ตอนที่ 498
ถามครั้งเดียวสามปี ทะลวง ทะลวง ทะลวง!
“นายน้อย ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
“นายน้อยรีบมาจับข้าสิเจ้าคะ!”
“นายน้อย ทางนี้ทางนี้..”
ท่ามกลางเสียงนกร้อง ภายในสวนดอกไม้ บรรดาสาวใช้หน้าตางดงามวิ่งไปมาอยู่ในสวนราวกับผีเสื้อ พวกนางวิ่งผ่านข้างกายมู่ชิงเกอไปและไม่ได้สังเกตเห็นนางเลย
มู่ชิงเกอมองพวกนางกับหนุ่มน้อยสวมชุดผ้าไหมประดับที่รัดผมสีทองที่ถูกปิดตาเอาไว้
“พวกเจ้าอยู่ไหน? ข้าหาไม่เจอเลย!”
เสียงแห่งความสนุกสนานดึงดูดให้พ่อบ้านและคนใช้มองมา แต่ท่าทางของพวกเขาก็ดูเหมือนจะคุ้นชินแล้ว จึงเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
นํ้าเสียงของหนุ่มน้อยไม่มีความเข้มงวดเลยสักนิด แต่กลับแฝงด้วยความไร้เดียงสา
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลับอะไรกับบรรดาเหล่าสาวใช้ แต่เป็นเพียงแค่เพื่อนเล่นกันเท่านั้น
มู่ชิงเกอยืนมองนิ่งๆ อยู่ที่เดิม นางไม่ค่อยเข้าใจว่าหากนางมองไปเรื่อยๆ เช่นนี้แล้วจะเข้าใจอะไร? ครอบครัวขุนนางรํ่ารวยเช่นนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการทำความเข้าใจวิถีจิตใจของนางด้วย?
ไม่เข้าใจก็ดูต่อไป!
มู่ชิงเกอรวบรวมสมาธิ ราวกับตัวนางเป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่งในโลกเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนเทพเซียนที่ยืนอยู่เหนือเรื่องราวทางโลก มองดูวัฏสงสาร กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป
พริบตาเดียวโลกมนุษย์ก็ผ่านไปสิบปี สิบปีนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นเหมือนกับตอนที่นางเข้ามา แรกๆ แต่ครอบครัวขุนนางที่รํ่ารวยครอบครัวนี้กลับไม่ได้ รุ่งเรืองอีกต่อไป
หนุ่มน้อยที่ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใดมาก่อนได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว และก็ไม่ใช่คุณชายที่สวมชุดงดงามได้กินอาหารดีๆ อีกต่อไป
ตระกูลของเขาถูกประหารทั้งตระกูลจากราชโองการเพียงแผ่นเดียวขององค์ฮ่องเต้ ตระกูลตกต่ำลงคนในตระกูลล้วนตายจากไป เสียสละทั้งตระกูลก็เพื่อคุ้มครองสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวอย่างเขาเอาไว้
ในวันที่หิมะตกหนัก เขาที่ตกตํ่าไม่มีราศีของคุณชายตระกูลสูงศักดิ์อีกต่อไป บรรดาสาวใช้ที่เคยวิ่งเล่นกับเขาในตอนแรก ตอนนี้หากไม่แยกจากก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เขาสวมชุดขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดยาวสกปรก สองตาดูเบื่อหน่ายไร้แวว ใช้เศษผ้าห่อเท้าเดินโซซัดโซเซ ไปบนพื้นหิมะทีละก้าวๆ
มู่ชิงเกอตามไปด้านหลังเขา อยากรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร มีหลายครั้งที่เขาล้มลงไปกองกับพื้นหิมะและใช้สองมือที่เย็นจนแดงกำหิมะขึ้นมาใส่เข้าไปในปาก แล้วก็เดินต่อไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
