Skip to content

พลิกปฐพี 555

ตอนที่ 555

ศึกแรก ใครคือเทพแห่งสงคราม

นักบวชเทวะถูกแสงเทพบีบให้ถอยออกไปหลายก้าว ความเคลื่อนไหวภายในห้องโถงดึงดูดความสนใจของผู้คุ้มกันเทพด้านนอก เสียงชุดเกราะจึงดังเข้ามาจากที่ไกลๆ

แต่ในตอนที่เงาร่างทั้งสองเดินออกมาจากนํ้าวนแล้วยืนต่อหน้านักบวชเทวะนั้น

นักบวชเทวะตกตะลึงคุกเข่าลงไป ความสูงส่งของเขาถูกเก็บงำเอาไว้อย่างมิดชิดต่อหน้าเทพ เหลือแค่เพียงความเป็นบ่าวเท่านั้น

ภายในลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอยังคงอยู่ในอ้อมอกของซือมั่ว ชมบรรยากาศงดงามบนท้องฟ้าร่วมกันกับเขา

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ หากข้าพูดว่าข้าจะทำลายตำหนักเทพแทนเจ้า เจ้าก็คงจะไม่ยินยอม แต่หากเจ้าบอกให้ข้ายืนมองเรื่องนี้เฉยๆ ปล่อยให้คนอื่นรังแกเจ้า ข้าก็ไม่ ยินยอมเช่นเดียวกัน” ซือมั่วเอ่ย

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

นางรู้สึกขบขันในใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าซือมั่วพูดเก่งขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนเขาจะเดาความคิดของนางออก ดังนั้น คำพูดที่เอ่ยออกมาจึงทำให้นางจนมุม แม้แต่โอกาสจะเปลี่ยนประเด็นก็ยังไม่มี

เขายอมถอยแล้ว หรือตัวเองจะยังไม่ไว้หน้าอีก

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร” เมื่อหมดทางเลือกแล้วมู่ชิงเกอถึงได้ถามออกมา

ซือมั่วจับไหล่ของนางหันกลับมาเผชิญหน้ากับตนเอง นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความรัก “เจ้าสามารถมองข้าเป็นทหารคนหนึ่งได้ ต้องการให้ข้าทำอะไรก็บอกมาได้เลย”

คำพูดนี้ทำให้มู่ชิงเกอชะงักไป ลอบเอ่ยว่า ‘ต่อหน้าคนอื่นเขาเป็นคนที่ดูอหังการไร้จิตใจ มีเพียงต่อหน้าข้าเท่านั้นเขาถึงจะวางตนเองเอาไว้ตํ่าขนาดนี้’

ความปวดใจทำให้มู่ชิงเกอยื่นสองมือออกไปจับแก้มของซือมั่ว

ซือมั่ววางมือใหญ่ของเขาทับลงบนมือเล็กของนาง เผยยิ้มออกมา “ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วว่าข้าชอบเจ้าที่เป็นเช่นนี้”

มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า แน่นอนว่านางจำคำพูดของเขาได้

“อามั่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังการกระทำต่อข้าขนาดนั้น” มู่ชิงเกอพูดอย่างจริงจัง

ซือมั่วชะงัก ก้มลงจูบที่หว่างคิ้วของนาง “เพราะว่าข้าไม่อยากสูญเสียเจ้าไป”

เป็นเพราะไม่อยากสูญเสีย เขาถึงได้ระมัดระวัง เพราะเขารู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ใช่ผู้หญิง ธรรมดาทั่วไป หากว่าทำให้นางไม่พอใจแล้ว นางก็จะหันกายจากไปอย่างไม่ลังเล

มู่ชิงเกอทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ “ข้าทำให้เจ้าไม่สบายใจถึงขนาดนี้เลยหรือ”

ซือมั่วฉวยโอกาสบ่น “ก็เป็นเพราะเจ้าเกี้ยวได้ยากลำบากเกินไปมิใช่หรือ”

เขาต้องใช้ฝีมือไปมากมายถึงสามารถเข้าไปอยู่ในใจของมู่ชิงเกอได้สำเร็จ

“อามั่ว เจ้าจะไม่สูญเสียข้าอย่างแน่นอน” มู่ชิงเกอให้สัญญา นางไม่ใจคนใจง่ายและก็ไม่ใช่คนที่จิตใจโลเล สำหรับเรื่องความรักระหว่างหญิงชายนั้น หากว่านาง แน่ใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเด็ดขาด

