ตอนที่ 90-6
สารพัดวิธีรนหาทีตาย คงมิอาจห้ามได้!
เมื่อเดินเข้าไปภายในพิธีสวมหมวก เจ้าอ้วนเช่าก็บอกลามู่ชิงเกอ อีกไม่กี่เดือน เจ้านี่ก็จะเข้าพิธีสวมหมวกแล้วเช่นกัน
มู่ชิงเกอมารออยู่ที่จุดการรอคอยอย่างเงียบๆ และรอให้พิธีการเริ่ม
เมื่อวาน นางได้ทำความเข้าใจลำดับของพิธีสวมหมวกโดยสังเขป
ความจริงแล้ว สิ่งที่นางต้องรับผิดชอบนั้นมีไม่มาก
โดยรวมแล้ว พอได้เวลา นางก็ทำตามที่ผู้ดำเนินพิธีบอก และทำทุกกิจกรรมให้สำเร็จ จากนั้นก็ตามท่านปู่มู่ซงไป อวยพรและแสดงความขอบพระคุณเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน พิธีสวมหมวกก็ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ติ้งๆ— เสียงขวานกระทบกันเบาๆ ส่งเสียงอันสดใส แขกผู้มีเกียรติต่างเงียบลงและกลับไปนั่งที่ภายในงานเลี้ยงตามสถานที่ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้และรอคอยอย่าง เงียบๆ
วันนี้ แขกที่มายังจวนตระกูลมู่นั้นมีไม่มาก อีกประการหนึ่งส่วนมากต่างก็มีฐานะไม่ธรรมดา ภายในนั้นส่วนมากเป็นผู้ที่รับราชการทหาร เพราะอย่างไรเสีย อำนาจของมู่ซง ต่างก็อยู่ในด้านการทหาร ส่วนทางราชวงศ์ก็ได้ส่งรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวมาเป็นตัวแทน และนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้แก่มู่ชิงเกอ
รัชทายาทไม่มาเพราะต้องเสด็จตามราชทูตไปแคว้นถู จึงไม่สามารถมาได้
ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ กลับเป็นเสียนอ๋องที่เก็บตัวเงียบมาโดยตลอดก็มาร่วมพิธีด้วย ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาถึงความสัมพันธ์ของเขาและมู่ชิงเกอ แต่พอพิธีสวมหมวกเริ่มขึ้นเขากลับนั่งเงียบอยู่ตรงมุม ราวกับได้ล่องลอยออกจากโลกใบนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้คนที่กำลังสงสัย ก็ล้มเลิกความคิดที่จะถามและสนทนากันต่อในประเด็นที่ค้างเอาไว้
“ได้ฤกษ์แล้ว~” ผู้ดำเนินพิธีสวมหมวกยืนอยู่บนทางเดินที่ปูด้วยพรมแดง พลางเงยหน้าขึ้นตะโกน
เสียงปี่โหวโทนตํ่าดังขึ้น ราวกับกำลังป่าวประกาศบอกกับโลกใบนี้
หลังจากที่เสียงนั้นค่อยๆ เงียบลง เสียงกลองก็ได้ดังขึ้น พร้อมจังหวะอีกครั้ง
มุ่ชิงเกอลุกขึ้นยืน เดินตามจังหวะกองไปทีละก้าวๆ เดิน มุ่งไปบนพรมแดงอย่างหนักแน่นและมั่นคง เพื่อไปบริเวณแท่นสูงที่มีเนื้อสัตว์นานาชนิดบูชาอยู่
บนเวที มู่ซงสวมชุดพิธีการยืนอยู่ มองดูหลานชายของตนเองที่ค่อยๆ ย่างใกล้เข้ามา
สองฝั่งของพรม ต่างก็เป็นแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมพิธี
พิธีสวมหมวก ถือได้ว่าเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งในชีวิตของผู้ชาย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องที่จริงจัง
สายตาของมู่ชิงเกอแน่วแน่ไม่วอกแวกในขณะที่เดินไปหยุดบนเวที เสียงกลองก็ได้หยุดลง
ในขณะนี้เอง ผู้ดำเนินพิธีก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกหน เอาคำสอนของบรรพบุรุษขึ้นมาท่องเสียงดัง ใช้เวลาจนธูปหนึ่งดอกหมด จึงอ่านจบ หลังจากที่อ่านจบ เขาก็ได้วางคำสอนลงบนกระถางและเผาด้วยไฟ
ในขณะเดียวกันเสียงดนตรีโบราณก็ได้ดังขึ้น
ผู้ร่ายรำกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในชุดเหมือนผู้ทรงศีลก็ได้ปรากฎตัวขึ้น พร้อมร่ายรำเพลงแปลกประหลาด ในปากท่องคำสวด บนใบหน้าของพวกเขาสวมหน้ากากที่ดูน่า เกลียดน่ากลัวราวกับผีร้ายและเทพเทวาในขณะเดียวกัน
พวกเขาพลางเต้น พลางเดินเข้าหามู่ชิงเกอและล้อมรอบตัวนางเอาไว้
ไม้ปัดในมือของพวกนางกวาดผ่านร่างกายของนางตลอดเวลา ปัดผ่านศีรษะ ลำตัว…
พักใหญ่ผู้ร่ายรำก็ได้ถอยออกไป ผู้ดำเนินพิธีพูดต่ออีกว่า “มู่ชิงเกอ ขึ้นมาบนประรำพิธี!”