เศษผ้าใต้เท้าของเขาขาดไปนานแล้ว เท้าถูกแช่แข็งจนปริแตก เลือดใต้เท้าไหลออกเปรอะเปื้อนไปตลอดทาง เหมือนกับดอกเหมยที่เบ่งบานกลางฤดูหนาว
เขาเดินอยู่ในพื้นหิมะถึงสามวันสามคืน ในที่สุดก็มาถึงวัด เขาคุกเข่าลงและขอร้อง
เขาพูดว่า “ท่านเซียน คนในโลกล้วนแต่พูดว่าในโลกนี้มีเทพเซียนอยู่ ข้าไม่ร้องขอชีวิตอมตะ ขอเพียงหลีกหนีออกจากวัฏสงสารนี้ไม่ขอเป็นเรือที่ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งทุกข์อีกต่อไป…”
มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านหลัง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ชีวิตครึ่งแรกของเขา เขาใช้ชีวิตดุจดั่งสีแดงสดใส ทั้งการถือกำเนิดของเขา ทั้งครอบครัว ทั้งประสบการณ์ที่ได้ประสบล้วนแต่เจิดจ้าในสายตาของใครหลายๆ คน
แต่เมื่อถึงตอนสุดท้าย เขากลับขอร้องเพียงให้หลุดพ้นจากความทุกข์จากสิ่งเหล่านี้ขอเพียงภายในใจสงบ
ในที่สุดเขาก็ถูกชักนำเข้าไปในวิถีของเต๋า
ในตอนที่มู่ชิงเกออยากจะดูต่อไปนั้น นางกลับรู้สึกว่าร่างของตนเองถูกดึงออกไปจากโลกมนุษย์นี้ ย้อนกลับไปยังโลกหลากสีสันอีกครั้ง
นางที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมา ยังคงจดจำภาพที่เห็นได้
นี่หมายความว่าอย่างไร? นางไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังลำแสงอื่นๆ พูดในใจว่า ‘ในเมื่อยังมีอีกหลายชนิด เช่นนั้นก็ดูไปจนหมด แล้วค่อยคิดเถอะ’
จากนั้นนางก็เข้าไปในลำแสงสีส้ม
ในตอนที่ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งนั้น นางก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในครอบครัวบัณฑิต นางยืนอยู่กลางสวนยังสามารถ ได้ยินเสียงท่องหนังสือดังออกมา มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ในใจลอบเอ่ยว่า ‘ครั้งนี้จะเป็นชีวิตเช่นไร?’
ภายในช่องว่างหลากสี มู่ชิงเกอลืมเวลาที่ไหลผ่านไป นางเข้าไปในโลกมนุษย์ที่แตกต่างกัน รับรู้ชีวิตของคนอื่น ทำความเข้าใจว่าอะไรคือวิถีจิตใจ ส่วนเวลาด้านนอกนั้นก็ได้ผ่านไปถึงหนึ่งปีแล้ว
กู่หยาและกู่เย่ยืนอยู่นอกแม่น้ำรั่ว ซ่อนรูปลักษณ์เอาไว้ มองดูบรรดาคนถูกนํ้าตกสีเงินที่ลอยกลางอากาศพ่นออกมาแล้วท่าทางก็ดูเคร่งเครียดมาก
ประมาณครึ่งปีก่อน แม่นํ้ารั่วได้เริ่มพ่นคนออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากพวกเขาพบซากศพที่ถูกพ่นออกมาแล้ว ก็จับเอาคนเป็นๆ ที่ถูกพ่นออกมามาเค้นถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ด้านในถึงกับมีคนวางกับดักคิดฆ่านายหญิงของพวกเขาหรือ?
อีกทั้งเครื่องมือมายาของนายหญิงยังถูกทำลายจนคืนกลับสู่ร่างหญิงสาวดังเดิมด้วย?
ไม่ว่าจะเป็นข่าวไหนก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าชักช้ารีบรายงานข่าวกลับไปให้องค์ราชาของพวกเขาทันที!
หลังจากที่มู่ชิงเกอเข้าไปในนั้นได้ครึ่งปี ซือมั่วก็ได้รับข่าวและมาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง เขามองดูแม่นํ้ารั่วแล้วก็บอกให้กู่หยาและกู่เย่เฝ้าที่นี่เอาไว้ จากนั้นก็ไปลั่วซิงเฉิง ไปทำอะไร?
