Skip to content

พลิกปฐพี 579

ตอนที่ 579

ผู้เฒ่าลึกลับ

คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในแผ่นดินเทพ เดินออกมาจากเสี่ยวเทียนอี้ เป็นไก่อ่อนในหมู่มนุษย์เทพ มีพลังถึงขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดเชียวหรือ นี่เหมือนเป็นการตบหน้ามนุษย์เทพไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

ทันใดนั้นจวงซานก็รู้สึกว่าตัวเองห่วงกังวลไปเปล่าๆ จริงๆ

มู่ชิงเกอมีความรุดหน้าในการบำเพ็ญไวขนาดนี้ ทั้งมีพรสวรรค์ในการเข้าใจหลักธรรมถึงชั้นนี้ ที่เขาคิดอยากได้ตำแหน่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้น ไม่มากเกินไปเลยแม้แต่นิด

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าโอกาสประสบความสำเร็จของมู่ชิงเกอมีสูงมาก

มองดูใบหน้าที่สงบนิ่งของมู่ชิงเกออีกครั้ง เขาไม่ได้มีอาการหยิ่งยโสในผลการบำเพ็ญที่โดดเด่นของตนเองแม้แต่นิดเดียว และนั่นกระตุ้นความวิริยะอุตสาหะในการบำเพ็ญ ดั่งสายธารที่ร้อนผ่าวไหลท่วมเข้าในจิตใจของจวงซาน

ออกมาจากสถานที่ทดสอบแล้ว จวงซานก็นำมู่ชิงเกอกับถงเถิงสองคนไปรับชุดแต่งกายของลูกศิษย์

ส่วนผู้ดูแลชุยนั้น อาการง่วงนอนได้หายไปนานแล้ว เขาเร่งรีบส่งรายงานผลการทดสอบขึ้นไป ผู้ที่เขารายงานนั้นย่อมเป็นเจ้าของแดนฮ่วนเยวี่ย ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั้นเอง

ตอนที่มู่ชิงเกอกับถงเถิงรับชุดแต่งกายกับทรัพยากรบำเพ็ญแล้วนั้น ผู้ดูแลชุยก็มาปรากฎกายอยู่เบื้องหน้าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย

“ชั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดหรือ” ได้ยินรายงานจากผู้ดูแลชุยแล้ว เสียงของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็เจือไปด้วยความนึกสนุก

ผู้ดูแลชุยผงกศีรษะ “ราชาเทวะ คนคนนี้มีพรสวรรค์ที่น่าตกใจยิ่งนัก จะต้องดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปได้แล้ว” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยโบกแขนเสื้อกว้างครั้งหนึ่ง ผู้ดูแลชุยก็หายไปในทันที

ขณะที่วังราชาเทวะเหลือเขาเพียงคนเดียว เขาก็พึมพำขึ้นว่า “คนใหม่ที่เพิ่งบินขึ้นมาจากข้างล่าง ยังไม่ทันได้ฝึกวิธีบำเพ็ญแบบเผ่าเทพก็สามารถเข้าถึงขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดได้แล้วหรือ… น่าสนใจ น่าสนใจ”

“เอาละ ที่นี่ก็คือสถานที่พักอาศัยของพวกเจ้า” จวงซานนำมู่ชิงเกอกับถงเถิงไปถึงหน้าถํ้าที่อยู่คู่กัน แล้วบอกทั้งสองคน

ถํ้านี้จัดได้สวยงามไม่น้อย พื้นที่โล่งด้านนอก ยังมีสระนํ้าที่มีนํ้าตกเทลงมาไหลเข้าไปในสระ ภายใน สระมีดอกบัวหลากสีสันบานสะพรั่ง ดูน่าชื่นชม

สองถํ้าที่อยู่คู่กันราวกับภาพลวงตา ประตูถํ้า เปิดอยู่ ภายในเป็นเช่นไรนั้น เวลานี้ยังไม่อาจรู้ได้

“นอกจากสิบลูกศิษย์ใหญ่ ลูกศิษย์ทั้งหมดต่างอาศัยในถํ้า” จวงซานอธิบาย หันมองมู่ชิงเกอแล้วยิ้มบอกว่า “รอจนเจ้าได้เป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่แล้วก็สามารถพักอาศัยในวังได้”

“สิบลูกศิษย์ใหญ่ยังมีวังเป็นของตัวเองด้วยหรือ” ถงเถิงถามอย่างอยากรู้

จวงซานพยักหน้ายิ้มๆ

เขานำทั้งสองคนไปยังริมขอบเขา ที่นี่มีรั้วล้อมเอาไว้ป้องกันไม่ให้คนพลาดตกลงไป เขาชี้ไปยังเทือกเขาท่ามกลางทะเลเมฆแล้วบอกพวกเขาว่า “เห็นยอดเขาที่ลึกที่สุด สูงที่สุดหรือไม่”

