Skip to content

พลิกปฐพี 501

ตอนที่ 501

นายหญิงน้อยตระกูลมู่!

สายฟ้ากระจายออกไป มู่ชิงเกอไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่า ‘ก้อนเนื้อ’ ด้านหลังนางก้อนนั้นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน

แต่เมฆดำเหนือหุบเขายังคงไม่สลายหายไป

สายฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังชั้นเมฆหนายังคงคำรามดุจดั่งอสูรคลั่ง ราวกับเป็นเสียงคำรามด้วยความพิโรธของสวรรค์

การกลายเป็นมังกรเป็นเรื่องที่ฝืนชะตาฟ้า หากไม่ระวังอาจดับสลายหายไปกับเคราะห์นับพัน

มู่ชิงเกอไม่กล้าชะล่าใจ ยิ่งไม่กล้าผ่อนคลาย แม้ว่านางจะต้องสูญเสียครึ่งชีวิตไปที่นี่ก็จะต้องคุ้มครองหยินเฉินให้ปลอดภัยให้ได้

เพราะว่านางไม่อยากจะให้มีใครจากนางไปอีกแล้ว

ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีหมอกสีขาวตกลงมาราวกับเมฆหมอก ภายในหุบเขาเกิดลมพายุ ภายในเมฆดำเกิดสายฟ้าแลบขึ้นมาอีก…ครั้งนี้ในแววตาของพวกมู่ชิงเกอสามคนก็ปรากฎเงาสะท้อนของร่างมังกรสองหัวขนาดยักษ์ขึ้น

นัยน์ตาของโห่วฉายแวววาววาบ กัดฟันยิ้มเย็น “สามารถรวมตัวจนเป็นสิ่งชั่วร้ายชนิดนี้ได้ ดูท่าแล้วคงถูกเจ้าทำให้โมโหแล้ว! ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ไป๋สี่ก็เหลือบมองเขาอย่างสงสัยแวบหนึ่ง

ดูเหมือนโห่วจะรับรู้ถึงความสงสัยในแววตาของไป๋สี่ โห่วอารมณ์ดีไม่เลวจึงอธิบายว่า “มังกรสองหัวเป็นเหมือนสิ่งชั่วร้ายในบรรดาเผ่ามังกร สถานะต้อยตํ่ามาก อีกทั้งเพียงเกิดขึ้นมาก็จะถูกฆ่าตาย แม้แต่สุสานมังกรก็ไม่สามารถเข้าไปได้ทำได้เพียงทิ้งเอาไว้ข้างทาง แต่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่ามังกรสองหัวนั้นมีพลังในการรบแข็งแกร่งที่สุด”

พูดแล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้น

ไป๋สี่หรี่ตาลง พูดเสียงเข้มว่า “ข้าจำได้ว่า เมื่อนานมาแล้ว เผ่ามังกรมีมังกรสองหัวตัวหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา และก็เป็นเพราะว่าพลังของเขาแข็งแกร่งมาก ไม่ยอมรับข้อผูกมัดของเผ่ามังกร กระทำการตามใจจึงได้ถูกเผ่ามังกรฆ่าล้าง”

โห่วหัวเราะอย่างป่าเถื่อน “เจ้านั่นเป็นตัวที่ข้ารังเกียจมากที่สุดในเผ่ามังกร น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วกลับถูกขับไล่จนหายสาบสูญไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”

คำพูดระหว่างทั้งสองคนจบลงเพราะสายฟ้ารูปมังกรสองหัวได้พุ่งลงมาใส่มู่ชิงเกออย่างรุนแรง

จุดมุ่งหมายของมันก็คือ ‘ก้อนเนื้อ’ ที่นางปกป้องเอาไว้ด้านหลัง แต่หากมันต้องการทำลาย ‘ก้อนเนื้อ’ ก็ต้องผ่านด่านมู่ชิงเกอไปก่อน

“ชิงเกอจะสามารถต้านได้ไหม?” ไป๋สี่ก้าวไปข้างหน้า โห่วพูดอย่างผ่อนคลายว่า “หากว่าตอนนี้นางอยู่ระดับสีทองชั้นสามหรือชั้นสี่ ข้าอาจจะกังวลใจเช่นเจ้า แต่ตอนนี้นางอยู่ระดับสีทองชั้นหก บวกกับกลเม็ดมากมายของนาง ข้าจึงไม่ได้กังวลใจเลยสักนิด นี่เป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายแล้ว หากต้านไว้ได้ เจ้าเด็กนั่นก็จะได้ทะลวงชั้นขึ้นเป็นมังกรแล้ว” ครืน!

