ตอนที่ 511
เซียนเสวี่ยพบนายน้อย
ชุดรบสีแดง เกราะสีเลือด เจิดจ้าไร้เทียมทาน
มู่ชิงเกอเปี่ยมเสน่ห์เหมือนเปลวไฟ ใบหน้าที่งดงามไร้เทียมทาน เจิดจ้าเข้ากันกับท่าทีของนาง
นางไม่ถ่อมตัวและไม่ต่อต้าน ยืดอกอยู่ตรงหน้านักบวชเทวะ บรรยากาศที่ไม่ยอมอ่อนข้อนั้นทำให้นักบวชเทวะตะลึง
ไม่เคยมีใครเผยท่าทีที่ไม่เกรงกลัวเช่นนี้ต่อหน้าเขามาก่อน ผู้หญิงตรงหน้าไม่กลัวเขางั้นหรือ ไม่กลัวเขา ไม่กลัวตำหนักเทพ ไม่กลัวตาย?
ไม่! บนโลกนี้จะมีคนที่ไม่กลัวตายอยู่ได้อย่างไร
ถ้าหากเขาไม่กลัวตายแล้วจะมาเป็นบ่าวรับใช้ของเทพทำไม? ใช้วิญญาณของตนเองแลกพลังและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าอายุขัยของเขานั้นจะยืนยาวกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน!
เขาควรจะได้รับการเคารพจากคนในโลก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของผู้หญิงที่ไม่รู้จักการปฏิบัติตัวแล้ว เขากลับรู้สึกว่าตนเองกับมดปลวกและคนชั้นตํ่าด้านนอกไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน
ความดูแคลนในดวงตาของมู่ชิงเกอทำให้ในใจของเขาเกิดความคิดที่วิปริตขึ้นมา
เขาต้องการจะขืนใจผู้หญิงตรงหน้า ทำให้สายตาที่ดื้อรั้น และดูหมิ่นของนางกลายเป็นความหวาดกลัวและขอร้องเขาอย่างขมขื่น
แต่ว่า…
“นักบวชเทวะ หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน” บู่ ชิงเกอเผยรอยยิ้มยั่วยุ พูดด้วยนํ้าเสียงเรียบสงบ
กลิ่นอายความเย็นยะเยือกบนร่างของนักบวชเทวะถูกถอนกลับ ความชั่วร้ายในดวงตาก็หายไป เขากลับคืนสู่ภาพลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งและมีเมตตา
เขายิ้มให้มู่ชิงเกอ แต่ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นจะดูสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ในสายตาของมู่ชิงเกอก็มีเพียงคำสองคำมอบให้ ‘จอมปลอม’
“เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนี้ เจ้ากลับไปทำความเข้าใจให้ดีๆ เถอะ ข้าอนุญาตให้เจ้าคิดให้ละเอียดก่อน รอหลังจากที่เจ้ากลับจากสุสานเทพอย่างปลอดภัยแล้วค่อยมามอบคำตอบให้ข้า” คำพูดนี้ของนักบวชเทวะพูดอย่างขี้เล่น แต่คำบางส่วนกลับแสดงออกถึงความหมายอะไรบางอย่าง
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น หันหน้าจากไป
นักบวชเทวะไม่ได้ขวางการจากไปของนาง เพียงแต่มองเงาหลังของนางจากไปพร้อมกับยิ้มเย็น
ขาออกจากตำหนักเทพง่ายกว่าตอนเข้ามา
มู่ชิงเกอเดินออกจากตำหนักเทพ ก็รู้สึกเพียงว่ารอบกายถูกหมอกสีขาวโอบคลุม เมื่อสายตาเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ตัวนางก็ได้อยู่ด้านนอกของตำหนักเทพแล้ว
ด้านหลังของนาง บนบันไดเป็นชั้นๆ ก็คือประตูใหญ่ที่นางเดินเข้าไปก่อนหน้านี้
นางหันไปมองก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของผู้คุ้มกันเทพสองคนถืออาวุธยาวเฝ้าประตูอยู่
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับแล้วเดินไปทางที่พัก
‘ประโยคสุดท้ายของนักบวชเทวะหมายความว่าอย่างไร’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ ‘คิดให้ละเอียดรอหลังกลับจากสุสานเทพอย่างปลอดภัยแล้วค่อยตัดสินใจหรือ’
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดุดัน ยิ้มเยาะที่มุมปาก
นางฟังออกถึงความหมายในคำพูดของนักบวชเทวะ ดูท่าทีแล้ว เพื่อที่จะให้นางเชื่อฟัง เกรงว่านักบวชเทวะคงจะจัด ‘ของขวัญ’ ไว้ให้นางในสุสานเทพ
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้มกว่าที่อื่นของ เมืองเทียนคง นางจัดเสื้อผ้าของตนเองเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘ดูจากท่าทีแล้วหลังออกมาจากสุสานเทพทุกอย่างคงต้องจัดการให้แล้วเสร็จ’
