ตอนที่ 80
ลากเย่ว์หนานซีออกมา
“หยุดก่อน รีบหยุดมือเดี๋ยวนี้”
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาแต่ไกล แต่กลับไม่มีประโยชน์สักนิด
คนของตระกูลลู่กำลังฆ่าล้างตระกูลเย่ว์อย่างบ้าคลั่ง คนของตระกูลเย่ว์ไม่มีแม้แต่แรงต่อสู้กลับคืน ทำได้ เพียงหนีความอัปยศอดสูกันจ้าละหวั่น
ลูกชายเพิ่งจะตายไป ตอนนี้ยังมาถูกฆ่าล้างตระกูลอีก ความโกรธและความแค้นได้เผาผลาญสติของเขามอด ไหม้ไปหมดแล้ว
เมื่อเสียงนั้นปรากฎขึ้น ทันใดนั้นเขาก็เหาะทะยานกลางอากาศหมายจะฆ่าลู่จ้าน “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ด้านหลังเขา มีแสงสีทองสองดวงเบ่งบานขึ้นพร้อมกัน เขาได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ ยกระดับพลังปราณของตัวเองสู่จุดสูงสุด แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาในสายตาของลู่จ้านก็ยังเป็นคนที่ไม่คู่ควรอยู่ดี
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ร่างของเฮ่อเหลียนเฟิงลอยลงมาจากกลางอากาศ เขาปลอดปล่อยพลังปราณเพื่อหยุดยั้งลู่จ้าน
แต่ทว่าลู่จ้านกลับไม่แยแส เพียงแค่ยกมือขึ้นช้าๆ โบกเบาๆ ฟาดไปที่หน้าอกเย่ว์ชิงหลิวที่กำลังจะเข้ามาฆ่าเขา
ฟึ๊บบ!
เย่ว์ชิงหลิวที่ดุดัน ภายใต้ฝ่ามือนั้นไม่มีแม้แต่แรงจะสู้กลับ
หน้าอกของเขาเป็นโพรงโบ๋ ริมฝีปากกระอักเลือดออกมาปะปนกับอวัยวะภายในที่แหลกละเอียดทั้งร่างกาย ถูกลู่จ้านฟาดกระจุยทุบกับพื้นอย่างแรง
“ลู่จ้าน นี่เจ้า!” เฮ่อเหลียนเฟิงตะโกนสุดเสียง
ในขณะที่เขามองไปยังลู่จ้านกลับถูกสายตาเรียบนิ่งคู่นั้นทำให้รู้สึกถึงความกดดันอย่างยิ่ง
“เจ้า…ที่แท้เจ้าก็บรรลุระดับหลิงไซว่แล้ว!” เฮ่อเหลียนเฟิงหน้าถอดสี จากนั้นจึงรีบถอยไปข้างหลังจึงจะบรรเทาจากแรงกดดันนั้นได้
หลิงซื่อ หลิงเจี้ยง หลิงไซว่ ดูแล้วต่างกันเพียงสามระดับเท่านั้น แต่ในทุกๆ ระดับแบ่งออกเป็นถึงเก้าขั้น!
ในแต่ระดับต่างก็ต้องก้าวกระโดดไปทีละขั้น ถ้านับดูเริ่มจากหลิงซื่อขั้นที่หนึ่งไต่ระดับไปจนถึงหลิงไซว่ขั้นที่หนึ่ง เช่นนั้นก็ห่างกันถึงสิบเก้าระดับเลยน่ะสิ!