สายฟ้าตกลงมาใส่ร่างมู่ชิงเกอ

หัวมังกรสองหัวที่น่ากลัวนั้นเหมือนคิดจะกัดเนื้อบนร่างของมู่ชิงเกอออกมา หางมังกรและกรงเล็บพัวพันอยู่บนตัวของนาง คิดจะทำลายพลังป้องกันของชุดเกราะเพลิงของนาง

แต่มู่ชิงเกอกลับสงบนิ่งมาก นางไม่ได้ขยับเลยสักก้าว ร่างกายยิ่งไม่การเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

นางขับเคลื่อนพลังจิตในร่างกายไปจนถึงจุดสูงสุด ดึงดูดพลังสายฟ้าในร่างกายของตนเองออกมาเพื่อต่อสู้กับสายฟ้ามังกรสองหัว!

“ทำลาย!”

ริม’ฝีปากแดงของมู่ชิงเกอขยับเบาๆ เอ่ยคำออกมา

พริบตานั้นบนร่างของนางก็เกิดเสียงระเบิดรุนแรงขึ้น แสงวาววาบจากสายฟ้าแสบตาจนโห่วและไป๋สี่อดหลับตาและเบี่ยงหน้าหนีไม่ได้

โฮก!

มังกรสองหัวส่งเสียงคำรามอย่างไม่ยินยอมออกมาก่อนจะสลายหายไปในที่สุด

ลมพายุคลั่งภายในหุบเขาหายไป เมฆดำบนฟ้าก็กระจายตัว สายฟ้าลับหาย ไป๋สี่และโห่วมองเห็นมู่ชิงเกอชันเข่าข้างเดียวลงบนพื้น ใช้หมัดยันพื้นเอาไว้ อ้าปากกว้างหอบหายใจ

รอยเหงื่อบนขมับของนาง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าตอนนี้แผ่นหลังของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ชุดเกราะเพลิงหายวับเข้าไปในร่างกายนาง เปิดเผยร่างกายที่สมบูรณ์แบบและเปี่ยมเสน่ห์ของนางให้ปรากฎออกมา

ส่วน ‘ก้อนเนี้อ’ ด้านหลังของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ก้อนเนื้อนั้นเปล่งแสงสีสันสดใสเจิดจ้าราวกับแก้วหลิวหลี

โห่วโบกมือดูดมู่ชิงเกอเข้ามา ไป๋สี่พยุงนางแล้วเอ่ยถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

มู่ชิงเกอโบกมือ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยมากก็เท่านั้น พักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว”

เสียงของนางเพิ่งจะจบลง เสียงที่ฟังดูแล้วจะเหมือนมังกรก็ไม่ใช่เหมือนจิ้งจอกก็ไม่เชิงก็ดังออกมาจาก ‘ก้อนเนื้อ’ นั้น จากนั้นก็เกิดลมพายุขึ้นในหุบเขา หมอกหนาผุดออกมาจาก ‘ก้อนเนื้อ’ ปิดบังสายตาทุกคนเอาไว้

จู่ๆ เสียงนั้นก็ดังขึ้นในพริบตา มู่ชิงเกอเพียงแค่รู้สึกว่าข้างหูของตนเองมีเสียงปริแตกดัง ขึ้น จากนั้นนาง ไป๋สี่และโห่วก็มองเข้าไปภายในหมอกที่กระจายไป มังกรรูปร่างประหลาดตัวหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทั้งสามคนอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ มังกรที่กำลังล่องลอยอยู่ในกลุ่มเมฆนั้นมีหัวเป็นมังกร ร่างมังกร เขามังกร กรงเล็บมังกร ดูทรงอำนาจ…แต่ส่วนหลังของเขากลับมีขนจิ้งจอกนุ่มสวย ดวงตาคู่นั้นก็ไม่ใช่สีทองของเผ่ามังกร แต่เป็นสีแดงเลือดอันทรงเสน่ห์

