ตอนที่ 558
การล่มสลายของความศรัทธา
ถึงแม้ในลั่วซิงเฉิงจะมีเพลิงสงครามลุกโชน แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความงดงามได้ทุกคืน การคงอยู่ของมันเหมือนเป็นพยานให้ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของลั่วซิ งเฉิง
“เจ้าจะไปภาคกลางงั้นหรือ” ในห้องซือมั่วเอ่ยถามมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ในเมื่อตำหนักเทพต้องการทำศึกชี้ขาด เช่นนั้นข้าก็จะออกไปชนเลยดีกว่า รบยืดเยื้อกับพวกเขามาครึ่งปี จะเอาแต่ต่อสู้ที่นอกเมืองลั่วซิงเฉิงของข้าทุกครั้งไปคงไม่ดีกระมัง”
น้ำเสียงของนางดูผ่อนคลายมาก ไม่มีความตึงเครียดก่อนการออกรบเลย
“ดี ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ซือมั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอชะงัก พูดอย่างแปลกใจว่า “เจ้าก็จะไปด้วยงั้นหรือ”
ซือมั่วพยักหน้า นัยน์ตาฉายแววขบขัน “อะไรกัน ข้าเอาแต่เฝ้ารอคำสั่งเรียกจากคุณชาย นี่ก็รอมาจนถึงศึกชี้ขาดแล้วยังไม่ถึงตาข้าออกรบอีกหรือ”
มู่ชิงเกอยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นไพ่ตายของข้า การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้จะคู่ควรให้เจ้าลงมือได้อย่างไร”
“ดังนั้นข้าถึงไม่อาจพลาดศึกชี้ขาดในครั้งนี้อย่างไรเล่า” ซือมั่วเอ่ย
เมื่อเห็นว่าเขาตัดสินใจแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกมู่ชิงเกอก็ได้แต่ยอมประนีประนอม “เอาเถอะ เจ้าตามข้าไปได้ แต่หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าห้ามทำอะไรตามใจชอบเด็ดขาด”
“น้อมรับคำสั่ง” ความงดงามของรอยยิ้มซือมั่วทำให้จิตใจของมู่ชิงเกอหวั่นไหว
“ชิงเกอ ข้าได้รับข่าวว่ามีคนลงมาจากแผ่นดินเทพ” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดขึ้นมา
มู่ชิงเกอที่กำลังหัวใจเต้นแรงพอได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็ได้สติขึ้นมาทันที นางเอ่ยถามว่า “มิน่าล่ะ แต่คิดดูแล้วก็คงใช่ ต่อสู้กันมาตั้งนาน นักบวชเทวะน่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้านายของเขาแล้ว”
นัยน์ตาของซือมั่วมืดทึบ แต่ก็ไม่อาจลดทอนเสน่ห์ของเขาไปได้แม้เพียงครึ่งส่วน เขาเอ่ยว่า “สองคนที่ลงมานั้นมอบให้ข้าจัดการดีไหม”
หืม?