หนทางการฝึกฝนยิ่งได้ระดับสูงขึ้นไปก็ยิ่งยาก ระดับยิ่งสูงระยะห่างยิ่งมาก
อาณาเขตหลิงไซว่อยู่ในจุดสูงสุดของราชวงศ์โฮ่วจิ้นไปเสียแล้ว
เกรงว่าเฮ่อเหลียนเฟิงแม้จะเป็นหลิงเจี้ยงในระดับแปดแล้ว ต่อให้กำลังเผชิญหน้ากับลู่จ้านระดับหลิงไซว่ต่างก็ต้องรู้สึกถึงวิกฤติรุนแรง
“เรื่องการฝึกฝนเนตรญาณของลู่จ้าน ข้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องลือมาโดยตลอด มีคนกล่าวว่าเขาเป็นหลิงเจี้ยงระดับเก้า แล้วก็มีคนกล่าวอีกเช่นกันว่าเขาเข้าสู่หลิงไซว่ไปตั้งนานแล้ว ดูท่าทางวันนี้ข้อถกเถียงนี้คงจะมีผลสรุปเสียแล้วล่ะ” อู๋เชียนที่มาด้วยกันกับเฮ่อเหลียนเฟิงพูดจาแปลกๆ
หนานอู๋เฮิ่นยิ้มพยักหน้า “ตระกูลลู่แห่งซูหนานนี่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
อู๋เชียนจ้องเขาเขม็งแล้วมองไปที่มู่หว่านโหรว “องค์หญิง ท่านคิดว่า…”
“ข้าเป็นแค่แขกผู้มาเยือนซูหนานเท่านั้น” มู่หว่านโหรวรู้ดีว่าเขาจะถามอะไรก็หยุดเขาด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชา คำพูดนี้ก็หมายความว่านางจะไม่ยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องนี้เป็นอันขาด เมื่อฟังออกว่าคำพูดนางสื่อถึงสิ่งใด อู๋เชียนจึงทำได้เพียงแค่หุบปาก
ทางด้านฝ่ายตรงข้ามของพวกเขา มีรถมาหนึ่งคันมาถึงตั้งนานแล้ว
ภายในรถมา เจียงหลีตื่นขึ้นมาแล้ว นอนหลับในอ้อมกอดของลู่เจี้ยได้ผลดียิ่งกว่าการได้กินยาครอบจักรวาลเสียอีก ตอนนี้ไม่ปวดเอวไม่ปวดขาแล้ว ร่างกายดีขึ้นอย่างมาก
นางเห็นพลังที่แท้จริงของลู่จ้านแล้วแอบแปลกใจ หันไปถามคนรูปงามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เอิกเกริกเช่นนั้น ท่านไม่กลัวหรือ”
ลู่เจี้ยยกยิ้มแล้วย้อนถาม “หากตระกูลลู่ทำการเงียบๆ จะสามารถหลีกเลี่ยงการคาดเดาของผู้คนได้ด้วยหรือ”
“…” เจียงหลียิ้มแหยๆ คำตอบเป็นที่ชัดเจนดีอยู่แล้ว
ใช่สิ ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ขจัดความสงสัยของคนบางคนไม่ได้แล้วทำไมจะต้องทำเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกด้วย
เจียงหลีลุกขึ้นยืนบนรถน้าทำท่าจะออกไป
ลู่เจี้ยเองก็ไม่ขัดขวางนาง ปฏิกิริยาเช่นนี้กลับทำให้เจียงหลีที่กำลังจะก้าวขาออกไปหันกลับมาลองใจเขา “ข้าจะออกไปแล้วนะ”
ลู่เจี้ยงยิ้มเล็กน้อย “ในซูหนานแห่งนี้ เจ้าอยากทำเยี่ยงไรก็ตามใจเถอะ”
น้ำคำนี้เล่นเอาเจียงหลีควบคุมมุมปากไม่ได้จึงยิ้มออกมา จะทำเยี่ยงไรดี พ่อหนุ่มรูปงามสกุลลู่ผู้นี้นับวันยิ่งถูกใจนางจนนางอยากลักพาตัวไป!
“เด็กดี” เจียงหลียื่นมือออกไปในขณะที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวก็หยิกไปที่แก้มนิ่มของเขาเบาๆ แล้วหันหลังรีบกระโดดลงจากรถน้า
ลู่เจี้ยอึ้งไปชั่วขณะ เขาประหลาดใจกับความกล้าหาญของหญิงสาวนางนี้ แต่หลังจากที่หญิงสาวจากไปเขายกมือขึ้นและลูบเบาๆ ตรงที่นางหยิกอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
มีไม่กี่คนที่สังเกตเห็นการปรากฎตัวของเจียงหลี
ขณะที่ทุกคนต่างก็ถูกคำพูดของเฮ่อเหลียนเฟิงดึงดูดความสนใจอยู่
ลู่จ้านคนบ้าบิ่นของตระกูลลู่อยู่ในอาณาเขตหลิงไซว่แล้วจริงๆ ด้วย
“ลู่จ้านเจ้าจะกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ในเมืองซูหนานจริงๆหรือ” เฮ่อเหลียนเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟัน พูดกับลู่จ้าน
เขากวาดสายตามองเย่ว์ชิงหลิวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น
“ตอนที่ข้าถูกตระกูลเย่ว์ตามฆ่า ใยจึงไม่เห็นท่านเจ้าเมืองกล่าวเยี่ยงนี้บ้างล่ะ ในงานประลองชิงเจียว ท่านเจ้าเมืองก็พูดเองนี่ว่าเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัว ตอนนี้เชิญท่านถอยกลับไปซะอย่ามาขัดขวางการชำระแค้นส่วนตัวของพวกเราตระกูลลู่” ทันใดนั้นเสียงใสไพเราะอ่อนหวานดังลอยมา
