ตอนที่ 530
บุกสุสานมาร พระชายาโชคดีนัก
บรรดาคนที่โอบล้อมนางอยู่นั้นมาเพื่อฆ่านาง ในตอนที่มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงไอสังหารบนร่างของพวกเขานั้น นางก็เข้าใจจุดๆ นี้ทันที
“มู่ชิงเกอ” หัวหน้านักฆ่าเรียกชื่อนาง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาชัดเจนว่ามาตามหามู่ชิงเกอไม่ใช่คนอื่น
เสียงของเขานั้นแปลกมาก ดูเหมือนตั้งใจปิดบังเสียงเดิมของตนเอง ฟังแล้วแห้งและแสบหู
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง เอ่ยถามด้วยเสียงที่เย็นชา
หัวหน้านักฆ่ากลับเย่อหยิ่งไม่ตอบคำถามของนาง แต่กลับพูดว่า “เจ้ามันดื้อด้านนัก วันนี้ข้าจึงมาสั่งสอนหลักการ การเป็นคนให้กับเจ้า”
คิ้วของมู่ชิงเกอขมวดมุ่น นัยน์ตาฉายแวววาววาบ
ทันใดนั้นนางก็หัวเราะดูแคลนขึ้นมา “คนของตำหนัก เทพ”
นี่ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำยืนยัน
ที่จริงคำตอบก็คาดเดาได้อยู่แล้ว
เป็นใครที่พยายามหาทุกวิธีเพื่อสร้างปัญหาให้นาง นอกจากตำหนักเทพแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนั้นในตำหนักเทพ คำข่มขู่ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนักบวชเทวะก็ชัดเจนมาก
“ข้าจะไม่ตอบคำถามใดๆ ของเจ้า หากว่าตอนนี้เจ้ามอบของออกมา บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า” หัวหน้านักฆ่าเอ่ย
‘มาเพื่อหม้อผลาญสวรรค์จริงๆ!’ มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ
“หากว่าข้าไม่มอบให้ล่ะ” นางหัวเราะอย่างขี้เล่นขึ้นมา ท่าทางนิ่งสงบมาก ไม่ร้อนใจเลยสักนิด
“ไม่ยอมมอบให้งั้นหรือ” หัวหน้านักฆ่ายิ้มเยาะ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า “ภายในสุสานเทพ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้มีความสามารถก็ยากจะควบคุมความเป็นความตายของตนเองได้ คนตายไปไม่กี่คน หายสาบสูญไปไม่กี่คนเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก หากว่าเจ้ายังไม่รู้จักดีชั่ว ข้าก็ทำได้เพียงจับเจ้าไปทรมานจนเจ้ายอมมอบของออกมา ลูกน้อง เพื่อน คนสนิทของเจ้าก็จะคิดว่าเจ้าตายอยู่ในสุสานเทพแล้ว ไม่มีข้อสงสัยใดๆ”
“ตำหนักเทพช่างหน้าไม่อายจริงๆ ฉากหน้าดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ความเป็นจริงกลับสกปรกโสมม” มู่ชิงเกอพูดดูแคลน
หัวหน้านักฆ่ากลับเอ่ยต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า “บางครั้งหากต้องการปกป้องสิ่งที่สวยงามก็จำเป็นต้องมีคนเสียสละตนเองใช้ชีวิตในความมืด อาศัยความชั่วกำจัด ความชั่ว”
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะในใจ นักฆ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางล้วนแต่ถูกตำหนักเทพ ล้างสมองมาแล้ว พวกเขากลายเป็นเครื่องมือสังหารของตำหนักเทพ ทำเรื่องชั่วช้าสกปรกเพื่อผลประโยชน์ของตำหนักเทพ แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไร คิดว่าตนเองเป็นสาวกที่ ‘เสียสละตนเองเพื่อปณิธานอันยิ่งใหญ่’
คนที่ถูกล้างสมองมาแล้วพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์
มู่ชิงเกอกำมือขวา ทวนหลิงหลงปรากฎขึ้นในมือ
นางเตรียมตัวพร้อมรบแล้ว และไม่อยากจะเปลืองคำพูดไปกับคนเหล่านี้อีก
แต่คนเป็นหัวหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเตรียมตัวใดๆ เพราะการกระทำของนาง สายตาของเขาเลื่อนลงไปอยู่ที่ทวนหลิงหลง เอ่ยปากว่า “นี่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพของเจ้างั้นหรือ เป็นของดีจริงๆ หลังจากจับเจ้าไปแล้ว ทวนเล่มนี้ก็เก็บไว้ให้ข้าดูแลชั่วคราวเถอะ”
มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งยิ้มขึ้นอย่างดูแคลน เลิกคิ้วเอ่ยว่า “หากมีความสามารถก็มาเอาเอง”
หัวหน้านักฆ่าค่อยๆ ส่ายหน้า นํ้าเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก “การคิดว่าตัวเองเก่งกล้านั้นไม่ใช่นิสัยที่ดี เจ้าคิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากงั้นหรือ”
เมื่อพูดจบ กลิ่นอายบนร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงเขาเท่านั้น บรรดานักฆ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังซ้ายขวาของเขาก็เผยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งขึ้นมา กลิ่นอายที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ที่ระดับสีทองชั้นห้า!
