Skip to content

พลิกปฐพี 519

ตอนที่ 519

อาคมนับหมื่น สิ่งมีชีวิต

“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าแล้วก้าวออกไป เพียงแค่นางขยับก็ดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ ในทันที

“พวกเขาขยับแล้ว!”

“สมกับเป็นผู้กล้าสามารถจริงๆ! การระเบิดเมื่อครู่กลับ ไม่ได้ทำให้พวกเขา เกรงกลัวเลย”

“ไร้สาระ คนที่สามารถเข้ามาในนี้ก็มาเพื่อสิทธิ์แห่งเทพ แล้วจะถูกอุปสรรคเพียงแค่นี้ขวางไว้ได้อย่างไร”

“พวกเราจะทำอย่างไร”

“ยังจะทำอย่างไรได้อีก เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่สามารถถอยได้อีก กัดฟันตามไปเถอะ”

การเคลื่อนไหวของพวกมู่ชิงเกอทั้งหกคนดูเหมือนจะไปกระตุ้นหัวใจของคนอื่นๆ ที่หวาดกลัวกับฉากเมื่อครู่ให้ เริ่มเข้าไปในภูเขาค่ายกลใหม่

“ตามพวกเขาไปจะปลอดภัยกว่าไหม”

ในกลุ่มคนมีคนเสนอขึ้นมา

และในตอนนี้เอง ก็มีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งไปยังพวกมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวนั้นเร็วดุจสายฟ้า โผล่ออกมาอย่างกะทันหันทำให้คนเตรียมป้องกันไม่ทัน คนอื่นๆ ล้วนแต่ ชะงักไป ส่วนพวกมู่ชิงเกอที่สัมผัสได้ก็หันกลับมามอง

เงาร่างนั้นพุ่งตรงไปยังซีเซียนเสวี่ยที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ

เขาอ้าปากร้องอย่างบ้าคลั่งว่า “เป็นธิดาเทพของตำหนักเทพจริงๆ การเดินทางในสุสานเทพนี้มาเดินทางเป็นเพื่อนข้าเถอะ!”

นํ้าเสียงนี้พุ่งเข้ามาหาซีเซียนเสวี่ย

สิ่งที่ตามเสียงมา เป็นห้านิ้วที่เหี่ยวแห้งเหมือนพื้นแต่กลับแข็งแหมือนเหล็กมาถึงตรงหน้าของซีเซียนเสวี่ยในพริบตา

ความเร็วนี้ทำให้คนเตรียมตัวไม่ทัน

เหยาชิงไห่ยืนอยู่ข้างกายซีเซียนเสวี่ย จึงยื่นมือไปขวาง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมือของตนเองปะทะเข้ากับเหล็กกล้า สะเทือนจนกระดูกของเขาแตก แต่กลับไม่มีผลในการขัดขวางเลย

เว่ยมั่วลี่ก็ฟาดดาบหนักในมือออกไปใส่คนคนนั้น พัดของจีเหยาฮั่วก็ไปถึงพร้อมกัน อิ๋งเจ๋อก็ลงมือแล้ว

ชั่วพริบตานั้นการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นมาอย่างกระทันหัน

แม้จะอยู่ภายใต้การรุมล้อมของคนสี่คน แต่คนคนนั้นก็ไม่กลัว กลับหัวเราะเยาะออกมา เอ่ยอย่างหยิ่งผยองว่า “อาศัยเพียงมดปลวกอย่างพวกเจ้าเหล่านี้ก็คิดจะมา ขวางข้า!”

เสียงปะทะที่รุนแรงดังขึ้นมา ดาบหนักและพัดของจีเหยาฮั่วถูกขวางสะท้อนกลับมา

“หืม” ในตอนที่คนคนนั้นไล่คว้าจับซีเซียนเสวี่ยนั้น หางตาก็กวาดไปยังพัดของจีเหยาฮั่ว แล้วก็เอ่ยอย่างแปลกใจเบาๆ ว่า “เป็นถึงยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเชียว!”

ระหว่างที่พูดก็เกิดความโลภขึ้นมา

เขาอยากได้พัดของจีเหยาฮั่ว แต่ก็รู้ว่าตอนนี้การจับซีเซียนเสวี่ยและให้นางนำทางนั้นถึงเป็นเรื่องสำคัญ

เขาสบถขึ้นคำหนึ่ง “ให้เจ้าติดตามเจ้าของที่ไร้ประโยชน์ไปก่อนครู่หนึ่ง รอข้าจับริดาเทพได้แล้วค่อยไปรับเจ้า!”

