Skip to content

พลิกปฐพี 566

ตอนที่ 566

เพียงวันเดียวในภูเขา

พี่สาวเองก็เป็นคนหยิ่งยโสคนหนึ่งเข้าใจไหม

มู่ชิงเกอแหงนหน้ายืดอกไม่สนใจอารมณ์โกรธในแววตาของสวีปิงแล้วเดินไปทางจวงซานกับเฟิ่งซิ่ง

คำขอบคุณของนางเป็นการขอบคุณที่สวีปิงไม่ชนนาง นางรู้ดีว่าที่สวีปิงหลบไปก็เพราะไม่อยากจะชนกับนาง สตรีคนนี้แม้กระทั่งมองนางสักแวบยังรังเกียจ จะมานึกอยากสัมผัสกับนางทางผิวกายโดยตรงได้อย่างไร

แต่ท่าทางรังเกียจเหมือนนางจะไปแต๊ะอั๋งอีกฝ่ายนั้นทำให้นางไม่ชอบใจ

สวีปิงไม่ยินดีที่จะใกล้ชิดคนอื่น นางเองก็ไม่ยินดีเหมือนกัน ดังนั้นการที่ไม่ได้สัมผัสโดนกันนางจึงพูดคำว่าขอบคุณ

ส่วนคำว่าลาก่อนก็บอกชัดถึงความหมาย

สวีปิงไม่ยินดีใกล้ชิดนาง นางเองก็ไม่ยินดีเช่นกัน ต่อไปก็ต่างคนต่างเดินทางของตัวเองก็แล้วกัน

สี่คำของนางนั้นแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่นิดๆ แรกได้ยินก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

แต่พอมาคิดให้ลึกซึ้งหลายๆ ครั้งเข้าก็จะล่วงรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน

ดังนั้นจวงซานกับเฟิ่งซิ่งจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ กลับรู้สึกว่ามู่ชิงเกอมารยาทดีมาก

แต่หลังจากสวีปิงได้ยินและรู้ถึงความหมายแล้วก็ยิ่งออกอาการไม่เป็นมิตรต่อมู่ชิงเกอมากขึ้นไปอีก เปลวไฟที่อยู่ในดวงตาที่เย็นชานั้นแทบจะพ่นออกมาได้อยู่แล้ว

เห็นอาการของสวีปิงแล้วจวงซานก็สั่นศีรษะ บอกมู่ชิงเกอว่า “เห็นนิสัยศิษย์น้องสวีคนนี้แล้ว ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี”

คำพูดของเขานั้น เพียงแค่พูดไปตามเรื่องไม่ได้ตั้งใจตำหนิอะไร

พูดจบเขาก็กลับมาพูดเรื่องเป็นงานเป็นการ เขาบอกมู่ชิงเกอกับสวีปิงว่า “เมื่อครู่นี้ เรืออากาศแล่นเข้าแนวป้องกันของแผ่นดินเทพตะวันออกจึงได้เกิดการสั่นไหว พลังเทพของพวกเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นจึงได้มีผลเช่นนั้น เสี่ยวเทียนอี้อยู่เบื้องหน้านี้แล้ว หากพูดแบบเป็นการเป็นงานเสี่ยวเทียนอี้เป็นดินแดนจิต วิญญาณของแผ่นดินเทพตะวันออก มีไว้สำหรับให้ผู้ที่เพิ่งบินขึ้นมาได้บำเพ็ญโดยเฉพาะ ทุกคนที่เพิ่งบินขึ้นมาบนแผ่นดินเทพตะวันออกจะต้องอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง หลังจากระดับบำเพ็ญของพวกเจ้ามั่นคงแล้วจึงจะก้าวออกจากอาคมของเสี่ยวเทียนอี้และเข้าสู่แผ่นดินเทพตะวันออกได้ แผ่นดินเทพอีกสามแห่ง ก็มีสถานที่คล้ายๆ กันเช่นนี้ ส่วนจะสามารถออกจากเสี่ยวเทียนอี้ได้เมื่อไรนั้น ก็ต้องดูที่ตัวพวกเจ้าเองแล้ว”