มู่ชิงเกอหันมองเขาอย่างแปลกใจ นางรู้สึกว่าซือมั่วในคืนนี้ดูไม่ค่อยปกตินัก
“เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่” มู่ชิงเกอหรี่ตาลงแล้วเอ่ยถาม
ซือมั่วยิ้มบางๆ “ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก มารดาของข้าถือว่าตายภายใต้เงื้อมมือของสองคนนี้ ก่อนหน้านี้ไม่พบเจอก็ถือว่าแล้วไป แต่ครั้งนี้ในเมื่อพวกเขาออกมาจากกระดองแล้ว ข้าก็จะได้แก้แค้นให้มารดาได้ราบรื่นมากขึ้น”
แค้นฆ่ามารดากลับถูกเขาเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ เช่นนี้
มู่ชิงเกอเม้มปาก นัยน์ตาฉายแววกังวล นางรู้ว่าเมื่อครั้งที่เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงเกิดเรื่องขึ้นนั้น ซือมั่วยังเป็นเพียงแค่ทายาทคนหนึ่งในบรรดาทายาทมากมายของอดีตเจ้าแห่งมารเท่านั้น ทั้งยังถูกกีดกันและกดดันอีกด้วย
เขาในเวลานั้นต้องแย่งชิงตำแหน่งเจ้าแห่งมารมาเพื่อเอาชีวิตรอด กระทั้งความแค้นของมารดาก็ยังไม่ได้ชำระความ
แต่อิงตามนิสัยของเขา เมื่อแดนมารสงบแล้ว เกรงว่าสิ่งแรกที่เขาจะทำก็น่าจะเป็นการไปแก้แค้นแทนมารดามิใช่หรือ เหตุใดถึงชักช้ามาจนถึงบัดนี้ได้
ดวงตาอันสดใสของมู่ชิงเกอทำให้ซือมั่วไม่สามารถปิดบังนางได้
เขาเอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่มีอะไรจริงๆ เพียงแค่เรื่องในครั้งนั้นเกิดขึ้นที่โลกแห่งยุคกลาง เมื่อเรื่องจบก็ถูกตำหนักเทพลบร่องรอยอีก รอจนข้าจัดการเรื่องในแดน มารเสร็จแล้วมีเวลามาสืบหาเรื่องนี้ คนที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ก็เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว อีกทั้งยังมีความทรงจำเกี่ยวกับสองคนนี้อย่างคลุมเครือ ข้าก็เพิ่งสืบเรื่องทุกอย่างออกมาได้ในภายหลังว่าฆาตกรที่วางกับดักแล้วฆ่ามารดาของข้านั้นเป็นใคร แต่สองคนนี้เองก็ฉลาดมาก เอาแต่แอบฝึกฝนอยู่ในกระดองไม่ยอมออกมา ทั้งยังมีขอบเขตกั้นขวางระหว่างแผ่นดินเทพกับแดนมารอีก ถึงจะลอบเข้าไปได้ก็ต้องไปที่แผ่นดินเทพตะวันออกอีกทำให้สิ้นเปลืองเวลามาก ดังนั้นเรื่องนี้ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน”
ซือมั่วพูดอย่างเรียบเฉย แต่มู่ชิงเกอก็ฟังออก
ซือมั่วทั้งรักทั้งแค้นมารดาผู้นี้ เกรงว่าการตายของนางคงจะทำให้เขารู้สึกสับสน บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าการตายของมารดาเป็นสิ่งที่นางต้องการอยู่แล้ว เพราะใน ตอนที่นางหนีจากเจ้าแห่งมารไปนั้นก็คิดที่จะตายแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ทำลายลั่วซิงเฉิงแล้วควบม้าไปยั่วตำหนักเทพเพียงลำพังแน่
บุญคุณความแค้นที่ผ่านไป ใครจะพูดได้อย่างชัดเจนอีก
มู่ชิงเกอถอนหายใจเบาๆ ในใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ข้ามอบสองคนนั้นให้เจ้าจัดการ”
ภาคกลาง เมืองเทียนคง ตำหนักเทพ