จากนั้นนางก็คิดไปถึงเรื่องที่ซือมั่วเคยพูดให้นางฟัง เจ้าของคนก่อนของลั่วซิงเฉิง เคยถือทวนควบม้าทำลายตำหนักเทพแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องล่มสลาย ส่วนในตอนนี้นางเป็นเจ้าเมืองของลั่วซิงเฉิงก็ดูเหมือนจะมีความแค้นกับตำหนักเทพด้วยเช่นกัน
มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะออกมา พูดกับตัวเองว่า “ดูแล้วเจ้าเมืองของลั่วซิงเฉิงกับตำหนักเทพนั้นคงมีดวงเป็นอริต่อกัน!”
มู่ชิงเกอเดินกลับไปยังที่พักอย่างผ่อนคลาย ไม่มีทีท่าเหมือนถูกข่มขู่มาเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อนักบวชเทวะได้พูดแล้ว ว่าให้นางมอบคำตอบให้หลังจากออกมาจากสุสานเทพ เช่นนั้นตอนนี้นางจะร้อนใจไปทำไม ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีคิดมากในตอนนี้ แต่ว่า…
เพิ่งจะเข้าไปในที่พักและแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีหูตาของตำหนักเทพ มู่ชิงเกอถึงได้เรียกกู่หยาและกู่เย่ออกมา
“คุณชาย!”
“คุณชาย!”
เพียงกู่หยาและกู่เย่ปรากฎตัวก็ทำความเคารพมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย พูดกับคนทั้งสองว่า “พวกเจ้าสองคนรีบกลับไปลั่วซิงเฉิงทันที พาองครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยนายแล้วก็หยินเฉินไปยังหลินชวน ลอบคุ้มครองตระกูลมู่”
ในเมื่อตำหนักเทพสืบหาตระกูลมู่พบแล้ว นางก็ต้องลอบเตรียมการ
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะรับพวกมู่ซงมาที่ลั่วซิงเฉิง แต่หากเป็นเช่นนั้นกลับจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะอ่อนแอ ยากที่จะป้องกันตัวเองเมื่อพบกับอันตรายได้
เพราะพลังของพวกเขาอ่อนแอเกินไปในโลกแห่งยุคกลาง
กลับกัน หากอยู่ในหลินชวนต่อ ด้วยขอบเขตตามธรรมชาติของหลินชวน เมื่อคนจากที่อื่นเข้าไปก็จะถูกกดพลังไว้ที่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีประโยชน์ต่อพวกเขามาก
หลินชวนเป็นถิ่นของนาง เมื่อคนในครอบครัวของนางโดนโจมตี ฐานกำลังอื่นๆ ก็จะต้องไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน
อีกอย่างที่นางสั่งให้กู่หยาและกู่เย่พาองครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยนายกับหยินเฉินไปก็ไม่ใช่การสั่งไปเฉยๆ แต่เป็นเพราะครั้งที่นางกลับไปหลินชวนเป็นครั้งแรกนั้น ก็ได้รู้แล้วว่า คนที่เดินทางออกมาจากหลินชวน เมื่อกลับไปยังหลินชวนจะไม่ถูกขอบเขตของหลินชวนกดเอาไว้ หยินเฉินและองครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยนายล้วนแต่ตามนางมาจากหลินชวน ฝึกปรือทีละก้าวๆ จนมาถึงจุดนี้ มีพวกเขากลับไปคุ้มครองตระกูลมู่ ถึงตำหนักเทพจะส่งยอดฝีมือไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ กู่หยาและกู่เย่ติดตามซือมั่วในหลินชวนมานาน เป็นตัวแทนของซือมั่วในสายตาของฐานอำนาจในแต่ละแคว้น ดังนั้นเมื่อพวกเขาไปแล้ว หากว่าจำเป็นก็สามารถสั่งให้ฐานกำลังของแคว้นอื่นๆ ลงมือได้ง่าย
การเตรียมการเช่นนี้ถึงจะทำให้มู่ชิงเกอสบายใจตอนเข้าไปในสุสานเทพ
อีกอย่างเรื่องนี้นางก็ไม่อยากให้พวกมู่ซงรับรู้การคุ้มครองในที่ลับ หากว่ามีนักฆ่าจากตำหนักเทพลงไปก็สามารถฆ่าได้เลย
หากให้พวกมู่ซงรู้แล้วก็จะต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของนางอย่างแน่นอน
ทุกอย่างนี้มู่ชิงเกอวางแผนเอาไว้ดีแล้ว ขจัดความกังวลในใจ เมื่อนางออกมาจากสุสานเทพแล้วจะได้เล่นกับตำหนักเทพสักรอบ
ถือทวนควบม้าไปบุกตำหนักเทพงั้นหรือ?