จวงซานพูดจบ เฟิ่งซิ่งก็หยิบกระเป๋าจัดเก็บสองใบแยกกันให้แก่มู่ชิงเกอกับสวีปิง

“นี่คือกระเป๋าจัดเก็บที่มีตราประทับของแดนฮ่วนเยวี่ย หลังจากที่ปัญญาการหยั่งรู้ของพวกเจ้าเปลี่ยนเป็นปัญญาเทวะแล้วก็จะเปิดออกได้เอง ของที่มีอยู่ในนั้นล้วนเหมือนกัน มีแผนที่แผ่นดินเทพตะวันออก ในนั้นบอกตำแหน่งแดนฮ่วนเยวี่ย ทั้งยังมีหยกเทพระดับตํ่าสามชิ้น นี่เป็นเงินตราที่ใช้ในแผ่นดินเทพ และเป็นแหล่งทรัพยากรบำเพ็ญ พวกเจ้าจะต้องรักษาไว้ดีๆ นอกจากนั้นยังมียาเม็ดรักษาบาดแผลเม็ดหนึ่งให้พวกเจ้าได้ใช้เวลาประสบเหตุอันตราย ข้าหวังว่าขณะที่พวกเจ้าไปถึงแดนฮ่วนเยวี่ย ยาเม็ดนี้จะยังคงอยู่ในสภาพดี” จวงซานหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดเพิ่มเติมว่า “ป้ายที่ให้ไปยังคงเก็บไวัดีหรือไม่”

สวีปิงผงกศีรษะ มู่ชิงเกอก็เช่นเดียวกัน

จวงซานส่งเสียง “อืม” แล้วพูดต่อว่า “เมื่อพวกเจ้าก้าวออกจากเสี่ยวเทียนอี้ ป้ายในมือก็จะถูกปลุกให้ตื่น พวกเจ้าจะมีเวลาครึ่งปีที่จะไปถึงแดนฮ่วนเยวี่ยซึ่งเป็นการทดสอบครั้งแรก หากไม่สามารถผ่านได้แม้ด่านแรก พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว ป้ายในมือรวมทั้งแผนที่จะสลายไปเอง หยกเทพกับยาเม็ดก็ถือ ว่าเป็นนํ้าใจที่แดนฮ่วนเยวี่ยมอบให้พวกเจ้า”

ที่แท้ยังมีการทดสอบเช่นนี้อยู่ มู่ชิงเกอพึมพำในใจ ไปถึงแดนฮ่วนเยวี่ยภายในครึ่งปี การทดสอบดูเหมือนจะไม่ยาก’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ แต่เมื่อนางได้เห็นแผนที่แผ่นดินเทพตะวันออกครั้งแรก เห็นระยะทางตัวเองกับแดนฮ่วนเยวี่ยแล้วจึงได้รู้ว่าความคิดตัวเองเวลานั้นช่างน่าหัวเราะจริงๆ

“ในเสี่ยวเทียนอี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าสองคน ยังมีพวกที่มาก่อนพวกเจ้าแต่ยังไม่ได้ออกจากเสี่ยวเทียนอี้ คนเหล่านี้มีทั้งที่ถูกเลือกจากแดนฮ่วนเยวี่ย มีทั้งที่มาจากแดนเทพอีกสามแห่ง ทุกคนต่างบำเพ็ญกันเอง ไม่รบกวนกัน พวกเจ้าก็อย่าไปก่อเรื่องตั้งใจบำเพ็ญ รีบๆ เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณกับปัญญาการหยั่งรู้ในร่างกายให้ระดับการบำเพ็ญพัฒนาจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ข้าขอเตือนนะว่าลูกศิษย์ระดับล่างสุดของแดนฮ่วนเยวี่ยล้วนบำเพ็ญได้ถึงขั้นจิตวิญญาณชั้นที่สองทั้งนั้น พวกเจ้าเพิ่งบินขึ้นมาไม่มีเคล็ดวิชาของเผ่าเทพ หลังจากพลังจิตเปลี่ยนแปลงแล้วสามารถผ่านทะลุเข้าชั้นจิตวิญญาณชั้นที่หนึ่งได้ก็ดีมากแล้ว” จวงซานพูดต่อ

คำพูดของเขาจุดประกายการต่อสู้ในแววตาของสวีปิง แต่มู่ชิงเกอกลับนิ่งเฉย เพราะเคล็ดวิชาของเผ่าเทพนางได้ฝึกฝนนานแล้ว ทั้งยังเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพด้วย

“ถึงแล้ว” จวงซานกล่าวกับมู่ชิงเกอกับสวีปิง ขณะที่เรืออากาศเข้าเทียบฝั่ง

มู่ชิงเกอมองไปพบว่าเบื้องหน้าปรากฎเทือกเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุม บริเวณโดยรอบราวกับมีอะไรขวางกั้น

หลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงจวงซานจากทางด้านหลังว่า “เข้าไปเถอะ ทำตัวดีๆ ล่ะ”

ในเวลานั้นเองนางก็รู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาล แผ่ออกมาจากด้านหลังผลักตัวนางออกจากเรืออากาศ มุ่งหน้าไปยังเทือกเขานั้น นางมองไปก็เห็นว่าสวีปิงก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนเรืออากาศที่พวกเขาโดยสารมาก็ออกเรือห่างไปจากสายตาของพวกนางนานแล้ว

