือ?” มู่ชิงเกอถาม
ซือมั่วหยุดฝีเท้า คิดแล้วก็โอบตัวมู่ชิงเกอขึ้นมาแล้วก็เร่งความเร็ว “ก่อนหน้านี้เจ้ากังวลใจเรื่องร่างกายของข้าจึงไม่ยอมให้ข้าสร้างหุ่นเทพมารให้ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้าหายแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”
‘ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง!’
แก้มของมู่ชิงเกอแดงขึ้นมา นางหลุบตาลงนึกโทษตัวเองในใจที่เมื่อครู่คิดเหลวไหลไป!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดว่าเป็นอะไรหรือ?” เสียงของซือมั่วดังขึ้นมา
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของเขา ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุถึงจิตใจของตนเองได้ก็ไม่ปาน ทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นเขินอายยิ่งขึ้น
“ไม่ ไม่มีอะไร” นางอธิบายด้วยสีหน้าซีดเซียว
แต่ซือมั่วกลับหัวเราะขึ้นมา พูดกับนางว่า ”เสี่ยวเกอเอ๋อร์วางใจเถอะ รอจัดการเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านี้เสร็จแล้ว พวกเราค่อยทำเรื่องหลักกัน”
มู่ชิงเกอเอียงอายอยู่ในอ้อมอกของซือมั่ว แล้วทุบอกเขาอย่างแค้นเคือง
แต่ซือมั่วกลับหัวเราะขึ้นมา เสียงนั้นดูมีความสุขมาก!
การสร้างหุ่นเชิดเทพมารจำเป็นต้องใช้พญาเพลิงสามชนิด เลือดของเจ้านาย และก็ยังมีผู้แข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้กระตุ้น
สามเงื่อนไขนี้ไม่สามารถขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้
อีกอย่างสามเงื่อนไขนี้ นอกจากเงื่อนไขที่สองแล้ว ที่เหลือล้วนแต่ยากเสียยิ่งกว่ายาก อันดับแรก จำเป็นต้องใช้พญาเพลิงถึงสามชนิด ซึ่งคนธรรมดายากที่จะมีได้ สิ่งที่ต้องมีอีกก็คือต้องได้รับการกระตุ้นจากผู้แข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์
แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้วเงื่อนไขที่ยากนี้นางมีหมดแล้ว
พญาเพลิงหรือ?
หึ หึ นางไม่เพียงมีสามชนิดเท่านั้น แต่มีถึงสี่ชนิด
ผู้แข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?
ข้างกายของนางก็มีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือ? อีกทั้งยังเป็นผู้ชายของนาง ราชาแห่งแดนมารรกร้าง!
ดังนั้นหุ่นเทพมารนี้ดูเหมือนว่าสวรรค์จะส่งมาให้นางเป็นพิเศษ
กระบวนการสร้างหุ่นเทพมารไม่ได้ซับซ้อน ใช้เวลาเพียงครึ่งวันในช่องว่างก็ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ซือมั่วนั่งอยู่ด้านหลังหุ่นเทพมารทั้งสอง สองมือใส่พลังมารของตนเองเข้าไปสู่ร่างกายของพวกเขาพร้อมกันเพื่อกระตุ้น
มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นหุ่นเชิดเทพมารทั้งสอง ลืมตาขึ้นดวงตาแดงฉาน และพริบตาเดียวหลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ปกติแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
“เสร็จแล้ว” ซือมั่วถอนมือกลับ แล้วเดินมาหานาง
“เสร็จแล้วหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแปลกใจ
ซือมั่วพยักหน้า แต่มู่ชิงเกอกลับรู้สึกว่าหุ่นเทพมารสองร่างนี้ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเลย
ซือมั่วอธิบายว่า “พวกเขาสิ้นชีพไปนาน ถึงแม้ว่าถูกสร้างทั้งยังกระตุ้นเสร็จแล้ว แต่ก็ยังต้องการเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อฟื้นตื่น เจ้าวางพวกเขาไว้ที่นี่ เพียงแค่เขาฟื้นตื่น เจ้าก็จะรับรู้เอง อีกอย่างหากก่อนหน้านั้นเจ้า พบเจอกับภัยอันตรายที่ไม่สามารถต่อต้านได้ ก็สามารถ ฝืนเรียกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาเพื่อปกป้องเจ้าได้”
“หากฝืนเรียกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาจะเกิดผลอะไรหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ซือมั่วเม้มปากนิ่งเงียบลงครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “พลังฝึกปรือจะตํ่าลงกว่าที่คาดประมาณหนึ่งหรือสองขอบเขตเล็กๆ,,
หลังจากที่มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจแล้วก็พยักหน้า นางมองไปยังซือมั่วแล้วถามว่า “เจ้าจะต้องกลับไปยังแดนมารกรางแล้วใช่ไหม?”