มู่ชิงเกอทำตามคำสั่ง ก้าวขึ้นบันไดและขึ้นไปบนประรำพิธี
บนประรำ ยังมีพรมแดง บนนั้นมีโต๊ะยาวตัวหนึ่งที่มีเนื้อสัตว์นานาชนิดเซ่นไหว้อยู่ นอกจากนี้ยังมีกระถางธูป
บนโต๊ะยาว มีที่รองนั่งผืนหนึ่งที่เตรียมเอาไว้สำหรับมู่ชิงเกอ
นางเดินไปหยุดตรงหน้าที่รองนั่ง พลันคุกเข่าลง
หลังจากนั้นก็ท่องบทสวดโบราณที่ท่องจำเมื่อในคืนที่ผ่านมาหนึ่งรอบ
หลังจากที่นางอ่านจบ ผู้ดำเนินพิธีก็เดินเข้ามา เปิดหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลมู่ แล้วใช้พู่กันแต้มชาดสีแดงเขียนชื่อของมู่ชิงเกอลงไป
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว มู่ซงก็เดินเข้ามา สวมหมวกที่เตรียมเอาไว้แล้วบนศีรษะของมู่ชิงเกอด้วยตนเอง
“ชิงเกอ หลังจากที่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นหนุ่มแล้ว หลังจากนี้ตระกูลมู่อยู่ในมือของเจ้าแล้ว” มู่ซงพยุงมู่ชิงเกอขึ้นมา พูดด้วยความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย
มู่ชิงเกอตอบรับ พลางยิ้มจางๆ “ท่านปู่วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้ตระกูลมู่ต้องเสียหน้า”
มู่ซงกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ปูjหวังเพียงให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย” ความสัมพันธ์อันซาบซึhงของคู่ปู่หลาน คงจะมีเพียงเขาทั้งสองเท่านั้นที่เข้าใจ พิธีสวมหมวกได้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากนี้ก็เป็นงานเลี้ยงสำหรับแขกผู้มีเกียรติ และมู่ชิงเกอก็ยังคงต้องอยู่เคียงข้างมู่ซงในพิธีดื่มสุรารสเลิศเพื่อแสดง ความขอบคุณทุกคนที่มาร่วมพิธี
“ไฟไหม้—ไฟไหม้—” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือความคาดหมาย ขัดจังหวะความ ครึกครื้นข้างหน้า สายตาของทุกคนจดจ้องไปยังบ่าวรับใช้ตระกูลมู่ที่พรวดพราดเข้ามา
ชายผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดา การที่เขาบุกเข้ามาอย่างไร้มารยาทนั้นทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวอยู่แล้ว แต่ว่าพอนึกถึงเรื่องที่จะมารายงานก็ไม่ทันจะได้ใส่ใจมากนักวิ่ง ไปอยู่ตรงหน้ามู่ซงด้วยความตื่นตระหนก พลันคุกเข่าลงพูดอย่างร้อนรนว่า “นายท่านผู้เฒ่า แย่แล้ว! อยู่ๆ ห้องหนังสือของท่านก็เกิดไฟไหม้ เหล่าทหารต่างรีบไปดับไฟกันแล้ว!”
