Skip to content

ฤทัยเทวา 2

Cover Rt For Web

Chapter 2

องค์เทวะ

“ก็ใช่น่ะซิ” ‘องค์เทวะ’ ตอบพร้อมกับแย้มยิ้ม แล้วก็ตรัสอีกว่า “หากเจ้าไม่ใช่วิญญาณเจ้าจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน มนุษย์ธรรมดาเช่นเจ้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกนะ อาจจะมีบ้างที่บางครั้งบางคราวจะมีวิญญาณอย่างเจ้าหลงมาบ้าง”

แล้วเขาก็วาดมือไปรอบๆ “ที่นี่เป็นทิพย์วิมานของข้าเอง”

แพรพรรณอึ้ง! แต่พอเธอนึกได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่ เธอจึงรีบบอกว่า “ก็ฉันกำลังฝันอยู่นี่คะ”

‘องค์เทวะ’ ผู้งามสง่านึกขำคำพูดของนาง แล้วเขาก็หัวเราะ “หึๆๆๆ ฝันงั้นรึ…”

แล้วก็คิดในใจว่า ‘นางคงจะตายโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่’

แพรพรรณหน้างอ “ขำอะไรของคุณน่ะ?”

“ข้าขำที่เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่อย่างไรล่ะ หึๆๆๆ” เขาตอบพลางหัวเราะไปด้วย ทำให้แพรพรรณยิ่งหน้างอมากกว่าเดิม

“ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังฝันอยู่ก็ตามใจเจ้าเถิด” เขาบอกแล้วแย้มยิ้มให้อย่างปราณี พลัน! เขาก็เห็นบุปผาในมือนาง

“นั่น! ดอกเปลวสุริยันนี่!” เขาตรัสอย่างตกใจแล้วคว้าหมับที่ข้อมือเรียวเล็กข้างที่ถือดอกไม้เอาไว้

“อุ๊ย!” แพรพรรณตกใจตะลึงงัน! เขามองข้อมือเรียวเล็กในอุ้งมือของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงาม พร้อมกับอุทานว่า “เจ้าไม่ใช่วิญญาณนี่!”

แพรพรรณนึกในใจอย่างงงๆว่า ‘เอ๊ะ! อะไรของเค้าอีกล่ะ?’

แล้วเขาก็ตรัสว่า “หากเจ้าเป็นวิญญาณ เจ้าย่อมจะสัมผัสสิ่งใดไม่ได้ แต่นี่เจ้าถือบุปผาได้ เจ้าย่อมไม่ใช่วิญญาณแน่ แล้วข้ายังจับต้องตัวของเจ้าได้เช่นนี้เจ้าจึงไม่ใช่วิญญาณอย่างแน่นอน”

เขาตรัสอย่างต้องการจะยืนยันกับตัวเอง แล้วเขาก็จ้องมองหญิงสาวด้วยความสงสัย “เจ้ามาที่วิมานของเราได้อย่างไรกัน?”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน  พลางคิดว่า ‘ผู้ใดกันที่นำพานางมาที่นี่?’

แพรพรรณได้แต่มอง ‘เทวะ’ ผู้งามสง่าอย่างงงๆ เธอไม่รู้ว่าจะตอบคำถามได้อย่างไร ก็เธอกำลังฝันอยู่นี่…จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ?

พลัน! ก็มีแสงสีรุ้งล้อมรอบตัวของเธอเอาไว้

“หืม…!” ‘องค์เทวะ’ มองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ แล้วเขาก็เผลอปล่อยมือจากข้อมือเรียวเล็ก แล้วแสงสีรุ้งก็สว่างวาบ!

“จักรอัคคี!” เขาอุทานอย่างจำได้ว่าแสงสีรุ้งที่เกิดขึ้นเป็นแสงของศาสตราเทพของเขาเอง พลัน! แสงสีรุ้งก็จางหายไปพร้อมๆ กับร่างของหญิงสาว ‘องค์เทวะ’ ได้แต่ยืนมองนิ่งงันไป

“กรุ๊ก…กรู๊  กรุ๊ก…กรู๊  กรุ๊ก…กรู๊” เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นจนแพรพรรณค่อยๆ งัวเงียตื่น เธอเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก

“อือ เช้าแล้วเหรอ ขอนอนต่ออีกหน่อยละกัน” มือเรียวสวยค่อยๆ หดกลับเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มพร้อมกับดวงตาคู่งามปรือลงหลับต่อ

