ตอนที่ 527
วิญญาณของเทพโอสถ
“ไม่มีหลุมศพ ไม่มีป้าย…เช่นนั้นก็คงเป็นไปได้แค่อย่างเดียวก็คือร่างไม่มีคนมาเก็บ มีเพียงแค่สิทธิ์แห่งเทพพาเศษเสี้ยววิญญาณกลับมาที่นี่” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง นัยน์ตาสงบนิ่งเหมือนสายนํ้า นางรู้สึกว่าสิทธิ์แห่งเทพอันนี้นางรู้สึกคุ้นเคยมาก เหมือนมีความสัมพันธ์บางอย่างที่นางยากจะอธิบาย
ทันใดนั้นสิทธิ์แห่งเทพก็เปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้น แสงที่ส่องออกมาจากสิทธิ์แห่งเทพตกลงบนพื้นกลายเป็นเงาร่างคนสายหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
คนคนนี้สวมชุดเรียบง่าย ไม่มีความหรูหราเลยสักนิด ผมสีเงินดกหนา แต่ใบหน้ากลับดูหนุ่มแน่น แม้จะไม่จัดว่าหล่อแต่ก็ดูดีมาก ทำให้คนรู้สึกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ กลิ่นอายบนร่างของเขาดูเหมือนสามารถชำระล้างจิตวิญญาณทำให้จิตใจสงบลงได้
“พบอาจารย์แล้วยังไม่คารวะอีกหรือ” เงาร่างมายานั้น ยิ้มแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
ประโยคนี้กลับทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ร่างกายเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
อาจารย์?
อาจารย์ของนาง?
เห็นนางนิ่งงันไปเนิ่นนาน เงาร่างนั้นก็เผยรอยยิ้มเมตตาออกมา “เจ้าได้รับการสืบทอดจากข้า ตอนนี้ได้กลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ ดูแล้วมีพรสวรรค์และความสามารถไม่เลว อย่างไร ไม่ยอมรับอาจารย์อย่างข้างั้นหรือ”
เทพโอสถ!
มู่ชิงเกอตกตะลึง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับสิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถ
แต่มีประโยคหนึ่งที่เทพโอสถไม่ได้พูดผิด วิถีโอสถของนางนั้นมาจากความรู้ของเขา ในใจของนางคิดว่าเขาเป็นอาจารย์ของตนเองมาตลอด
ตึง
มู่ชิงเกอคุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวสามครั้งให้เงาร่างมายาตามธรรมเนียม แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์มู่ชิงเกอ คารวะท่านอาจารย์”
“เด็กดี ลุกขึ้นเถอะ” เงาร่างนั้นประคองมู่ชิงเกอลุกขึ้น
มู่ชิงเกอเองก็ไม่อิดออดลุกขึ้นตามคำเขา นัยน์ตาฉายแววตกตะลึงมองดูเทพโอสถ ตอนนี้ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกบางอย่างที่ว่านั้นมาจากไหน
เป็นเพราะว่าสิทธิ์แห่งเทพนั้นเป็นของอาจารย์ของนาง นางรับการสืบทอดจากเทพโอสถ จึงรู้สึกคุ้นเคย
“ชีวิตนี้ข้ามีลูกศิษย์สองคน ตอนมีชีวิตรับมาคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็คือเจ้า แต่ทว่าเมื่อเทียบกับศิษย์พี่เจ้าแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าทำให้ข้าแปลกใจมากกว่า หากเจ้าอยู่ ในยุคเดียวกับอาจารย์ ข้าคิดว่าชื่อเทพโอสถคงต้องเปลี่ยนเจ้าของแล้ว” วิญญาณของเทพโอสถเอ่ยอย่างชื่นชม
มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูด นางรู้ว่าการพูดคุยเช่นนี้นั้นมีข้อจำกัด ดังนั้นจึงไม่อยากใช้เวลามาก หวังจะให้อาจารย์พูดคำพูดที่ต้องการจะสั่งเสียออกมาให้ชัดเจน
“เอ๋ หม้อผลาญสวรรค์เจ้าก็หาพบแล้วด้วย เด็กน้อย ดูแล้วพวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ” ทันใดนั้นเทพโอสถก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
มู่ชิงเกอตกตะลึงไป ในหัวเกิดเสียงระเบิดดัง ปัง
ตอนนี้ปริศนาที่เคยมีแต่ก่อนก็ได้เปิดเผยออกมาแล้ว ที่แท้เทพโอสถที่ถ่ายทอดวิถีโอสถให้นางก็คือคนที่เหลียนเฉียวรอคอยอย่างขมขื่น เจ้าของคนก่อนของหม้อผลาญสวรรค์ก็คือเทพโอสถ เช่นนั้นที่หม้อผลาญสวรรค์เลือกนางเป็นเจ้าของคนใหม่ก็เพราะรู้ว่านางได้รับการสืบทอดจากเทพโอสถเป็นลูกศิษย์ของเทพโอสถนี่เอง ยังมี…ศิษย์พี่คนนั้นก็คือเจ้าสำนักวิถีโอสถ
เมื่อพูดเช่นนี้…เหยาชิงไห่ก็เป็นศิษย์หลานของนางน่ะสิ มู่ชิงเกอระงับความตกตะลึงในใจลง นางเอ่ยปากว่า “เหลียนเฉียวรอท่านอยู่ตลอด”
“เหลียนเฉียว!”
