Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 136

ตอนที่ 136

เดินตามอย่างลับๆ ล่อๆ

ประตูทางเข้าของอาณาเขตหลิงอู๋นั้นมีอยู่ทั่วทุกที่

แต่ทว่า อยากจะเปิดอาณาเขตหลิงอู๋ออกแล้วเข้าไปข้างในเพื่อเลือกสรรวิญญาณยุทธ์ที่ เหมาะสมกับตนนั้น ก็จะต้องมีหลิงไซว่ขั้นสูงสามคน ใช้ผลึกหินวิญญาณพันก้อน จึงจะ เปิดประตูทางเข้าได้

จะต้องรู้ว่า ผลึกหินวิญญาณหนึ่งก้อน เท่ากับหินวิญญาณ 100 ก้อน ผลึกหินวิญญาณ 1,000 ก้อน ก็เท่ากับหินวิญญาณ 100,000 ก้อน ยังไม่ได้พูดถึงว่าหลิงไซว่พอหรือไม่ เป็นระดับขั้นสูงหรือไม่ แต่หินวิญญาณ 100,000 นั้น ไม่ใช้สิ่งที่ตระกูลธรรมดาจะสามารถแบกรับไหว

[ผลึกหินวิญญาณ 1 ก้อน = หินวิญญาณ 100 ก้อน

ผลึกหินวิญญาณ 1,000 = หินวิญญาณ 100,000 ก้อน]

วันนี้ เป็นวันที่สถานบันไป๋หยวนเปิดอาณาเขตหลิงอู๋ เจียงหลีมาถึงสถานที่รวมตัวเพียง ลำพัง

เมื่อถึงแล้วจึงพบว่าสถานที่รวมตัวนั้นอยู่ในเจดีย์หินหลังหนึ่งของสถานบันไป๋หยวน พอ นางมาถึง ชั้นหนึ่งของเจดีย์หินนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยนั่งขัดสมาธิอยู่แล้ว มีทั้งชายหญิง อายุก็แตกต่างกันออกไป

“มาแล้ว ก็ไปหาที่นั่งลงเสีย” หนานอู๋เฮิ่นปรากฏตัวตรงข้างกายเจียงหลีอย่างกะทันหัน

เจียงหลีเหลียวมองเขา ในขณะที่เขาพยักหน้า ก็เดินไปที่ที่ค่อนข้างโล่งว่าง แล้ว นั่งขัดสมาธิเช่นคนอื่นๆ

เพิ่งจะนั่งลง นางก็รู้สึกถึงพลังวิญญาณอันท่วมท้นลอยขึ้นมาจากพื้นดิน

เจียงหลีตกตะลึงอยู่ในใจ นี้ช่างเป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ดีเสียจริง!

“ทุกคนก็มากันครบแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ไป ก็จะพูดถึงข้อควรระวังในการเข้าไปสู่อาณา เขตหลิงอู๋” คนที่พูดอยู่นั้นคือเฟิงสิงอวิ๋น

เขาหน้าตายิ้มแย้ม ใบหน้างดงามร่าเริง ในขณะที่พูดอยู่นั้น หญิงสาวในเจดีย์จำนวนไม่ น้อย ต่างก็เผยความเลื่อมใสศรัทธาแฝงไปด้วยความเขินอาย

เจียงหลีก็มองไปทางเขาเช่นกัน เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเพราะมองลู่เจี้ยมากเกินไปหรืออย่างไร เฟิงสิงอวิ๋นที่งดงามเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกตะลึงในความงามสักเท่าไร

สิ่งที่นางสนใจนั้น มีเพียงคำพูดต่อจากนี้ที่เขาจะพูดเท่านั้น

“ในบรรดาพวกเจ้า บ้างก็เข้าอาณาเขตหลิงอู๋เป็นครั้งแรก บ้างก็เข้าไปเป็นครั้งที่สอง บางอย่างนั้น ลูกศิษย์ที่เข้าอาณาเขตหลิงอู๋เป็นครั้งแรกนั้น จะต้องตั้งใจฟังให้ละเอียดถี่ ถ้วน” ในท่าทางอันงดงามของเฟิงสิงอวิ๋นนั้น ก็แฝงไปด้วยความสง่างาม เมื่อเขาพูดอย่างจริงจังตั้งใจ ความน่าเกรงขามของความเป็นอาจารย์นั้นก็เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ในอาณาเขตหลิงอู๋นั้น มีวิญญาณยุทธ์อยู่มากมาย พวกเราต่างก็รู้กันว่า หากจะทำการหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ มีเพียงสองหนทาง หนึ่งคือการสืบทอดต่อกันในตระกูล ได้รับ วิญญาณยุทธจากแหล่งทรัพยากรในตระกูล สองก็คือเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู๋ด้วยตนเอง ไล่ล่าวิญญาณยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเอง อาณาเขตหลิงอู๋นั้น จะเข้าไปได้เพียงร่างวิญญาณ ฉะนั้นร่างจริงของพวกเจ้าจะอยู่ในสถานบัน มีผู้อาวุโสของสถานบันเป็นคนเฝ้าดูแล เรื่องความปลอดภัยนั้นพวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป แต่ทว่า อาณาเขตหลิงอู๋เป็นสถานที่ที่ฆ่าฟันกันอย่างโหดร้าย ในนั้นอาจจะไม่ได้มีเพียงคนของสถานบันไป๋หยวนเท่านั้น ฉะนั้นพวกเจ้าเข้าไปแล้ว จะต้องระมัดระวังตัวให้มาก หากพวกเจ้าถูกวิญญาณยุทธ์สังหารในนั้น หรือถูกคนอื่นสังหาร ถึงแม้จะไม่ถึงตาย แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำร้ายรากฐานการฝึกบำเพ็ญของพวกเจ้า ทำลายเนตรญาณพื้นฐานของพวกเจ้าไป…”

เจียงหลีเม้มปากแน่น ตั้งใจฟังคำอธิบายของเฟิงสิงอวิ๋นอย่างตั้งใจ ยังไม่ทันได้เข้าไปในอาณาเขตหลิงอู๋ นางก็รู้สึกได้ถึงกฎเกณฑ์การแข่งขันอันโหดร้ายแล้ว

“…นอกจากนั้น ถึงแม้จะเป็นร่างวิญญาณ แต่ก็มีความรู้สึกของความตาย และความ เจ็บปวด หากพวกเจ้าไม่อยากสัมผัสกับความรู้สึกของความตายก็ตั้งสติให้ดี ทำให้ตนเองมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้” นํ้าเสียงของเฟิงสิงอวิ๋นดุร้ายขึ้นมากะทันหัน เหมือนดั่งระฆังยามเช้าที่เคาะตีในใจผู้คน

“ระยะเวลาในการเข้าอาณาเขตหลิงอู๋ คือยี่สิบวันโดยประมาณ พวกเจ้าจะต้องค้นหา วิญญาณยุทธ์ที่เหมาะสมกับพวกเจ้าให้ได้ในกำหนดเวลานี้ เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจแล้ว! ”

คนในเจดีย์หินนั้นต่างก็ขานตอบกัน

หลังจากนั้น ก็มีคนแจกภาพให้ภาพหนึ่ง เมื่อเจียงหลีคลี่ออกดู ในนั้นเป็นคำอธิบาย เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์อย่างละเอียด มีจำนวนมากมายเป็นพันหมื่นชนิด บนภาพนั้น จด บันทึกไว้ละเอียดยิบย่อย ดูจนตาลายไปหมด

เสวียนกังกุย!

เมื่อกวาดดูไปยังตำแหน่งตรงกลางของภาพ ดวงตาของเจียงหลีก็หยุดชะงัก หาวิญญาณยุทธ์ที่ลู่เจี้ยพูดถึงเจอแล้ว คำแนะนำก่อนหน้านี้ของลู่เจี้ย บวกกับคำอธิบายบนภาพนี้ ในดวงตาอันสุกสว่างของเจียงหลีนั้น ก็มีไฟแห่งความปรารถนาลุกโชน วิญญาณยุทธ์เสวียนกังกุยนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังการปกป้องได้อีกยังเพิ่มอายุขัยได้อีกด้วย ดวงตาของเจียงหลีสุกสว่างสดใสขึ้นมา นางกำภาพไว้แน่น ทั้งยังยากที่จะปกปิดความปีติยินดีนี้ไว้ได้ระดับขั้นที่สูงขึ้น อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่หากมีเสวียนกังกุยเป็นวิญญาณยุทธ์พื้นฐาน ภายใต้การเพิ่มขึ้นของอายุขัยพื้นฐานเดิมแล้ว ก็ยังเพิ่มขึ้นได้อีก การใช้ ‘จักรพรรดิพิโรธ’ นั้น ผลข้างเคียงที่น่าปวดหัวนั้นก็คืออายุขัยสั้นลง ชีพจรได้รับความเสียหาย ทว่า เอกลักษณ์ของเสวียนกังกุยนั้น กลับชดเชยในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี นี้เกิดมาเพื่อนางโดยเฉพาะเลย!