การจากลาเป็นประเด็นที่คู่รักไม่อยากจะพูดถึงมากที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพูดถึงอยู่ดี
“หากเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่อยากให้ข้าไป ข้าไม่ไปก็ได้” ซือมัวมองนางแล้วพูดออกมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ความรักของเจ้าและข้าไม่ใช่ความรักแบบเด็กๆ เมื่อต้องไปก็ไปเถอะ รอให้ข้าจัดการเรื่องวุ่นๆ คราวนี้เสร็จ หรือว่าเจ้าจัดการเรื่องในมือเสร็จ พวกเราค่อยพบกันอีกครั้ง”
ซือมั่วโอบกอดมู่ชิงเกอเอาไว้ในอ้อมอก เลิกคิ้วขึ้น ภายในรอยยิ้มมีเลศนัย “ในเมื่อใกล้จะลาจากแล้ว พวกเราก็มาใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ากันเถอะ’’
พูดแล้วเขาก็ก้าวยาวๆ ไปยังตำหนัก
มู่ชิงเกอถูกเขาโอบไว้ในอ้อมแขน ทั้งโมโหทั้งขบขันแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
คืนนี้พวกเขากอดเกี่ยวกัน ราวกับคิดจะใช้พลังทั้งหมดที่มีไปกับร่างกายของอีกฝ่าย ไม่มีใครยอมแพ้ใคร จนถึงสุดท้าย มู่ชิงเกอก็ถูกทรมานจนหมดแรงหลับไป
หลังจากนางหลับไปแล้วก็เหมือนจะฝัน
สถานการณ์ภายในความฝันดูคุ้นเคย ในความฝันนางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ภาพเหล่านี้ก็คือ ภาพที่นางมองเห็นในตานํ้าพุร้อนแห่งอนาคตนั่นเอง…
นางมองเห็นซากปรักหักพัง!
นางมองเห็นการทำลายล้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นางมองเห็นทุกๆ คนมาตายอยู่ตรงหน้านาง…
ใบหน้าที่ดูคุ้นเคยหายไปต่อหน้านางเช่นนั้น
และในตอนที่ใบหน้าสุดท้ายที่เป็นเงาพร่าเลือนสีดำปรากฎขึ้นนั้น นางก็ร้องตะโกนออกมาว่า ไม่!
มู่ชิงเกอลุกขึ้นนั่งบนเตียง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกปวดใจทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด มันเหมือนจริงมาก
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ๆ”
เสียงของผู้ชายข้างกายเอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ
เมื่อได้ยินเสียงและได้สัมผัสกลิ่นอายที่คุ้นเคยมู่ชิงเกอก็โผเข้าสู่อ้อมอกของซือมั่ว โอบกอดเขาเอาไว้แน่น เมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นของร่างกายเขาแล้ว นางก็ค่อยๆ รู้สึกว่าความเย็นเฉียบในร่างกายของตนเองค่อยๆ ลดลง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ฝันร้ายนั้นหรือ?” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอแล้วลูบหลังของนางเบาๆ
ฝันร้ายหรือ?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอดูสับสนวุ่นวาย นางควบคุมอารมณ์ของตนเอง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ใช่ เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น”
นางสาบาน สาบานว่าจะไม่ยอมให้ภาพที่ปรากฎในตานํ้าพุร้อนนั้นเกิดขึ้น! จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด!