รายงานการศึกล่าสุดถูกส่งมาถึงมือของนักบวชเทวะ เขากำลังจัดเตรียมกำลังพล บีบบังคับตระกูลในเมืองเทียนคงและบางตระกูลในห้าภาคให้เข้ากับฝ่ายของ ตำหนักเทพ
หลังจากเขาอ่านเนื้อหาในรายงานแล้วก็รีบไปพบจื่อปัว และอวี๋กงทันที “ท่านเทพทั้งสอง ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่ามู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นที่นอกเมืองเทียนคงภาคกลางแล้ว” นักบวชเทวะเอ่ยกับทั้งสองคน
จื่อปัวและอวี๋กงสบตากัน ฝ่ายหลังเอ่ยถามว่า “แค่นางคนเดียวงั้นหรือ”
นักบวชเทวะพยักหน้า
“เจ้าแน่ใจนะว่ามีแค่นางคนเดียว” จื่อปัวถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
นักบวชเทวะลังเลเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าอีกครั้ง
“เหตุใดนางถึงมาโผล่ที่ด้านนอกค่ายของพวกเราเพียงคนเดียวได้” อวี๋กงหรี่ตาลง ความเจ้าแผนการในดวงตาฉายแวววาววาบ ดูเหมือนเขากำลังพิจารณาว่าการ กระทำนี้ของมู่ชิงเกอหมายถึงอะไร
จื่อปัวกลับขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจว่าคนคนนั้นเป็นนางแน่ใช่ไหม อาจจะเป็นคนที่รูปร่างคล้าย หรืออาจจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมาเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเราก็ได้”
นักบวชเทวะส่ายหน้า แล้วหยิบกระจกดำออกมา
กระจกดำเผยให้เห็นภาพคนรูปร่างสูงเพรียวในชุดสีแดง กำลังเดินอย่างผ่อนคลาย รูปโฉมของนางนั้นงดงามไร้ผู้เทียมทาน ผสมผสานความงามของผู้หญิงและผู้ชายเอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้คนยากที่จะลืมเลือน
นัยน์ตาของจี่อปัวฉายแววตกตะลึง เอ่ยถามว่า “นางคือมู่ชิงเกองั้นหรือ”
นักบวชเทวะพยักหน้า
เขามองออกว่าแววตาของจื่อปัวนั้นหมายถึงอะไร จึงลองเอ่ยว่า “หากท่านเทพชอบ รอจับนางได้แล้ว ท่านเทพเมตตารับนางเป็นสาวใช้รินชาก็ถือเป็นโชคของนางแล้ว”
จื่อปัวมองไปที่นักบวชเทวะ แล้วก็มอบรอยยิ้มเมตตาให้เขาเป็นครั้งแรกในครึ่งปีที่ผ่านมานี้
“หากว่าเป็นมู่ชิงเกอจริงๆ เช่นนั้นนางมีจุดมุ่งหมายอะไรถึงได้มาปรากฎตัวขึ้นที่นี่’’ อวี๋กงขมวดคิ้วครุ่นคิด
นักบวชเทวะรีบเอ่ยว่า “ท่านเทพ บางทีอาจจะเป็นเพราะนางรู้ว่าพวกเราต้องการทำศึกชี้ขาดแล้วรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงมาเพียงลำพังเพื่อขอยอมแพ้”
“ขอยอมแพ้รึ” อวี๋กงขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขารู้สึกว่าเรื่องราวไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น จื่อปัวจับจ้องมองมู่ชิงเกอในกระจกดำอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่างดงาม ที่สำคัญก็คือกลิ่นอายบนร่างของมู่ชิงเกอนั้นเขาไม่เคยพบบนร่างของผู้หญิงคนไหนมาก่อน กลิ่นอายนั้นทำให้เขารู้สึกอยากครอบครองมาก จนระงับไม่อยู่ ‘ไม่สู้ให้ข้าไป…’
เดิมเขาคิดจะเสนอว่าให้เขาไปสืบความ และก็จะได้ฉวยโอกาสดูสาวงามด้วยตาตนเอง แต่เขายังพูดไม่จบ ฉากฉากหนึ่งในกระจกดำก็ทำให้เขาต้องตกตะลึง
