ตอนที่ 576
ดอกบัวบานสะพรั่งพร้อมหมื่นหลักธรรม
นี่เป็นการเข้าใจผิด! มู่ชิงเกอบอกสวีปิงที่มีใบหน้าเย็นเยียบ
ฟ้าย่อมรู้นี่เป็นการเข้าใจผิดจริงๆ เดิมนางตั้งใจจะกระโดดไปช่วยถงเถิง แต่มีคนผ่านมาข้างกายพอดี ปฏิกิริยาแรกของนางคือในเมื่อเป็นลูกศิษย์ของดินแดนฮ่วนเยวี่ยจึงขออาศัยนางเพื่อช่วยให้ถงเถิงปลอดภัย
ในพริบตาเดียวนั้นนางเห็นไม่ชัดว่าคนที่ถูกนางจับไว้เป็นหญิงหรือชาย เป็นใครที่ไหน เพียงแต่คิดว่าลูกศิษย์ดินแดนฮวนเยวี่ยย่อมไม่เหมือนพวกนางที่ถูกจำกัดไม่ให้ใช้พลังเทพ เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้ว คนคนนั้นย่อมมีวิธีช่วยเหลือตัวเองได้ ย่อมดีกว่าปล่อยให้ถงเถิงตกลงไปตาย
ในสภาวะเร่งด่วนจึงเป็นเรื่องปกติที่นางเลือกใช้วิธีนั้น
ใครจะรู้ บอกไม่ถูกว่าโชคดีหรือโชคร้าย คนที่ถูกนางจับแล้วโยนไปเป็นสวีปิงที่รังเกียจนางพอดี
เรื่องนี้มันช่าง…นางเดาตอนต้นได้ แต่เดาตอนจบไม่ถูกจริงๆ
สวีปีงอยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยเรื่องนี้นางไม่แปลกใจ เพียงแต่สงสัยว่าทำไมนางจึงปรากฎตัวในเวลานี้
ส่วนสวีปิงหรือ นางมองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าเย็นเฉียบ ไฟโกรธแค้นเต็มอก เดิมนางได้รับคำสั่งมาให้ดูแลลูกศิษย์ใหม่ลับๆ แต่ใครจะรู้ว่านางเพิ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย ยังไม่ทันคิดนางก็ลงมือแล้ว
แต่ไม่นึกว่านางเหาะไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกคนคว้าสายคาดเอวแล้วเหวี่ยงออกไปในทันที
ท่ามกลางความฉุกละหุก นางรู้สึกเพียงว่าตัวเองถูกกระแทก แต่กระแทกถูกส่วนไหนของอีกฝ่าย นางไม่อาจรู้ได้ แต่ไม่ว่าถูกส่วนไหน นางก็รู้สึกขยะแขยงอยู่ดี
บรรยากาศการพบกันอีกครั้งของมู่ชิงเกอกับสวีปีงค่อนข้างตึงเครียด ถงเถิงนั่งลง ในที่สุดก็คงร่างกายให้นิ่งได้ เขาแอบถอนหายใจโล่งอก เวลานี้เองเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองชนถูกใครเข้า
เขามองไปทางสวีปิงแล้วพูดว่า “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้าเมื่อสักครู่นี้”
พูดจบเขายังขยิบตาให้มู่ชิงเกออีกด้วย
มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้น มองไปทางสวีปิง
สีหน้าของสวีปิงไม่ได้ดูดีขึ้นเพราะคำพูดของถงเถิงแต่อย่างใด เพียงแต่บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดเท่าตอนแรกอีก นางมองมู่ชิงเกออย่างไม่สนใจ แค่นเสียงฮึ ออกมาแล้วกระโดดขึ้นจากแท่งนํ้าแข็งลงไปที่ขอบเหว
นางไม่พูดไม่จาก็หันกายเดินเข้าไปในเมฆหมอก
ตามระเบียบแล้ว นางต้องไม่ให้คนที่เข้าทดสอบรู้ว่ามีคนแอบคุ้มกัน
เรื่องผิดพลาดเมื่อครู่นี้ราวกับทำให้เรื่องนี้สำเร็จเข้าพอดี ตอนนี้ใครจะรู้ได้ว่านางแอบมาเฝ้าอยู่ที่นี่ หรือแค่ผ่านมาเฉยๆ เล่า
“คนสวยคนนั้นไปซะแล้วหรือ” ถงเถิงชะเง้อคอมองทิศทางที่สวีปิงจากไป
ถึงแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่แววตาไม่ปรากฎระลอกคลื่นแห่งความคิดใดเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ กำชับเขาว่า “ตั้งใจรวบรวมสมาธิทดสอบดีๆ”
พูดจบ นางก็หลับตาลง
นางคิดในใจ ‘ดินแดนฮ่วนเยวี่ยนี่น่าสนใจดี บอกว่าการทดสอบอันตรายนักหนา แต่ให้ลูกศิษย์คอยแอบคุ้มกันไม่รู้สวีปิงมาถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ยเมื่อไรถึงสามารถปฏิบัติภารกิจของลูกศิษย์ได้แล้ว’
เพียงคิดเล่นๆ แล้วมู่ชิงเกอก็ไม่สนใจอีก ตั้งใจอยู่แต่ในสมาธิเท่านั้น
นี่เป็นการทำสมาธิ ไม่ใช่การบำเพ็ญ คือต้องทำให้ร่างกายและจิตใจว่างเปล่า รักษาความว่าง เปล่าไว้นั่งอยู่สามวันสามคืน พูดนั้นง่ายแต่การรักษาสภาพจิตใจให้สงบสามวันถือว่ายากทีเดียว
ดีที่สำหรับมู่ชิงเกอไม่มีปัญหา เพราะนางเคยหยุดนิ่งเจ็ดแปดวันเพื่อรอโอกาสที่ดีที่สุดในการจู่โจมเป้าหมาย
บริเวณเสาสองต้นนี้ลมแรงมาก ทั้งกระแสลมก็ปั่นป่วน
มู่ชิงเกอกับถงเถิงนั่งอยู่บนยอดเสาถูกลมพัดทุกทิศทาง ราวกับจะตกลงไปได้ทุกขณะ
มู่ชิงเกอยังพอสบายๆ ร่างกายแกว่งไกวไปตามเสาราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน
แต่ถงเถิงไม่ได้สบายเช่นนั้น ทุกครั้งที่เสาแกว่งไกวล้วนทำให้เขาแทบจะตกลงไปจนต้องรีบทำตัวให้นิ่ง
วันที่หนึ่ง ผ่านไป
วันที่สอง ยังไปได้ราบรื่น
วันที่สามเป็นช่วงสำคัญ ถงเถิงใจเต้นคอยการทดสอบสิ้นสุดลง
ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยราวกับพระอาวุโสที่กำลังเข้าฌานอย่างนั้น
สวีปิงแอบเฝ้ามาแล้วสองวัน เฝ้าวันนี้ต่ออีกวันก็เสร็จสิ้นภารกิจสามารถกลับไปบำเพ็ญต่อได้
การเฝ้าอยู่เงียบๆ ที่นี่สองวันนั้นสวีปิงเองก็แอบระทึกใจ ตัวนางเองก็ออกมาจากเสี่ยวเทียนอี้ เดิมนึกว่าภายในครึ่งปีมาถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้วก็สามารถเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้เลย นึกไม่ถึงว่า เข้ามาแล้วยังต้องถูกทดสอบอีกเป็นชุด
ด่านเบื้องหน้านี้นางเองก็ผ่านมาแล้ว
สามวันนั้นสำหรับนางแล้ว ผ่านไปแต่ละวัน เหมือนเป็นปี ต้องระวังทุกขณะ เกรงว่าตัวเองจะตกลงไป
ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวไม่ผ่านการทดสอบ
แต่นางเฝ้าอยู่ที่นี่สองวัน ท่าทางผ่อนคลายของมู่ชิงเกอกลับทำให้นางในใจนางตกตะลึงไป บางครั้งนางถึงกับสงสัยว่าเจ้านี่ได้หลอมเป็นร่างเดียวกับเสาหินไปแล้วหรือไม่ถึงได้ไม่มีการขยับเขยื้อนเลย
ท่าทางของอีกคนต่างหากจึงจะเป็นปกติไม่ใช่หรือ
วันที่สามผ่านไปอย่างเงียบสงบ เมื่อเวลามาถึงมู่ชิงเกอก็ลุกขึ้นมาจากเสาหิน ถงเถิงเข่าอ่อนทั้งสองข้าง มู่ชิงเกอกระโดดไปทางเขาคว้าเสื้อผ้าเขาแล้วหิ้วเขามาถึงขอบเหว
เวลานั้น สวีปิงก็ได้สำเร็จภารกิจและออกไปจากปากเหวนั้นนานแล้ว
“เจ้าไม่เป็นไรนะ” มู่ชิงเกอปล่อยถงเถิงแล้วเอ่ยถาม
ถงเถิงหน้าซีดสั่นศีรษะพูดอย่างหวาดผวาว่า “หากมีการทดสอบเช่นนี้อีก ข้าไม่เอาด้วยแล้วนะ”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างขบขัน ไม่ได้ว่าอะไร