“กริ๊งๆๆๆๆ…” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอยื่นมือออกจากผ้าห่มไปควานหยิบโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ยังงัวเงีย

“ใครโทรมาปลุกแต่เช้าล่ะเนี่ย?” เธอพึมพำกับตัวเองแล้วก็กดรับโทรศัพท์ “ฮาโหล”

“คุณหญิงแพรพรรณเจ้าขา เธอรีบๆ ลุกออกจากเตียงได้แล้วนะย่ะ วันนี้เธอต้องไปวัดเป็นเพื่อนฉันนะยะแม่คุณ” เสียงปลายสายใส่เป็นชุด ทำให้คนรับโทรศัพท์ลืมตาตื่นหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง

“อ๊าก! ตายแล้ว! ฉันลืมสนิทเลย ขอโทษทีจ้า” เธอพูดแล้วก็กดตัดสายโยนโทรศัพท์ทิ้งปุลงบนเตียง จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวด่วนจี้คว้ากระเป๋ารองเท้าวิ่งลงบันไดไปอย่างทำเวลาเร่งด่วน

พอลงไปถึงข้างล่าง คุณหญิงแพรทองก็เรียก “ยัยพรรณ”

แล้วคุณหญิงก็เดินเข้าไปหาลูกสาวพลางถามอย่างสงสัยว่า “จะรีบไปไหนล่ะลูก? มาทานข้าวเช้าก่อน ป้าแจ๋วตั้งโต๊ะไว้แล้ว วันนี้มีแต่ของโปรดของหนูเยอะแยะเลยนะลูก”

“พรรณจะรีบไปบ้านคุณนายจีค่ะแม่ วันนี้นัดกันไว้ว่าจะไปทำบุญที่วัดค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาในห้องรับแขกบอกเวลา 6 โมงกว่าๆ

“ตายแล้ว!… พรรณต้องไปแล้วค่ะคุณแม่ พรรณไปก่อนนะคะ รักคุณแม่นะคะ จุ๊บๆ” เธอหอมแก้มแม่แล้วก็รีบวิ่งไปที่รถ

“อย่าวิ่งซิลูกเดี๋ยวก็หกล้มหรอกยัยพรรณ” คุณหญิงร้องเตือน แต่แพรพรรณหาได้สนใจฟังคำเตือนนั้น เธอยังคงวิ่งหน้าตั้งไปที่รถเก๋งของตัวเองที่คุณพ่อซื้อให้เป็นของขวัญฉลองเรียนจบปริญญาตรี  เธอคว้ากุญแจกดรีโมทปลดล็อค แล้วก็เปิดประตูรถโยนสรรพสิ่งที่ถือมาไปไว้บนเบาะข้างตัวแล้วก็ผลุบเข้าไปนั่งในรถ พอสตาร์ทรถได้ก็ขับออกไปทันที

“ยัยพรรณรีบไปไหนแต่เช้าเหรอคุณ?” ดร.พันถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาภรรยา

“รีบไปบ้านหนูจีน่ะค่ะ เห็นว่านัดกันไว้ว่าจะไปทำบุญที่วัดกันค่ะ” คุณหญิงตอบสามีแล้วก็บ่นด้วยความเป็นห่วงว่า “ดูซิคะรีบไปจนข้าวปลาไม่ยอมกิน จริงๆ เลยลูกคนนี้”

ดร.พันเข้าไปโอบไหล่ภรรยาอย่างเอาใจ “ไม่เอาน่าคุณ ลูกโตแล้วนะ ผมว่าเดี๋ยวลูกคงไปกินที่บ้านหนูจีนั่นแหละ คุณมัวแต่ห่วงลูกไปซะทุกเรื่องอย่างนี้ยัยพรรณถึงยังไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่กะเค้าซะที พวกเราก็ไปทานข้าวกันเถอะจะได้รีบไปทำงานกัน ไม่ได้เข้าบริษัทตั้งหลายวันงานคงกองเต็มโต๊ะแหงๆ”

แล้วเขาก็จูงมือภรรยาไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร

ครึ่งชั่วโมงต่อมา แพรพรรณก็ขับรถไปถึงบ้านของจีระนันท์หรือคุณนายจี เพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถม จิระนันท์รีบเดินไปเปิดประตูรั้วให้ทันทีเมื่อเห็นรถของเพื่อนมาจอดหน้าบ้าน พอประตูรั้วเปิดกว้างแพรพรรณก็ขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน จีระนันท์ปิดประตูรั้วแล้วก็เดินไปหาเพื่อนที่รถทันที พร้อมกับแพรพรรณเปิดประตูลงจากรถพอดี จีระนันท์เห็นสภาพของเพื่อนที่ผมยุ่งกระเซิง หน้าตาก็ยังไม่ได้แต่ง เธอจึงพูดว่า “ยังไม่ได้กินข้าวมาชัวร์ งั้นก็ไปกินกันก่อน วันนี้คุณยายทำขนมจีนแกงเขียวหวานเอาไว้เพียบ”