เมื่อมู่ชิงเกอตวัดมือด้านหลังของนางก็มีกองกำลังหลายแสนคนโผล่ออกมา
กองกำลังเหล่านี้มีธงแตกต่างกันไป เห็นได้ชัดว่าเป็นการรวมกลุ่มของเหล่าตระกูลที่สนับสนุนนาง และกองกำลังของนางเองก็อยู่ในนั้นด้วย
กองกำลังพันธมิตรหลายแสนคนปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหัน กองกำลังดำมืดยืนอยู่บนทุ่งหญ้านอกเมืองเทียนคงเต็มไปหมด
ท่าทีของจื่อปัวเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง เขามองนักบวชเทวะแล้วด่าว่า “น่าตายนัก นางมียุทธภัณฑ์ช่องว่าง นางลอบพากองทัพมาถึงที่นี่แล้ว”
เสียงของเขาทำให้อวี๋กงกับนักบวชเทวะมองดูกระจกดำพร้อมกัน
เมื่ออวี๋กงมองเห็นกองทัพสีดำทะมึนแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ส่วนสีหน้าของนักบวชเทวะเองก็ซีดขาวลงเช่นกัน
“สารเลว คนเขาบุกมาจนถึงประตูบ้านแล้ว เจ้ายังจะยืนอึ้งอยู่ที่นี่อีกทำไม” อวี๋กงคำรามใส่นักบวชเทวะ
เมื่อนักบวชเทวะถูกเขาตะคอกใส่ก็ได้สติขึ้นมาในทันที รีบวิ่งออกไปข้างนอก
ในตอนนี้ ภาพภายในกระจกดำก็คือ มู่ชิงเกอกำลังมองดูกำแพงเมืองเทียนคงยิ้มเยาะแล้วออกคำสั่งว่า “ฆ่า”
โฮก โฮก โฮก!
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังออกมาจากกองกำลังพันธมิตร จิงไห่นำกองทัพสัตว์อสูรเป็นแนวหน้าพุ่งเข้าโจมตีเป็นชุดแรก ในนี้มีสัตว์อสูรวิญญาณนับหมื่นตัวที่ จิงไห่เสาะหาและรวบรวมมาจากภูเขาต่างๆ ในครึ่งปีนี้ สัตว์อสูรวิญญาณนับหมื่นนี้ไม่ได้ทำพันธสัญญากับจิงไห่ เพียงแต่ถูกเขาควบคุมความคิดและการเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ช่องว่างเพาะเลี้ยงของเขา ส่วนในตอนนี้ ตระกูลในเมืองเทียนคงต่างพากันสงบเสงี่ยม ปิดประตูใหญ่ ไม่มีใครคิดจะเข้าร่วมในศึกครั้งนี้ การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ได้มาจากความพยายามของตระกูลซี ตระกูลจิงและตระกูลเว่ย
ด้านหลังกองทัพสัตว์อสูรก็มีกองทัพของหลิวเค่อตามมา โดยมีสามผู้นำใหญ่เป็นผู้นำทัพ นำบรรดาหลิวเค่อที่ยินดีตามมาเองพุ่งเข้าไปโจมตีเมืองเทียนคงที่ไร้การป้องกัน ใครจะคิดถึงว่ามู่ชิงเกอที่เอาแต่อยู่ในลั่วซิงเฉิงตลอดเวลาจะเคลื่อนกำลังพลอย่างกะทันหันได้ อีกทั้งยังมาถึงนอกเมืองเทียนคงโดยตรงเลย
กองกำลังของมู่ชิงเกอเองแบ่งออกเป็นสองสายพุ่งไปยังใต้เมืองเทียนคงอย่างรวดเร็วไม่แพ้สัตว์อสูรวิญญาณ ประตูเมืองเทียนคงปิดไม่ทันจึงถูกสัตว์อสูรวิญญาณที่บ้าคลั่งบุกทะลวงเข้าไป ทำให้กองทัพใหญ่สามารถพุ่งเข้าไปในเมืองเทียนคงได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง
ที่ตามมาเป็นกลุ่มสุดท้ายคือกองกำลังของตระกูลใหญ่ ต่างๆ ที่มีจำนวนคนเยอะที่สุดและเหมาะจะเป็นกองกลางมากที่สุด
ส่วนพวกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านหลายร้อยคนที่อยู่ในช่องว่างของมู่ชิงเกอนั้น นางไม่อาจปล่อยพวกเขาออกมาได้เพราะพวกเขายังไม่มีตราทาส แต่เมื่อเอาเหล่า ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านของบรรดาตระกูลใหญ่มารวมกันนั้นก็ไม่น้อยเลย