ในขณะที่พูด นิ้วมือของเขาก็สัมผัสโดนชายเสื้อบนไหล่ของซีเซียนเสวี่ยแล้ว

ฉากนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นการกระทำเพียงแค่พริบตา เร็วจนคนอื่นๆ ตอบสนองกลับมาไม่ทันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เพียงแค่มองเห็นปีศาจเฒ่าคนหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหกคนของทำเนียบชิงอิง ดูเหมือนคิดจะจับตัวธิดาเทพซีไป

และในตอนนี้เองก็มีมือข้างหนึ่งเร็วกว่าปิศาจเฒ่าคว้าเข้าที่ไหล่ของซีเซียนเสวี่ย ลากนางถอยไปด้านหลัง หลบการคว้าจับของปีศาจเฒ่า และก็ทำให้มือของเขาคว้าได้ แต่ความว่างเปล่า

“พวกเราไป ไม่ต้องตอแยเขา” เสียงสดใสแต่เย็นชาสายหนึ่งดังเข้ามาในหูของพวกจีเหยาฮั่ว

ดูเหมือนจะไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย คนทั้งสี่ที่เดิมทีรุมล้อมปีศาจเฒ่าอยู่ก็ถอนพลังกลับ

จากนั้นทุกคนก็มองเห็นมู่ชิงเกอลากซีเซียนเสวี่ยกระโดดเข้าไปในภูเขาค่ายกล หายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนจีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อ เว่ยมั่วลี่สี่คนก็กระโดดตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน

“คิดจะหนีงั้นหรือ!” เมื่อเป้าหมายกลายเป็นความว่างเปล่า ปีศาจเฒ่าคนนั้นก็กระโดดตามเข้าไป หายไปจากสายตาของผู้คน

ฉากที่น่าตื่นตะลึงนี้เป็นเพียงแค่ชั่วอึดใจ

เวลานี้เอง หานฉายไฉ่ก็นำผู้กล้าของภาคเหนือเลือกเข้ามายังประตูเดียวกันกับพวกมู่ชิงเกอ และมองเห็นฉากที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงนี้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เมื่อมองเห็นผู้คนมีท่าทีผิดปกติ หานฉายไฉ่ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถาม

ข้างกายของเขามีคนก้าวไปข้างหน้าในทันทีเพื่อสืบข่าวกับคนอื่นๆ

เขาไปแล้วก็กลับมาข้างกายของหานฉายไฉ่อย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเบากับเขาว่า “ประมุขน้อย เมื่อครู่นี้มีคนจู่โจมพวกเจ้าเมืองมู่ คิดจะจับธิดาเทพ ตอนนี้พวกเจ้า เมืองมู่กับคนที่จู่โจมคนนั้นได้เข้าไปในภูเขาค่ายกลแล้ว”

มีคนจู่โจมหรือ?

หานฉายไฉ่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เอ่ยถามว่า “ถามอย่างชัดเจนหรือยังว่าเป็นใคร”

“บอกแค่ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีใครมองเห็นได้ชัด แต่คนที่จู่โจมคนนั้นดูเหมือนจะสวมชุดลายหมู่ดาว มีผมขาวแซม เรือนร่างผอมแห้ง” คนคนนั้นเอ่ย

นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่หรี่เล็กลง พึมพำเสียงเบาว่า “ปีศาจเฒ่าราศีธนู”

ภายในภูเขาค่ายกล มู่ชิงเกอรู้สึกว่าสองเท้าของตนเองตกลงบนพื้นที่นุ่มแห่งหนึ่ง ดินใต้เท้าให้ความรู้สึกนุ่มกว่าดินธรรมดา หญ้าเขียวรอบๆ เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ข้างกายของนางคือซีเซียนเสวี่ย มือของทั้งสองคนยังคงจับจูงกัน

นิ้วทั้งสิบที่เกี่ยวรัดกันทำให้ซีเซียนเสวี่ยเหม่อลอยไป

และก็ไม่รู้ว่าได้รับอิทธิพลจากทิวทัศน์รอบด้านหรือว่าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของซีเซียนเสวี่ย มู่ชิงเกอถึงได้ปล่อยมือแล้วหันมองไปรอบทิศ

เวลานี้เองข้างกายของพวกนางก็เกิดแสงวาบขึ้น เงาร่างของคนสี่คนปรากฎขึ้นมา เป็นจีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่สี่คน

พวกเขาปรากฎตัวอยู่พื้นที่ห่างจากมู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยไม่ไกลนัก เมื่อมองเห็นสองคนที่เข้ามาก่อนหน้า นอกจากเว่ยมั่วลี่ที่ท่าทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้แต่อิ๋งเจ๋อก็เผยร่องรอยของความตื่นเต้นออกมา

จีเหยาฮั่วร้องว่า “ชิงเกอ เซียนเสวี่ย!”