เธอบอกเสร็จสรรพแล้วก็เดินนำหน้าเพื่อนเข้าบ้านไปก่อน

“มาเร็วๆ ซิเจ้าคะคุณหญิง” เธอหันไปเร่ง แพรพรรณปิดประตูรถแล้วรีบเดินตามไป แต่จู่ๆ จีระนันท์ก็หยุดชะงักแล้วหันกลับไปทำจมูกฟุดฟิดๆ ทำให้แพรพรรณหยุดเดินไปด้วย

“แกดมอะไรของแกย่ะคุณนายจี? แกทำจมูกฟุดฟิดๆ เหมือนหมาได้กลิ่นอะไรงั้นแหละ” แพรพรรณถามเพื่อนด้วยความสงสัย

“แกไม่ได้กลิ่นอะไรหอมๆ เหรอ กลิ่นห๊อม…หอม” จีระนันท์ย้อนถามแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิดๆ ต่อ แพรพรรณส่ายหน้าแล้วทำจมูกฟุดฟิดๆบ้าง

“กลิ่นไรแก? ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรซักอย่าง” เธอบอกแล้วก็เลิกดมกลิ่น พลางหันไปมองหน้าเพื่อน แต่จีระนันท์ยังดมกลิ่นอยู่จนค่อยๆ เข้ามาใกล้ๆ ตัวแพรพรรณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นว่าเธอมาดมกลิ่นรอบๆ ตัวแพรพรรณ จีระนันท์หยุดดมกลิ่นแล้วก็เงยหน้ามองหน้าเพื่อนพร้อมกับพูดว่า “ที่แท้ก็กลิ่นจากตัวแกนี่เอง”

แล้วเธอก็ถามว่า “วันนี้ใช้น้ำหอมอะไรย่ะคุณหญิง? กลิ่นหอมมากเลยอ่ะ”

แพรพรรณทำหน้างงๆ “น้ำหอมอะไรแก? วันนี้ฉันยังไม่ได้ฉีดน้ำหอมซักหยดเลยนะ รีบลกๆ ตาเหลือกหน้าตั้งมาบ้านแกเนี่ย หน้าเน้อก็ไม่ทันแต่ง ผมก็ไม่ทันหวี จะเอาเวลาตรงไหนไปฉีดน้ำหอมย่ะคุณนาย”

เธอว่าพร้อมกับยกแขนตัวเองขึ้นดม แล้วก็จับเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้นมาดมกลิ่นอย่างงงๆ แล้วเธอก็บอกว่า “ฉันว่าจมูกแกท่าจะเพี้ยนแล้วมั้ง ถ้าจะมีกลิ่นหอมๆ ก็คงกลิ่นน้ำยารีดผ้าล่ะมั้งแก”

จีระนันท์ดึงแขนเสื้อแพรพรรณไปดมบ้างแล้วก็ยื่นหน้ามาดมกลิ่นจากตัวเพื่อนจนหน้าแทบจะชิดกัน

“กลิ่นเสื้อที่ไหนล่ะ? กลิ่นจากตัวแกชัดๆ จมูกฉันไม่เพี้ยนเด็ดขาด เดี๋ยวให้คุณยายช่วยพิสูจน์อีกคนก็ได้ย่ะ” แล้วเธอก็รีบลากแพรพรรณเข้าไปในบ้านทันที

พอเข้าไปในบ้าน ทั้งสองก็เห็นคุณยายปิ่นกำลังจัดโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ แพรพรรณรีบทำไหว้คุณยายของเพื่อน “สวัสดีค่ะคุณยาย”

“สวัสดีจ้าหนูพรรณ” คุณยายปิ่นรับไหว้แล้วก็ทักว่า “หายหน้าไปซะตั้งหลายวันเลยนะลูก”

แต่พอเห็นแพรพรรณไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว คุณยายก็บอกว่า “งั้นมากินข้าวกับยายเร็วลูก”

เธอมองสภาพเพื่อนของหลานสาวที่หัวยุ่งฟู หน้าตาไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มก็เดาว่า “คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาแน่ๆ เลยใช่ไหมจ๊ะ?”