อยู่ด้วยกันครึ่งปี นางรู้จักถงเถิงดี บ่อยครั้งที่ฟังดูไม่น่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้ว ในใจกลับยึดถือหลั การอย่างมาก หากไปแตะโดนขีดจำกัดของเขาเข้า เขาก็จะเปลี่ยนเป็นเหมือนดั่งแท่นหินที่ไม่อาจสั่นคลอน
“ด่านที่สอง ผ่าน” เสียงหนักแน่นเหมือนเสียงระฆังปรากฎขึ้นอีกครั้ง
ป้ายบนตัวสองคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปอีกเล็กน้อย
“ด่านที่สาม ทดสอบความเข้าใจ”
ความเข้าใจหรือ
สองตาของมู่ชิงเกอหรี่ลง
ถงเถิงเองก็เก็บอารมณ์ท่าทางจริงจัง
ป้ายชี้ทางอีกครั้งนำพวกเขาไปยังอีกที่ เวลานี้ ดินแดนฮ่วนเยวี่ยในสายตาพวกเขาเริ่มชัดเจนขึ้น ทะเลเมฆเชื่อมต่อกัน ขุนเขาซับซ้อนกว้างใหญ่เหลือคณา
ภูเขาที่นี่สูงชัน แหลมคม สิ่งปลูกสร้างล้วนอยู่บนยอดเขาต่างๆ มีเอกลักษณ์ราวกับแดนเซียน
พวกเขาสองคนเมื่อมาอยู่ภายในนี้ก็ตัวเล็กเหมือนเม็ดทรายในทะเล
ครั้งนี้พวกเขาถูกนำไปลานกลมแห่งหนึ่ง ลานนี้ยุบลงไป รอบๆ ล้วนเป็นผนังสูงกว่าสิบจั้ง ผนังกำแพงมีที่นั่งเป็นชั้นๆ
และเวลานี้เอง บนที่นั่งเหล่านั้นก็มีลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยนั่งกันอยู่จนเต็ม
พวกเขาล้วนใส่ชุดสีเงิน มองดูแล้วต่างมีสง่าราคี บุคลิกโดดเด่นเหนือคนธรรมดา
ขณะที่มู่ชิงเกอกับถงเถิงปรากฎตัว เหล่าศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยต่างมองมาที่พวกเขาโดยพร้อม เพรียงกัน เพียงแต่ใบหน้ากลับนิ่งเฉย สงบนิ่งจนคนรู้สึกหวั่นใจ
ถงเถิงอดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
ส่วนมู่ชิงเกอยังยืนสงบนิ่ง ดั่งเท้าใส่ตะกั่วไว้ก็ไม่ปาน
“ใครจะมาก่อน” เสียงนั้นถามอีก
“ข้าก่อน” ใครจะรู้ว่าถงเถิงกลับแย่งเอ่ยปากขึ้นก่อนมู่ชิงเกอ
ขณะที่มู่ชิงเกอหันมามองเขา เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก บอกมู่ชิงเกอด้วยแววตาแน่วแน่ว่า “ลูกพี่ ข้าขอไปสำรวจเส้นทางให้ก่อนท่านจะได้เตรียมตัว”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ ไม่ได้ปฏิเสธ
ถงเถิงแหงนหน้าเชิดอก ก้าวเท้าเข้าไปข้างใน
เมื่อมาถึงกลางลานกว้าง ถงเถิงจึงรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เขาถูกจับจ้องจากลูก ศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยจนรู้สึกว่ากระดูกสันหลังเย็นวาบ หนังศีรษะชาไปหมด
เขาอดพึมพำในใจไม่ได้ ‘ก่อนหน้านี้เคยบ่นว่าไม่เห็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยเลย พอมาทีก็มากันมากมายขนาดนี้เชียว’
“ผู้เข้าสอบ นั่งลง” เสียงนั้นสั่ง
ถงเถิงรีบนั่งขัดสมาธิบริเวณใจกลาง
พอเขานั่งลงแล้วก็รู้สึกว่ารอบกำแพงสูงกว่าสิบจั้งนั้น ผุดแสงสีทองเป็นสายๆ ว่องไวจนดูแทบไม่ทันออกมา
เสียงนั้นพูดอีก ”ที่นี่มีความหมายหลักธรรมซ่อนอยู่นับหมื่น ภายในหนึ่งชั่วยาม ดูว่าเจ้าเข้าใจได้เท่าไร หากแม้แต่หลักธรรมเดียวยังไม่เข้าใจ แสดงว่าความเข้าใจของเจ้าไม่เพียงพอที่จะเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย”