เสียงทะลุผ่านเกราะป้องกันโปร่งแสงแต่ละชั้น พวกมู่ชิงเกอสองคนได้ยิน ทั้งสองคนหันหน้ามามองพวกเขา

เพียงแต่ในตอนที่ทั้งหกคนจะเข้าไปใกล้กันนั้นกลับพบว่า ระหว่างพวกเขามีเกราะป้องกันโปร่งแสงชั้นหนึ่งขวางเอาไว้ทำให้พวกเขาถูกขังอยู่ในที่ที่แตกต่างกัน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” จีเหยาฮั่วใช้สองมือวางบนเกราะป้องกันโปร่งแสงแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“อาคม” มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเกราะป้องกันโปร่งแสงเป็นชั้นๆ นั้นด้วยสายตาที่เรียบสงบ แล้วเอ่ยออกมา

“อาคม!” พวกเขาล้วนแต่ตกตะลึง

ส่วนในตอนนี้ก็มีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฎตัวขึ้นข้างกายของพวกเขา เป็นปีศาจเฒ่าที่คิดจะจับซีเซียนเสวี่ยคนนั้น

เพียงแค่เขาปรากฎตัว ก็ทำให้พวกจีเหยาฮั่วตื่นตกใจขึ้นมาในทันที ซีเซียนเสวี่ยก็เตรียมตัวป้องกัน มือถือกระบี่เทพ

“ปีศาจเฒ่าราศีธนู” มองเห็นเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมาเรียบๆ

ปีศาจเฒ่าราศีธนู!

ทั้งห้าคนตกใจในใจ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวพวกเขาก็พบกับปีศาจเฒ่าที่มีชื่อเสียงมานับพันปีผู้นี้แล้ว

ปีศาจเฒ่าราศีธนูหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มองที่มู่ชิงเกอ อย่างขี้เล่น “เด็กน้อย เจ้ากลับรู้จักข้าด้วย!”

รู้จักหรือ

มู่ชิงเกอกวาดตามองบนร่างของเขา นางไม่ได้รู้จัก เพียงแต่ข้อมูลที่หานฉายไฉ่ส่งมาให้นั้นละเอียดมาก อธิบายรูปร่างปีศาจเฒ่าราศีธนูผู้นี้อย่างละเอียด ทำให้นางคิดอยากไม่รู้จักก็ยังยาก

ท่าทางของมู่ชิงเกอทำให้สีหน้าของปีศาจเฒ่าราศีธนูหนักอึ้งขึ้น ดวงตาเปล่งแสงดุร้าย “ชิ วันนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้าหกอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิงอะไรนี่ซะ”

พูดแล้วเขาก็พุ่งไปทางมู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ย เป้าหมายชัดเจนมาก ยังคงคิดจะจับซีเซียนเสวี่ยเพื่อให้การเดินทางในสุสานเทพนั้นราบรื่นขึ้น แต่ในตอนที่เขาพุ่งไปยังผู้หญิงสองคนนี้นั้นก็รู้สึกเหมือนตนเองพุ่งชนเข้ากับกำแพง ถูกพลังอันแข็งแกร่งดีดกลับคืนมา

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าของเขาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

แต่เขากลับไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาได้

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ปีศาจเฒ่าราศีธนูถอยหลังไปอย่างทุลักทุเล ควบคุมร่างกายให้สมดุล เบิกตากว้าง

ท่าทางของเขาทำให้จีเหยาฮั่วหัวเราะอย่างดีใจขึ้นชั่วขณะ “ปีศาจเฒ่า มีความสามารถเจ้าก็มาสิ! ข้าอยู่ตรงนี้ รอเจ้ามาฆ่า มา มา มา!”

