ตอนที่ 92-2
ลาก่อนป๋ายซีเยวี่ย มีคนรนหาที่ตายอีกแล้ว
นับตั้งแต่วินาทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว นางก็รู้ในทันทีเลยว่าเพียงแค่ได้ครองรักอยู่กับชายหนุ่ม ให้นางทำสิ่งใด นางก็ยอม แม้จะต้องถูกคนทั้งโลกตราหน้าว่าเป็นคนเลวร้ายอย่างไรนางก็ยอม
นางหลงเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าฉินจิ่นห้าวไม่ได้พูดจาไพเราะและปฏิบัติต่อนางด้วยความอ่อนโยน เพื่อตอบสนองต่อความใกล้ชิดที่นางมอบให้เลย
“องค์ชาย ซีเยวี่ยกลัวเหลือเกิน” นางกอดเอวของฉินจิ่นห้าวแน่นมากกว่าเดิม ป๋ายซีเยวี่ยแทบจะอดไม่ได้อยากจะฝังร่างเข้าไปอยู่ในร่างของฉินจิ่นห้าว
“อีกไม่นานหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว”ในที่สุดฉินจิ่นห้าวก็ เอ่ยปากพูด
ป๋ายซีเยวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขายิ้มด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน “ตราบใดที่มีองค์ชายอยู่ ซีเยวี่ยไม่กลัว”
“ซีเยวี่ย ข้าต้องการจะส่งเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง” ฉินจิ่นห้าวพูดขึ้นอีกครั้ง
ต้องจากไปหรือ?
ด้วยความฉงนใจ ป๋ายซีเยวี่ยเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของเขาและมองร่างอันสูงโปร่ง
“องค์ชายจะให้หม่อมฉันไปไหนเพคะ” จากนั้น นางก็แสดงความตื่นตระหนกออกมาอีกหน แต่กลับพูดอย่างเข้าใจว่า “ด้วยฐานะในตอนนี้ของซี่เยวี่ยแล้ว เป็น ความจริงที่ว่าไม่ควรอยู่ในลั่วตูแห่งนี้ องค์ชายเลยจะส่งตัวหม่อมฉันออกจากลั่วตูใช่หรือไม่ ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ไม่กระทบต่อการใหญ่ของพระองค์หากเมื่อใดที่ทรงมีเวลา ทรงไปเยี่ยมซียวี่ยบ้างก็เพียงพอแล้วเพคะ”
เห็นว่านางเข้าใจผิดฉินจิ่นห้าวเองก็ไม่ได้ให้คำอธิบายแต่อย่างใด เพียงแค่เก็บอาการ ค่อยๆยกมือขึ้นเพื่อลูบไล้ลำคออันขาวและเนียนนุ่มของนาง แล้วถูไปมาจนผิวหนังของนางกลายเป็นสีแดงกํ่า
“องค์ชาย !” ป๋ายซีเยวี่ยก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย แม้ว่าจะไรซึ่งเครื่องประทินโฉม แต่ก็ยังคงงดงามน่าเย้ายวน
แต่ทว่า ครั้งนี้ฉินจิ่นห้ามกลับไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขาค่อยๆ เพิ่มแรงมือ เสียงอันเย็นเยียบไร้ที่เปรียบดังขึ้น “ซีเยวี่ย เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยบอกข้าว่า พลังเวท ของเจ้าอยู่ในสายเหลือง”
“หม่อมฉัน พระองค์โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน…อึ่ก” ป๋ายซีเยวี่ยรีบอธิบาย แต่กลับพบว่าลำคอของตนเองรู้สึกแน่นและไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเลย
แววตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความตกใจจ้องมองฉินจิ่นห้าว ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาหมดจดแต่กลับไร้ความรู้สึก สะท้อนอยู่ในดวงตาอันตื่นตระหนกคู่นั้น
ฉินจิ่นห้าวส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่ต้องการคำอธิบายของเจ้า ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไม่ไว้วางใจในตัวข้าและหวาดระแวงในตัวข้า”
‘ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น หม่อมฉันเพียงแค่ยังไม่มีโอกาสได้พูด!’ ป๋ายซีเยวี่ยพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว
มือทั้งคู่ของนาง พยายามดึงมือใหญ่ของฉินจิ่นห้าวที่บีบคอนางเอาไว้ แต่เพราะพลังเวทได้ถูกสะกดเอาไว้ทำให้ไม่สามารถใช้ใด้
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ใบหน้าของนางก็แดงกํ่า ความรู้สึกนึกคิดก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
ฉินจิ่นห้าวค่อยๆ ยกตัวนางขึ้นมา นางทำได้เพียงพยายามใช้นิ้วเท้ายันพื้นเอาไว้ เพื่อที่จะพยุงตัวเองเอาไว้ดิ้นรนเพื่อโอกาสในการหายใจเฮือกสุดท้ายของตนเอง
“การที่เจ้าทำเช่นนี้ทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมาก ในเมื่อไม่เชื่อใจข้า เจ้าจะมาเรียกร้องความสนใจจากข้าไปเพื่ออะไร เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าเกลียดการหักหลังเป็นที่สุด สิ่งที่เจ้าทำ มันต่างอะไรกับการหักหลัง” ฉินจิ่นห้าวพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ
‘ต่างสิ! แน่นอนว่าต้องต่าง ! ข้ารักท่านสุดหัวใจ แน่นอนว่าจะไม่ทำร้ายท่าน!’ ป๋ายซีเยวี่ยนํ้าตาตก นางมองฉินจิ่นห้าวด้วยแววตาเต็มไปด้วยการร้องขอ การแก้ตัว ความทุกขทรมานและความเจ็บปวด
เสียดาย ที่ไม่สามารถทำให้ฉินจิ่นห้าวหวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอมองภาพทั้งหมดผ่านหน้าต่าง คำพูดของฉินจิ่นห้าว ทำให้รอยยิ้มนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย จะฆ่าใครสักคน ยังจะทำเหมือนตัวเองเป็นคนดีมีคุณธรรมอีก ผลักภาระความผิดทั้งหมดไปให้หญิงสาว
ช่าง ‘กล้าทำกล้ารับ’ เสียจริงๆ!
“ป๋ายซีเยวี่ย ให้โอกาสเจ้าได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของชายหนุ่มที่เจ้ารักสุดหัวใจชัดๆเป็นครั้งสุดท้าย ชาติหน้าจำไว้ว่าต้องรู้จักมองคน เจ้าไม่ต้องขอบใจข้ามากก็ได้ข้าเพียงแค่ทำบุญ” มู่ชิงเกอพูดเบาๆ แววตาฉายแววความเกียจคร้าน
“กล้าหักหลังข้าหรือ ถ้าเช่นนั้น วันนี้ข้าก็จะส่งเจ้าไปก่อน อย่าโทษข้า เพราะเจ้าทำผิดต่อข้าก่อน” ฉินจิ่นห้าวบีบสุดแรงเกิด
กร็อบ—
เสียงกระดูกหักดังออกมาจากห้องมืด
ในดวงตาของป๋ายซีเยวี่ย นอกจากความตื่นตระหนก แล้วก็คือความโกรธเกลียดและความผิดหวัง
นํ้าตาหยดสุดท้ายมีสีชมพูปะปนอยู่ ราวกับเป็นสีจากโลหิต มันไหลออกมาจากดวงตาและไหลผ่านใบหน้าลงบนหลังมือของฉินจิ่นห้าว
เขาคลายมือออกอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งแน่นอนว่าร่างของป๋ายซีเยวี่ยก็ร่วงลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หลังจากที่สะบัดนํ้าตาบนหลังมืออย่างแรงแล้ว เขาก็สั่งการว่า “ทหาร เอาศพนางผู้หญิงคนนี้ออกไปเป็นอาหารของสัตว์ป่าข้างนอก”
ทหารลากตัวป๋ายซีเยวี่ยออกจากห้องมืด
หลังจากที่ฉินจิ่นห้าวหันหลังและเดินออกมา เขาก็ได้ล้างมือหลายรอบ พร้อมเปลี่ยนชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน แล้วจึงไปพบกับมู่ชิงเกอ
ไอร้อนที่มาจากถ้วยนํ้าชา ทำให้ใบหน้าอันงดงามของนางยิ่งดูงดงามจับใจ จนทำให้คนมองไม่สามารถละสายตาได้
ในวินาทีนั้น ฉินจิ่นห้าวรู้สึกว่าในส่วนลึกของหัวใจตนเองราวกับถูกสะกิด พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น หากคนผู้นี เป็นหญิงคงจะดีไม่น้อย ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวนางมาอยู่ในอ้อมกอด กอดรัดพัวพันนางทั้งวันทั้งคืน!
