Skip to content

ฤทัยเทวา 5

Cover Rt For Web

Chapter 5

เจอพญานาค!

“เก็บไปให้น้องรัตนากินด้วยดีกว่า” พอคิดดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปเก็บผลไม้สีเหลืองมาอีกห้าลูกแล้วก็เดินกลับไปยังที่พัก เธอวางผลไม้ไว้ที่โคนต้นไม้แล้วก็ลงมือก่อไฟ เธอดึงดาบออกมาเหลาไม้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็จัดการตัดกิ่งไม้ท่อนหนึ่งให้เป็นท่อนสั้นๆขนาดเหมาะมือ แล้วเธอก็เอากิ่งไม้ท่อนใหญ่มาวางเป็นแท่นจากนั้นเธอก็เอากิ่งไม้ท่อนสั้นเหมาะมือตั้งแล้วก็หมุนกับกิ่งไม้ท่อนใหญ่เพื่อให้เกิดแรงเสียดสี เหมือนกับที่เคยเห็นครูสอนตอนเป็นเนตรนารี เธอตั้งหน้าตั้งตาหมุนๆ จนกระทั่งเริ่มมีควันลอยขึ้นเล็กน้อยเธอก็รีบเอาเศษไม้ฝอยๆใส่ลงไป แล้วเธอก็หมุนท่อนไม้อีกครั้ง

“เฮ้อ…ยากจัง” เธอบ่นแล้วก็หมุนท่อนไม้ต่อ

“เฮ้อ…น่าจะมีไม้ขีดไฟแช็คนะเนี่ย” เธอเอ่ยลอยๆ

จนกระทั่งเริ่มมีควันหนามากขึ้นและเริ่มมีประกายไฟเล็กน้อย เธอจึงรีบเอาเศษใบไม้แห้งสุมลงไป แล้วก็รีบหมุนท่อนไม้ในมือต่อ ซักพัก…เศษใบไม้ก็ค่อยๆ มอดไหม้พร้อมกับเปลวไฟค่อยๆ ลุกโชน เธอจึงรีบเอาเศษกิ่งไม้แห้งชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปก่อน แล้วก็ก้มลงเป่าลมเพื่อช่วยเร่งไฟให้ติดเร็วขึ้น

“เฮ้อ…กว่าจะติด” เธอพึมพำพลางปาดเหงื่อ แล้วก็ค่อยๆ หักกิ่งไม้แห้งสุมลงไปทีละน้อยๆ เธอรอจนไฟลุกโชนดีแล้วจึงถอยไปนั่งข้างๆ เพื่อนร่วมทางตัวน้อย เธอนั่งชันเข่าเอาคางวางเกยกับเข่าตัวเอง สองแขนกอดขาตัวเองแน่น แสงตะวันค่อยๆ ลาลับฟ้า ความมืดโรยตัวไปรอบๆ แพรพรรณเหม่อมองออกไปในความมืดมิด

“ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยนะ? เฮ้อ…ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงตามหากันวุ่นแล้วมั้ง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่จังเลย” น้ำตาค่อยๆ รินไหลอาบสองแก้ม

“พี่พรรณ ท่านร้องไห้หรือ?” เสียงใสถามพร้อมกับดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายื่นหน้าเข้ามามอง

“ปะ…เปล่าจ้ะ…เปล่า” แพรพรรณปฏิเสธพลางรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปถามเด็กหญิง “ตื่นแล้วเหรอ?”

“จ้ะ” มณีรัตนาตอบแล้วก็มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ยังเปื้อนคราบน้ำตา “เอ่อ…”

ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับจะพูดบางอย่างแต่พอเห็นหญิงสาวพยายามฝืนยิ้มให้ เด็กหญิงจึงนิ่งเงียบ

“หิวไหมจ๊ะ?” แพรพรรณถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบผลไม้สีเหลืองยื่นให้เด็กหญิง

“พี่เห็นมันออกลูกอยู่ตรงนู้นก็เลยเก็บมา กินซิจ๊ะ” เธอบอกพลางชี้มือไปทางต้นไม้ที่อยู่ถัดไป

“จ้ะ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วรับผลไม้มา ดวงหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มให้หญิงสาวแล้วก็พูดว่า “ลูกพลับหมากม่วงนี่ข้าชอบกินมากเลยจ้ะ”