“เช่นนั้นที่เจ้าอยากอยากจะบอกข้าก็คือ ต่อไปนี้ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ” ซือมั่วโอบรอบเอวของมู่ชิงเกอ ดึงนางเข้ามาแนบชิดกับร่าง กายของตนเอง ถึงมีเสื้อขวางกั้นแต่มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงความร้อนจากผิวของเขา

มู่ชิงเกอแก้มแดงขึ้น พยายามขืนตัวอยากจะหลุดออกมาจากอ้อมอกของเขา จึงแกล้งไอออกมา “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ กองกำลังของตำหนักเทพอยู่ไม่ไกลแล้ว”

“ตอนนี้พวกเขายังมาไม่ถึงที่นี่หรอก” ซือมั่วเอ่ย

แต่มู่ชิงเกอกลับพูดอย่างมีเหตุผลว่า “เพราะว่ายังมาไม่ถึงดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดวางกำลังพลไว้เตรียมป้องกัน”

“ก็ไม่ต้องรีบร้อนถึงขนาดนี้ ข้ารับรองว่าก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องที่ควรทำเสร็จ พวกเขาจะยังมาไม่ถึงอย่างแน่นอน” ซือมั่วเอ่ย โอบมู่ชิงเกอแล้วเดินไปที่เตียง

ภาคกลาง เมืองเทียนคง ตำหนักเทพ

นักบวชเทวะยืนอยู่ที่เดิมอย่างระมัดระวัง สายตามองไปยังใต้เท้าที่มาจากแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงหน้าเสากลมโปร่งแสงที่รวบรวมพลังความศรัทธาต้นนั้นด้วยความเงียบงัน

กลิ่นอายที่หดหู่เช่นนี้ทำให้ทั้งตำหนักเทพรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ

นอกห้องโถงมีผู้รับใช้เทพและผู้คุ้มกันเทพคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด พวกเขาอยู่ในตำหนักเทพมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนของเผ่าเทพ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว

ดูเหมือนต่อหน้าเผ่าเทพนั้น พวกเขาดูเล็กเหมือนฝุ่นจนไม่กล้าทำอะไรเลย

“ที่แท้ที่นี่ก็เกิดปัญหาขึ้น ข้าก็ว่าแล้วว่าเหตุใดช่วงนี้ถึงฝึกฝนได้ช้านัก ทั้งยังมีความรู้สึกเหมือนหยุดชะงัก” ใต้เท้าเผ่าเทพสองคนที่ยืนหันหลังให้นักบวชเทวะคนหนึ่งเริ่มพูดขึ้น

อีกคนเอ่ยว่า “ครั้งนี้ยังถือว่าพบได้เร็ว หากว่าพบช้ากว่านี้ รอจนสิ่งปะปนด้านในเยอะกว่านี้ แล้วพวกเราใช้พลังความศรัทธาที่ไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ไปฝึกฝน เกรงว่าอาจจะเกิดอาการสะท้อนกลับได้”

เมื่อเขาพูดจบก็หันสายตาที่เย็นชากลับมามองนักบวชเทวะที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของพวกเขา

นักบวชเทวะรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นชั่วขณะ ทั้งร่างเกือบจะล้มลงกับพื้น “เทพเบื้องบนโปรดคลายโทสะ ฟังบ่าวอธิบายก่อน”

เขาเรียกแทนตนเองเป็นบ่าว สามารถเห็นได้ว่าถึงแม้เขาจะเป็นนักบวชเทวะผู้สูงส่งในโลกแห่งยุคกลาง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเผ่าเทพกลับดูตํ่าต้อยมาก

“อ้อ ได้ พวกเราจะฟังการอธิบายของเจ้า” เผ่าเทพที่มองมายังเขาพูดขึ้นมา

อีกคนหนึ่งก็หันหน้ากลับมา นัยน์ตาดูเย็นยะเยือกและห่างเหิน เหมือนว่าในสายตาของเขานั้นนักบวชเทวะไม่ได้ต่างจากหมูหรือสุนัขตัวหนึ่ง

ในใจของนักบวชเทวะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

เขารู้เพียงว่าพลังความศรัทธาที่ตำหนักเทพรวบรวมนั้น เป็นของฐานอำนาจหลายฐานอำนาจในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารครอบครองร่วมกัน ส่วนรายละเอียดว่าเป็นฐานกำลังอำนาจอะไรนั้นเขาไม่รู้เลย

เพราะไม่มีเจ้านายที่ไหนจะอธิบายเรื่องราวให้บ่าวฟังเอง บ่าวที่เชื่อฟังก็จะไม่ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม

ถึงอย่างไรก็มีคนลงมาจากแผ่นดินเทพน้อยมาก คนที่ลงมาทุกคนจึงล้วนแล้วแต่เป็นเจ้านายของเขาและของทั้งตำหนักเทพ นักบวชเทวะสงบสติเรียบเรียงเรื่องราวแล้วถึงเอ่ยว่า “ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเพราะมู่ชิงเกอ ผู้ที่ไม่เชื่อและลบหลู่เทพเบื้องบน”

“มู่ชิงเกอ แซ่มู่หรือ” หลังจากหนึ่งคนในนั้นได้ยินชื่อของมู่ชิงเกอ…พูดให้ชัดก็คือได้ยินถึงแซ่แล้ว นัยน์ตาก็ฉายแววสนุกขึ้นมา คนอีกคนข้างกายของเขาหัวเราะและเอ่ยว่า “เจ้าคงไม่คิดว่าเป็นตระกูลมู่ที่หลงเหลืออยู่ใช่ไหม ผ่านไปหมื่นปีแล้ว ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอกับตระกูลมู่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ก็ไม่มีอะไรน่าเกรงกลัว ตระกูลมู่ที่หลงเหลืออยู่ด้านบนก็ยังใช้ชีวิตอยู่แบบหนีหัวซุกหัวซุน แล้วจะเอาอะไรกับพวกที่อยู่ด้านล่างอีก”

คำพูดของเขาทำให้เพื่อนของเขาเห็นด้วย

ฝ่ายหลังพยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด ข้าคงคิดมากไปเอง”

เมื่อทั้งสองคนพูดคุยเสร็จ คนที่ค่อนข้างอ้วนก็พูดกับนักบวชเทวะว่า “พูดต่อ”

“ขอรับ ท่านเทพ” ท่านนักบวชเทวะมีสีหน้าประจบสอพลอ รวบรวมสติแล้วเอ่ยต่อ “มู่ชิงเกอคนนั้นมีนิสัยหยิ่งผยอง โอหัง ทั้งยังดูแคลนตำหนักเทพ ท่าทางน่า รังเกียจ…”

“พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเติมคำพูดที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้มา อย่าคิดใช้คำพูดเหล่านี้มายั่วอารมณ์ของพวกเรา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพลังความ ศรัทธาถึงไม่บริสุทธิ์เช่นเคย เจ้าพูดมาตามตรง” คนที่ตัวสูงกว่าตัดบทพูดของนักบวชเทวะ

คำพูดของนักบวชเทวะถูกขัดจังหวะหลายต่อหลายครั้ง ในโลกแห่งยุคกลางจะมีใครกล้าทำเช่นนี้กับเขาด้วยงั้นหรือ

แต่ก็หมดทางเลือก เพราะต่อหน้าคนทั้งสองคนนี้ ถึงเขาโกรธก็ไม่กล้าพูด เขาหลุบตาลงปิดซ่อนความมืดมิดในแววตา แล้วเอ่ยต่อว่า “มู่ชิงเกอคนนั้นมีสมบัติชิ้นหนึ่งที่โลกเบื้องบนสั่งลงมาว่าต้องการเมื่อนานมาแล้ว บ่าวลอบเสาะหามานาน ในที่สุดก็พบเบาะแส แต่มู่ชิงเกอคนนั้นกลับถือว่าตนเองมีพรสวรรค์อยู่บ้างไม่ยอมมอบสมบัติมา ทั้งนางก็ยังใช้วิธีการตํ่าช้าฆ่าคนที่บ่าวส่งออกไปหลายต่อหลายครั้งจนตายหมด ทั้งยังคิดการชั่วร่วมกับผู้ฝึกวิถีมารอีก ภายใต้ความจนปัญญา บ่าวจึงสั่งเปิดศึก ส่วนนางก็แอบใส่ร้ายลับหลังทำให้ประชาชนเริ่มเกิดความสงสัยต่อตำหนักเทพและเผ่าเทพ…”