มังกรขาวตัวนั้นยังคงมีเงาร่างของหยินเฉิน แต่กลับมีความทรงอำนาจเพิ่มเข้ามา ลดทอนเสน่ห์ยั่วยวนของเผ่าจิ้งจอกลงไม่น้อย เพิ่มความทรงอำนาจของมังกรเข้ามา

เสียงร้องนั้นดังกังวานอย่างอิสระ

มู่ชิงเกอมองเขา มุมปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ้งจอกมังกรก็ร่อนลงมาจากฟ้าลงตรงหน้าของคนทั้งสามแล้วกลายร่างเป็นคน

หยินเฉินเดินออกมาจากแสงเจิดจ้า ผมของเขายังคงเป็นสีเงินดังเดิม ใบหน้าที่งดงามดุจภาพวาดก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนก็คือบนคอของเขามีลวดลายมังกรสีทองเพิ่มมาสายหนึ่ง เพิ่มความทรงอำนาจให้เขาหลายส่วน

เขาเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอราวกับสายลม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

“ชิงเกอ ขอบคุณมาก” เขาเดินไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยเสียงเข้ม

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า “ระหว่างข้ากับเจ้า เหตุใดต้องพูดขอบคุณด้วย?”

โห่วหัวเราะขึ้นมา “ต่อไปก็ดีแล้ว ตอนนี้ระดับพลังของเจ้าหนูนี่ก็เทียบเท่ากับระดับข้ามผ่านในเผ่ามนุษย์ พรสวรรค์ของเขาแปลกใหม่ สายเลือดสูงส่ง เพียงเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารยังจะทะลวงขอบเขตอีก”

มู่ชิงเกอดีใจมาก “เยี่ยมเลย!”

หยินเฉินเผยรอยยิ้มออกมามองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ชิงเกอ ต่อไปข้าสามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว”

เมื่อถึงลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอพาทั้งสามคนไปยังห้องโถงใหญ่

ภายในห้องโถงใหญ่มีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่

มู่เฉิน มู่เฟิง ราชครู มู่เผิง เซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยา เซวี่ยนขุย…

นอกจากนั้นแล้วมั่วหยางยังนำองครักษ์เขี้ยวมังกรกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าในทุกๆ มุมของห้องโถงดุจดั่งเทพรักษาประตู โย่วเหอและฮวาเยวี่ยแบ่งยืนเป็นสองฝั่งซ้ายขวาของเก้าอี้เจ้าเมือง

จิงไห่ยืนอยู่ข้างโย่วเหอ นัยน์ตาฉายแววสงสัย

บรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอแต่ไม่รู้สถานะของนางก็ได้มาอยู่ที่นี่หมดแล้ว

ส่วนจิงไห่นั้น เขาเอาแต่ฝึกฝนอย่างหนักอยู่ในภูเขา ไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอก ตอนนี้ถูกเรียกมาที่นี่ก็รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง

เสียงฝึเท้าดังมาจากด้านนอก

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ทุกคนภายในห้องโถงก็หันมองไปยังทิศทางที่เสียงดังขึ้น

เมื่อชุดสีแดงปรากฎขึ้นในสายตาของพวกเขาในลักษณะที่แตกต่าง แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจมาก่อนแล้ว ก็ยังตกตะลึงตัวแข็งอ้าปากค้างอยู่ที่เดิมอยู่ดี ในใจของเสวี่ยหยาเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้น นางคิดไม่ถึงว่านายน้อยที่ทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวจะเป็น ผู้หญิง

นัยน์ตาของเซวี่ยนหย่าเปล่งแสงระยิบระยับ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นถอนหายใจ

นัยน์ตาของมู่เฉิน มู่เผิงและมู่เฟิงสามคนเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ พลังการโจมตีจากสิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่ได้เห็นนั้นไม่เหมือนกัน

มีเพียงแค่ราชครูที่ดูสงบที่สุด พริบตาที่มองเห็นมู่ชิงเกอนั้น เขาเพียงแค่ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็สงบนิ่งลงทันที

คนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดกลับเป็นจิงไห่

อาจารย์หรือครูฝึกในใจของเขา กลับเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเบิกตากว้าง พูดติดอ่างว่า “นี่…นี่…นี่…ครู…ครูฝึก?”