มู่ชิงเกอแบ่งพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มแล้วก็จัดรวมกับคนของนางเพื่อรอกำจัดปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านของตำหนักเทพโดยเฉพาะ ในมือของพวกเขาทุกคนมีระเบิดมือสองลูกที่นางตั้งใจสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ
เพื่อเรื่องนี้แล้ว บรรดาปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านเหล่านี้ต้องเรียนรู้อยู่ในลั่วซิงเฉิงหลายวัน
มีระเบิดมือคอยสนับสนุน หากว่าพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็จะสามารถรักษาชีวิตและฆ่าศัตรูได้
อีกกลุ่มหนึ่งที่เหลือนั้นเป็นกลุ่มของพวกจีเหยาฮั่วซึ่งมีพลังมากจึงพุ่งเข้าไปในตำหนักเทพโดยตรงเลย คนของพวกเขารวมเป็นหนึ่ง มียาจากสำนักวิถีโอสถและ ยุทโธปกรณ์จากตระกูลซางคอยสนับสนุน กองกำลังมีความฮึกเหิม พุ่งจากประตูเมืองที่ถูกทำลาย ผ่านความว่างเปล่าตรงเข้าไปใกล้ตำหนักเทพอย่างรวดเร็ว ส่วนตำหนักเทพที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้แต่ด้านรับศึกอย่างสับสนวุ่นวาย
สองกองทัพปะทะกันในครึ่งปีนี้ ทำให้พวกจีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่ ซีเซียนเสวี่ยและเว่ยมั่วลี่ได้ฝึกฝนจนกล้าแกร่ง มีพวกเขานำกลุ่มและก็มีพวกจ้าวหนานชิ งคอยสนับสนุนทำให้กองกำลังยกระดับขึ้นไปอีกขั้น กองกำลังของตำหนักเทพถูกโจมตีจนต้องถอยร่นกลับไปยังตำหนักเทพอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าโจรเจ้ากล้าหรือ” ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านในตำหนักเทพอดไม่อยู่พุ่งตัวออกไป
เมื่องกองทัพของตำหนักเทพมองเห็นคนเข้ามาเพิ่มก็รู้สึกดีใจ
แต่รอยยิ้มของพวกเขายังไม่ทันยิ้มได้เต็มที่ ฝั่งทางศัตรูก็มีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่รอพวกเขามานาน แล้วกระโดดออกมา ภายในนั้นมีผู้นำเป็นหุ่นเทพมาร ของมู่ชิงเกอ
สนามรบถูกลากจากนอกเมืองเทียนคงเข้าไปถึงด้านในตำหนักเทพ
กองกำลังพันธมิตรเหมือนยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คนของตำหนักเทพถอยร่นไม่หยุดทำให้เกิดความคิดที่จะหนีขึ้นมา การโจมตีอย่างกะทันหันในครั้งนี้ของมู่ชิงเกอทำให้ตำหนักเทพเตรียมตัวตั้งรับไม่ทัน จนแม้แต่เหล่าตระกูลที่อยู่ภายใต้การปกครองของตำหนักเทพ และต้องเข้าร่วมรบอย่างจนใจก็ยังเดินทางมาไม่ถึง
นักบวชเทวะพุ่งตัวออกมา เมื่อมองเห็นฉากการพ่ายแพ้นี้แล้วดวงตาก็แตกซ่าน แค้นจนอยากจะพุ่งเข้าไปฆ่าล้างบรรดาคนที่กล้าล่วงเกินตำหนักเทพให้ตายทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขามองเห็นซีเซียนเสวี่ยในกลุ่มคน
นัยน์ตาของเขามืดทึบลงชั่วขณะ