มู่ชิงเกอรู้อยู่แล้วว่าฉินจิ่นห้าวเข้ามา แต่กลับพบว่าเขายืนนิ่งไม่ขยับ
พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่าทางที่อึ้งงันตาค้างของเขา
ในแววตากระจ่างพลันเยืยบเย็น นางคลายมือจากถ้วยนํ้าชา มือกระทบกับขอบถ้วยเกิดเสียงดังจึงดึงสติของฉินจิ่นห้าวกลับมา
พอฉินจิ่นห้าวได้สติ ก็สบกับตาดวงที่เยือกเย็นไร้ที่เปรียบ พลางฝืนรอยยิ้ม เดินเข้าไปหานาง “ป๋ายซีเยวี่ยตายแล้ว ชิงเกอพอใจแล้วหรือยัง”
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขบขัน วางถ้วยนํ้าชาในมือลง “คนตายไปแล้ว เรื่องทั้งหมดที่ติดค้างก็ถือว่าหมดสิ้นต่อกัน คนผู้นี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระหม่อมอีกต่อไป”
“ชิงเกอเป็นคนที่สามารถแยกแยะบุญคุณและความแค้นได้ในเรื่องนี้ข้าชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก”
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้พูดขึ้นว่า “เรื่องราวทั้งหมดก็ได้จบลงแล้ว กระหม่อมขอทูลลาก่อนพะย่ะค่ะ”
“ประเดี๋ยวก่อน” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฉินจิ่นห้าวกลับไม่ยอมให้มู่ชิงเกอจากไปโดยง่าย เขาส่งเสียงห้าม มู่ชิงเกอจึงต้องหันกลับไป เมื่อเห็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม ท่ามกลางความอึดอัด เขาพูดเพียงว่า “เรื่องของป๋ายซีเยวี่ยก็ได้จบลงแล้ว เราก็ควรจะพูดคุยและวางแผนการใหญ่ของเราร่วมกันมิใช่หรือ”
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มเบาๆ “เรื่องราวพวกนี้ รุ่ยอ๋องไม่จำเป็นต้องถามกระหม่อม เรื่องนี้เป็นเรื่องของเหล่าที่ปรึกษา”
“ข้าเองก็อยากฟังความคิดเห็นของเจ้า” ฉินจิ่นห้าวยังคงถามอย่างไม่อาย
มู่ชิงเกอยิ้ม เดินไปข้างหน้าสองก้าว มองฉินจิ่นห้าวและพูดว่า “รุ่ยอ๋องทำให้รัชทายาทและฮ่องเต้เกิดเรื่องบาดหมางกันแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ทำให้ปัญหามันใหญ่โตมากขึ้น และทำให้รัชทายาทคิดว่าฮ่องเต้จะปลดตำแหน่ง จนต้องรีบลงมือกับฮ่องเต้เล่า ถึงตอนนั้น รุ่ยอ๋องก็นำกองทหารตระกูลมู่เข้าช่วยฮ่องเต้ออกมาจากอันตราย บัลลังก์นั้นจะยังมีใครแย่งชิงกับท่านได้อีก”
ฉินจิ่นห้าวตาเป็นประกาย คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้เขาคิดแผนการไปต่างๆ นานา
ในความเป็นจริงแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการหาเหตุผลให้มู่ชิงเกออยู่ต่อ แต่กลับไม่ติดว่านางจะวางแผนจริงๆ ทันใดนั้น เขาก็เผยรอยยิ้มที่ฉายแววจริงใจออกมา “ชิงเกอช่างฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ มีความสามารถที่พลิกฟ้าถึงเพียงนี้ที่ผ่านมากลับเก็บซ่อนเอาไว้”
ตอนแรกฉินจิ่นห้าวคิดว่าจะต้องต่อสู้กับรัชทายาทอีกนาน รอให้ฮ่องเต้หมดความอดทนและเปลี่ยนตำแหน่งรัชทายาท แต่กลับไม่คิดว่า วิธีของมู่ชิงเกอทั้งง่ายกว่าและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
หากแผนการสำเร็จ ไม่แน่ว่าเขาจะสามารถข้ามตำแหน่งรัชทายาท และได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่เลย
พอคิดได้เช่นนี้ ฉินจิ่นห้าวก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่สนใจมู่ชิงเกออีก รีบกลับไปหาเหล่าที่ปรึกษาของตนเอง เพื่อจัดการวางแผนตามที่มู่ชิงเกอบอก จากนั้น จะได้ลงมือดำเนินการตามแผนโดยเร็ว
มองฉินจิ่นห้าวที่จากไปอย่างเร่งรีบ สายตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววเย็นยะเยือก พลางผุดรอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก
หลังจากที่ฉินจิ่นห้าวลับสายตาไป นางก็ออกจากตำหนักรุ่ยอ๋อง