“เจ้าเด็กหน้าเหม็น!” ปีศาจเฒ่าราศีธนูโมโหมาก คิดจะฆ่าจีเหยาฮั่ว แต่ก็ถูกพลังสะท้อนกลับมา

พวกเขาไม่กี่คนเหมือนกับยืนอยู่ด้วยกัน แต่กลับถูกแยกออกจากกัน

มู่ชิงเกอกวาดตามองแวบหนึ่ง หันกายเริ่มค้นหาวิธีคลายอาคม

ความไม่แยแสของนางกลับทำให้การหุนหันพลันแล่นของปีศาจเฒ่าราศีธนูถูกเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ส่วนจีเหยาฮั่วเมื่อรู้ว่าปีศาจเฒ่าราศีธนูไม่อาจคลาย อาคมได้แล้วก็ยิ่งใจกล้าขึ้นมา ยั่วยุปีศาจเฒ่าคนนั้นอยู่ตลอด ทำให้เขาไม่สามารถสงบใจคลายอาคมได้

“ปีศาจเฒ่า เหตุใดถึงไม่ร้องแล้ว เจ้าไม่อยากฆ่าข้าแล้วหรือ”

“มาสิ! ข้าอยู่ที่นี่รอเจ้ามาฆ่า!” “เจ้าเด็กหน้าเหม็น หากข้าออกจากที่นี่ได้ คนแรกที่จะฆ่าก็คือเจ้า!” ปีศาจเฒ่าราศีธนูโมโหจนหูหน้าแดงก่ำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

จีเหยาฮั่วมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง หันไปด้านหลังมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ชิงเกอ เจ้าต้องระวังหน่อย อย่าทำพลาดจนปล่อยปีศาจเฒ่าออกมาล่ะ”

เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไปก็เห็นเกราะป้องกันโปร่งแสงที่ขวางระหว่างพวกเขากับพวกมู่ชิงเกอสองคนเกิดแสงที่อ่อนโยนสายหนึ่งส่องออกมา จากนั้น มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้น ก้าวออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคน

“ได้แล้ว” มู่ชิงเกอก้าวไปตรงหน้าของจีเหยาฮั่วได้โดยไม่มีอะไรกั้นขวาง ซีเซียนเสวี่ยก็ตามมาที่ด้านหลัง

พวกจีเหยาฮั่วสี่คนเบิกตากก้างอ้าปากค้างมองมู่ชิงเกอ ชั่วพริบตานั้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร

ส่วนปีศาจเฒ่าราศีธนูเมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็เบิกตากว้างพุ่งเข้าไปหาคนทั้งหกคนอีกครั้ง

ปัง

และเกราะป้องกันโปร่งแสงก็โผล่ขึ้นมาดีดเขากลับคืนไปอีกครั้ง

ปีศาจเฒ่าราศีธนูล้มลงกับพื้น เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เป็นไปได้อย่างไร?”

ในใจของเขารู้สึกตกตะลึง

ส่วนมู่ชิงเกอกลับเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก็โค้งกายลง เด็ดต้นหญ้าที่อยู่ข้างเท้าของจีเหยาฮั่วขึ้นมาต้นหนึ่ง “พวกเราไปเถอะ”

จากนั้นฉากที่ทำให้ปีศาจเฒ่าราศีธนูตกตะลึงก็เกิดขึ้นแล้ว

เงาร่างของคนหกคนหายไปจากตรงหน้าของเขาพร้อมกัน

“เป็นไปไม่ได้!” ปีศาจเฒ่าราศีธนูยืนขึ้นมา มองไปยังพื้นที่ที่ว่างเปล่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หญ้า! เมื่อครู่นี้นางเด็ดหญ้า!” ทันใดนั้นปีศาจเฒ่าราศีธนูก็คิดไปถึงรายละเอียดอย่างหนึ่ง

เขาเห็นว่าหลังจากมู่ชิงเกอเด็ดหญ้าต้นหนึ่งแล้ว พวกเขาถึงได้หายไป

นัยน์ตาของปีศาจเฒ่าราศีธนูเปล่งประกายแสงดุดัน เริ่มค้นหาต้นหญ้าในพื้นที่ที่ตนเองอยู่อย่างบ้าคลั่ง คิดจะคลายอาคมออกไปจากที่นี่

ในตอนที่พวกมู่ชิงเกอหกคนปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งนั้น ก็ยังอยู่บนภูเขา

นางเงยหน้ามองออกไป ดูเหมือนจะห่างจากยอดภูเขาอีกไกล

จีเหยาฮั่วเอ่ยถามอย่างสนใจว่า “ชิงเกอ เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไร? เหตุใดเพียงแค่เด็ดหญ้าต้นหนึ่งพวกเราก็ออกมาได้แล้ว?”