แต่ในตอนที่เขาพุ่งตัวออกไปคิดจะจับซีเซียนเสวี่ยกลับมานั้น เงาร่างที่งดงามสะท้อนตาสายหนึ่งก็เข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าของเขา เมื่อเห็นชัดแล้วใบหน้าเขาก็ เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา “มู่ชิงเกอ”
เขากัดฟันพูดชื่อของมู่ชิงเกอออกไป แค้นจนอยากสับนางเป็นหมื่นๆ ชิ้น
แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มขี้เล่นให้เขา เลิกคิ้วเอ่ยว่า “คู่มือของเจ้าคือข้า”
จากนั้นนางก็แทงทวนหลิงหลงออกไปที่หน้าของเขาอย่างรวดเร็ว นักบวชเทวะสีหน้าเปลี่ยนถอยหลังหลบกระบวนท่านี้แล้วก็โจมตีกลับ
เขากับมู่ชิงเกอเข้าต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว และการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมาก ไม่พบเจอเพียงครึ่งปี พัฒนาการของมู่ชิงเกอกลับชวนให้คนต้องตกตะลึง ส่วนเขา…กลับเป็นเพราะพลังความศรัทธาได้รับการปนเปื้อน ทำให้ระดับพลังของเขาถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
“ดูให้ชัดๆ ว่าตำหนักเทพของเจ้ากลายเป็นเศษซากต่อหน้าเจ้าได้อย่างไร” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอเย็นชามาก ใบหน้าเคร่งขรึม ตราประทับดอกบัวบนหว่างคิ้วของนางดูเหมือนจริงมากขึ้นหลายส่วน
ทวนหลิงหลงร่ายระบำรอบตัวนาง ส่วนท่าทีของนักบวช เทวะก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
รากวิญญาณทั้งห้ากลายเป็นมังกรยาวห้าสีคำรามพุ่งออกไปใส่ตัวอาคารของตำหนักเทพ ทุกที่ที่ผ่านไปก็ทำให้อาคารพังทลายกลายเป็นเศษซาก
จื่อปัวและอวี๋กงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง กำลังคิดจะออกไปช่วยก็รู้สึกว่าตนเองถูกคนจับจ้อง
พวกเขาหันกลับไปมองด้วยความหวาดกลัว และก็พบว่าด้านหลังของตนเองมีผู้ชายสวมชุดสีดำกลิ่นอายไม่ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ ดวงตาสีอำพันทั้งคู่ของเขาทำให้ทั้งสองคนจดจำสถานะของเขาได้ในพริบตา
“เจ้า…” อวี๋กงพูดอย่างหวาดกลัว
แต่ซือมั่วก็ไม่ให้โอกาสแก่พวกเขาทั้งสอง เขายกมือขึ้นพาตัวทั้งสองคนไป เขาหันกลับไปมองพลังความศรัทธาที่ปนเปื้อนแล้วซัดลำแสงมารออกไปทำลายเสากลมโปร่งแสงต้นนั้น พลังความศรัทธาไหลออกมาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้น สายฟ้าวาววาบเหมือนกับฟ้าดินกำลังจะล่มสลายลงก็ไม่ปาน
ในเวลาเดียวกันที่ด้านนอก นักบวชเทวะราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรงทำให้กระอักเลือดออกมากองใหญ่ ส่วนคนของตำหนักเทพคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับผลสะท้อนกลับทั้งสิ้น
มู่ชิงเกอฉวยโอกาสใช้ทวนแทงเข้าไปที่หน้าอกของเขา ปลายทวนยกตัวเขาขึ้นพาพุ่งผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างหอคอยนั้น นางมองดูนักบวชเทวะที่มีอาการร่อแร่แต่ก็ยังมองนางอย่างแค้นเคืองแล้วก็ยิ้มเยาะออกมาพลางรวบรวมพลังสายฟ้าไว้ ในมือแล้วโจมตีไปที่หอคอย…