มู่ชิงเกอกับถงเถิงผงกศีรษะ

“ที่นั่นก็คือวังราชาเทวะที่ราชาเทวะพักอาศัย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สูงที่สุดในแดนฮ่วนเยวี่ย” จวงซานพูด นิ้วของเขาชี้ไปด้านข้างช้าๆ บอกทั้งคู่ต่อว่า “วังของสิบลูกศิษย์ใหญ่ ถูกเรียกว่าวังน้อย คุ้มครองข้างกายราชาเทวะ เป็นสถานที่ใกล้ราชาเทวะมากที่สุด”

“ราชาเทวะ ศิษย์พี่จวงซาน ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเป็นคนเช่นไร” ถงเถิงเอ่ยถาม

จวงซานกลับเอ่ยแก้อย่างเคร่งขรึม “ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเป็นเทพ เป็นเทพของแดนฮ่วนเยวี่ยเรา และยังเป็นผู้แกร่งกล้าสามารถที่สุดของแผ่นดินเทพตะวันออกอีกด้วย”

ความเคร่งขรึมของเขาทำให้ถงเถิงรู้ตัว รีบพูดอย่างนอบน้อมว่า “รับทราบ ศิษย์พี่ข้าจะจำไว้”

จวงซานพยักหน้า บอกพวกเขาว่า “ลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยมีมากดังปลาที่ว่ายข้ามแม่นํ้า น่าจะไม่มีใครจำได้ด้วยซํ้าว่ามีลูกศิษย์กี่คน แต่มีเพียงลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเท่านั้นที่มีโอกาสได้พบราชาเทวะ และได้รับคำแนะนำจากเขา”

ถงเถิงผงกศีรษะอย่างตั้งใจ บอกจวงซานว่า “ศิษย์พี่จวงซาน พวกเราจะขยันขันแข็งขอรับ”

จวงซานเก็บมือ เอาสองมือไพล่หลัง แล้วบอกสองคนว่า “คืนนี้ พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่ พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ จะสอนวิธีบำเพ็ญแก่พวกเจ้า พาพวกเจ้าไปดูหอเคล็ดวิชา ทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญ”

หลังจากกำชับทั้งคู่ไม่ให้เถลไถลไปที่ต่างๆ แล้ว จวงซานก็เดินออกไป

หลังจากส่งเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอกับถงเถิงจึงกลับเข้าถํ้าของตัวเอง

เข้าไปในถํ้าแล้ว มู่ชิงเกอจึงคิดถึงคำกล่าวที่ ว่าโลกอีกใบหนึ่งขึ้นมา

ถํ้ากว้างขวางมาก ทั้งแบ่งแยกพื้นที่ชัดเจน มีบริเวณนั่งสมาธิ และบริเวณที่ใช้นอนหลับ แม้กระทั้งยังมีครัวเล็กๆ อยู่ด้วย ราวกับว่าเวลาเหล่าลูกศิษย์อยากปรุงอาหารก็สามารถทำได้

ในถํ้านี้สะอาดสะอ้านมาก บนโต๊ะยังมีแจกันและมีดอกไม้สดปักแจกันไว้ด้วย

มู่ชิงเกอดูแล้วดูอีก รู้สึกพอใจมาก

วันรุ่งขึ้น จวงซานมาตามนัด เขามาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ เขาใช้แท่นหินใกล้ประตูถํ้าทั้งคู่สอนวิชาบำเพ็ญของเผ่าเทพให้ หลังจากถ่ายทอดเคล็ดวิชาแล้ว เขาก็เอ่ยว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพื้นฐานขั้นแรกของวิชาบำเพ็ญ พวกเจ้าบำเพ็ญตามวิธีนี้ หากอ่อนล้าก็ไปดูที่หอเคล็ดวิชา หรือติดต่อกับลูกศิษย์อื่นบ้าง ทำได้ทั้งนั้น”

ทั้งคู่ผงกศีรษะ

ต่อมาอีกสามวัน จวงซานจะมาถึงนอกถ้ำ ทุกเช้า เฝ้าดูพวกเขาฝึกหัดบำเพ็ญ บ่ายก็พาพวกเขาไปเดินเตร่ในแดนฮ่วนเยวี่ยเพื่อให้พวกเขารู้จักคุ้นเคยแดนฮ่วนเยวี่ย รู้ว่าบริเวณไหนไปได้ บริเวณไหนไปไม่ได้