เหอะ เหอะ นางไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เอ่อ…
นางไม่ได้หมายความว่าเจ้าเมืองคนก่อนของลั่วซิงเฉิงโง่นะ…เอ้อ!
กู่หยาและกู่เย่มองหน้ากันแวบหนึ่ง พากันลังเลขึ้นมา
กู่หยาพูดขึ้นมาว่า “คุณชาย องค์ราชาของพวกเราให้พวกเราคอยคุ้มครองท่าน หากว่าไปที่หลินชวนแล้วท่านจะทำอย่างไรเล่า”
จากที่พวกเขามองทางมู่ชิงเกอดูอันตรายมากกว่า
ตอนนี้คนที่ตำหนักเทพต้องการจัดการก็คือนาง ถึงแม้คิดจะจับคนในครอบครัวของนาง แต่สุดท้ายก็เพื่อบีบบังคับนาง
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ตัวข้านั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง อีกไม่กี่วันข้าก็จะเข้าไปในสุสานเทพแล้ว พวกเจ้าสองคนคงเข้าไปในที่แห่งนั้นไม่ได้หรอกใช่ไหม”
ปัญหานี้ทำให้กู่หยาและกู่เย่ตัวแข็งทื่อขึ้นมาแล้วก็พยักหน้า
สถานที่แห่งนั้นเผ่ามารไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
“ดังนั้นพวกเจ้ารออยู่ด้านนอกก็ไม่สู้ไปหลินชวนทำให้ข้าสบายใจ” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง นางคิดว่าในช่วงที่นางอยู่ในสุสานเทพนั้นตำหนักเทพอาจจะลงมือกับครอบครัว
ของนางในหลินชวน
เมื่อถึงเวลานางออกมาจากสุสานเทพแล้ว ในมือของนักบวชเทวะมีชีวิตของครอบครัวนาง นางจะไม่ยอมได้หรือ?
“แต่หากพวกเราจากไปแล้วคุณชายออกมาจากสุสานเทพเจอกับการซุ่มโจมตีเล่าจะทำอย่างไร?” กู่เย่พูดอย่างเป็นกังวล
มู่ชิงเกอพยักหน้า พูดกับพวกเขาสองคนว่า “ดังนั้น หลังจากที่พวกเจ้าไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้วก็แจ้งให้โห่วและไป๋สี่ให้ลอบมาเมืองเทียนคงเพื่อเตรียมรับข้า”
อาศัยพลังของนางบวกกับหุ่นเทพมารสองร่าง โห่วและไป๋สี่ น่าจะไม่มีปัญหาในการรักษาชีวิต
“ไม่สู้แจ้งองค์ราชาให้มารับเอง?” กู่หยาเสนอ
มู่ชิงเกอกลับพูดว่า “ถ้าเขามาก็จะไม่มีความหมายอะไรแล้ว”
อาศัยพลังของซือมั่วจัดการทุกอย่าง เช่นนั้นนางเล่าจะทำอะไร
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะลากอามั่วเข้ามาในกระดาน ไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดก็ต้องเหลือเอาไว้ท้ายที่สุด กู่หยาและกู่เย่โต้เถียงไม่สู้มู่ชิงเกอ ได้แต่ทำตามที่นางสั่งออกไปจากเมืองเทียนคงกลับไปยังลั่วซิงเฉิง
มู่ชิงเกอร้อนใจมาก นางกังวลว่าในตอนที่นักบวชเทวะกำลังพูดกับนาง ก็ได้ส่งคนไปยังหลินชวนแล้ว
หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ…
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงได้ให้กู่หยาและกู่เย่กลับไปในทันที ห้ามล่าช้าแม้แต่เพียงวินาทีเดียว
ตกดึกมู่ชิงเกอยืนอยู่ใต้หน้าต่างในห้อง มองดาวบนท้องฟ้า นางคิดในใจว่า ‘หวังว่าตำหนักเทพจะไม่กระทำการรวดเร็วขนาดนั้น!’