มู่ชิงเกอเห็นว่าเมื่อวิญญาณของเทพโอสถได้ยินชื่อนี้ แล้วก็สั่นสะท้านไปเล็กน้อย ใบหน้าที่สง่างามเผยร่องรอยขมชื่น
เขาเอ่ยว่า “ข้าติดค้างนางจริงๆ รับปากนางว่าจะกลับไป แต่ก็กลับไปไม่ได้”
“ในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดท่านถึงได้ดับสิ้น” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม ปัญหานี้ไม่เพียงแค่นางอยากจะรู้ เหลียนเฉียวและเจ้าสำนักวิถีโอสถก็ต้องอยากจะรู้เช่น เดียวกัน
เทพโอสถส่ายหน้า “เรื่องมันจบไปแล้ว เจ้ารู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร เด็กน้อย เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูดจา
เขาเอ่ยอีกว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ไม่ต้องบอกเหลียนเฉียวว่าข้าตายแล้ว มิเช่นนั้นจากนิสัยของนางจะต้องกลับไปยังแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความโลภและน่า เกลียดชังเพื่อต่อสู้แลกชีวิตกับพวกคนโลภเหล่านั้นเป็นแน่”
มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ รู้สึกว่าเทพโอสถเข้าใจนิสัยแข็งกร้าวของเหลียนเฉียวดีจริงๆ
“อาจารย์โปรดบอกศิษย์ทีว่าท่านสิ้นชีพได้อย่างไร” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแน่วแน่ในเมื่อนางได้รับการสืบทอดวิชาจากเทพโอสถ ทั้งยังยอมรับเขาเป็นอาจารย์ก็ไม่มี เหตุผลที่จะไม่ล้างแค้นคนที่ฆ่าอาจารย์ตนเอง
เทพโอสถส่ายหน้าหัวเราะอย่างขมขื่น “เด็กโง่ เจ้ายังจ ดื้อดึงไปไย เป็นเป็นตายตาย เป็นเพียงแค่ความฝัน ในเมื่อข้าตายไปแล้ว บุญคุณความแค้นเหล่านั้นก็ให้แล้วกันไปเถอะ เหตุใดเจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบที่ไม่ควรแบกรับเพียงเพราะคนที่ตายแล้วคนหนึ่งด้วย”
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ หากว่าอาจารย์ไม่ยอมพูด ข้าก็ไม่บังคับ เมื่อถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว ข้าก็จะสืบหาเองว่าเป็นใครทำร้ายอาจารย์’ มู่ชิงเกอเอ่ย
“เจ้า…” เทพโอสถจนปัญญา
เขาถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่ก่อนข้าก็เป็นเหมือนกับเจ้า ดื้อดึงเกินไป หยิ่งผยองเกินไป ใจกล้าเกินไป วิถีโอสถของข้าคือวิถีฝืนชะตาฟ้า เหลียนเฉียวเกิดขึ้นเพราะข้า ข้าสาบานว่าจะไม่ให้ใครแตะต้องนาง เพื่อสิ่งนี้ข้าจึงวางหม้อปรุงยาลงอย่างไม่ลังเล หยิบดาบขึ้นเข่นฆ่า”
ในคำพูดของเทพโอสถ ตรงหน้าของมู่ชิงเกอก็คล้ายกับปรากฎภาพๆ หนึ่งขึ้น ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายดูสะอาดสะอ้านแต่กลับมีนิสัยหยิ่งผยอง เหยียบลงบนเส้นทางฝืนชะตาฟ้า ควบคุมความเป็นตาย ฆ่าล้างวิญญาณชั่วร้าย เพียงเพื่อรักษา เจตจำนงของเขา เพื่อพิสูจน์หัวใจที่ฝืนชะตาฟ้าของเขา แต่เขาก็ยังดับสูญไป
“อาจารย์วิถีฝืนชะตาฟ้านี้เต็มไปด้วยอันตราย เต็มไปด้วยขวากหนาม ศิษย์อยากถามว่าท่านเคยนึกเสียใจ ย้อนหลังหรือไม่” มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าเอ่ยถาม หลังจากเศษเสี้ยววิญญาณได้ยินนางถามเช่นนี้แล้วก็ชะงัก ครู่หนึ่งก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ความดื้อรั้นและความไม่ย่อท้อในเสียงหัวเราะไม่เข้ากับ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย เป็นความรู้สึกสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่ออยู่บนตัวเขากลับดูโดดเด่นและกลมกลืนเป็นพิเศษ