ขอเพียงนางหลอมรวมวิญญาณยุทธ์เสวียนกังกุยได้สำเร็จ ต่อจากนี้ไป ‘จักรพรรดิพิโรธ’ ก็จะกลายเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่รักษาชีวตนางไว้ได้จริงๆ

“พร้อมหรือยัง อาณาเขตหลิงอู๋จะเปิดขึ้นแล้ว” เสียงของเฟิงสิงอวิ๋น ขัดจังหวะความ ตื่นเต้นดีใจของเจียงหลี

นางตั้งสมาธิ แล้วยกตาขึ้นมองไปด้านหน้า

“เข้าไปแล้ว พวกเจ้าจะถูกสุ่มส่งเข้าไป หากพบกับวิกฤติความเป็นความตาย ก็ปล่อยลูกธนูส่งเสียงของสถานบัน ศิษย์ร่วมสถาบันที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงของลูกธนูส่งเสียงแล้ว จะต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที หากผู้ใดเห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัน รักตัวกลัว ตาย ไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์ร่วมสถาบัน จะถูกทำลายการฝึกฝนทั้งตัว และ ไล่ออกจากสถานบันไป๋หยวน”

เจียงหลีหรี่ตาเล็กน้อย กฎข้อบังคับข้อนี้ของสถานบันไป๋หยวนนั้น ช่างไม่ปราณีใครเสีย จริง

ก็จริงอยู่ที่หากคนในกลุ่มเดียวกันมัวแต่สนใจแต่ตนเอง เช่นนั้นกลุ่มคณะนั้น พลังอำนาจ นั้นก็เข้าใกล้วันที่จะล่มสลายลงแล้ว

สิ่งที่ควรสั่งเสีย ก็ได้พูดหมดแล้ว

ลูกธนูส่งเสียง ก็แจกให้คนละสามลูก เจียงหลีรับลูกธนูส่งเสียงนี้มา ถือสังเกตดูสักครู่ จึง เก็บไว้ในอก

เวลานี้ หนานอู๋เฮิ่น เฟิงสิงอวิ๋นและวีรบุรุษอีกหนึ่งคนเดินมารวมตัวกัน “หลับตา ทำจิตใจให้สงบ”

เจียงหลีปิดตาทั้งสองเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วตั้งสมาธิ

ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นนั้น นางก็ไม่รับรู้แล้ว รู้สึกเพียงความง่วงนอนมากระทบ แล้วทำให้ นางหลับไปในเวลาไม่นาน

ในความฝันนั้น ร่างวิญญาณของนางถูกดึงออกจากร่างกาย แล้วเดินไปตามทางเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู๋

เมื่อเจียงหลีลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตนก็มายืนอยู่ในป่ารกทึบผืนหนึ่ง รอบๆ ไร้ซึ่งผู้คน นางตก ตะลึงในใจ ล้วงลูกธนูส่งเสียงในอกออกมา สัมผัสที่เหมือนจริงเช่นนั้น ทำให้นางสงสัย “ใช้วิธีใดกันแน่ ความรู้สึกนี้ เหมือนความจริงโดยสิ้นเชิง น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”

นางเก็บลูกธนูส่งเสียงเข้าไปอีกครั้ง แล้วสังเกตไปรอบๆ

ต้นไม้ภูเขาที่นี่ต่างก็เจริญงอกงาม เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ มีกลิ่นอายของความโบราณ ซ่อนอยู่

“นี้ก็คืออาณาเขตหลิงอู๋หรือ” นางเดินในหุบเขาอย่างไร้จุดหมาย วิญญาณยุทธ์มากมาย ก็วิ่งผ่านตาเจียงหลีไป

เพียงแต่พวกนั้นอ่อนแอเกินไป ถึงขั้นไร้พลังทำลายล้าง จึงถูกนางมองข้ามไป

“นี่ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง แต่กลับเสมือนจริงเช่นนี้” เดินอยู่ครึ่งวัน เจียงหลีก็รู้สึกว่า ทุกอย่างในที่นี้ เหมือนกับประกอบขึ้นโดยพลังวิญญาณ แต่ทว่า สัมผัสที่เหมือนจริง เช่นนั้น ก็ทำให้นางไม่แน่ใจขึ้นมา

ทันใดนั้น ก็มีเสียงเล็กๆ อันแผ่วเบาลอยมาจากด้านหลังของนาง ทำให้นางฝีเท้าชะงักไป แล้วสายตาก็มืดมน ตามมาอีกแล้วนะ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version