“หนึ่งชั่วยาม เข้าใจหลักธรรมหรือ” ถงเถิงพูดอย่างตกใจ
หากไม่ใช่อยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ย เขาคงดำออกไปแล้ว หลักธรรมเข้าใจได้ง่ายหรือ
เขาพยายามสะกดความไม่พอใจเอาไว้ทั้งลอบคิดอย่างยินดีว่า ‘อันตรายมาก โชคดีที่ข้ามาก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าทำให้ลูกพี่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ’
“เริ่มได้” เสียงนั้นไม่ได้สนใจความตะลึงของถงเถิงแม้แต่นิด ประกาศเริ่มต้นทันที
แสงทองบนกำแพงเหล่านั่นหมุนอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ถงเถิงแม้จะรวบรวมปัญญาเทวะจนถึงสูงสุดก็ยังยากที่จะเห็นพวกมันได้ทั้งหมด
หลักธรรมมากมาย ได้เห็นเนื้อความแต่ยังไม่ทันคิดก็แวบผ่านไปแล้ว
ไม่นานนัก จอนผมของเขาก็เริ่มมีเหงื่อหยดลงมา เสื้อด้านหลังก็เริ่มเปียก
มู่ชิงเกอยืนอยู่ข้างนอก นางมองไม่เห็นเนื้อความนับหมื่นหลักธรรมบนกำแพง แต่มองเห็นอาการของถงเถิง ‘การเข้าใจหลักธรรมภายใต้การจับจ้องของคนจำนวนมาก เดิมทีก็กดดันมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีกำหนดเวลา หลักธรรมเหล่านี้ก็ราวกับเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาอีก ยากมากจริงๆ’
ความเข้าใจ เป็นจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง
คนบำเพ็ญดีมีพรสวรรค์ก็ไม่แน่ว่าจะมีจิตวิญญาณชนิดนี้ คนบำเพ็ญพรสวรรค์ไม่ดี ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีจิตวิญญาณชนิดนี้
ลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยที่นั่งบนอัฒจันทร์ รอบลานกว้างล้วนมีอาการเฉยเมย แววตาสงบนิ่ง บางคนถึงขั้นแอบซ่อนความดูถูกต่อการแสดงออกของเขา ดูถูกความเข้าใจของเขา
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถงเถิงราวกับไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิด
หลักธรรมเปลี่ยนแปลงยิ่งเร็ว สีหน้าของเขาก็ยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น มู่ชิงเกอเห็นริมฝีปากเขาเม้มจนเป็นเส้นตรง ซีดจนขาว หว่างคิ้วก็ขมวดจนเป็นร่องลึก
จอนทั้งสองข้างมีเหงื่อหยดลงมาไม่หยุดจนเสื้อผ้าเปียกโชกไปหมด
ยิ่งเวลาล่วงเลยไปไม่หยุด เขาก็ยิ่งตื่นเต้น เกรงว่าตัวเองจะเข้าใจหลักธรรมไม่ได้แม้เพียงข้อเดียว และถูกไล่ออกจากดินแดนฮ่วนเยวี่ย หากเป็นเช่นนั้นเขาก็มิอาจอยู่ร่วมบำเพ็ญพร้อมลูกพี่ได้น่ะสิ ‘ไม่ได้! เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด’
ถงเถิงกัดฟัน เบิกตาโตพยายามมองดูการเปลี่ยนแปลงของหลักธรรมเหล่านั้นให้ชัดเจนเพื่อทำความเข้าใจภายในจิตใจ
ในช่วงสำคัญช่วงสุดท้าย แสงสีทองสายหนึ่ง ก็พุ่งขึ้นมาจากกำแพงและระเบิดออกกลางอากาศ กลายเป็นดอกบัวสีทองดอกหนึ่ง
ตามด้วยแสงทองสองสายพุ่งตามกันออก มากลายเป็นดอกบัวสีทองสองดอกอยู่ข้างๆ ดอกแรก บนท้องฟ้า ดอกบัวสีทองสามดอกเรียงกัน สวยงามเฉิดฉายยิ่งนัก
“หลักธรรมสามประการ”
“ในหนึ่งชั่วยาม เข้าใจหลักธรรมสามประการนับว่าไม่เลวแล้ว”