“เอาละ สามวันนี้ พวกเจ้าก็พอจะคุ้นเคยแดนฮ่วนเยวี่ยบ้างแล้ว ระเบียบต่างๆ ก็พอจะรู้แล้ว ความคืบหน้าในการบำเพ็ญก็ไม่เลว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่มาอีก” จวงซานยืนเอามือไพล่หลังยืนอยู่หน้าถํ้าบอกทั้งสองคน

ถงเถิงว่า “ศิษย์พี่จวงซาน หากพวกเรามีธุระ จะไปหาท่านได้อย่างไรหรือ”

จวงซานมองเขาแล้ว ยิ้มน้อยๆ “ไม่ต้องรีบ ข้ากำลังจะบอก”

พูดแล้ว ก็ยื่นหยกสองอันแบ่งให้มู่ชิงเกอกับถงเถิง

หลังจากพวกเขารับแล้ว จึงบอกว่า “ถึงแม้ ข้าจะไม่ได้มาทุกวัน แต่ก็ยังจะแวะมาเยี่ยมเยียนเป็นระยะๆ เวลาที่ข้าไม่อยู่ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นและพวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ให้ใช้พลังเทพขับเคลื่อนหยกนี้ หยกจะกลายร่างเป็นนกจิตวิญญาณไปหาข้าเอง”

“ศิษย์พี่คิดได้รอบคอบจริงๆ” ถงเถิงยิ้มร่า เก็บหยกไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง

จวงซานยิ้ม เตือนว่า “ยังมีอีก ในแดนเรา ทุกเดือนจะจัดงานเผยแพร่หลักธรรมหนึ่งครั้ง ถึงแม้ไม่ได้บรรยายโดยผู้มีชื่อเสียงนัก แต่หากพวกเจ้าว่างก็ไปฟังได้ จะได้มีแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย”

“ทราบแล้ว ศิษย์พี่”

“ทราบแล้ว ศิษย์พี่”

มู่ชิงเกอกับถงเถิงรับปากพร้อมกัน

หลังจากสั่งการเรื่องต่างๆ จบแล้ว จวงซานจึงหันหลังเหยียบเมฆเหาะไป

ส่งเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ส่ายหน้านิดๆ ยิ้มว่า “ศิษย์พี่จวงซานคนนี้ให้ความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ เขาช่างเหมือนพี่ชายแท้ๆ ห่วงกังวลคนข้างกาย ที่สำคัญที่สุดคือจริงใจ ไม่ได้เสแสร้งแม้แต่นิด”

จวงซานมีภารกิจในการบำเพ็ญของตัวเอง ย่อมไม่สามารถอยู่ข้างๆ ดูแลพวกเขาได้ตลอดเวลา

ในฐานะผู้นำทาง หลังจากนำพวกเขาเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญแล้ว จะมีผลงานอย่างไรย่อมต้องอาศัยตัวพวกเขาเองแล้ว

ในแดนเทพไม่มีอาจารย์ ต่างมีราชาเทวะเป็นที่เคารพสูงสุด ลูกศิษย์ทั้งหมดนอกจากผู้ดูแลงาน แล้วต่างเรียกกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง

ผู้ดูแลงานที่ว่านั้นมักเป็นผู้ที่ไม่สามารถบำเพ็ญต่อให้สำเร็จได้ สมัครใจทอดทิ้งการบำเพ็ญ รับหน้าที่ดูแลงานด้านต่างๆ ในแดนเทพ พวกเขามีหลายคนที่เข้ามาในแดนเทพหลายปีแล้ว หลังจากระดับพลังก้าวหน้าไปได้เพียงชั้นเดียวแล้วก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้อีก เมื่อเห็นชัดถึงข้อจำกัดด้านพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว จึงเลือกที่จะไปตามทางที่เหมาะสมกับตัวเอง

“ลูกพี่ ศิษย์พี่จวงซานไปแล้ว ทีนี้เหลือเราสู้ชีวิตกันสองคนเท่านั้นแล้วนะ” ถงเถิงพูดทีเล่นทีจริง

มู่ชิงเกอกลับสั่นศีรษะยิ้มว่า “ข้าว่านะเจ้าต้องพยายามบำเพ็ญแล้วรีบๆ ถอดหนังสีเขียวบนตัว ออกจะดีกว่า สีเขียวนี่เจ้าใส่แล้วไม่น่าดูเลยจริงๆ”

ดูแล้วเหลาะแหละมาก

ส่วนนางเวลานี้ก็เปลี่ยนชุดเป็นสีขาวตามระเบียบของแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว ทำให้รังสีความก้าวร้าวและฮึกเหิมลดน้อยลงหลายส่วน เพิ่มความปราดเปรียวสง่างามมากยิ่งขึ้น