ทันใดนั้นประตูห้องที่ปิดสนิทก็ถูกคนเปิดออก
เสียงเปิดประตูทำให้ดวงตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง พลังจิตสีทองสายหนึ่งพุ่งไปข้างประตู
“ชิงเกอ เป็นข้าเอง!” เงาร่างที่ลอบเข้ามาขยับกายหลบหลีกการโจมตีของมู่ชิงเกอ แล้วก็เปิดเผยสถานะของตนเอง
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววแปลกใจเล็กน้อย เรียกว่า “เซียนเสวี่ย?”
คนที่เข้ามาในห้องของนางกลางดึกกลับเป็นซีเซียนเสวี่ย! นี่ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมาย
ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้สวมชุดกระโปรงยาวสูงส่งของธิดาเทพ แต่เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงธรรมดา ด้านนอกสวมชุดคลุมสีดำปิดบังรูปร่าง
หลังจากที่นางพูดแล้วก็เอาหมวกคลุมบนหัวของตนเองออกในทันที เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม
มู่ชิงเกอเก็บพลังจิตกลับ เดินไปตรงหน้านางอย่างแปลกใจ พิจารณาอย่างรวดเร็วแล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้ามาถามเจ้าถึงเรื่องบางเรื่อง วันนี้ภายในตำหนักเทพไม่เหมาะที่จะถาม” ซีเซียนเสวี่ยมองนางอย่างจริงจัง
“นั่งลงเถอะ” มู่ชิงเกอพานางไปข้างโต๊ะแล้วรินน้ำชาร้อนให้นาง
ซีเซียนเสวี่ยนั่งลงแล้วก็พูดกับนางว่า “อาจารย์ของข้าเรียกเจ้าไปพบเพราะมีเรื่องอะไรหรือ อย่าคิดหลอกข้า ข้าติดตามข้างกายของเขามาตั้งแต่เด็ก หากว่าไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ เขาจะไม่เรียกพบใครง่ายๆ อีกทั้งยังหลบเลี่ยงข้าอีก”
เหตุผลที่ซีเซียนเสวี่ยมาทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ นางยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ในเมื่อเจ้าเข้าใจอาจารย์ของเจ้าดีแล้วเหตุใดไม่ไปถามเขากลับมาถามข้าเล่า”
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อประโยคนี้ของนางเอ่ยออกไป ซีเซียนเสวี่ยจะนิ่งงันไป ยกสองมือขึ้นมาจับขอบโต๊ะ ความรู้สึกหวาดกลัวกระจายออกมา
นางมองมู่ชิงเกอ ขอร้องกับนางว่า “ชิงเกอ ข้าขอกอดเจ้าได้หรือไม่”
เอ่อ…
มู่ชิงเกอชะงัก คิดไม่ถึงว่าซีเซียนเสวี่ยจะขออะไรเช่นนี้
แต่ไม่รอให้นางเอ่ยปาก ร่างของซีเซียนเสวี่ยก็เอนเข้ามาพิงที่ไหล่ของนาง พึ่งพิงนางเหมือนกับตอนที่อยู่ในสนามรบโบราณแห่งเทพมาร
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” มู่ชิงเกอไม่ได้ผลักไสนาง แต่ถามออกมา
หากไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ซีเซียนเสวี่ยจะไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่
“ชิงเกอ ข้ากลัว…” ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็พูดออกมา