แล้วเด็กหญิงยกผลไม้ในมือกัดกินอย่างเอร็จอร่อย

“ลูกพลับหมากม่วงเหรอ?” แพรพรรณทวนชื่อผลไม้แล้วก็หยิบมากินบ้าง ทั้งคู่กินลูกพลับหมากม่วงอิ่มแล้ว ก็เริ่มหาวนอนแข่งกัน

“ข้าง่วงนอนจังเลยพี่พรรณ” มณีรัตนาบอกพร้อมกับอ้าปากหาวอย่างง่วงนอน แพรพรรณลูบศีรษะเล็กทุยแล้วบอกอย่างอ่อนโยน “ง่วงก็นอนซิจ๊ะ เดี๋ยวพี่เติมฟืนก่อน”

มณีรัตนาจึงเอาห่อผ้ามานอนหนุนหัวต่างหมอน ส่วนแพรพรรณก็ลุกไปเติมฟืนใส่กองไฟ แล้วกลับมานั่งข้างๆ เด็กหญิง

“พี่พรรณขอข้านอนหนุนตักท่านจนกว่าข้าจะหลับได้ไหม? ข้ากลัว” เสียงใสอ้อน แพรพรรณรีบบอกอย่างสงสาร “ได้ซิจ๊ะ”

เธอขยับตัวไปชิดเพื่อนร่วมทางตัวน้อยทันที พอได้ยินคำอนุญาต มณีรัตนาก็เขยิบมานอนหนุนตักหญิงสาวแล้วหลับตาลง แพรพรรณลูบศีรษะเล็กทุยอย่างเอ็นดูปนสงสาร ‘เฮ้อ…ไม่น่าต้องมาลำบากลำบนอย่างนี้เลยน้องเอ้ย’

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเด็กหญิงหลับสนิทไปแล้ว แพรพรรณจึงค่อยๆ ช้อนตัวเด็กน้อยให้ไปนอนหนุนห่อผ้าแทน

“โถ…เด็กหนอเด็ก” เธอลูบศีรษะเล็กๆ นั่นอีกครั้ง แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ เด็กน้อย ไม่นานนักเธอก็หลับสนิทเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ต้องเดินเท้ามาตลอดทั้งวัน พลัน! ต้นไม้ที่ทั้งสองคนมาอาศัยนอนพักก็เกิดแสงสว่างวาบ พร้อมกับชายคนหนึ่งเดินออกมาจากต้นไม้ เขาสวมอาภรณ์สีเงินสวมเครื่องประดับระยิบระยับเต็มตัว รอบๆ ตัวชายคนนั้นเปล่งแสงรัศมีสีเงินจางๆ เขาหยุดยืนห่างจากหญิงสาวและเด็กหญิงประมาณ 2 เมตร

“เหตุใดสตรีงดงามและธิดาน้อยน่ารักจึงมารอนแรมกลางป่าเช่นเล่า?” เขาพึมพำอย่างสงสัย แต่ใครล่ะจะตอบได้ เขามองสองหญิงต่างวัยที่มานอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ของตนเอง

“หืม…กลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์นี่” เขาอุทานแล้วก็มองหาที่มาของกลิ่นหอม แล้วเขาก็ระลึกรู้ได้ว่ากลิ่นนั้นลอยมาจากตัวของหญิงสาว

“เหตุใดสตรีนางนี้จึงมีกลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์เล่า?” เขาพึมพำด้วยความสงสัย แต่ในเมื่อสงสัยไปก็ไม่ได้คำตอบ เขาจึงตัดใจเลิกสงสัย มองทั้งสองคนอย่างปราณี

“เอาเถอะ…คืนนี้พวกเจ้าทั้งสองจงนิทราให้สนิทเถิดนะ” เขากล่าวแล้วก็ยื่นมือมาทางคนทั้งสอง พลัน! ก็มีแสงสีเงินระยิบระยับลอยออกจากมือข้างนั้นมาล้อมรอบตัวของผู้เดินทางต่างถิ่นทั้งสองเอาไว้ เขายิ้มอย่างปราณีแล้วลดมือลง แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในต้นไม้ ทั่วทั้งบริเวณก็มืดสนิทเช่นเดิม ยกเว้นเฉพาะรอบๆ ตัวของสองหญิงต่างวัยทั้งสองที่มีไอสีเงินระยิบระยับลอยอยู่รอบตัวจางๆ