ส่วนถงเถิงเมื่อถูกมู่ชิงเกอเยาะเย้ยแล้วก็ทำหน้าสลด “ลูกพี่ ท่านอย่าหัวเราะข้าเลย ข้าเองก็หดหู่นัก ท่านวางใจข้าจะต้องใช้เวลาบำเพ็ญเต็มที่ รีบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแบบเดียวกับลูกพี่ให้ได้”

พูดจบเขาก็หันหลังวิ่งไปยังถํ้าของตัวเอง “ลูกพี่ ข้าไปบำเพ็ญแล้วนะ”

ท่าทางรีบร้อนของเขาทำเอามู่ชิงเกอหัวเราะ ส่ายศีรษะอยู่ด้านหลัง

คืนนั้น มู่ชิงเกอนั่งสมาธิในถํ้าตัวเอง ใช้เคล็ดวิชาที่จวงซานสอนไว้ขับเคลื่อนลมปราณในร่าง กายเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนเป็นวิชาฝึกฝนร่างกาย เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางเป็นวิชาที่ใช้เคี่ยวกรำปัญญาเทวะ ส่วนเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างเป็นวิชาคาถาอาคม

การขับเคลื่อนพลังเทพ การฝึกบำเพ็ญ ทั้งการใช้คาถา สรุปอาคมต่างๆ ล้วนอยู่ในส่วนล่าง เวลานี้ นางยังหาส่วนล่างไม่พบ จึงต้องใช้วิธีตามแบบแดนฮ่วนเยวี่ยมาบำเพ็ญไปก่อน

แกรก!

ทันใดนั้น เสียงเล็กๆ ในถํ้าก็รบกวนการบำเพ็ญของมู่ชิงเกอเข้า ทำให้นางค่อยๆ ลืมตา สายตา นางมองไปบนพื้นเบื้องหน้า ก็เห็นหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง นางขมวดคิ้วน้อยๆ

นางจำได้แม่นยำว่าก่อนนั่งสมาธิ ในห้องไม่มีก้อนหิน ส่วนเสียงเมื่อกี้นี้…

นางเงยหน้ากวาดมองก็เห็นช่องระบายอากาศที่ผนังถํ้า จะต้องมีใครโยนเข้ามาจากข้างนอกแน่ นอน

‘เป็นใครกัน หรือว่าเจ้าถงเถิงจะมาแกล้ง’ มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ปล่อยปัญญาเทวะออกไปเข้าไปในห้องถงเถิง พบว่าเขากำลังบำเพ็ญอยู่ ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยในการกลั่นแกล้งครั้งนี้

เก็บปัญญาเทวะกลับมา มู่ชิงเกอคิดแล้วก็เก็บหินก้อนนั้น ยืนขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากถํ้า

นางยืนอยู่ที่แท่นหินนอกถํ้า ไม่เห็นมีใครและไม่มีความรู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด

เวลานี้เองก็มีก้อนหินก้อนเล็กโยนมาโดนตัวนางและตกลงบนพื้นอีกหนึ่งก้อน

นางก้มศีรษะมองไป พบว่าหินก้อนนี้กับก้อนที่อยู่ในมือนางแทบจะเหมือนกัน

“ใคร” มู่ชิงเกอถามเสียงเย็น

แต่ไม่มีใครตอบ

มู่ชิงเกอก้มลงเก็บหินขึ้นมา เดินไปตามทางที่หินถูกโยนมา เมื่อนางหยุดก็จะมีหินถูกโยนออกจากมุมมืดและตกลงที่ปลายเท้านางอีกครั้ง

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก มีแววตรึกตรองในแววตา เก็บหินอีกครั้งหนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้า

เป็นดังนี้ พอนางหยุดก็จะถูกหินขว้างใส่ นำพาให้นางค่อยๆ เดินไปไกลจากบริเวณถํ้า ไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก ตลอดทางนางคอยสังเกตบริเณรอบๆ ระวังตัวเต็มที่

ส่วนคนที่ล่อนางออกมาก็ราวกับอยากจะหลบเลี่ยงจากผู้คน เพราะทางที่เลือกนั้นล้วนเป็นทาง ปลอดคนทั้งสิ้น

เดินอยู่ช่วงหนึ่ง มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่งจนมาถึงบ้านหลังเล็กเก่าคราคร่ำใต้ชายคาบ้านหลังเล็กนั้น มีผู้เฒ่าหนวดเคราผมเผ้าสีขาว ใบหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรกำลังนั่งอย่างสบายใจอยู่บนพื้น เขายิ้มตาหยีมองมาที่นาง ในมือของเขายังถือก้อนหินเช่นเดียวกับในมือของมู่ชิงเกอเอาไว้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version