“ภายในภูเขาค่ายกลนี้ซ่อนอาคมนับพันนับหมื่น ในอาคมน้อยสวมอาคมใหญ่ หากต้องคลายอาคมก็ต้องหา ตาค่ายกล ส่วนตาค่ายกลก็สามารถเป็นหญ้าต้นหนึ่ง ดอกไม้ดอกหนึ่ง หรืออาจจะเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งก็ได้” มู่ชิงเกอมองไปยังยอดเขาสูงแล้วเอ่ยตอบออกมา

ความลึกลับที่ใช้ความลึกลับตอบมาเช่นนี้กลับทำให้พวกเขาเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

บางทีบรรดาคนที่ผ่านเหล่านั้นก็อาจจะโชคดีค้นพบตาค่ายกล ส่วนเหล่าคนที่ตายหรือถูกขังอยู่ที่นี่อาจจะหาตาค่ายกลพลาดหรือไม่ก็สัมผัสโดนเครื่องมือสังหารในอาคม

“เช่นนั้นก็หมายความว่า ทุกก้าวย่างของพวกเราล้วนแต่ต้องคลายอาคม หาทางขึ้นภูเขาที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นก็อาจจะต้องวนอยู่ในที่เดิมตลอดเวลา หรือติดอยู่ที่นี่

ตลอดไป” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“อาคมของที่นี่คืออะไร?” อิ๋งเจ๋อถาม

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ ตรวจดูบรรยากาศรอบด้านอย่างละเอียด

นางกำลังค้นหาวิธีคลายอาคม คนอื่นๆ พากันรักษาความสงบ ไม่ได้รบกวน ระมัดระวังสถานการณ์รอบด้าน

และก็เตรียมป้องกันปีศาจเฒ่าราศีธนูจะไล่ตามขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เหยาชิงไห่รู้วิชาค่ายกลอยู่หน่อย เมื่อมองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอแล้วก็ค้นหาบ้าง

เพียงแต่เขาไม่เห็นว่าในส่วนลึกของดวงตาที่สดใสของมู่ชิงเกอนั้นปรากฎวิธีการคำนวณอันซับซ้อน ทุกภาพบรรยากาศในสายตาของนางกลายเป็นการคำนวณนับพันนับหมื่น นางต้องหาตาค่ายกลจากในนั้นออกมาให้ได้

หากไม่มีการเข้าใจวิถีสองครั้งที่ผ่านมา หากครั้งนี้นางคิดจะคลายอาคมบนภูเขาค่ายกล เกรงว่าจะต้องใช้เวลาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!

‘หาพบแล้ว!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ

สายตาของนางจับจ้องไปยังก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตาบนพงหญ้า นางเดินเข้าไปก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นมา พลิกมือ เก็บมันเข้าไปในช่องว่าง

ล้อเล่นน่ะ ตาค่ายกลที่ถูกจัดวางเอาไว้เหล่านี้ ถึงจะดูแล้วเรียบๆ แต่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของค่ายกล อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นเผ่าเทพเมื่อกี่ปีก่อนทิ้งเอาไว้อีก นางจะ พลาดของดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร

นางเอาก้อนหินเข้าไปในช่องว่างแล้ว ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกเขายังมองไม่ชัด ก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน รอจนพวกเขามองเห็นภาพตรงหน้าชัดแล้ว กลับพบว่าอยู่ใจกลางของการต่อสู้รอบกายของพวกเขามีคนจำนวนไม่น้อยที่มีท่าทางดุร้าย ใบหน้าบ้าคลั่ง ดุจดั่งสัตว์ป่าเถื่อนกำลังต่อสู้กัน

และก็มีบางคนที่เผยสีหน้าขอร้องคนที่กำลังชูอาวุธขึ้นสูง มีบางคนที่พยายามวิ่งหนีจากการไล่ฆ่าด้านหลัง

ฉากความวุ่นวายตรงหน้าทำให้ทั้งหกคนรู้สึกเคร่งขรึมขึ้น เพราะคนที่กำลังต่อสู้อย่างวุ่นวายนี้ไม่ได้ดูแปลกหน้าสำหรับพวกเขา ล้วนแต่เป็นคนที่เข้ามาก่อนพวกเขา

“สิทธิ์แห่งเทพ! นั่นเป็นสิทธิ์แห่งเทพของข้า! มอบออกมา!”

“สิทธิ์แห่งเทพ? ไหนเลยจะมีสิทธิ์แห่งเทพ?” เว่ยมั่วลี่ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างแปลกใจ

มู่ชิงเกอถอนหายใจ เอ่ยว่า “สิทธิ์แห่งเทพอันเดียวก็ดึงดูดทุกคนได้แล้ว”

อาคมของที่นี่ เกรงว่าคงจะทำให้คนที่บุกเข้ามาตกเข้าไปอยู่ในภาวะแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version