“ค่ะคุณยาย” แพรพรรณตอบพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”

แล้วเธอก็หันไปมองบนโต๊ะ “โห น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะคุณยาย งั้นพรรณไม่เกรงใจนะคะ”

เธอพูดแล้วก็เดินเข้าไปประคองคุณยายให้ไปนั่งที่หัวโต๊ะ แต่พอเธอเข้าไปใกล้ผู้สูงวัย คุณยายก็ทักว่า “กลิ่นน้ำหอมอะไรเนี่ยหนูพรรณ? หอมชื่นใจจังเลยลูก”

“เห็นไหมล่ะคุณยายยังได้กลิ่นเลย ทีนี้จะบอกได้ยัง? ว่าใช้น้ำหอมอะไรกลิ่นถึงได้ห๊อม…หอมขนาดนี้?” จีระนันท์ไล่เบี้ยเพื่อนสาวทันที แพรพรรณได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่รู้จริงๆ นะคุณนาย ก็ยังไม่ได้ฉีดน้ำหอมซักหยดเลยจริงๆ ให้สาบานก็ได้นะแก”

เธอยืนยันหน้าตาจริงจัง

“ก็…” จีระนันท์จะพูดต่อแต่ก็ถูกคุณยายขัดว่า “ยัยจีนี่ยังไงนะ หนูพรรณเขาว่าไม่ได้ใส่ก็ไปซักไซ้เคี่ยวเข็ญอยู่นั้นแหละ”

แล้วคุณยายก็บอกว่า “คงจะกลิ่นน้ำยารีดผ้าล่ะมั้งลูก รีบๆ มากินข้าวเถอะจะได้ไปวัดกัน มัวแต่เถียงกันอยู่เดี๋ยวก็ไปวัดสายกันพอดี”

คุณยายตัดบทแล้วก็ไปนั่งที่หัวโต๊ะ แพรพรรณช่วยประคองคุณยายนั่งลงแล้วก็ขยับไปนั่งข้างๆ จีระนันท์ตามไปนั่งข้างคุณยายอีกด้าน เธอจัดแจงตักขนมจีนใส่จานให้ทุกคน แล้วทั้งสามคนก็ทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ

พอทานอาหารเสร็จแล้วจีระนันท์ก็ลุกไปหิ้วตะกร้าใส่ของที่เตรียมจะเอาไปทำบุญใส่รถเพื่อนทันที แพรพรรณตามไปช่วยเพื่อนอีกแรง เพียงครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย จากนั้นจีระนันท์ก็เดินไปประคองคุณยายไปขึ้นรถ “คุณยายขาค่อยๆ เดินนะคะ”

เด็กรับใช้เห็นเจ้านายทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปเก็บจานไปล้างในครัว แพรพรรณรีบไปสตาร์ทรถเปิดแอร์เย็นๆ รอ

พอผู้สูงวัยขึ้นรถแล้ว เธอก็ค่อยๆ ขับรถถอยออกจากบ้าน จีระนันท์เดินไปปิดประตูรั้วแล้วก็เดินไปขึ้นรถ แล้วแพรพรรณก็ขับรถไปที่วัดอย่างคุ้นเคยเส้นทาง

เมื่อไปถึงวัด แพรพรรณก็ขับรถไปจอดหน้าศาลา พอรถจอดสนิท จีระนันท์ก็รีบเปิดประตูลงไปแล้วเปิดประตูรถช่วยประคองคุณยายลงจากรถ “คุณยายขาค่อยๆ ลงนะคะ”

เธอประคองคุณยายพาเดินเข้าไปในศาลา ซึ่งมีคนมารอทำบุญกันเต็มศาลาเพราะวันนี้เป็นวันพระ แพรพรรณรีบหิ้วของทำบุญตามไป เธอวางตะกร้าไว้ข้างคุณยายแล้วก็เดินไปหยิบถ้วยจานชามใส่ถาดแล้วก็ถือกลับไปนั่งจัดอาหารถวายพระ จีระนันท์และคุณยายก็ช่วยกันหยิบนู้นจัดนี่ เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็จัดเสร็จเรียบร้อย แล้วสองสาวก็ยกถาดอาหารถือไปวางรอถวายพระ แล้วทั้งสองคนก็กลับมานั่งข้างคุณยาย

สองสาวและผู้สูงวัยนั่งคุยกันไปเรื่อยระหว่างรอพระลงมาที่ศาลาด้วยกริยาสงบสำรวม มีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังเป็นระยะๆ  จากผู้คนคนอื่นๆ ที่มาร่วมทำบุญ

