Skip to content

พลิกปฐพี 552

ตอนที่ 552

ผู้กล้ารวมตัว ศึกใหญ่เริ่มต้น

ซีเซียนเสวี่ยพักอยู่ในลั่วซิงเฉิง

ซีเซียนเสวี่ยพักในห้องรับรองแขกในจวนเจ้าเมือง แต่นางก็ไม่อาจสงบใจลงได้ คำพูดของมู่ชิงเกอยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจนาง

‘นับแต่นี้ต่อไป เจ้าไม่ใช่ธิดาเทพของตำหนักเทพและไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตำหนักเทพอีก เจ้าเป็นตัวของเจ้าเอง เป็นซีเซียนเสวี่ย’

ไม่มีใครเคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน

และคำพูดเช่นนี้กลับทำให้หัวใจของนางยากที่จะสงบลงได้ ทั้งใจเหมือนถูกความอบอุ่นโอบคลุมเอาไว้

ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตูห้องของนาง

ซีเซียนเสวี่ยหยุดคิด เอ่ยถามว่า “ใครน่ะ”

“ข้าเอง”

คำตอบด้านนอกประตูนั้นสั้นมาก แต่ซีเซียนเสวี่ยก็รู้ว่าคนที่มานั้นเป็นใคร

นางเดินไปเปิดประตู คนที่ยืนอยู่นอกประตูก็คือเว่ยมั่วลี่ เขายังคงกอดดาบหนักของเขาเช่นเคย ใบหน้านิ่งเฉยไม่มีอารมณ์ใดๆ

“ได้ยินชิงเกอบอกว่าเจ้ามาลั่วซิงเฉิงได้หลายวันแล้ว เจ้ามาช่วยนางใช่ไหม” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยปากถามออกไป

เว่ยมั่วลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้า

กับมู่ชิงเกอนางสามารถเปิดเผยสิ่งที่ตนเองพบเจอมาออกไปโดยไม่ปิดบังได้ แต่กับคนอื่นนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

เว่ยมั่วลี่พยักหน้า คนที่ไม่ชอบพูดคุยอย่างเขาก็ไม่ได้อยู่ต่อ หันกายจากไปทันที ราวกับว่าที่เขามาก็เพื่อถามว่า ซีเซียนเสวี่ยไม่เป็นไรก็เท่านั้น

ซีเซียนเสวี่ยใช้สายตาส่งเขาจากไป แล้วก็กลับเข้าห้อง

นางไม่คุ้นเคยกับที่นี่ นางเคยมาลั่วซิงเฉิงครั้งหนึ่งตอนที่ก่อตั้งเมืองแต่ก็ไม่ได้เข้ามาในจวนเจ้าเมือง

แต่ถึงจะเป็นสถานที่แปลกใหม่แห่งหนึ่ง แต่กลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เหมือนตำหนักเทพที่แม้จะดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็เป็นโลกที่เย็นยะเยือกตลอดกาล

ตอนนี้สิ่งเดียวที่นางเป็นกังวลก็คือตระกูลซีในภาคกลาง ตระกูลยังซีอยู่ในเมืองเทียนคง นักบวชเทวะจะโมโหตระกูลซีเพราะนางหนีมาแล้วลงมือกับตระกูลซีหรือไม่

‘หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ในตอนที่เขาสลบอยู่ ข้าน่าจะฆ่าเขาซะ’ ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยในใจ

แต่นางก็ต้องส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่นออกมา อาศัยพลังฝึกปรือของนาง แม้ว่านักบวชเทวะจะสลบ การโจมตีของนางก็ไม่อาจทะลุพลังป้องกันของเขาได้ ตระกูลซี…

นัยน์ตาอันงดงามของซีเซียนเสวี่ยเต็มไปด้วยความกังวลใจ คนเหล่านั้นเป็นครอบครัวของนาง และก็ไม่เคยเย็นชาต่อนาง จะไม่ให้นางกังวลใจได้อย่างไร

“คุณหนูซี ข้าคือโย่วเหอ เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณชายเจ้าค่ะ” มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูอีกครั้ง

ซีเซียนเสวี่ยสงบอารมณ์เดินไปเปิดประตู

โย่วเหอยืนอยู่นอกประตู ยิ้มบางๆ ให้กับซีเซียนเสวี่ย แล้วยื่นม้วนกระดาษในมือให้ซีเซียนสวี่ย “นี่เป็นความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเมืองเทียนคงในไม่กี่วันนี้ ทั้งยังมี สถานการณ์ของตระกูลซี คุณชายบอกว่าบางทีท่านอาจจะอยากดูจึงสั่งให้บ่าวเอามาให้ท่าน’’