เสียงนกร้องดังระงมไปหมดจนแพรพรรณไม่อาจจะนอนหลับต่อไปได้

“เสียงนกหนวกหูจัง” เธอบ่นพึมพำอยู่ในลำคอ เธอหวังว่าตัวเองคงจะนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ภายในห้องนอนของตัวเอง แต่พอลืมตาขึ้นมาภาพแรกที่เห็นกลับเป็นนกตัวเล็กๆ มากมายกำลังจิกคุ้ยหาอาหารอยู่บนพื้น พอเธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ฝูงนกก็บินพรึ่บหนีไปด้วยความตกใจ

“เฮ้อ…เมื่อไหร่ฉันจะตื่นจากฝันนี่ซะทีนะ?” เธอพึมพำหน้าเศร้า แล้วหันไปมองร่างเล็กที่นอนเคียงกัน

“น้องรัตนาตื่นเถอะ เช้าแล้วนะ” มือเรียวสวยเขย่าแขนกลมป้อมเบาๆ

“อือ…เช้าแล้วหรือ” มณีรัตนางัวเงียลืมตาตื่นแล้วก็ยกมือปิดปากหาว

“หิวไหมจ๊ะ?” แพรพรรณถาม

มณีรัตนาพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังงัวเงีย

“ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่ไปเก็บลูกพลับหมากม่วงมาให้นะจ๊ะ” แล้วแพรพรรณก็ลุกไปทันที เรือนร่างอรชรเขย่งตัวแล้วเอื้อมมือไปเก็บผลไม้สีเหลืองหอมหวาน เสียงเดินสวบสาบเข้ามาใกล้ แพรพรรณหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นผู้ร่วมทางตัวน้อยเดินมาเธอจึงบอกว่า “รอเดี๋ยวนะ”

แล้วมือเรียวสวยก็ปลิดลูกพลับหมากม่วงมาลูกหนึ่ง

“พี่พรรณ ให้ข้าช่วยถือนะ” มณีรัตนาอาสาแล้วยื่นมือมารอรับ แพรพรรณจึงยื่นผลไม้ส่งให้แล้วหันไปปลิดผลไม้ลูกอื่นต่อ มณีรัตนาใช้ชายเสื้อของตัวเองใส่ผลไม้รสอร่อย

“คงพอกินล่ะนะ” แพรพรรณมองผลไม้ในเสื้อของเด็กหญิงแล้วจึงหยุดเก็บ

“มากมายขนาดนี้กินทั้งวันแน่จ้ะ” มณีรัตนาบอก ตามองผลไม้ในเสื้อตัวเองพร้อมกับยิ้มแก้มปริ จากนั้นแพรพรรณจึงดึงชายเสื้อของตัวเองมาถ่ายผลไม้จากผู้ร่วมทางตัวน้อย แล้วสองสาวต่างวัยจึงพากันเดินกลับไปนั่งใต้โคนต้นไม้ที่ใช้อาศัยพักแรม

“กินเสร็จแล้ว พวกเราก็รีบเดินทางต่อเถอะนะ” แพรพรรณบอกหลังจากกินผลไม้อิ่มแล้ว มณีรัตนารีบพยักหน้า “จ้ะพี่พรรณ ออกเดินทางแต่เช้าก็ดีจ้ะ สายนักแดดแรงเหลือเกิน”

“เออจริงซิ…น้องรัตนาจำได้ไหมว่าถูกพาเหาะมาไกลขนาดไหนจ๊ะ” แพรพรรณถามพรางมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มณีรัตนานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “ข้าจำไม่ค่อยได้หรอกจ้ะ มันพาข้าเหาะมาบนหลังอินทรียักษ์ บินข้ามน้ำข้ามป่าข้ามขุนเขาตั้งหลายวัน จนเจ้านกตัวนั้นขาดใจตาย มันจึงแบกข้าเดินต่อเพื่อจะหานกอินทรีย์ตัวใหม่ จนกระทั่งข้าได้พบกับพี่นั่นละจ้ะ”

