Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 167

ตอนที่ 167

โรคของท่านสามารถรักษาได้หรือไม่

ความลับของลู่เจี้ยปิดบังเอาไว้ไม่มิด

เจียงหลีมองแวบเดียวก็รู้ กลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวครั้งนี้เป็นการชิงไหวชิงพริบระหว่างฮ่องเต้กับตระกูลลู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้วางหมากไว้อย่างไรและตระกูลลู่จะแก้หมากกระดานนี้ได้อย่างไร

“ก็ได้ ข้าจะไม่ยุ่ง” เจียงหลีจ้องเข้าไปในแววตาสกาวใสของลู่เจี้ยแล้วพยักหน้าเชื่องช้า

เนื่องจากลู่เจี้ยไม่ให้นางยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกอย่างอยู่ในเงื้อมมือเขา เช่นนั้นแล้วนางยังจะต้องห่วงอะไรอีก

“หลีเอ๋อร์…” จู่ๆ ลู่เจี้ยเลื่อนปลายนิ้วผ่านแก้มนางแผ่วเบาน้ำเสียงผะแผ่วราวกับกำลังมัวเมา

น้ำเสียงนี้แทงทะลุเข้าไปในใจของเจียงหลีพร้อมกับการกระทำที่ปลายนิ้วของเขาทำให้ นางรู้สึกเสียววูบวาบราวกับถูกกระแสไฟแล่นผ่านร่าง

“อืม” นางครวญครางตอบเสียงเบาโดยไม่รู้ตัว

การตอบกลับของนางมีความสับสนเล็กน้อยทำให้แววตาของลู่เจี้ยพลันมืดหม่นดั่งมีความมืดพุ่งพล่านในส่วนลึกของดวงตา

เขาซ่อนความรู้สึกไว้ในแววตาเงียบๆ หรี่ตาเอ่ยถามเสียงเบา “บาดเจ็บสาหัสหรือไม่”

“ไม่สาหัส วิญญาณยุทธ์เสวียนกังกุยแข็งแกร่งจริงๆ” เจียงหลีส่ายหน้าแววตาตื่นเต้น อยากแบ่งปันความรู้สึกของนางที่มีต่อเสวียนกังกุยให้ลู่เจี้ยรับรู้

ลู่เจี้ยกะพริบตาเบาๆ พรัอมกับยกยิ้มเจือจางที่มุมปาก “อันดับของเสวียนกังกุยอยู่ก่อนหน้าเลี่ยเทียนซื่อ ย่อมไม่อ่อนแอเป็นธรรมดา”

“อืม ตอนนี้ข้ายิ่งตื่นเต้นรอคอยวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามแล้ว” เจียงหลีพยักหน้าหนักแน่น ดวงตาเป็นประกายแสงสุกใส

นางขยับตัวในอ้อมกอดของลู่เจี้ยเล็กน้อยเพื่อหาท่วงท่าที่สบายที่สุดขดตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่รู้สึกนกระดากอายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างไรก็ทำอย่างเป็นธรรมชาติสบายๆ

“ลู่เจี้ย ท่านว่าวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามควรเลือกอะไรดี” หลังจากได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานของเสวียนกังกุย ตอนนี้นางจึงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของลู่เจี้ยเป็นอย่างยิ่ง

ลู่เจี้ยเลื่อนสายตาลงมองหญิงสาวที่เหมือนแมวจอมขี้เกียจในอ้อมกอดของตนเอง ในรอยยิ้มเจือจางแฝงไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูที่สังเกตได้ยากยิ่ง “พื้นฐานของสามเนตรญาณจะตัดสินเส้นทางการฝึกฝนต่อไปภายหลัง วันนี้เนตรญาณสองตัวก่อนของหลีเอ๋อร์ ได้แยกเข้าสู่ฝ่ายโจมตีและป้องกันไปแล้ว เช่นนั้นเนตรญาณตัวที่สามเจ้าลองฝ่ายส่งเสริมดีหรือไม่”