“ไฟไหม้ห้องหนังสืออย่างนั้นรึ?” มู่ซงพูดด้วยนํ้าเสียงเคร่งขรึม นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ เหตุการณ์นี้ราวกับทำให้เขาตกอยู่ในโทสะ
นี่มันกลางวันแสกๆ ในห้องไม่ได้จุดเทียนและไม่มีอะไรนำไฟ เหตุใดจึงเกิดไฟไหม้ได้ มู่ซงขมวดคิ้วแน่น ดูท่าท่างมิได้ตื่นตระหนกมากนัก ก็แค่ห้องหนังสือ เขาเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่ได้มีเอกสารลับอะไรในห้องหนังสือ
“ท่านปู่ พวกเราไปดูก่อนเถอะ” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น
มู่ซงไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงแต่พยักหน้าและพูดกับทุกคนว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นในจวนคงต้องทำให้ทุกท่านเสียเวลา ขอให้ทุกท่านรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
พูดจบก็พามู่ชิงเกอออกจากเรือนด้านหน้า ไปยังห้องหนังสือที่อยู่เรือนหลัง สองปู่หลานเพิ่งจะออกไป ท่ามกลางผู้คนก็ได้มีคนเสนอว่า “ไม่สู้เราตามไปดูด้วยเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากนายท่านผู้เฒ่าต้องการความช่วยเหลือ เราก็จะ สามารถไปช่วยได้ทัน”
คำแนะนำนี้ แทบจะไม่มีผู้ใดปฏิเสธ แม้แต่ฉินจิ่นเฉินที่นั่งอยู่ตรงมุมและพยายามเก็บซ่อนการมีตัวตนอยู่ของตนเองก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน หลังจากที่คิดดูแล้ว จึงเดินตามทุกคนไป
คนกลุ่มหนึ่ง เดินเข้าไปยังเรือนหลังของจวนตระกูลมู่
มู่ชิงเกอสัมผัสได้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
เท่าที่ดูแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง คนพวกนี้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่หากตามมาแล้วก็ช่างเถิด
มู่ชิงเกอกวาดตาไปและแอบสบตากับฉินจิ่นห้าวท่ามกลางผู้คน แล้วทั้งสองจึงละสายตาจากกันเงียบๆ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังไปยังห้องอ่านหนังสืออย่างเร่งรีบ คนกลุ่มหนึ่งก็ออกมาจากเรือนด้านใน เป้าหมายก็คือห้องหนังสือเช่นกัน
ทางด้านนี้ คือ มู่เหลียนหรงที่นำกลุ่มสาวใช้ภายในจวน รวมถึงป๋ายซีเยวี่ยมา
ตามกฎแล้วพิธีสวมหมวก ผู้หญิงไม่สามารถเข้าร่วมได้ ทำได้เพียงจัดงานเลี้ยงอยู่ภายในเรือนส่วนในกันเอง เพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม คนทั้งสองกลุ่มรีบเข้าไปอย่างเร่งรีบ ในที่สุดก็เข้ามาเผชิญหน้ากันภายในสวนหน้าห้องอ่านหนังสือ “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ทันทีที่พบกัน มู่เหลียนหรงก็เอ่ยถามในทันที
มู่ซงส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเองก็เพิ่งมาถึง”
ในขณะที่ทั้งสองพูด บ่าวรับใช้ชายและทหารจำนวนไม่น้อย ต่างก็ถืออุปกรณ์ดับไฟ เดินเข้าสู่เรือนหลังและเร่งรีบดับไฟ
เปลวไฟ ได้ทะลุผ่านกำแพงมาแล้ว ทุกคนต่างก็ถอยหนีด้วยความกลัว
ขุนนางฝ่ายบุ๋นจำนวนหนึ่ง เห็นดังนั้นก็ถอดใจและไม่คิดจะเข้าไปใกล้อีก
แต่ว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว หากถอยออกไปตอนนี้ ก็กลัวว่าจะขายหน้าเพื่อนร่วมงาน จึงอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
โชคดีที่มู่ชิงเกอหันกลับมาได้ทันเวลา พลางพูดกับทุกคนว่า : “ทุกท่านด้านหน้านี้ไฟลุกโหมอย่างรุนแรง เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน ขอให้ทุกท่านถอยออกไปก่อนเถิด”
นางเพิ่งจะพูดจบ ก็มีคนหลายคนพุ่งตัวออกมาจากในเรือน