เด็กหญิงเล่าน้ำตาคลอ

“อย่าร้องไห้นะจ๊ะ พี่สัญญาแล้วว่าจะพาไปส่งบ้านนะ พวกเราเดินออกจากป่านี้ไปเจอเมืองเมื่อไหร่ค่อยหาทางกันอีกทีนะจ๊ะ”  แพรพรรณปลอบแล้วลูบไหล่เด็กหญิงปลอบใจ มณีรัตนาเช็ดน้ำตา “จ้ะพี่พรรณ”

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกเดินทางต่อ

ยิ่งสาย…แดดก็ยิ่งร้อนแรง ทั้งสองเดินผ่านป่าทึบไปตามทางเดินสัตว์ป่าจนกระทั่งถึงบึงน้ำใหญ่

“พี่พรรณ น้ำ!” มณีรัตนาบอกพร้อมกับกระตุกแขนหญิงสาว

“สระน้ำ!” แพรพรรณมองอย่างดีใจ เพราะจะได้เติมน้ำใส่กระบอกซึ่งเหลือน้ำติดก้นกระบอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองคนเดินเข้าไปที่บึงน้ำอย่างดีใจ

“พี่พรรณดูซิจ๊ะ น้ำใสแจ๋วจนเห็นฝูงปลาเลยจ้ะ” มณีรัตนาชี้ฝูงปลาซึ่งกำลังแหวกว่ายไปมา แพรพรรณมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ แสงแดดส่องลอดต้นไม้ลงมาเป็นลำดูงดงาม สะท้อนลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายรุ้ง มณีรัตนานั่งลงริมตลิ่งแล้ววักน้ำล้างหน้า “ชื่นใจนัก”

“น้ำใสจริงๆ” แพรพรรณบอก แล้วก็นั่งลงวักน้ำล้างมือล้างหน้าบ้าง พลัน! น้ำในบึงก็กระเพื่อมแรง ซ่า!

“อ่ะ!”

“อุ๊ย!”

ทั้งสองคนตกใจ รีบถอยกรูห่างจากบึงน้ำทันที น้ำในบึงกระเพื่อมแรงขึ้นประดุจคลื่นลมในทะเลปั่นป่วน พร้อมๆ กับผิวน้ำนูนขึ้น…ดันตัวสูงขึ้นแล้วก็แตกซ่า!

“กรี๊ด!” สองสาวตกใจกรีดร้องลั่นผวากอดกันแน่น เมื่อจู่ๆ ก็มีสัตว์ตัวใหญ่โผล่พรวดจากผิวน้ำ ทั้งสองคนกลัวจนขาสั่นทรุดลงกอดกันแน่นอยู่ตรงริมบึงนั่นเอง ทั้งสองจ้องมองสัตว์ตัวนั้นอย่างหวาดกลัว

“งู!” แพรพรรณอุทานลั่น ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด

“พญานาค!” มณีรัตนาอุทานเช่นกัน แล้วก็ก้มหน้าซุกกับอกของหญิงสาว ตัวสั่นสะท้านกลัวจับจิต

“ใครกันมารบกวนในที่แห่งข้า?” พญานาคตนนั้นถามพร้อมกับก้มลงมองมนุษย์สองคนที่นั่งกอดกันอยู่ริมตลิ่ง

“พวกเจ้าเป็นใครกัน? ไม่รู้หรือว่าบุกรุกเข้ามาในที่พำนักแห่งข้ามีโทษสถานใด?” พญานาคตวาดลั่นแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มนุษย์น้อยตัวกระจ่อยร่อย

“อ๊ะ!” แพรพรรณตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่นึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ดวงตาคู่สวยจ้องมองรูปร่างที่เหมือนกับรูปปูนปั้นที่เคยเห็นตามวัดจนชินตาด้วยความกลัวจับใจ แต่ครั้นพอพญานาคตนนั้นยื่นหน้าเข้าไปจนชิดมนุษย์น้อยตัวกระจ่อยร่อย ก็ผงะออก

“กลิ่นบุปฝาแห่งสรวงสวรรค์นี่!” พญานาคอุทานลั่นอย่างตะลึง! พลัน! พญานาคตนนั้นก็กลายร่างจากรูปนาคเปลี่ยนเป็นรูปมนุษย์จำแลง เขานุ่งผ้าสีเขียวสลับสีทอง ไม่ได้สวมเสื้อ มีเพียงสร้อยสังวาลพาดอกไขว้กันสองสาย สวมกำไลข้อมือและข้อเท้ายืนอยู่บนผิวน้ำ