“ประเภทส่งเสริมอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีดันตัวขึ้นจากอ้อมแขนสบตาเขาก่อนจะซุกตัวเข้าไปใหม่ดวงตาเรียวเล็กเผยสีหน้ามีเสน่ห์น่าหลงใหล “พูดให้ฟังหน่อย”

ลู่เจี้ยที่จดจ่ออยู่กับนางเห็นการเปลี่ยนแปลงในเสน่ห์ของนางเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะมีแสง ดาวระยิบระยับในดวงตาของนาง ผู้หญิงคนนี้เหมือนจักรพรรดินิจริงๆ น่าเกรงขาม สั่นสะเทือนสยบฟ้าดิน

ลู่เจี้ยยิ้มจางๆ ชื่นชมเสน่ห์ของนางแล้วอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียด “วิญญาณยุทธ์ฝ่ายส่งเสริมมีมากมายหลายประเภท ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นหลังจากหลอมรวมก็ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นมีทักษะการรักษาที่โดดเด่นที่สุดด้วย”

“ทักษะการรักษาหรือ” เจียงหลีประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกนั้นของนางวิธีการรักษาคือ เลี่ยนตาน ขั้นการฝึกเลี่ยนตานยิ่งสูงก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงตามไปด้วย

“อืม” ลู่เจี้ยพยักหน้า “ทักษะการรักษาเกิดจากการหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ฝ่ายส่งเสริม ประเภทเดียวกันขึ้นมา นอกจากจะเพิ่มพลังความสามารถในการฝึกตนแล้วยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าในบรรดาการฝึกวิญญาณยุทธ์ฝ่ายส่งเสริม ของหลิงซื่อ ฝ่ายรักษาเป็นที่ต้องการมากที่สุดและก็อยู่ในตำแหน่งสูงสุดด้วย”

เจียงหลีกระพริบตาปริบๆ คันยุบยิบในใจแล้วจึงลองถาม “ถ้าข้าหลอมรวมเข้ากับวิญญาณยุทธ์เช่นนี้ข้าก็จะมีความสามารถในการรักษาใช่หรือไม่ สามารถช่วยรักษาร่างกายของท่านได้หรือไม่”

นางถามไปเรื่อยเปื่อยก็จริงแต่ไหนเลยจะไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงในใจของนาง

เจียงหลีไม่หลบหนีสายตาแปลกประหลาดของลู่เจี้ยแล้วรอคอยให้เขาพยักหน้า

น่าเสียดายนางกลับเห็นแค่ดวงตาไร้คลื่นลมของลู่เจี้ยซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นความมืดมนในดวงตาได้ง่ายๆ

“ไม่ได้หรือ” เจียงหลีขมวดคิ้วถาม

ลู่เจี้ยกลับหลุดขำออกมา “ปัญหาของข้าคือเกิดมาด้อยกว่าผู้อื่น สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ทักษะการรักษาสามารถบรรเทาอาการบาดเจ็บแต่กลับไม่ สามารถฟื้นวิญญาณให้ข้าได้อีก”

“…” เจียงหลีปิดปากเงียบลง

แม้ลู่เจี้ยจะอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่ทุกข์ร้อนแต่ทว่านางไม่ชอบเขาที่เป็นแบบนี้เอาเสียเลย

คนรูปงามเช่นนี้ ทำไมต้องมีอายุสั้น เจียงหลีกล่าวในใจ

“ข้าจะคิดหาวิธีให้ได้แน่นอน” นางสัญญากับเขาด้วยสายตาที่แน่วแน่

จากนั้นลู่เจี้ยกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “เช่นนั้นก็ขอขอบใจหลีเอ๋อร์มาก”

…………………………..