เดิมทีเขาเป็นผู้กล้าที่หยิ่งผยองคนหนึ่ง แต่ฟ้าดินไม่เป็นธรรม เขาจึงมองฟ้าดินเป็นดั่งสุนัข เขาควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง ไม่ยอมรับการกำหนดจากฟ้าดิน
เป็นความไม่ยินยอมของเขา
ความสำเร็จในชีวิตเขาก็เกี่ยวพันกับความไม่ยินยอมนี้ ไม่ยอมแพ้และไม่ยอมรับในโชคชะตา
หลังจากหัวเราะแล้ว เขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ศิษย์เอ๋ย เจ้าฟังให้ดีในชีวิตนี้สิ่งที่ข้าไม่เคยเสียใจเลยก็คือการเดินบนเส้นทางฝืนชะตาฟ้า แม้จะต้องแหลกเป็นชิ้นๆ ข้าก็ไม่เสียใจ จากวิถีโอสถของเจ้า ข้าก็ดูออกแล้ว ไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้า เดิมทีข้าไม่อยากบอกเจ้ามากนักเพราะไม่อยากเพิ่มความกดดันบนเส้นทางนี้ให้เจ้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ในเมื่อเจ้าได้เลือกเส้นทางนี้แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเผชิญ เจ้าจำไว้ว่าราชาเทวะเซ่าเทียน ราชาเทวะกู่เฟิ่ง ราชาเทวะเซวียนเซ่อใน แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรจัดวางค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดารา สังหารเพื่อกักขังและทำลายร่างเนื้ออาจารย์ของเจ้า!”
‘ราชาเทวะเซ่าเทียน ราชาเทวะกู่เฟิง ราชาเทวะเซวียนเซ่อ…เช่าเทียน เช่า…’ มู่ชิงเกอจดจำชื่อพวกนี้เอาไว้ในใจ
ราชาเทวะเช่าเทียนนั้นนางคิดเชื่อมไปถึงคำพูดครึ่งประโยคที่เทพบรรพบุรุษตระกูลซางทิ้งเอาไว้ แต่ตอนนี้นางเองก็ไม่แน่ใจว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ เศษวิญญาณของเทพโอสถค่อยๆ จางลงเหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา
เขามองมู่ชิงเกอ บนใบหน้าสดใสเรียบนิ่งดวงนั้นกลับมีดวงตาที่ดูดื้อรั้นไม่ยอมจำนนต่อสวรรค์เขาเอ่ยว่า “เด็กน้อย เวลาของข้ามาถึงแล้ว ข้าไม่ขออะไร ขอร้อง เจ้าเพียงเรื่องเดียว ช่วยคุ้มครองเหลียนเฉียวแทนข้าที อย่าให้นางทำเรื่องโง่เขลา หากว่าให้นางลืมข้าได้ก็ยิ่งดี…”
เศษวิญญาณของเทพโอสถหายไปในที่สุด สิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถลอยตรงเข้ามาที่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ เข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของนาง ร่างของมู่ชิงเกอชะงักเข้าไปในจิตวิญญาณของตนเอง มองเห็นสิทธิ์แห่งเทพหกอันลอยอยู่ในจิตวิญญาณ สี่อันในนั้นเป็นของพวกเหมยจื่อจ้งที่เก็บเอาไว้ในจิตวิญญาณของนางชั่วคราว ส่วนที่เหลืออีกสองอัน อันหนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษตระกูลซาง อีกอันหนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถ สิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถเป็นสิ่งที่ได้มาเหนือความคาดหมาย ตอนนี้จุดมุ่งหมายที่เข้ามาในสุสานเทพของมู่ชิงเกอก็เหลือแค่หาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นเท่านั้น
หากจะหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น นางต้องตามหาผู้เฒ่าเหนือมังกรให้เจอก่อน
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ
หลังจากเก็บวัตถุดิบยาทั้งหมดแล้ว นางก็ออกไปจากสุสานของอาจารย์ปรุงยา
หลังจากนางจากไปได้ไม่ถึงครึ่งวัน เหยาชิงไห่ก็ปรากฎตัวขึ้นที่นี่
แต่เขากลับมาช้าไปหนึ่งก้าว เห็นเพียงแค่พื้นดินที่ดูรกรุงรังเท่านั้น “หยกไม่มีปฏิกิริยาแล้ว…หรือว่ามีคนมาถึงก่อน” เหยาชิงไห่กำหยกในมือ รู้สึกสงสัยในใจ
มาถึงตรงนี้เขาก็สังเกตเห็นว่าที่นี่เป็นสถานที่ฝังศพของอาจารย์ปรุงยา เมื่อร่องรอยสูญหาย เขาก็ไม่ได้รีบจากไป แต่เสาะหาสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะสมกับตนเอง
มู่ชิงเกอเดินอยู่ในสุสานเทพ สุสานนั้นใหญ่เกินไป ไม่มีวิธีระบุทิศทาง นางทำได้แค่อาศัยจิตวิญญาณหาตำแหน่งใจกลางของสุสานแล้วเดินเข้าไปใกล้ที่นั่น เรื่อยๆ แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอคนที่ยากจะสลัดหลุดเข้าเสียได้
“ปีศาจเฒ่าราศีธนู!” มู่ชิงเกอไพล่มือขวาเอาไว้ด้านหลัง นิ้วมือกำเบาๆ สามารถเรียกทวนหลิงหลงออกมาได้ทุกเวลา
ปีศาจเฒ่าราศีธนูขวางอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ หลังจากมองเห็นมู่ชิงเกอ แล้วก็เผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมา
“คิดไม่ถึง! ศัตรูมักพบกันในทางแคบจริงๆ ทำให้ข้าได้พบกับเจ้าที่นี่ได้ธิดาเทพคนนั้นเล่า”
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ยิ้มเย็นแล้วเอ่ยว่า “เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ข้าไม่ได้อยู่กับนาง”
ปีศาจเฒ่าราศีธนูคิดจะจับซีเซียนเสวี่ยก็เพราะคิดว่านางเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพ น่าจะรู้เรื่องในสุสานเทพมากกว่าคนธรรมดา จึงคิดจะแย่งชิงโอกาสมาให้ตนเอง
หลังจากได้ยินมู่ชิงเกอพูดเช่นนี้แล้ว นัยน์ตาของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้น
นัยน์ตาของเขาฉายแววดุร้าย เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นางไม่อยู่ จับเจ้าไปก็เหมือนกัน! พวกเจ้าล้วนแต่เป็นพวกเดียวกัน จับเจ้าแล้วไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องปรากฎตัว”
พูดแล้วเขาก็ยื่นมือที่แข็งราวกับเหล็กออกมาคว้าตัวมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพลิกมือขวาทวนหลิงหลงอยู่ในมือ แทงไปยังกรงเล็บของเขา
ปีศาจเฒ่าราศีธนูรีบถอนมือกลับ นัยน์ตาฉายแววยินดี “วันนี้โชคของข้าไม่เลว! เจ้าก็มียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเช่นกัน! ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้ากับทวนระดับมหาเทพนี้ล้วน
แต่เป็นของข้าแล้ว”
ระหว่างที่พูดเขาก็โจมตีมู่ชิงเกออีกครั้ง ที่นี่ไม่มีอาคมคอยหยุดยั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูตรงๆ มู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของระดับข้ามผ่านที่เหมือนกับคมมีดนับไม่ถ้วนพุ่งมาที่ตนเอง…