หัวหน้านักฆ่าก็ยิ่งแข็งแกร่ง
กลิ่นอายนี้ดูเหมือนจะสูสีกันกับปีศาจเฒ่าราศีธนูและอีกาทองสามเท้า
‘ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านเคราะห์อสนีสองครั้ง!’ มู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ที่นางสามารถฆ่าปีศาจเฒ่าราศีธนูได้ก็เพราะมีอีกาทองสามเท้าเข้าแทรกแซง ทั้งปีศาจเฒ่าราศีธนูก็ดูแคลนนาง ถึงทำให้นางมีโอกาสลอบโจมตีสำเร็จ
วิธีเดียวกันไม่สามารถใช้อีกเป็นครั้งที่สองได้
คนตรงหน้าต่อกรยากกว่าปีศาจเฒ่าราศีธนูมากนัก ไม่ใช่เพราะพลังฝึกปรือแต่เป็นเพราะเขารู้จักนางดี
อีกทั้งเขายังพานักฆ่าตั้งมากมายมาด้วย
‘นี่เป็นศึกหนักศึกหนึ่งทีเดียว!’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ แม้กำลังจะต่างกันมากแต่นางก็จะไม่ยอมอ่อนข้อแน่
“มู่ชิงเกอ ให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มอบของออกมา แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า หากยังดื้อดึง เจ้าก็รนหาที่เอง” หัวหน้านักฆ่าเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเสียดสี ข้อมือขวาของนางพลิกกลับ ทวนหลิงหลงกำลังจะออกกระบวนท่า นางเงยหน้าเอ่ยว่า “จะสู้ก็สู้ ทำไมต้องพูดมากด้วย”
นัยน์ตาของหัวหน้านักฆ่าฉายแววเข้มขึ้น ด่าเสียงต่ำว่า “โง่เง่า”
เงาร่างของเขาวาบหายไปจากที่เดิม
นักฆ่าที่โอบล้อมมู่ชิงเกอก็โจมตีเข้าหานางพร้อมกัน
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ตั้งสติจับตามองการเคลื่อนไหวรอบด้าน
พลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานปรากฎขึ้นบริเวณด้านขวามือของนางอย่างกะทันหัน นางรีบใช้ท่าก้าวดาราก่อ กำเนิดหลบไปอีกด้าน ทวนหลิงหลงก็แทงพุ่งไปที่ด้านใน ตอนที่ทวนหลิงหลงแทงออกไปนั้น ตรงนั้นก็ปรากฎเงาคนขึ้นสายหนึ่ง
ส่วนปลายทวนหลิงหลงก็สามารถแทงเข้าไปในร่างกายของเงาร่างนั้นได้จากนั้นนัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เข้มขึ้น เงาร่างวาบหายไปจากที่เดิม ในตอนที่ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็เปลี่ยนตำแหน่งตวัดทวนขวางการโจมตีของนักฆ่าคนอื่นๆ
การโจมตีเมื่อครู่เหมือนนางจะแทงเข้าใส่ความว่างเปล่า
แต่เมื่อนางจากไป สถานที่ที่นางเคยยืนอยู่ก็ปรากฎร่างของหัวหน้านักฆ่าคนนั้นขึ้น
เมื่อการโจมตีล้มเหลวเขาก็มองไปที่มู่ชิงเกอแล้วยิ้มเย็น “ปฏิกิริยาเร็วใช้ได้ แต่อาศัยแค่ปฏิกิริยาอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ!”