ปัง ปัง

มู่ชิงเกอรู้สึกราวกับตัวเองทะลุผ่านอะไรบางอย่างตกลงไปในเทือกเขา

นางรีบจัดท่วงท่าตัวเองไม่ให้ดูอเนจอนาถเกินไปนัก พอยืนได้มั่นคงสวีปิงก็ตกลงมาใกล้ๆ นาง ห่างไปไม่เกินหนึ่งจั้ง

ท่าตกของนางนับไม่ได้ว่าสวยงาม แต่ก็ไม่อนาถนัก

ขณะที่มู่ชิงเกอมองไป นางก็บังเอิญมองมาพอดี สายตาทั้งคู่ปะทะกันกลางอากาศแล้วเบนออกในทันที

“ฮึ” สวีปิงแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วหันเดินเข้าไปในป่า

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเบะปากเดินไปยังทางตรงกันข้าม ตลอดทางมีแต่ความเขียวขจี พันธุ์ไม้สดใส บ้างก็พบดอกไม้งดงามแปลกประหลาด หมอกบางๆ พลิ้วผ่านราวกับม่านบางเป็นชั้นๆ

เดินไปสักครู่ มู่ชิงเกอก็เห็นเทือกเขาทอดยาวอยู่เบื้องหน้า เขาลูกนี้ขาวใสดังหยก บ้างก็เหมือนหินงอกหินย้อย ผิวด้านบนเป็นหลุมบ่อแฝงไปด้วยไอวิญญาณ

นางค่อยๆ มองไปข้างบนก็พบว่าบนเขานั้นมีถํ้าอยู่มากมาย

บางถํ้าปิดผนึกอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่ บางแห่งประตูเปิดกว้างไม่มีใครอยู่ มู่ชิงเกอมองดูแล้วก็รู้สึกว่าถํ้าถํ้าหนึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์ ส่วนถํ้าอื่นๆ ล้วนมีไม่มากเท่า

ไม่คิดมาก นางปีนขึ้นไปในถํ้านั้นทันที

ถํ้านั้นเล็กมาก มีที่ว่างแค่พอนั่งขัดสมาธิได้เท่านั้น มู่ชิงเกอพบว่าในถํ้านั้นยังมีเปลือกถั่วเหลืออยู่ ราวกับเหลือทิ้งไว้จากคนก่อน

“ดูแล้ว นับว่าข้ายังมีโชค คนที่นี่เพิ่งจากไปข้าก็มาถึง” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง

ถํ้าวิเศษนั้นหายาก ในเมื่อนางได้พบแล้วมีหรือจะปล่อยไป

มู่ชิงเกอหมุนตัวปิดประตูถํ้า เวลานี้เองนางก็เห็นสวีปิงปีนขึ้นมาถึงพอดี เมื่อเห็นมู่ชิงเกออยู่ในถํ้าแล้วนางก็ชะงักไป

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ดูท่าทิศทางที่สวีปิงเลือกคงจะอ้อมจึงมาช้า นางเองก็เหมือนจะเลือกถํ้าวิเศษนี้เหมือนกัน

มู่ชิงเกอยิ้มให้นางนิดๆ พลางปิดประตูลงอย่างไม่เกรงใจ ปิดกั้นสายตาของสวีปิงลง

ถํ้าที่ปิดมิดชิดทำให้สวีปิงที่ตะลึงจากการที่เห็นมู่ชิงเกอได้สติขึ้นมา นางแอบกัดฟันกระทืบเท้าด้วยความแค้น ต้องไปเลือกถํ้าข้างๆ อย่างเสียไม่ได้

แน่นอนว่าหากเป็นไปได้ นางไม่มีทางอยู่ใกล้มู่ชิงเกอ เพียงแต่นางพบว่าถํ้าที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และไม่มีเจ้าของล้วนอยู่รอบๆ ถํ้าที่มู่ชิงเกอเลือกเอาไว้ ดังนั้นนางจึงต้องสะกดกลั้นความรังเกียจในใจลง

มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจเปลือกถั่วในถํ้าพลางนั่งขัดสมาธิบนแท่นหิน

นางไม่สนใจว่าสวีปิงจะเป็นอย่างไร แต่รวบรวมสมาธิเริ่มต้นบำเพ็ญตามเคล็ดวิชาเทวะ

วันเดียวในเขานั้น เป็นเวลานับพันปีบนโลกมนุษย์

การบำเพ็ญของมู่ชิงเกอ โดยไม่ทันรู้ตัวเวลาด้านนอกก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ในหนึ่งปีนี้ภายในเสี่ยวเทียนอี้มีคนไม่น้อยโห่ร้องอย่างรื่นรมย์ออกไปจากถํ้า และมีคนใหม่ไม่น้อยที่ถูกเรืออากาศส่งมาที่นี่เช่นเดียวกับนางเมื่อปีที่แล้ว