เขาสงสัยว่าหญิงสาวที่งดงามตรงหน้าเป็นน้องสาวฝาแฝดของครูฝึกหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นความองอาจเช่นเดียวกันบนใบหน้านั้นแล้ว เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นครูฝึกของเขาไม่ผิดอย่างแน่นอน

มู่ชิงเกอไม่สนใจบรรดาคนที่ตกตะลึงนิ่งเงียบไป เพียงแค่ยืดหลังตรงเดินไปยังตำแหน่งของนาง เมื่อถึงตำแหน่งเจ้าเมือง มู่ชิงเกอก็สะบัดชุดนั่งลง ท่าทางนั้นไม่ได้ดูน่ากระอักกระอ่วนใจเลยแม้แต่น้อย การกระทำเป็นไปอย่างลื่นไหล ดูองอาจ ไหนเลยจะมีท่าที เหมือนสาวน้อยให้เห็น?

ภายในสายตาของทุกคน แม้ว่าในตอนนี้มู่ชิงเกอจะสวมชุดผู้หญิง แต่ก็ยังคงเป็นนายน้อยที่องอาจกล้าหาญเหมือนเดิม

หยินเฉินและไป๋สี่แยกกันยืนด้านซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอ โห่วก็ทำตัวตามสบาย หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้วก็ หามุมๆ หนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้มองมาทางฝั่งนี้ด้วยสายตานึกสนุก

แต่กลับไม่มีใครสักคนที่รู้สึกถึงการคงอยู่ของเขา!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอ กวาดตามองใบหน้าของทุกคนในห้องโถง ภายในห้องโถงเงียบสงบมาก ได้ยินเสียงลมหายใจได้อย่างชัดเจน

นางเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยท่าทีหยอกเย้าว่า “ข้าเป็นผู้หญิง พวกเจ้าผิดหวังหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้พวกมู่เฉินตกใจ ความรู้สึกเยียบเย็นลุกโชนขึ้นในใจ

ไม่มีใครกล้าพูด แม้ว่าพวกเขาจะลอบส่งสายตาหากัน แต่ก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้ามู่ชิงเกอ เพราะพวกเขาพบว่า แม้จะรู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง แต่ภาพของนางในหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยังคงติดตาตรึงใจพวกเขาอยู่

ความร้ายกาจของมู่ชิงเกอปรากฎอยู่ตรงหน้า

พวกเขาเลือกนางเป็นนายตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่เพราะว่ายอมศิโรราบต่อความร้ายกาจของนางนี่หรือ?

ราชครูยืนขึ้นท่ามกลางความเงียบ หันไปมองมู่ชิงเกอที่อยู่ด้านหลัง เพียงเขาขยับก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที บรรดาผู้จงรักภักดีต่อตระกูลมู่ล้วนแต่รอ รอผู้เฝ้ามองพูดออกมา

มู่ชิงเกอก็มองราชครูเช่นเดียวกัน สายตาของนางเรียบสงบมาก ไร้คลื่นลม มองอารมณ์ของนางในตอนนี้ไม่ออก

ราชครูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นับตั้งแต่ตอนที่นายน้อยปรากฎตัว ข้าก็แน่ใจแล้วว่านายน้อยคือผู้ที่จะมาช่วยกอบกู้ตระกูลมู่ นายน้อยจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะมีอะไรแตกต่างเล่า?”