ซีเซียนเสวี่ยดีใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความยินดี นางกำม้วนกระดาษในมือแน่น แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณ”

โย่วเหอส่ายหน้ายิ้มบางๆ “คุณหนูซีไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าเพียงทำตามที่คุณชายสั่งก็เท่านั้น”

พูดแล้วนางก็โค้งกายถอยออกไป ไม่รบกวนอีก

ซีเซียนเสวี่ยเปิดม้วนกระดาษแล้วอ่านเนื้อหาด้านใน เมื่อรู้ว่าตระกูลซีปลอดภัยแล้วถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งใจออกมา

ในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยฝึกฝนวิชาอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้น มู่ชิงเกอก็พาไป๋สี่ หยินเฉิน ราชครูแล้วก็โห่วเข้าไปในช่องว่างของนาง

ราชครูที่เพิ่งเข้ามาในช่องว่างของมู่ชิงเกอเป็นครั้งแรก รู้สึกตกตะลึงมาก

แต่จะพูดอย่างไรเขาก็เป็นผู้เฝ้ามอง และก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นโลกเล็กๆ เช่นนี้ จึงกลับสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือมู่ชิงเกอถึงกับมีโลกใบเล็กเช่นนี้อยู่ด้วย นี่ทำให้เขาถอนหายใจให้กับความโชคดีของมู่ชิงเกออีกครั้ง

ที่พาพวกเขาเข้ามาในช่องว่างก็เพราะบรรดาปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่โดนนางวางยาจนสิ้นสติไปเหล่านี้

ค่ายกลที่กักขังพวกเขามีจุดมุ่งหมายหลักคือให้พวกเขาโดนพิษโดยไม่รู้ตัวและหมดสติไป ทำให้นางสามารถลงมือได้ตามใจชอบ

“ราชครู เจ้าเคยพูดว่าเพียงแค่ประทับตราทาส พวกเขาก็จะเชื่อฟังคำสั่งของข้าใช่ไหม” มู่ชิงเกอขอคำยืนยันกับราชครู

ราชครูพยักหน้า “ไม่ผิด เพียงแค่ประทับตราทาส พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดคำสั่งนายน้อยได้ตลอดชีวิต แต่ตราทาสนี้นายน้อยต้องเข้าสู่ขั้นถํ้าวิญญาณก่อนถึงจะ ประทับตราได้…”

มู่ชิงเกอพยักหน้า จุดนี้นางรู้แล้ว “ไม่เป็นไร ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ไปก่อน ที่นี่เป็นโลกของข้า ถึงพวกเขาจะตื่นขึ้นมาก็ทำอะไรไม่ได้”

พูดแล้วนางก็มองพวกหยินเฉินทั้งสามคน แล้วสั่งการพวกเขาว่า “นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าสามคนสับเปลี่ยนกันเข้ามาเฝ้าพวกเขา ที่นี่มีธูปเล่มหนึ่ง พวกเจ้าต้องเฝ้า เอาไว้ห้ามให้มันดับ”

มู่ชิงเกอส่งธูปให้ไป๋สี่แล้วเอ่ยกับนางว่า “ไป๋สี่เริ่มจากเจ้าก่อน”

ธูปนี้จะทำให้สติของเหล่าปีศาจเฒ่าเหล่านี้มึนชาต่อไป รอนางเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารและทะลวงขอบเขตเข้าสู่ขั้นถํ้าวิญญาณแล้วค่อยประทับตราทาสให้

พวกเขา

“เด็กน้อย เจ้าคิดจะพาปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านหลายร้อยคนของโลกยุคกลางเหล่านี้เข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารทั้งหมดเลยหรือ” โห่วเอ่ยอย่างตกตะลึง มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยว่า “มีอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรความหวังของพวกเขาก็คือการเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอยู่แล้วนี่ ข้าก็แค่ช่วยพวกเขาลดขั้นตอนลงเท่านั้น” นางออกมาจากช่องว่างและไป๋สี่ยังคงอยู่ในนั้นต่อ