“แล้วเจ้าทำอะไรอีก” คนของเผ่าเทพที่ตัวสูงเอ่ยปากออกมา

นักบวชเทวะเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

คนที่ค่อนข้างอ้วนจึงอธิบายว่า “จื่อปัวกำลังถามเจ้าว่า หลังจากที่เจ้าพบว่าความศรัทธาของคนหวั่นไหวแล้ว เจ้าทำอะไรลงไปบ้าง”

นักบวชเทวะเข้าใจแล้วก็ตอบในทันทีว่า “เพื่อที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม บ่าวได้ส่งคนออกไปลอบสำรวจว่ามีใครไม่เชื่อในตำหนักเทพและเทพเบื้องบนบ้าง จากนั้นก็ฆ่าให้สิ้นซากขอรับ”

“โง่เง่า!” จื่อปัวสบถออกมา

คนเผ่าเทพที่ค่อนข้างอ้วนส่งสายตาไปปลอบแล้วเอ่ยถามว่า “สมบัติที่เจ้าพูดถึงนั้นคือหม้อผลาญสวรรค์ใช่หรือไม่”

คำว่าหม้อผลาญสวรรค์ทำให้จื่อปัวมองมา นัยน์ตาของทั้งสองคนล้วนแต่ปรากฎความตื่นเต้นและละโมบ

นักบวชเทวะพยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นหม้อผลาญสวรรค์ขอรับ”

ทั้งสองคนสบตากัน แล้วคนที่ค่อนข้างอ้วนก็เอ่ยว่า “ตอนนี้มู่ชิงเกอคนนั้นอยู่ที่ใด”

นักบวชเทวะรีบเอ่ยว่า “นางอยู่ที่ลั่วซิงเฉิง นางเป็นเจ้าเมืองของลั่วซิงเฉิง”

“ลั่วซิงเฉิง เจ้าเมืองคนที่เมื่อหมื่นปีก่อนทำลายตำหนักเทพหนึ่งแห่งแล้วก็ทำลายเมืองลั่วซิงเฉิงของตนเองกับมือคนนั้นน่ะหรือ” จื่อปัวเลิกคิ้วเอ่ย

คนที่ค่อนข้างอ้วนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “จื่อปัว ผู้หญิงคนนั้นตายไปนานแล้ว จะเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไร”

จื่อปัวพยักหน้าแล้วพึมพำออกมาว่า “ก็จริง ว่าไปแล้วในครั้งนั้นก็เป็นพวกเราสองคนที่มาจัดการเรื่องนี้”

“ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่เลวจริงๆ แต่น่าเสียดายที่มีนิสัยดุร้ายจนเกินไป พวกเราต่อสู้กับนางสามวันสามคืน ในที่สุดก็ต้องล่อนางเข้าไปในค่ายกลกลืนดาวถึงทำให้นางตายได้” คนที่ค่อนข้างอ้วนก็นึกไปถึงช่วงเวลานั้น

จื่อปัวหัวเราะขึ้นมา “ดูแล้ว ลั่วซิงเฉิงคงเป็นอริกับพวกเราดินแดนเทพตะวันออก”

นักบวชเทวะได้ยินที่ทั้งสองคนพูดกันก็ลอบคาดเดาในใจ และเอ่ยขึ้นในเวลาที่เหมาะสมว่า “ท่านเทพทั้งสอง เจ้าเมืองคนปัจจุบันของลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอคนนั้นก็เป็นผู้หญิง”

“เอ๋ ผู้หญิงหรือ น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” จื่อปัวหรี่ตาแล้วเอ่ยออกมา

นักบวชเทวะเอ่ยว่า “ท่านเทพทั้งสอง ข้าได้ส่งกำลังพลหนึ่งแสนนายไปลั่วซิงเฉิงแล้ว แต่ตอนนี้พลังความศรัทธาได้รับการปนเปื้อน เกรงว่ากำลังพลทั้งหนึ่งแสนที่ส่งออกไปคงไม่สามารถรบได้”

“ข้าก็คิดว่าเรื่องใหญ่อะไร เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ง่ายดายมาก” คนเผ่าเทพที่ค่อนข้างอ้วนยกมือขึ้น