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอก” พญานาคบอกเสียงนุ่มแล้วเดินไปยืนตรงหน้ามนุษย์ทั้งสองคน น้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับเมื่อกี้นี้ทำให้แพรพรรณใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาถึงที่พำนักแห่งข้า?” พญานาคถาม แต่เมื่อสัมผัสกระแสความกลัวจากมนุษย์ทั้งสองได้เขาจึงปลอบว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำอันตรายพวกเจ้าหรอก”

“ไม่…ทำอะไรจริงๆ นะ” แพรพรรณถามเสียงสั่น พญานาคตนนั้นจึงแย้มยิ้มอย่างเมตตาปราณี “ข้าไม่กล้าทำอันตรายผู้มีกลิ่นบุปฝาแห่งสวรงสวรรค์หรอก จงเชื่อข้าเถิด”

เขาย้ำหนักแน่นทำให้แพรพรรณค่อยๆ คลายความกลัวลง

“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาถึงที่พำนักแห่งข้า?” พญานาคถามอีกครั้งแล้วมองสำรวจมนุษย์ทั้งสองคน แพรพรรณจ้องมองพญานาคอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี “เอ่อ…”

เธอมองเขานิ่ง ซักพักเธอก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…”

แล้วเธอเล่าว่า “น้องฉันถูกจับตัวมาจากอมรานครค่ะ”

เธอชี้มือที่ร่างน้อยในอ้อมกอดประกอบคำบอกเล่า

“ฉันเจอในป่าทางนู้น ฉันกับน้องจึงเดินมาทางนี้เพื่อจะพาน้องไปส่งที่บ้านค่ะ” เธอบอกแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วรีบพูดว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะบุกรุกบ้านของท่านเลยนะคะ ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะค่ะ”

พญานาคมองทั้งสองแล้วก็พูดว่า “อมรานครหรือ?”

เขาทวนคำแล้วบอกว่า “มิใช่ใกล้ๆ เลยนะ เหตุใดจึงถูกพามาไกลเช่นนี้เล่า?”

“น้องรัตนาเล่าว่าไอ้คนชั่วนั่นจะเอาเขาไปบูชายัญให้เจ้าแม่กาลีค่ะ” แพรพรรณบอก พญานาคพยักหน้ารับรู้ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”

แล้วเขาก็พูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าในป่าทางทิศประจิมมีพวกนักพรต…ฤาษี…นักบวช…พราหมณ์ ผู้ซึ่งบูชาเจ้าแม่กาลี และการบูชานั้นต้องใช้เด็กที่กำเนิดในคืนจันทรคราส”

เขาก้มลงมองเด็กหญิงในอ้อมกอดของหญิงสาวอย่างปราณีพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหญิงพลางเดาว่า “เจ้าคงจะกำเนิดในคืนจันทรคราสซินะจึงถูกจับตัวมา”

มณีรัตนาสัมผัสได้ถึงกระแสอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตา จึงกล้าเงยหน้ามองพญานาค ความหวาดกลัวค่อยๆ หายไป

“ท่านดูใจดีผิดกับเมื่อกี้นี้นัก ท่านคงไม่กินข้าใช่ไหม?” เสียงใสถามอย่างหวาดๆ ทำให้พญานาคหัวเราะขำ “ฮ่าๆๆๆ…”

“ข้าไม่กินเจ้าหรอกเด็กน้อยเอย…ข้าละเว้นซึ่งเนื้อสัตว์ ข้ากินแต่ผลไม้พืชผักเท่านั้น” เขาบอกน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้สองสาวถอนหายใจโล่งอก “เฮ้อ…”

“แล้วเหตุใดท่านจึงดูน่ากลัวนักยามเมื่อท่านปรากฏตัวครั้งแรก?” มณีรัตนาถามอย่างสงสัยยิ่งนัก ดวงตากลมแป๋วแหว๋วมองสบตากับพญานาค

“ข้าไม่ชอบให้ใครมาทำให้น้ำในที่พำนักแห่งข้าต้องขุ่นมัว ข้าจึงเพียงแกล้งขู่เท่านั้น ฮ่าๆๆๆ” พญานาคตอบพลางหัวเราะแล้วก็บอกว่า “พวกกินนร ชอบมาเล่นน้ำส่งเสียงหนวกหูจนข้าบำเพ็ญตบะไม่ได้ ข้าจึงต้องขึ้นมาคอยไล่อยู่เรื่อย”