พวกเขาสองคนไม่รู้ เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกเขาเอาแต่เฝ้าอยู่แต่ที่นี่ไม่ได้จากไปไหนเลย
“ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว เมื่อไหร่คุณชายจะออกมาเสียที?” กู่หยาเอ่ยถาม
กู่เย่พูดว่า “ตำนานของแม่นํ้ารั่วเป็นอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ คนที่มีพรสวรรค์มากก็ยิ่งอยู่ได้นาน อาศัยพรสวรรค์ของคุณชายอย่างน้อยก็ต้องถึงสองปี”
“เช่นนั้นก็ยังเหลืออีกหนึ่งปี” กู่หยาขมวดคิ้ว
“ใช่ มีโอกาสเป็นไปได้มาก” กู่เย่พยักหน้า
มู่ชิงเกออยู่ด้านในนั้นปลอดภัยมาก แต่พวกเขากลัวว่าภายในช่วงนี้ เรื่องภายนอกที่เกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอจะเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาได้สั่งห้ามไม่ให้บรรดาคนที่ออกมาพูดจาเหลวไหล แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงปลาที่หลุดรอดออกจากแหไปได้
เกรงว่าหลังจากที่มู่ชิงเกอออกมา คนทั้งโลกแห่งยุคกลางคงจะรู้ว่านางเป็นผู้หญิงหมดแล้ว
“ความจริงควรฆ่าทุกคนซะ” นัยน์ตาของกู่หยาฉายแว เยียบเย็น
กู่เย่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นั่นจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้คุณชาย”
ถ้าหากทุกคนที่มาถามหาวิถีตายหมด เหลือเพียงแค่คุณชายรอดอยู่คนเดียว นางจะอธิบายกับคนทั้งใต้หล้าอย่างไร? นี่เหมือนเป็นการผลักนางไปให้คนวิพากษ์วิจารณ์?
‘บางทีอาจเป็นเพราะกังวลเรื่องนี้ ตอนที่องค์ราชาจากไปถึงไม่ได้สั่งให้ฆ่าปิดปาก’ กู่เย่คิดในใจ
ภายในช่องว่างหลากสี มู่ชิงเกอกำลังนั่งสมาธิ
ครั้งนี้นางไม่ได้เข้าไปในลำแสงอีก เพียงแต่มองลำแสงเหล่านั้นแล้วก็เอ่ยถามว่า “ข้าอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
“หนึ่งปีครึ่ง” เสียงนั้นตอบนาง
‘หนึ่งปีครึ่ง…’ มู่ชิงเกอหลุบตาลง เวลาหนึ่งปีครึ่ง นางมองเห็นโลกมนุษย์นับร้อยใบ ในสถานะผู้เฝ้ามองข้างๆ ผ่านชีวิตที่แตกต่างของคนนับร้อยคน
ชีวิตคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชีวิตของคนธรรมดา มองไปแล้วก็เรียบง่าย เป็นเพียงกาลเวลาที่ผ่านไป
แต่ตอนนี้นางก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องให้นางดูด้วย? นางต้องหาคำตอบอะไรออกมางั้นหรือ?
‘ต่อเถอะ’ มู่ชิงเกอสงบใจลง เข้าไปในลำแสงอีกสายหนึ่ง
นางกำลังว่ายเวียนวนอยู่ในวัฏสงสาร
เวลาผ่านไปอีกสองปีโดยไม่รู้ตัว
“ผ่านไปสองปีแล้ว ยังสามารถทำความเข้าใจต่อได้อีกหรือ?” ภายในช่องว่าง เสียงนั้นพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ
ส่วนตอนนี้นอกแม่นํ้ารั่ว คนที่ออกมาคนสุดท้ายก็คือจีเหยาฮั่ว เว่ยมั่วลี่ อิ๋งเจ๋อและเหยาชิงไห่สี่คน หลังจากพวกเขาสี่คนยืนอยู่นอกแม่นํ้ารั่วแล้วก็มองหน้ากันแวบหนึ่ง
“ชิงเกอล่ะ?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม
ข้างกายของพวกเขาไม่ปรากฎเงาร่างของมู่ชิงเกอ
เหยาชิงไห่คิดแล้วถึงได้ตอบว่า “อาศัยพรสวรรค์ของนางคงไม่ออกมาก่อนพวกเราแน่”
“ไม่ใช่พูดว่าแม่นํ้ารั่วถามวิถีสูงสุดคือสองปีงั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว
“นางไม่ใช่คนธรรมดา” เว่ยมั่วลี่ทิ้งคำพูดออกมาแล้วก็จากไป
จีเหยาฮั่วมองเงาแผ่นหลังของเขาแล้วก็ชะงัก แล้วถึงได้พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล จะเอามาตรฐานของคนปกติมาวัดชิงเกอได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นนางยังจะอยู่อีกนานแค่ไหน? จะพลาดเวลาที่สุสานเทพเปิดไปหรือไม่?” อิ๋งเจ๋อเอ่ยถามอย่างกังวลใจ เหยาชิงไห่กลับเอ่ยว่า “วางใจเถอะ นางจะต้องไม่ลืมเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
จีเหยาฮั่วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มองทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเราจะเดินทางไปสุสานเทพด้วยกัน เช่นนั้นเวลาที่เหลืออีกสองปี พวกเจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร?”
เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “อยู่แม่นํ้ารั่วถามวิถีมาสองปีได้รับอะไรมามาก ข้าจะกลับไปกักตนบำเพ็ญก่อน ดูว่าจะสามารถพัฒนาได้ไหม ส่วนเวลาที่เหลือก็ค่อยหาสถานที่สักที่เพื่อฝึกฝนฝีมือ”
จีเหยาฮั่วมองอิ๋งเจ๋อ ส่วนอิ๋งเจ๋อก็พยักหน้า เขาถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูแล้ว ทุกคนก็ล้วนมีความคิดแบบเดียวกัน เช่นนั้นก็ทำเช่นนี้เถอะ พวกเรากลับไปตระกูลใครตระกูลมัน กักตนบำเพ็ญ รอจนออกมาแล้วค่อยติดต่อกัน หากว่าเวลาพอดีกัน พวกเราก็สามารถไปฝึกฝนฝีมือด้วยกันได้หากว่าช่วงเวลาไม่เหมาะก็ไม่ต้องชักช้าเสียเวลา ไปฝึกฝนฝีมือของใครของมันเลย เมื่อถึงเวลาที่สุสานเทพเปิด พวกเราค่อยพบกันที่ภาคกลาง”
“ดี!”
“ดี”
พวกเขายื่นมือออกมาวางรวมกัน
จีเหยาฮั่วมองพวกเขาสองคนแล้วหัวเราะเอ่ยว่า “พยายามดูแลตัวเองและฝึกฝนเองเถอะ”
ในที่สุดทั้งสามคนก็ไปจากแม่นํ้ารั่ว
พวกเขาไม่ได้เสียเวลารอมู่ชิงเกอที่นี่ แต่จีเหยาฮั่วกลับส่งข่าวไปยังลั่วซิงเฉิง บอกพวกเขาว่ามีคนไล่ฆ่ามู่ชิงเกอ และก็เตือนให้พวกเขาสืบหาและส่งคนมารอมู่ชิงเกอที่แม่นํ้ารั่ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนมาชุ่มโจมตีด้านนอก
กู่หยาและกู่เย่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับใช้สายตามองส่งพวกเขาจากไป
กู่หยายิ้มเยาะ “มีพวกเราสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่ ใครจะกล้ามาคิดร้ายต่อคุณชายอีก? กล้ามาซุ่มโจมตีที่นี่ มาเท่าไหร่ก็ฆ่าเท่านั้น”
กู่เย่หัวเราะและเอ่ยว่า “พวกเขาก็แค่หวังดีเท่านั้น”
“เช่นนั้นอีกไม่นานคงมีคนจากลั่วซิงเฉิงมา” กู่หยาขมวดคิ้วเอ่ย
“ไม่หรอก” กู่เย่พูดอย่างแน่ใจ “เจ้าลืมแล้วหรือว่าองค์ราชาไปลั่วซิงเฉิง? คิดว่าคงจะไปวางแผนตั้งรับฉุกเฉินให้คุณชายในช่วงที่นางไม่อยู่ และองค์ราชาก็น่าจะบอกคนของลั่วซิงเฉิงว่ามีพวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องส่งคนมาอีก”
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของกู่เย่แล้ว กู่หยาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เขาหรี่ตาลงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ภายในแม่นํ้ารั่วตอนนี้คงเหลือแต่คุณชายคนเดียวแล้วสินะ”
ภายในโลกหลากสีสัน มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้ส่วนลึกนัยน์ตาของนางเรียบสงบดุจบ่อลึก มีสีสันไหลวน
“กี่ปีแล้ว?” นางเอ่ยปากขึ้น
“สามปี” เสียงนั้นตอบกลับมา แม้ว่ามันจะพยายามเก็บซ่อนแต่มู่ชิงเกอก็ยังฟังออกถึงความตกตะลึงที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้
“สามปีแล้ว…” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา
“สามปีแล้ว เจ้าเป็นคนที่อยู่นานที่สุดในประวัติศาสตร์
เจ้าเข้าใจอะไรหรือยัง?” เสียงนั้นเอ่ยถามอย่างร้อนรน
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า
ทันใดนั้นนางก็หัวเราะอย่างโล่งใจขึ้นมา “ข้าถามเจ้าสักหลายคำถามได้หรือไม่”
“เจ้าถามมา”
“เจ้าเคยพูดว่า วิถีก็คือจิตใจ กฎเกณฑ์เป็นเพียงแค่วิธีการของวิถี”
“ไม่ผิด”
“สามปีผ่านไป ข้าหลงลืมการฝึกปรือ ดำดิ่งอยู่ในวัฏสงสาร ใช้สถานะของผู้เฝ้ามอง มองเห็นความรุ่งเรืองและกาลเวลาที่ผ่านไป ที่ข้ามองเห็นดูเหมือนจะเป็น เพียงแค่บางคนและบางเวลา แต่หลังมองดูคนนับพันนับหมื่นแล้ว ข้ากลับพบว่าสิ่งที่เจ้าอยากจะให้ข้าดูจริงๆ ก็คือโลกใบนี้ต่างหากใช่ไหม?”