จนกระทั่งพระและเณรเดินเรียงแถวเข้ามาในศาลา เสียงพูดคุยต่างๆ จึงเงียบลง แล้วพิธีกรรมทางศาสนาก็เริ่มขึ้น จนกระทั่งพิธีกรรมทางศาสนาจบลง จีระนันท์ก็ประคองคุณยายให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างรถ ส่วนแพรพรรณก็ถือขันน้ำที่ใช้สำหรับกรวดน้ำไปเทใส่โคนต้นไม้แล้วก็เอาขันไปเก็บ พร้อมกับเก็บของตามไปที่รถของตัวเอง ระหว่างที่เดินไปเกือบจะถึงรถ แพรพรรณก็ถูกแม่ชีรูปหนึ่งเรียกไว้ “หนูจ๊ะ เดี๋ยวก่อนหนู”

“คะแม่ชี” แพรพรรณหันไปตามเสียงเรียก แม่ชีก็เดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบ แล้วก็พูดว่า “หนูมีชะตาจะต้องไปในที่ที่ไกลแสนไกล แต่หนูไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ความดีที่หนูทำมาจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้กับตัวหนูเอง”

แล้วแม่ชีก็ยิ้มให้หญิงสาว

“อะไรนะคะแม่ชี?” แพรพรรณถาม ทำหน้างงๆ กับคำพูดของแม่ชี แต่ยังไม่ทันจะซักถามอะไรต่อก็ได้ยินเสียงเพื่อนเรียก “นี่คุณหญิงพรรณเจ้าขา จะยืนอยู่อีกนานไหมเจ้าคะ? ดิฉันกับคุณยายอยากกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ”

“แป๊บนึงนะยะคุณนาย” แพรพรรณหันไปบอกเพื่อน แล้วเธอก็หันกลับไปคุยกับแม่ชี แต่แม่ชีไม่อยู่ซะแล้ว “อ้าวแม่ชีหายไปไหนแล้วล่ะ?”

เธอมองหาแต่ก็ไม่เห็นแม่ชีเลย มีแต่ผู้คนที่มาทำบุญกำลังทยอยกลับ

“มัวมองอะไรอยู่ยะคุณหญิง?” จีระนันท์ถาม แพรพรรณรีบเดินไปหาเพื่อน พอไปถึงที่รถ เธอก็บอกเพื่อนว่า “มองหาแม่ชีน่ะซิ เมื่อกี้มีแม่ชีคนนึงมาเรียกฉันไว้แล้วก็พูดอะไรไม่รู้ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเลย แกก็เรียกฉันซะลั่นเชียว พอฉันหันไปจะคุยกับแม่ชีคนนั้นซักหน่อยก็ไม่เห็นแล้ว ไม่รู้เดินไปทางไหนแล้วล่ะ เดินไวๆ ฉันมองหาก็ไม่เห็นเลย”

เธอพูดจบก็เปิดท้ายรถเอาของเก็บ

“ไปเหอะแก ฉันร้อนจะแย่แล้ว” จีระนันท์เร่ง “เดี๋ยวต้องไปหาซื้อหนังสือกันอีก”

เธอบอกแล้วก็หันไปก็ประคองคุณยาย “คุณยายขาค่อยๆ ขึ้นรถนะคะ”

พอคุณยายขึ้นรถแล้วเธอก็เร่งเพื่อนยิกๆ “ไปได้แล้วจ้าคุณหญิง อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”

แพรพรรณจึงตัดใจเลิกมองหาแม่ชีคนนั้นแล้วขับรถออกจากวัด

หลังจากส่งคุณยายที่บ้านแล้ว สองสาวก็พากันไปเดินห้างฯ กันต่อ

กว่าจะเดินช็อปปิ้งเสร็จก็เย็นจนเกือบค่ำ จีระนันท์จึงชวนเพื่อนหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน “คุณหญิง ฉันว่าหาไรกินก่อนเหอะแก เย็นๆ งี้ออกไปเจอรถติดแน่”

แพรพรรณเห็นด้วยกับเพื่อน “อืม ก็ดีนะแก”

แล้วเธอก็พูดต่อว่า “งั้นเดี๋ยวฉันโทรบอกคุณพ่อคุณแม่ก่อนว่าจะกลับบ้านค่ำ แล้วแกก็โทรบอกคุณยายด้วยว่าไม่ต้องรอทานข้าว เดี๋ยวคุณยายจะมัวแต่รอแกกลับไปทานข้าวด้วย”

จีระนันท์พยักหน้านึกขึ้นได้ “เออจริงด้วยซิ งั้นแกโทรหาคุณลุงคุณป้า ส่วนฉันก็โทรหาคุณยาย”

แล้วสองสาวก็พร้อมใจหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร ซักพักพอคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วทั้งคู่ก็ชูมือให้กันเป็นสัญญาณว่าเรียบร้อย

“ไปแก จะกินอะไรดีล่ะ?” จีระนันท์ถาม แพรพรรณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เสนอว่า “อาหารญี่ปุ่นไหมแก?”