ทุกคนหันไปมองจึงพบว่าสาวน้อยที่สู้กับหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ได้ปรากฎตัวขึ้นแล้วในตอนนี้ นางได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดดำ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนผ้าผืนใหม่เท่านั้น บาดแผลก็น่าจะจัดการมาแล้วเช่นกัน แต่ใบหน้ายังคงซีดเซียวเล็กน้อยเหมือนคนป่วย
“เจียงหลี!” เย่ว์ชิงหลิวที่นอนอยู่บนพื้นเห็นหญิงสาวสวมชุดดำเดินมาพร้อมกับเอามือไพล่หลังและเดินอย่างสบายๆ ดวงตาของเขามองนางอยากจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ
เฮ่อเหลียนเฟิงขมวดคิ้วกับคำพูดของเจียงหลี
ขณะเดียวกันลู่จ้านก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถูกต้อง นี่คือบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างตระกูลลู่และตระกูลเย่ว์ ท่านเจ้าเมืองเชิญกลับไปเถอะ”
“เพื่อนางทาสเพียงคนเดียว พวกเจ้าตระกูลลู่ถึงกับต้องฆ่าล้างทั้งตระกูลเย่ว์เชียวหรือ” เฮ่อเหลียนเฟิงกดเสียงต่ำถามลู่จ้าน คำพูดถือเป็นการเตือนกลายๆ อย่างเห็นได้ชัด
“นางทาสคนนี้ที่แท้ก็อาศัยบารมีตระกูลลู่” อู๋เชียนที่ยืนอยู่ไกลกล่าวเย้ยหยันเสียงเย็น
แต่หนานอู๋เฮิ่นกลับกล่าวเตือนด้วยความหวังดี “ตอนที่นางกำลังถูกหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ตามฆ่า ตระกูลลู่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยนา”
อู๋เชียนกัดฟันกรอดไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขา
มู่หว่านโหรวก็มองอยู่เงียบๆ นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเหตุใดตระกูลลู่ถึงได้กระทำการเยี่ยงนี้เพื่อนางทาสเพียงคนเดียว ถึงกับต้องฆ่าล้างตระกูลเย่ว์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายไปยังซั่งตู ไม่เกรงกลัวคำติฉินนินทาเลยหรือ
ลู่จ้านท้าทายคำเตือนด้วย ‘ความหวังดี’ ของเฮ่อเหลียนเฟิงแต่ก็มิได้นำพา เพียงแค่ละสายตาเย็นชาออกไปเท่านั้นแล้วมองเจียงหลีที่กำลังก้าวเข้ามา
“เจ้า!” เมื่อถูกลู่จ้านเมินเฉย เฮ่อเหลียนเฟิงจึงหน้าแตกยับ ตระกูลลู่ไม่มีใครมาหยามเหยียดได้ อย่างไรก็ตามเขากับตระกูลเย่ว์ไม่เคยมีสัมพันธไมตรีต่อกัน สิ่งที่ควรพูดเขาก็ได้พูดไปหมดแล้ว ตระกูลลู่ยืนกรานเช่นนี้แล้วเขาจะไปทำอะไรได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้เฮ่อเหลียนเฟิงก็หันกลับไปไม่สนใจเรื่องนี้อีก
เจียงหลีไพล่มือไว้ข้างหลังเดินเยื้องกรายมาจนถึงตรงหน้าเย่ว์ชิงหลิว ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าหากตระกูลลู่เป็นภูเขากำบังให้นางก็ยิ่งแสดงความชั่วร้ายออกมาชัดเจนขึ้น
“เย่ว์ชิงหลิว เจ้ามันเป็นตาแก่ไร้ยางอาย ตอนส่งหมารับใช้สี่ตัวมาตามฆ่าข้าคงไม่คิดว่าจะโดนแก้แค้นไวอย่างนี้ล่ะสิ” เจียงหลียิ้มเยาะจ้องเย่ว์ชิงหลิว นางมองเห็นความเกลียดชังในแววตาของเย่ว์ชิงหลิวชัดเจน แล้ว…จะทำไมล่ะ เขาจะทำอะไรได้ เหอะ!
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจียงหลียิ่งยิ้มรอยยิ้มก็ยิ่งกว้าง นางโน้มตัวลงพูดเจือรอยยิ้ม “เจ้ายังจะส่งคนไปขุดหลุมศพท่านแม่ของข้าอีกไม่ใช่หรือ”
“นางแพศยา ข้าแค่เจ็บใจที่ไม่ได้ฆ่าเจ้าเองกับมือตอนเจ้ามาขอทานกับตระกูลเย่ว์เสียตั้งแต่แรก” เย่ว์ชิงหลิวกระอักเลือดพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นชิงชัง
เจียงหลียังไม่หุบยิ้ม นางค่อยๆ ลุกขึ้นมาหันสายตาไปมองแล้วยิ้มให้ลู่จ้าน “ใต้เท้าลู่จ้าน ข้ารบกวนท่านลากเย่ว์หนานซีมาให้ข้าที”