“ยังคิดว่าเข้าใจไม่ได้ไม่นึกว่าสุดท้ายแล้วกลับระเบิดดอกบัวหลักธรรมสีทองออกมาสามดอก ติดกัน”
พวกลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยที่เย็นชาราวรูปปั้น เริ่มมีชีวิตชีวา พูดคุยกันขึ้น
“ดอกบัวหลักธรรมสีทองบานสามดอก ผ่านด่าน” เสียงนั้นดังลงมาจากฟากฟ้าประกาศผล
ได้ยินว่าตัวเองผ่านด่านแล้ว ถงเถิงก็โล่งอก ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“คนต่อไป” เสียงนั้นพูดอีก
ถงเถิงรีบยืนขึ้นเดินออกไปข้างนอก
เขาสลับที่กับมู่ชิงเกอ ถงเถิงมองมู่ชิงเกอ ตอนที่เดินผ่านกันนั้นเขาก็กระซิบว่า “ลูกพี่ ไม่ต้อง สนใจพวกนั้นทำใจให้นิ่งเข้าไว้ท่านจะต้องเข้าใจได้โดยเร็วแน่”
เขาเตือนด้วยความหวังดี มู่ชิงเกอผงกศีรษะรับ
ไม่ว่าจะมีประโยชน์ต่อนางหรือไม่แต่เมื่อคนเขาจริงใจ นางจะทำเป็นเฉยเมยได้อย่างไร
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในลานต้องเข้าไปเองจึงจะรู้ถึงความกดดันที่ถงเถิงได้รับ
ดีที่สถานการณ์เช่นนี้นางผ่านมาไม่น้อยจึงรู้สึกเป็นปกติ นางยกชายเสื้อขึ้น นั่งขัดสมาธิ มองเห็นหลักธรรมนับหมื่นบนกำแพงหิน
“เตรียมพร้อมแล้วยัง” เสียงนั้นถาม
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
ต่อมานางก็เห็นหลักธรรมนับหมื่นนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทุกหลักธรรมล้วนผ่านสายตานางไปอย่างรวดเร็ว ตาดำสะท้อนตัวหนังสือทองเป็นแถวๆ
นอกลานนั้น ถงเถิงกำหมัดกัดฟันอย่างตื่นเต้น
บนอัฒจันทร์นั้น ลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยที่นั่งซ้อนเป็นชั้นๆ เริ่มเงียบสงบลง ใบหน้าเย็นชารอคอยผลลัพธ์จากความเข้าใจหลักธรรมของมู่ชิงเกอ
การเข้าใจหลักธรรมในหนึ่งชั่วยาม ต่อให้หลักธรรมเหล่านี้ยกออกมาจากหลักธรรมใหญ่ สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ
การที่ถงเถิงสามารถเข้าใจหลักธรรมได้สามประการก็ทำให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
ส่วนมู่ชิงเกอเล่า
ผ่านไปเพียงครู่เดียว แสงสีทองสายแรกก็พุ่งออกจากผนังหินขึ้นไปบนฟ้า ระเบิดกลางอากาศเหนือลานกว้างกลายเป็นดอกบัวสีทอง
สามารถเข้าใจหลักธรรมแรกได้ไนเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยต่างตกตะลึงไป คนไม่น้อยตาดำหดเล็กลง
แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อมีดอกที่หนึ่งก็มีที่สองที่สามติดตามมา แสงสีทองเป็นสายๆ พุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดอกบัวสวยงามดังดอกไม้ไฟ ส่องสว่างไปทั่วดินแดนฮ่วนเยวี่ย
แสงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นไป บัวสีทองนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมเต็มฟ้าดินไปหมด แสงสีทองที่ สาดกระจายครอบคลุมคนทั้งหมดไว้ภายใน
ลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยบนอัฒจันทร์ต่างตกตะลึง พวกเขาต่างตาค้างมองฉากที่ในประวัติศาสตร์แดนฮ่วนเยวี่ยไม่เคยปรากฎมาก่อน