จีระนันท์พยักหน้าเห็นด้วย “เออ…ไม่ได้กินมานานแล้วนะ อยากกินอยู่เหมือนกัน”

“งั้นก็ไปกันเลยนะ” แพรพรรณชวน แล้วสองสาวก็เดินไปร้านอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตภายในห้างฯ

หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็ชวนกันกลับ แพรพรรณขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน

“ถึงบ้านแล้วโทรหาฉันด้วยนะย่ะ” จีระนันท์บอกเพื่อนก่อนจะเข้าบ้าน

“จ้าคุณนาย แกก็รีบๆ เข้าบ้านไปเหอะ” แพรพรรณบอกพร้อมกับโบกมือลา “บ๊าย…บายจ้า”

“บ๊าย…บายจ้า ขับรถดีๆ นะแก” จีระนันท์โบกมือให้เพื่อนแล้วก็เดินเข้าบ้านไป แพรพรรณรอจนเพื่อนปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้วเธอจึงขับรถกลับบ้าน

ไม่นานนักแพรพรรณขับรถถึงบ้าน คนรับใช้ซึ่งรออยู่แล้วก็รีบเดินไปเปิดประตูให้ทันทีที่เห็นรถของเจ้านายสาวขับมาจอดหน้าประตูรั้ว แพรพรรณขับรถเข้าไปพลางชะลอรถแล้วลดกระจกลงถามคนรับใช้ว่า “น้าอินทร์ คุณพ่อคุณแม่ขึ้นนอนกันรึยังคะ?”

นายอินทร์หันไปตอบว่า “ยังครับคุณหนู เมื่อกี้นี้คุณหญิงก็เพิ่งเดินมาดูหน้าบ้านว่าคุณหนูมาถึงรึยังครับ”

แล้วเขาก็หันไปปิดประตูรั้ว แพรพรรณจึงขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ นายอินทร์ก็เดินตามมา “มีอะไรให้ผมช่วยถือไหมครับคุณหนู?”

“น้าอินทร์ไปนอนเถอะค่ะ มีของนิดเดียวพรรณถือไปได้ค่ะ” แพรพรรณบอกแล้วลงจากรถ

“ครับคุณหนู” แล้วนายอินทร์ก็เดินกลับห้องพักของเขาที่อยู่ด้านหลังตึก ส่วนแพรพรรณก็เปิดประตูรถด้านหลังหิ้วถุงกระดาษกับกระเป๋าถือออกมา เธอปิดประตูรถกดรีโมทล็อกรถแล้วก็เดินเข้าบ้าน

ภายในห้องรับแขก คุณหญิงแพรทองกับดร.พันกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาคุณหญิงแพรทองก็หันไปดู

“ไปช็อปปิ้งซื้ออะไรมามั่งล่ะลูก?” เธอถามลูกพลางมองถุงกระดาษ

“มีแต่หนังสือค่ะคุณแม่” แพรพรรณตอบแล้วก็เดินไปนั่งข้างๆ แม่พร้อมกับวางถุงกระดาษไว้บนพื้นข้างโซฟา ดร.พันละสายตาจากจอทีวีหันมาบอกพร้อมกับหาวไปด้วย “ยัยพรรณก็กลับมาแล้ว คุณก็ขึ้นไปนอนได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้าด้วย”

“ค่ะคุณ” คุณหญิงตอบสามีแล้วก็หันไปพูดกับลูกว่า “แม่กับพ่อไปนอนล่ะลูก หนูก็รีบไปอาบน้ำเข้านอนนะ”

“ค่ะคุณแม่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณแม่คุณพ่อ” แพรพรรณบอกแล้วก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มแม่ คุณหญิงแพรทองหอมแก้มลูกแล้วจึงลุกจากโซฟาหันไปดึงมือสามี ทั้งคู่ยกมือปิดปากหาวพร้อมๆ กันก่อนจะพากันเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version