“อย่ากลัวไป มีข้าอยู่” ซือมั่วปลอบใจ
มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า ยิ้มบางๆ “ข้าไม่กลัว”
“นอนอีกหน่อยไหม?” ซือมั่วถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้า ทั้งสองตระกองกอดกันนอนลงไปอีกครั้ง
“หลังจากข้ากลับไป จะส่งกู่หยาและกู่เย่มาเฝ้าข้างกายของเจ้า” ซือมั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอเพิ่งจะอ้าปากคิดจะปฏิเสธก็ได้ยินเขาประกาศอย่างเผด็จการว่า “ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะมัดเจ้ากลับไปยังแดนมารแล้วข้าจะเฝ้าเจ้าเอง”
“…” มู่ชิงเกอเก็บคำพูดปฏิเสธกลับมา ยอมประนีประนอมกับเขา
ทั้งสองคนนอนหลับอย่างเงียบสงบไปหนึ่งคืน ถึงแม้มู่ชิงเกอจะบอกให้เหมิงเหมิงเปลี่ยนให้เวลาในช่องว่างช้ามากแค่ไหน วันลาจากก็ยังมาถึงอยู่ดี
“ต้องไปแล้วใช่ไหม?” มู่ชิงเกอจัดเสื้อผ้าให้ซือมั่วแล้วเงยหน้าถาม
เวลานี้เองนางจึงเพิ่งพบว่าเป็นนี่ครั้งแรกที่ตัวเองจัดเสื้อผ้าให้ซือมั่ว
ซือมั่วค่อยๆ พยักหน้า สายตาของทั้งสองคนมองสบกันอย่างหวานชื่นและอาลัยอาวรณ์ที่จะแยกจาก
ซือมั่วดึงมือของมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “ก่อนจะไป ต้องไปดูของอย่างหนึ่งก่อน”
“ดูอะไรหรือ?” มู่ชิงเกอพูดอย่างแปลกใจ
ซือมั่วหัวเราะเอ่ยว่า “ข้าสนใจหม้อผลาญสวรรค์ที่เผ่าเทพสนใจ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ให้ข้าดูได้หรือไม่?”
ที่แท้ก็จะไปดูหม้อผลาญสวรรค์นี่เอง
มู่ชิงเกอเอ่ยล้อเล่นว่า “หากเจ้าชอบก็เอาไปเลยก็ได้”
“เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็คงจะร้องไห้ฟูมฟายนอนไม่หลับไปหลายวันเลย” ซือมั่วยกมือขึ้นลูบปลายจมูกของมู่ชิงเกอเล็กน้อย
ความรักเอ่อล้นออกมา
หม้อผลาญสวรรค์ถูกมู่ชิงเกอวางไว้ในห้องปรุงยา
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในห้องปรุงยา นัยน์ตาของซือมั่วหดตัวลง
เขามองไปยังหม้อผลาญสวรรค์ที่มีสีแดงดุจเลือด แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
“นี่ก็คือหม้อผลาญสวรรค์” มู่ชิงเกอเดินไปข้างกายของเขาแล้วพูดออกมา
ซือมั่วหันมองนาง ทันใดนั้นก็หัวเราะเอ่ยว่า “เป็นสมบัติที่ดีจริงๆ ภายในหม้อยังซ่อนโลกอีกใบหนึ่งเอาไว้”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “แต่น่าเสียดายที่ถูกผนึกเอาไว้”
“ผนึกของการเข้าออกช่องว่างถูกคลายออกแล้ว”
ใครจะรู้ว่า คำพูดประโยคเดียวของซือมั่ว กลับทำให้มู่ชิงเกอชะงัก จากนั้นเขาพลิกมือตบเข้าที่ตัวหม้อ เงาร่างเล็กๆ กระเด็นออกมาจากหม้อผลาญสวรรค์และตกลงบนพื้น
“เหลียนเฉียว!” เมื่อมองเห็นคนที่กระเด็นออกมาอย่างชัดเจนแล้ว มู่ชิงเกอก็ร้องออกไปอย่างตกตะลึง ในตอนที่ออกจากสำนักวิถีโอสถนั้น นางก็รู้สึกอยู่ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คิดไม่ถึงว่าตนเองระมัดระวังถึงขนาดนั้นก็ยังถูกนางมารผู้นี้หลอกเอาได้!
เหลียนเฉียวถูกดีดออกมา
นางไม่ได้มองไปยังมู่ชิงเกอ แต่กลับมองไปยังซือมั่วอย่างระแวดระวัง นางพูดเสียงเข้มว่า “คนเผ่ามาร!”
และเมื่อนางสังเกตเห็นดวงตาที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไปของซือมั่วแล้ว นางก็เบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว เอ่ยออกไปว่า “เชื้อพระวงศ์แดนมารรกร้าง!”
ซือมั่วมองนาง ในดวงตาสีอำพันลึกลํ้ายากคาดเดา
ทันใดนั้นเขาเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาระดับมหาเทพไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวิถีโอสถ เหนือจากนั้น ยังมีระดับที่อาจารย์ปรุงยาน้อยคนจะสามารถไปถึงได้ นั่นก็คือการปรุงยาระดับจอมเทพ”
ยาระดับจอมเทพ!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง รู้สึกตกตะลึงในใจ