เพียงแต่เรืออากาศที่มาส่งคนไม่ได้เป็นของแดนฮ่วนเยวี่ย แต่เป็นของแดนจงเทียน

สวีปิงเองก็ได้ออกจากเสี่ยวเทียนอี้ไปเมื่อเดือนที่แล้ว

ขณะที่นางจากไปยังตั้งใจมองดูถํ้าที่ปิดมิดชิดของมู่ชิงเกอแล้วค่อยจากไปอย่างเย็นชา ขณะที่นางจากไป ป้ายฮ่วนเยวี่ยในตัวก็ถูกปลุกตื่นขึ้น เริ่มต้นการทดสอบของนาง

แดนฮ่วนเยวี่ยที่ไกลออกไปหลายแสนลี้ ในห้องศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าหน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง จุดธูปปักไว้ในกระถาง ขณะที่ป้ายในมือของสวีปิงถูกปลุกให้ตื่น ไฟของตะเกียงนํ้ามันก็ถูกจุดขึ้น ตะเกียงนํ้ามันที่นี่เรียงกันเป็นแถวมีนับร้อยดวง บางส่วนเป็นเปลวไฟสีเขียว บ้างเป็นสีแดง บางส่วนก็ใกล้จะมอดดับลงแล้ว

ส่วนไฟของสวีปิงนั้นเป็นสีเขียว

“อ๋อ ขั้นจิตวิญญาณชั้นที่สอง ไม่เลว ไม่เลว” ขณะที่ผู้เฒ่าเห็นตะเกียงของสวีปิงติดขึ้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนพลางผงกศีรษะ

ตามด้วยพึมพำว่า “เจ้าหนูน้อยพรสวรรค์ไม่เลว จงรีบไปให้ถึงแดนฮ่วนเยวี่ยภายในครึ่งปี อย่าได้พลาดโอกาสไปเหมือนพวกนั้นเล่า เสียดายพรสวรรค์แย่” พูดจบก็มีตะเกียงริบหรี่หลายดวงดับลงไปเอง

เท่ากับคนใหม่ล้มเหลวในการทดสอบ

ภายในเสี่ยวเทียนอี้ เวลาผ่านไปอย่างไม่เร่งรีบ ถํ้าที่นี่เปลี่ยนเจ้าของไปแล้วไม่น้อย แต่ของมู่ชิงเกอ ยังคงปิดแน่น

หนึ่งเดือนผ่านไป

อีกหนึ่งเดือน ผ่านไปอีก…

หลังจากสวีปิงจากไปเจ็ดเดือน ก็เท่ากับมู่ชิงเกอเข้ามาแผ่นดินเทพตะวันออกหนึ่งปีครึ่ง ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาจากการบำเพ็ญจนได้ ไขกระดูกและเส้นเอ็นต่างๆ เลือดและกล้ามเนื้อ แม้แต่ผิวหนังและเส้นผมในร่างกายนางราวกับถูกหล่อหลอมใหม่เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ชีพจรภายในร่างของนาง พลังจิตที่หมุนเวียนได้กลายเป็นพลังเทพที่บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ขั้นนี้ ยากนักที่จะปรากฎในกายของคนหน้าใหม่เช่นนางได้

ปัญญาการหยั่งรู้ของนางก็ได้กลายเป็นปัญญาเทวะ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ร้ายกาจกว่ามากนัก

ขณะนี้ แม้นางหลับตาปัญญาเทวะของนางก็สามารถครอบคลุมไปทั้งเสี่ยวเทียนอี้ รับรู้ถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้

ขั้นการบำเพ็ญของนางพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจขึ้น

พลังเทพในร่างกายนางเริ่มพุ่งออกจากที่คุมขังราวกับสัตว์ร้ายบรรพกาล

แควก ในร่างกายราวกับมีอะไรฉีกขาด

ขั้นจิตวิญญาณชั้นที่หนึ่ง!

ชั้นจิตวิญญาณชั้นที่สอง!

ชั้นจิตวิญญาณชั้นที่สาม!

ห้องพิเศษในแดนฮ่วนเยวี่ยนั้น ผู้เฒ่าหน้าเด็กคนนั้นยังคงอยู่ เดิมเขาหันหลังให้แท่นตะเกียง ทำงานของตัวเองอยู่ แต่จู่ๆ เขาก็พลันเกิดการรับรู้บางอย่าง เขาหันมามองตะเกียงที่เปลวไฟติดสว่างขึ้นเองด้วยดวงตาเบิกโพลง แววตาเป็นประกายร้อนแรง พลางเอ่ยอย่างตกใจว่า “ถึงขั้นทะลวงขั้นจิตวิญญาณขั้นที่เจ็ดเชียวรึ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version