ในฝ่ามือของเขาปรากฎแสงสีทองออกมาโอบคลุมบนพลังความศรัทธา ทำให้สีเทาที่ปะปนถูกขับออกมาจากด้านใน กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้ง

ห่างจากลั่วซิงเฉิงออกไปร้อยลี้ กองกำลังหนึ่งแสนนายของตำหนักเทพเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าจึงตั้งค่ายนิ่งไม่ไปต่อ

ตอนนี้ จู่ๆ กองกำลังหนึ่งแสนนายที่ทรมานมานานค่อยๆ รู้สึกว่าพลังในร่างกายฟื้นฟูขึ้น ไม่มีความรู้สึกทรมานอีกแล้ว

“ข้าดีขึ้นแล้ว”

“ข้าเหมือนกัน”

“ข้าก็ดีขึ้นแล้ว”

“จะต้องเป็นเทพเบื้องบนอย่างแน่นอน เทพเบื้องบนรู้ว่าพวกเราลำบากถึงได้มาช่วยพวกเรา”

“ขอบคุณแสงเทพที่สาดส่อง ขอบคุณเทพเบื้องบนที่ดูแล”

คนทั้งหนึ่งแสนคนกลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมเคลื่อนทัพอีกครั้ง

มั่วหยางพาองครักษ์เขี้ยวมังกรมาลาดตระเวนและเห็นฉากนี้เข้าพอดี เขายกมือขึ้นสั่งให้ทุกคนหยุด นัยน์ตาของเขาฉายแววหนักอึ้ง รู้สึกไม่ยินยอมในใจ

เดิมทีพวกเขาคิดจะมาฉวยโอกาสฆ่ากองกำลังทั้งหนึ่งแสนของตำหนักเทพในตอนที่ไร้เรี่ยวแรง

แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาช้าไปหนึ่งก้าว

“กลับ” มั่วหยางสั่งการตามสถานการณ์ลงไปในทันที

คนทั้งสองร้อยคนมาอย่างสงบและจากไปอย่างสงบ พวกเขากลับไปยังลั่วซิงเฉิงอย่างรวดเร็ว

ส่วนเมื่อกองกำลังทั้งหนึ่งแสนของตำหนักเทพจัดระเบียบดีแล้วก็ออกเดินทางไปลั่วซิงเฉิงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ภายในจวนเจ้าเมือง มู่ชิงเกอกำลังดูแผนที่การป้องกันของลั่วซิงเฉิงอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าร้อนรนดังเข้ามาทำให้ นางเงยหน้าขึ้น

“คุณชาย” มั่วหยางเดินมาถึงตรงหน้าของนาง ชันเข่าเดียวลงกับพื้น กุมสองมือทำความเคารพ

เมื่อมองเห็นนัยน์ตาที่ดูเคร่งขรึมของเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไป”

มั่วหยางเอ่ยตอบว่า “คุณชาย พวกเราทำตามคำสั่งไปกำจัดกองกำลังของตำหนักเทพ แต่ในตอนที่ไปถึงกลับพบว่าพวกเขาฟื้นฟูกำลังกันแล้ว”

ฟื้นฟูแล้วหรือ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ นางเข้าใจที่มั่วหยางพูด ก่อนหน้านี้สายสืบกลับมารายงานว่ากองกำลังหนึ่งแสนของตำหนักเทพเกิดอาการเหนื่อยล้า นางจึงรีบสั่งให้มั่วหยางไปสังหารพวกเขาในทันที แต่กลับยังช้าไปงั้นหรือ

‘ต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ’ มู่ชิงเกอคิดอย่างมั่นใจ นางไม่ได้สอบถามเรื่องนี้ต่อแต่กลับเอ่ยกับมั่วหยางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สั่งการลงไปว่าเตรียมรบ ข้าอยากจะดูซิว่าตำหนักเทพจะเพาะเลี้ยงนักรบที่สามารถออกรบออกมาได้หรือไม่”

“ขอรับ” มั่วหยางรับคำสั่งและถอยออกไปในทันที

หลังจากเขาจากไปแล้ว ดวงตาของมู่ชิงเกอก็หรี่เป็นเส้นตรง เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เอ่ยด้วยความฮึกเหิมในใจว่า ‘ข้าไม่เคยกลัวการออกรบมาก่อน มาเถอะ ข้ารออยู่’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version