คำพูดเพิ่งจะจบลง ทวนหลิงหลงของมู่ชิงเกอแทงทะลุคอของนักฆ่าระดับสีทองชั้นหกคนหนึ่ง หัวทวนขยับตัดหัวของเขาจนหลุดกลิ้งลงกับพื้น ในระหว่างที่สะบัดมือ มู่ชิงเกอก็เสือกทวนออกไปด้านหลังแทงเข้าที่จุดตันเถียนของนักฆ่า แล้วยกตัวเขาขึ้นฟาดใส่คนอื่นๆ กวาดพื้นที่ตรงหน้านางจนว่างเปล่า
“เจ้าเข้าสู่ระดับข้ามผ่านแล้วหรือนี่!” หัวหน้านักฆ่าเอ่ยอย่างตกตะลึง
ในข้อมูลที่เขาได้รับมา มู่ชิงเกอเพิ่งจะอยู่ที่ระดับสีทองชั้นหกชัดๆ เหตุใดถึงเข้าสู่ระดับข้ามผ่านได้เร็วถึงขนาดนี้
‘ผู้หญิงคนนี่มีพรสวรรค์น่ากลัวเกินไป หากไม่กำจัดเสียแต่เนิ่นๆ เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคใหญ่ของตำหนักเทพ’ หัวหน้านักฆ่าคิดอยู่ในใจ
ตอนนี้เองไอสังหารในแววตาของเขาก็เข้มข้นมากขึ้นเรือยๆ เงาทวนของมู่ชิงเกอจับทางได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ นักฆ่าไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ นักฆ่าระดับสีทองต่อสู้กับนางได้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น นี่เป็นความต่างชั้นระหว่างระดับสีทองและระดับข้ามผ่าน
ระดับพลังของโห่วถูกจำกัด กลัวว่าเขาในตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอก็คงได้แต่ป้องกันเท่านั้น
“ถอยออกไปให้หมด!” ซากศพกองอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหัวหน้านักฆ่าก็อดเอ่ยปากไม่ได้ สิ้นเสียงคำสั่งของเขา บรรดานักฆ่าต่างพากันถอยออกไปด้านหลัง แค่โอบล้อมมู่ชิงเกอไว้เท่านั้น
มู่ชิงเกอหันมองเขา ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “อย่างไร ต้องการลงมือเองงั้นหรือ”
หัวหน้านักฆ่าเผยท่าทีดุร้าย เอ่ยเสียงเย็นว่า “มู่ชิงเกอ ข้าประเมินเจ้าตํ่าไป แต่โชคของเจ้าก็จบลงแค่นี้แหละ”
“มั่นใจเกินไป ตอนที่ถูกตบหน้าจะเจ็บมากนะ” มู่ชิงเกอพูดเสียดสี
“ปากร้ายนัก” หัวหน้านักฆ่าเอ่ยเสียงเย็น เขายกมือขึ้น กลางฝ่ามือปรากฎแสงสีทองสายหนึ่งดุจดั่งสายฟ้าพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างในแสงสีทองนั้น
นางไม่กล้าดูเบา ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว ส่วนแสงสีทองนั้นก็เฉียดไหล่นางไป ตรงจุดที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ระเบิดออกเป็นหลุมลึก มู่ชิงเกอเม้มปากเหลือบมองไปที่หลุมลึกนั้นด้วยนัยน์ตาหนักอึ้ง
หากเมื่อครู่นางหลบไม่ทัน แม้จะไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสจนไม่มีแรงตอบโต้คืน
ถึงพลังฟื้นฟูของนางจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็จำเป็นต้องใช้เวลา
ยิ่งพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากเท่าใด นางก็ยิ่งต้องระวังไม่อาจบาดเจ็บได้ง่ายๆ ในการต่อสู้ของยอดฝีมือ แพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องเพียงแค่พริบตาเดียว
“เคลื่อนไหวได้เร็วนี่ แต่เจ้าจะหลบไปได้นานแค่ไหนกัน” หัวหน้านักฆ่าสบถอย่างเย็นชา แสงสีทองในมือฟาดลง มาอีกครั้ง
เหมือนเขาจะจงใจแกล้งมู่ชิงเกอเล่นก็ไม่ปาน เพราะเมื่อมองเห็นนางหลบแสงสีทองไปมาแล้ว นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววเยาะเย้ย
‘หากตอนนี้มีคนสู้ประสานกับข้า ข้าจะต้องเอาชีวิตสุนัขของเจ้านี่มาได้อย่างแน่นอน!’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจอย่างแค้นเคือง
ในตอนนี้เองเรื่องซวยซํ้าซวยซ้อนก็เกิดขึ้น
เสียงของอีกาทองสามเท้าดังเข้ามาดุจฟ้าผ่า “นังเด็กบ้า! ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ! เจ้าหนีต่อสิ!”
การปรากฎตัวของเขาทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกสิ้นหวัง แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงโอกาสในภาวะสิ้นหวังนี้
การปรากฎตัวอย่างกะทันหันของอีกาทองสามเท้าไม่เพียงแต่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่หัวหน้านักฆ่ากลับรู้สึกเหนือความคาดหมายมากกว่า เขาไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันขึ้น นัยน์ตาของเขาเข้มขึ้น สั่งการลูกน้องว่า “กำจัดเขาซะ!”
นักฆ่าแบ่งกำลังออกไปครึ่งหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีอีกาทองสามเท้าที่ลอยลงมาจากฟ้า
แต่พวกเขาจะสู้อีกาทองสามเท้าได้อย่างไร
เมื่อการต่อสู้สับสนอลหม่านไปหมด มู่ชิงเกอก็กลอกตาไปมาฉวยโอกาสในตอนที่หัวหน้านักฆ่าแบ่งสมาธิไปมองอีกาทองสามเท้า ใช้กระบวนท่าฆ่าล้างท่าเดียวฆ่านักฆ่าไปหลายคนและเปิดช่องพุ่งทะลวงออกมาจากตรงนั้น
เมื่อมู่ชิงเกอหนี หัวหน้านักฆ่าก็สัมผัสได้ในทันที นัยน์ตาราวกับจะมีไฟพ่นออกมาอย่างนั้น
เขามองทิศทางที่มู่ชิงเกอหนีไปแล้วเอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า“ตามไป!”
เอ่ยยังไม่จบเขาก็ไล่ตามมู่ชิงเกอไปแล้ว นักฆ่าคนอื่นๆ ก็ทยอยกันตามเขาจากไป
หลังจากอีกาทองสามเท้าฆ่าคนไปคนหนึ่งแล้วก็ยืนอยู่ที่เดิม เมื่อมองเห็น ‘เหยื่อ’ หนีไปอีกครั้งก็อดสบถเสียงเย็นออกมาไม่ได้ “ชิ หนีงั้นหรือ ในสุสานเทพนี้เจ้ายังจะหนีไปไหนได้อีก ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปไหน รากวิญญาณเพลิงของเจ้าก็เป็นของข้า! ตัวเจ้าก็เป็นของข้า!”
พูดแล้วเงาร่างของเขาก็หายไปพุ่งออกไปไล่ล่ามู่ชิงเกออีกครั้ง
มู่ชิงเกอบุกทะลวงเข้าไปในสุสานเทพมั่วๆ แยกทิศทางไม่ออก ตอนนี้จุดมุ่งหมายของนางก็คือสลัดคนด้านหลังทิ้ง นางรวดเร็วมาก แม้แต่หัวหน้านักฆ่าระดับข้ามผ่านเคราะห์อัสนีสองครั้งยังยากที่จะไล่ตามทัน
ครั้งนี้นางหนีเต็มกำลัง…
ทันใดนั้น สุสานเทพก็หมุนคว้าง เหมือนทั้งช่องว่างถูกพลิกกลับไปรอบหนึ่ง
มู่ชิงเกอเกือบตกลงไป ส่วนคนที่ไล่ตามนางมาก็เช่นเดียวกัน
มู่ชิงเกอพยายามควบคุมร่างกายของตนเอง เมื่อมองเห็นด้านหน้ามีหมอกหลากสีก็กัดฟันพุ่งเข้าไป
เมื่ออยู่ในหมอกนั้นนางแยกทิศทางไม่ออก จึงพยายามเสาะหาทางออกอยู่ครู่ใหญ่
ความรู้สึกที่ถูกไล่ตามมาด้านหลังยังไม่จางหายไป ทำให้นางไม่สามารถวางใจได้ ได้แต่ต้องเดินหน้าต่อ
ในที่สุดนางก็พุ่งออกมาจากเมฆหมอกเข้าไปในสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีต้นไม้สูงใหญ่ ไม่รู้ว่าอยู่มากี่พันปีกี่หมื่นปีแล้ว ลำต้นของต้นไม้เจือด้วยลำแสงสีม่วงอ่อนจาง ดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกประหลาดดูสวยงามมาก
ที่นี่แตกต่างจากบรรยากาศของสุสานเทพอย่างสิ้นเชิง
มู่ชิงเกอตกตะลึง ไม่รู้ว่าตนเองบุกเข้ามาสถานที่อะไรกันแน่
และในตอนนี้เอง ก็มีกลุ่มคนรุดเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน นางเงยหน้ามองออกไป เมื่อคนกลุ่มนั้นมองเห็นนางก็คุกเข่าลงและเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกันว่า
“พระชายา!”