‘แกล้งขู่! นั่นอ่ะนะแกล้งขู่…ฉันเกือบจะหัวใจวายตายไปแล้วเชียวนะ!’ แพรพรรณนึกอยู่ในใจ

“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ข้าทำให้พวกเจ้าหวาดกลัว ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งที่ชายป่าหิมพานต์” พญานาคบอกพร้อมกับแบมือยื่นไปตรงหน้ามนุษย์ทั้งสอง

“พวกเจ้าจับมือข้าไว้ซิ” เขาสั่ง สองสาวต่างวัยจึงหันไปมองหน้ากัน

“จะทำเช่นไรดีหรือพี่พรรณ?” มณีรัตนาถาม แพรพรรณจึงหันไปมองพญานาคอย่างชั่งใจ ‘จะเชื่อเขาได้รึ?’

เธอสบตาพญานาค เห็นดวงตาของเขาดูจริงใจ เธอจึงหันไปพยักหน้ากับผู้ร่วมทางตัวน้อย “พี่ว่าลองเชื่อเขาเถอะนะ”

แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วจับมือพญานาคไว้ มณีรัตนาทำตาม มือเล็กกลมป้อมจับทับบนมือของแพรพรรณ พญานาควางมืออีกข้างทับมือมนุษย์น้อยทั้งสอง พลัน! รอบๆ ตัวของพญานาคก็เปล่งแสงสีเขียวมรกต แล้วแสงนั้นก็เข้าล้อมรอบตัวมนุษย์ทั้งสองคนเอาไว้ พอแสงสีเขียวระยิบระยับจางหาย ร่างของทั้งสามก็อันตรธานหายไป

ณ ชายป่าหิมพานต์ แสงสีเขียวมรกตสว่างวาบพร้อมกับการปรากฎกายของมนุษย์สองคนกับพญานาคหนึ่งตน

“ข้าพาพวกเจ้ามาส่งได้เพียงเท่านี้ ข้าไม่อยากไปไกลมากกว่านี้ ข้าไม่ชอบเข้าไปในเมืองของพวกมนุษย์นัก ข้าทนกลิ่นสาบของพวกมนุษย์ไม่ได้ อีกทั้งข้าทนเห็นพวกมนุษย์ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้เช่นกัน” พญานาคบอกพร้อมกับปล่อยมือจากมนุษย์ทั้งสอง สองสาวต่างวัยจึงยกมือไหว้พญานาคผู้อารี

“ขอบคุณท่านมากค่ะ”

“ขอบใจท่านที่เมตตาต่อข้า”

ทั้งสองพูดพร้อมกัน พญานาคยิ้มให้อย่างปราณี แล้วเขาก็ชี้ไปที่เด็กหญิงพลางพูดว่า “เจ้าจงถอดข้าวของมีค่าพวกนั้นใส่ห่อผ้าเสียเถิด หากเจ้าสวมใส่ไว้เช่นนี้คงล่อตาล่อใจเหล่าโจรชั่วนักเชียว”

เขาเตือนอย่างเป็นห่วง

“จ้ะท่านพญานาค” มณีรัตนารีบถอดเครื่องประดับตามคำแนะนำของพญานาคผู้อารี แพรพรรณก็ช่วยถอดอีกแรง พอเก็บเครื่องประดับใส่ห่อผ้าเรียบร้อยแล้ว พญานาคก็ยื่นมือไปตรงหน้าเด็กหญิงพร้อมกับแบมือออก พลัน! กลางฝ่ามือข้างนั้นก็ปรากฎเกล็ดนาคราชสีเขียวมรกตแวววาว สองสาวต่างวัยมองอย่างตกใจระคนแปลกใจ “อุ๊ย!”

“รับไปซิเด็กน้อย” พญานาคบอก มณีรัตนาแบมือรับอย่างงงๆ พลัน! เกล็ดนาคราชก็หายเข้าไปในใจกลางฝ่ามือเล็กกลมป้อม

“เอ๊ะ!” เด็กหญิงอุทานตกใจ พญานาครีบบอกว่า “ไม่ต้องตกใจไป เกล็ดแห่งข้าจะช่วยให้เจ้าพ้นภยันตรายจากไฟและน้ำได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version