ลู่เจี้ยไม่ได้บอกเจียงหลีถึงสถานการณ์อย่างละเอียดของวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามแต่กลับชี้แนะแนวทางให้นางไปในระหว่างฝึกตนนางคงหาวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามที่เหมาะสมกับนางที่สุดเองได้ถึงจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง

หลังจากออกไปจากห้องของลู่เจี้ย เจียงหลีก็ไปนอนที่ห้องตัวเอง วันรุ่งขึ้นจึงไปสถาบันไป๋หยวน

แต่ตอนที่นางจะไปตั้งใจไว้ว่าจะไปพบลู่เจี้ยสักประเดี๋ยว เมื่อเห็นใบหน้างดงามก็ยิ่งทำให้อารมณ์ตัวเองดียิ่งขึ้น

แต่ผลคือทำให้นางขมวดคิ้วมุ่นแต่กลับไม่ได้คิดลึกซึ้งจึงมุ่งหน้ากลับไปฝึกฝนต่อที่ สถาบันไป๋หยวนกับลู่เสวียน

เมื่อกำลังมาถึงหน้าประตูสถาบันไป๋หยวน ลู่เสวียนก็กระโดดลงมาจากรถม้าเผ่นแนบเข้า ไปในสถาบันไป๋หยวนทันที

เจียงหลีแหวกประตูผ้าม่านกระโดดลงมามองเห็นเงาหลังของเขาที่รีบร้อนจึงอดขมวดคิ้ว ไม่ได้แล้วกระโดดลังจากรถมาตามไป

เจ้าเด็กนั่นวิ่งเร็วขนาดนี้คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก เจียงหลีพึมพำในใจแล้วรีบก้าวตามไป

จนกระทั่งนางเข้าไปในประตูหุบเขา เดินผ่านระเบียงและลานกว้างถึงพบว่าผู้คนจำนวน มากมารวมตัวกันที่ลานตรงทางเข้าสถาบันไป๋หยวนและลู่เสวียนก็อยู่ในกลุ่มด้วย

“ข้า…ยังมีข้า…ข้าก็มาสมัครด้วย!” ลู่เสวียนเบียดเสียดกลุ่มคนเข้าไปจนอยู่ข้างหน้าสุดชูมือขึ้นสูงตะโกนเสียงดังไปยังนายทะเบียน

“สมัครหรือ สมัครอะไร” เจียงหลีสงสัยเล็กน้อยนางดึงคนข้างๆ มาข้างหน้าแล้วเอ่ยถาม ตามตรง “เขามาทำอะไรกันที่นี่”

คนที่นางจับไว้ตั้งท่าจะโมโหแต่พอเหลียวมาเห็นปรากฏว่าเป็นเจียงหลีจึงกลืนคำด่าลงคอไป เมื่อก่อนเขาเห็นเจียงหลีแสดงฝีมือตอนแข่งรับศิษย์ใหม่แล้วก็ไปงานล่าสัตว์ของราชสำนักมา จึงรู้ว่าไม่ควรหาเรื่องหลิงเจี้ยงอายุสิบสามผู้นี้

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเจียงหลีนี้เอง”

ชายคนนี้ที่ถูกเจียงหลีดึงเสื้อผ้าจนยับยู่ยี่พยายามแสดงภาพลักษณ์แสนดี เสียดายที่เจียงหลีไม่ได้สนใจอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีชายคนนี้อยากตีสนิทด้วยแต่เมื่อเห็นสีหน้าหมดความอดทนของเจียงหลีเขาจึงรีบ ตอบ “เขากำลังสมัครไปเป่ยฝางกัน ทำไม ศิษย์น้องเจียงหลีก็อยากไปด้วยหรือ ตอนนี้แม้กำลังเกิดสงครามที่เป่ยฝางแต่ในเมื่อมีท่านอ๋องลู่พวกเราโฮ่วจิ้นต้องได้ชัยอย่างแน่นอน พวกเราไปแล้วอาจได้ผสมผสานกลยุทธ์ทหารก็ได้”

สมัครเข้ากลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียว เจียงหลีอึ้งในใจแล้วรีบปล่อยคนนี้เบียดเข้าไปในฝูงชน นางจะลากคอเจ้าเด็กลู่เสวียนกลับมาให้ได้..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version