เขาเปิดใจกว้าง

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ยิ้มอย่างขบขันขึ้นมาชั่วขณะ ‘เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้! ไม่ว่าเรื่องที่เขาทำนายจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ตอนนี้ตระกูลมู่ก็เททุกอย่างมาอยู่ที่นางแล้ว หากว่าเปลี่ยนคนตอนนี้เกรงว่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สู้เดิมพันกับนางต่อไป’

เมื่อราชครูแสดงจุดยืนของตัวเองแล้วก็นั่งลง

เสวี่ยหยาก็พูดว่า “นายน้อย เสวี่ยหยาเคยพูดแล้วว่าข้าถือเอามู่ชิงเกอเป็นนายน้อย”

“นายน้อย ข้าก็เช่นเดียวกัน!” ในตอนนี้เองเซวี่ยนขุยก็พูดขึ้น สายตาที่เขามองไปยังมู่ชิงเกอนั้นเต็มไปด้วยความนับถือ ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอเป็นผู้ชาย เขาก็นับถือมากแล้ว มาตอนนี้นางเป็นผู้หญิงก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกนับถือมากขึ้นไปอีก

การแสดงท่าทีของเซวี่ยนขุยทำให้เซวี่ยนหย่าถอนหายใจในใจ ไม่ใช่ว่านางลังเล แต่นางอยากจะดูท่าทีของคนอื่นๆ ก่อน แต่น้องชายที่โง่เง่าของนางกลับแสดงท่าทีออกไปแล้ว

ดังนั้นนางจึงได้แต่พูดว่า “เซวี่ยนหย่าก็เคยสาบานแทนคนในตระกูลแล้วว่ายอมรับมู่ชิงเกอเป็นนายน้อย ไม่ว่านายน้อยจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คำสาบานก็ไม่แปรเปลี่ยน”

ผู้จงรักภักดีต่อตระกูลทยอยแสดงท่าทีทีละคน

ที่ยังไม่พูดอะไรเลยก็เหลือแค่พวกมู่เฉินและมู่เฟิงเท่านั้น มู่เฟิงมีนิสัยนิ่งเงียบ หลังจากเซวี่ยนหย่าพูดแล้ว ก็ยืนขึ้นทำความเคารพมู่ชิงเกออย่างที่บ่าวมีต่อนายอย่างไม่ลังเล ใช้การกระทำแสดงความคิดของตนเอง

เหลือเพียงมู่เฉินที่ขมวดคิ้วยิ้มอย่างขมขื่น “นางน้อยเป็นผู้หญิง แต่กลับเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ทำให้พวกข้านับถือมาก ไม่ว่านายน้อยจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง นายน้อยก็คือนายน้อย จุดนี้จะไม่เปลี่ยนอย่างแน่นอน แต่บ่าวกังวลใจอยู่หนึ่งเรื่อง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่…”

เขามองมู่ชิงเกอ รอการตอบสนองจากนาง

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “พูด”

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว มู่เฉินถึงได้เอ่ยอย่างเกรงๆ ว่า “บ่าวเชื่อว่าอาศัยความสามารถของนายน้อยจะต้องเอาชนะมู่เทียนอินและกลายเป็นนายน้อยเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่ได้แน่ แต่นายน้อยตระกูลมู่ก็คือประมุขตระกูลมู่ นอกจากจะนำพาตระกูลมู่กลับคืนแผ่นดินเกิดและนำพาความรุ่งเรืองกลับมาแล้วก็ยังต้องรับภาระในการสร้างทายาทสืบทอด”

เขาเงยหน้ามองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “หลังจากนายน้อยทำเรื่องหลักสำเร็จ ไม่ว่านายน้อยจะมีทายาทกับใคร บ่าวบังอาจขอให้นายน้อยเลือกทายาทสักคนให้ใช้แซ่มู่ เพื่อสืบทอดตระกูลมู่”

มู่เฉินพูดจบแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น มู่เผิงก็คุกเข่าลงด้วยกัน

คนอื่นๆ ดูเหมือนจะได้รับแรงกระตุ้นจากคำพูดของมู่เฉินถึงคิดไปถึงปัญหานี้นอกจากราชครูแล้วที่เหลือล้วนพากันคุกเข่าลงขอร้อง

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ในใจรู้สึกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

คนเหล่านี้..ถึงแม้จะไม่มีปัญหาอะไรกับสถานะของนาง แต่กลับกังวลเรื่องทายาทของนาง? เร็วเกินไปหรือไม่?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version