หยินเฉินเอ่ยถามว่า “ตอนนี้ทั้งห้าภาคต่างเกิดความสงสัยต่อตำหนักเทพ แต่ข้าคาดการณ์ว่าสถานการณ์ เช่นนี้ไม่น่าจะอยู่ได้นาน ทางตำหนักเทพจะต้องโต้กลับ แน่นอน”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ทางตำหนักเทพจะต้องไม่ยอมวางมือแค่นี้แน่ ตอนนี้ทั้งสองฝั่งก่อเรื่องจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว พวกเราฉีกหน้ากากของพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งอยากจะฆ่าพวกเราให้สิ้นซาก สงครามจะต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน”

“คนของตระกูลซางมาถึงเมื่อวานนี้” ราชครูเอ่ยกับมู่ชิงเกอแล้วเขาก็เสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “นับดูเวลาแล้ว คนของทะเลแห่งทุกข์กับทะเลทรายท่องวิญญาณก็น่าจะถึงในเร็วๆ นี้ แต่พวกเขาหลายคนไม่เคยเข้ามาในโลกแห่งยุคกลาง เมื่อเข้ามาเป็นครั้งแรกก็ต้องการเวลา เพิ่มความสมดุลให้กับระดับพลังฝึกปรือในร่างกายสักหน่อย”

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน มาก็ดีแล้ว ลั่วซิงเฉิงยังไม่ถึงจุดวิกฤติ”

พูดแล้วนางก็เอ่ยกับราชครูว่า “หลายวันมานี้ข้ามีเรื่องมากมายต้องทำ คนของตระกูลซางชุดแรกที่มาถึงนี้ก็รบกวนราชครูไปรับรองสักหน่อย ทั้งยังมีฝั่งทางเผ่าอี๋ก็รบกวนเจ้าดูแลด้วย”

ราชครูเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว”

มู่ชิงเกอมองไปทางหยินเฉิน “ฝั่งทางสำนักวิถีโอสถมีข่าวอะไรกลับมาหรือไม่” นางไม่ลืมเรื่องที่เจ้าสำนักวิถีโอสถเคยพูดกับนางเอาไว้

เมื่อต้องรบกับตำหนักเทพ นางจะลืมไพ่ใบนี้ไปได้อย่างไร

ในจดหมายที่ส่งให้สำนักวิถีโอสถนั้น นางเขียนถึงเรื่องที่เจอกับเทพโอสถในสุสานเทพไว้ด้วย นางเชื่อว่าศิษย์พี่คนนี้ของนางคงจะไม่นั่งเฉยอย่างแน่นอน

นางเพิ่งจะถามจบ หยินเฉินยังไม่ทันตอบ ก็มีคนเข้ามารายงานอย่างรวดเร็วว่า “คุณชาย คนของสำนักวิถีโอสถแห่งภาคตะวันออกมาแล้วขอรับ”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย หัวเราะขึ้นในทันที “ไป ตามข้าไปต้อนรับ”

มีเพียงหยินเฉินที่ไปกับมู่ชิงเกอ

ราชครูต้องไปหาตระกูลซาง ส่วนโห่วก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจก็คือ คนที่นำคณะผู้สนับสนุนของสำนักวิถีโอสถมาคือเหยาชิงไห่

“เจ้ามาได้อย่างไร” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม เขาไม่กังวลว่าเรื่องนี้จะพัวพันไปถึงตระกูลเหยางั้นหรือ

เหยาชิงไห่ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาหรือว่าชิงเกอดี”

มู่ชิงเกอเข้าใจในพริบตา เมื่อเขาพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าศิษย์พี่คนนั้นของนางคงเล่าทุกอย่างให้เหยาชิงไห่ฟังแล้ว

“อาจารย์ให้ข้าบอกเจ้าว่า เขาต้องเฝ้าผู้อาวุโสบรรพบุรุษไม่สามารถจากไปไหนได้ รอเจ้าจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วจะต้องกลับไปสำนักวิถีโอสถสักครั้ง เขามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” พูดแล้วเขาก็หยุดลงเล็กน้อยแล้วก็เสริมว่า “ยังมีอีกอย่าง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสถานะของข้า ข้าเป็นตัวแทนของสำนักวิถีโอสถไม่ใช่ตระกูลเหยา สถานการณ์ในตอนนี้ละเอียดอ่อนมาก ตระกูลเหยาลงมือได้ไม่สะดวกนัก แต่เจ้าก็วางใจได้ ตระกูลเหยาจะไม่ฟังคำสั่งตำหนักเทพอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณมาก” มู่ชิงเกอพูดอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าชิงเกอเถอะ คำว่าอาจารย์อานี้ข้าฟังแล้วรู้สึกกระดากใจอย่างไรพิกล”

ขณะนั้นเองก็มีคนเข้ามารายงานอีก

“รายงานคุณชาย ประมุขน้อยจีมาถึงแล้ว!”