“ใช่”
มู่ชิงเกอเงยหน้า ถอนหายใจเบาๆ “วิถีก็คือจิตใจคน เป็นความต้องการของสวรรค์ เป็นเวลา เป็นช่องว่าง เป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
ทันใดนั้น นัยน์ตาของนางก็ดุดันขึ้นมา พูดเร็วขึ้น “เจ้าเป็นจิตใจของข้า!”
“ใช่! ”
“ทุกครั้งที่ถาม ที่จริงแล้วก็คือข้ากำลังถามจิตใจของตนเอง ว่าอะไรคือวิถี!”
“ใช่! ”
“วิถีเป็นแก่นแท้ เป็นรากเหง้า เป็นมือที่ควบคุมกฎเกณฑ์!”
“ไม่ผิด!”
“วิถีสามารถแปรเปลี่ยน สามารถย้อนกลับ ยึดรากเหง้า เข้าใจกฎเกณฑ์ของทุกสิ่ง จับการคงอยู่ของวิถี เข้าใจธรรมชาติของจักรวาล วิถีเป็นแก่นแท้และก็เป็นธรรมชาติ เป็น…”
คำพูดของมู่ชิงเกอเร็วขึ้นเรื่อยๆ ส่วนช่องว่างที่นางอยู่ก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา
ชั่วขณะนั้นช่องว่างก็แตกออกและพังทลายลงมาเหมือนกับกระจก
นอกแม่นํ้ารั่วกู่หยาและกู่เย่รออยู่สามปีแล้ว
ภายในเวลาสามปีนี้ซือมั่วมาแล้วห้าครั้ง ทุกๆ ครั้งจะอยู่นอกแม่นํ้ารั่วสามวันแล้วค่อยจากไป ทุกๆ ครั้งก็ไม่ได้ทิ้งคำพูดใดๆ เอาไว้เลย
แต่พวกเขาก็รู้ว่าองค์ราชาของพวกเขากำลังเป็นห่วงพระชายา เพียงแต่กดทุกอย่างเอาไว้ในใจก็เท่านั้น
“หือ?”
ทันใดนั้น กู่หยาก็ขมวดคิ้วยิ้มเยาะที่มุมปาก ไอสังหารในแววตาผุดขึ้นมา “มีพวกไม่รู้จักที่ตายมาแล้ว”
กู่เย่หัวเราะเอ่ยว่า “สงสัยเห็นคุณชายไม่ออกมาสักทีจึงทนไม่ไหว”
“ฆ่าไหม?” กู่หยาเลิกคิ้วถาม
ในตอนที่กู่เย่จะพยักหน้านั้น แม่นํ้ารั่วทั้งสองด้านก็แหวกออก และมีเงาคนเดินออกมาหนึ่งคน
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสีแดงเจิดจ้าดุจดวงตะวัน ขนตาดำขลับดุจภาพวาดอันงดงาม นางเดินออกมาอย่างผ่อนคลาย ทุกก้าวย่างที่เหยียบลงไปจะปรากฎดอกบัวสีทองมายาขึ้นที่ใต้เท้า
พลังของนางก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กู่หยาและกู่เย่มองนางอย่างตกตะลึง ด้วยการรับรู้ของพวกเขาพลังฝึกปรือของนางกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ดอกบัวบานหนึ่งดอก ระดับสีทองชั้นสอง
ดอกบัวบานสองดอก ระดับสีทองชั้นสาม…
ระดับสีทองชั้นสี่!
ระดับสีทองชั้นห้า!
ระดับสีทองชั้นหก!
เมื่อดอกบัวสีทองใต้เท้าเบ่งบาน ระดับพลังฝึกปรือของนางก็เพิ่มจากระดับสีทองชั้นหนึ่งทะลวงถึงระดับสีทองชั้นหก!
ฉากนี้ทำให้กู่หยากับกู่เย่ รวมถึงนักฆ่าที่มาซุ่มโจมตีตกตะลึง
สายลมที่พัดผ่านมีไอสังหารเจือปนมาด้วย มู่ชิงเกอหรี่ตาลง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันป่าเถื่อน เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ฆ่า!”