“รายงานคุณชาย ประมุขน้อยอิ๋งมาถึงแล้ว!

“รายงานคุณชาย ผู้นำกลุ่มหลิวเค่อเลี่ยเกอ แม่นางฉินมาถึงแล้ว!”

ชั่วเวลานั้น เพื่อนๆ ก็มารวมตัวกันอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ สงครามยังไม่เริ่ม ข้างกายของนางก็มีกลุ่มเพื่อนอยู่ด้วยแล้ว สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

นางก็รู้ดีว่าจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อนั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับเหยาชิงไห่ ที่เป็นตัวแทนของตนเองไม่เกี่ยวกับตระกูล

แต่นี้ก็พอแล้ว เพียงพอแล้ว

ภาคกลาง เมืองเทียนคง ภายในตำหนักเทพ

สายสืบของตำหนักเทพยืนอยู่ตรงหน้านักบวชเทวะแล้วรายงานสิ่งที่สืบมาได้ให้เขาฟัง

นักบวชเทวะยืนอยู่บนแท่นบันไดด้วยสีหน้าที่ดำทะมึน เอ่ยถามว่า “เจ้าพูดว่าธิดาเทพไปลั่วซิงเฉิงด้วยตัวเองงั้นหรือ”

“ขอรับ! ลั่วซิงเฉิงป้องกันหนาแน่นมาก ข้าน้อยไม่สามารถเข้าไปได้ แต่สายสืบที่ข้าน้อยสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกเมืองรายงานมาว่า เขามองเห็นธิดาเทพเข้าไปในลั่วซิงเฉิงด้วยตาตนเอง ยังมีอีกอย่าง พวกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่เดิมทีเฝ้าอยู่ด้านนอกลั่วซิงเฉิงก็หายไปภายในคืนเดียว สายสืบบอกว่า พวกเขาไล่ตามมู่ชิงเกอออกไป แต่ตอนมู่ชิงเกอกลับมาพวกเขากลับหายไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย” สายสืบพูด นัยน์ตาของนักบวชเทวะมืดทึบ เขาไม่สนใจความเป็นความตายของพวกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่าน ที่เขาใส่ใจ ก็คือซีเซียนเสวี่ยกลับกล้าวางยาเขา ทรยศเขาแล้วก็หนีไปหาศัตรูของเขา

น่าตายนัก! นางกล้าทำเช่นนี้ได้!

ไอสังหารในใจของนักบวชเทวะลุกโชน ควบคุมความชั่วร้ายในร่างกายไว้ไม่อยู่

‘ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี ตั้งใจเลี้ยงดู แต่สุดท้าย เจ้ากลับทรยศข้า ทั้งยังกล้าทำกับข้าเช่นนี้!’ นักบวชเทวะพูดอย่างแค้นเคืองในใจ

“นักบวชเทวะ พวกเราจะทำอย่างไรต่อ” สายสืบถาม

“ชิ ประกาศกับภายนอกว่า ลั่วซิงเฉิงใช้วิธีชั่วช้า ลักพาตัวธิดาเทพของตำหนักเทพไป ธิดาเทพถูกลบหลู่ ก็คือตำหนักเทพถูกลบหลู่ด้วย ไม่นานตำหนักเทพจะ รวบรวมไพร่พลมุ่งหน้าไปยังลั่วซิงเฉิง!” นักบวชเทวะ ยิ้มอย่างบ้าคลั่งและสั่งออกมา

“ทางตระกูลซี…” สายสืบเงยหน้าขึ้นลองถามออกไป

“ตระกูลซีหรือ” นักบวชเทวะหรี่ตาลง สบถเสียงเย็นว่า “จับตาดูพวกเขา ดูว่าพวกเขาลอบเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ ศิษย์ทรยศคนนั้นได้ติดต่อกับตระกูลหรือไม่ อีก อย่างหนึ่ง อย่าให้พวกเขาหนีไปได้ ข้าจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์”

“ขอรับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version