บทที่ 1296 อย่าเอ่ยถึงเขา
จากนั้นห้องหอเอย ตี้ฝูอีเอย ทั้งหมดกลายเป็นหมอกควันสลายหายไป เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏสู่ครรลองสายตาก็คือ ใบหน้าที่ค่อนข้างเป็นกังวลของหลัวจั่นอวี่ เขากำลังโน้มตัวมองเธออยู่ “ตื่นแล้วหรือ? เจ้าฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วไม่ได้เอ่ยตอบ หัวใจเธอเต้นกระหนํ่าราวกับเพลิงโทสะยังคงลุกโหมอยู่ในทรวง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความฝัน แต่ฉากสุดท้ายในฝัน คล้ายว่าเธอจะเห็นดวงตาของตี้ฝูอีเบิกกว้างในทันทีและลุกพรวดขึ้นมาอย่างร้อนรน…
เพียงแต่ยามที่เขากำลังจะพุ่งเข้ามา เธอก็ตื่นเสียแล้ว!
พลังจินตนาการของเธอช่างแกร่งกล้ายิ่งนักโดยแท้ เป็นเพราะก่อนเมามายพะวงถึงคืนเข้าหอของตน ต่อมาเธอจึงแล่นไปหาเขาในความฝัน ซ้ำยัง จินตนาการถึงลักษณะข้าวของที่มากมายถึงเพียงนั้นด้วย…
ทุกอย่างในความฝันน่าจะไม่ใช่เรื่องจริงกระมัง เป็นเพียงกลางวันเธอคิดคำนึง กลางคืนจึงใฝ่ฝันหาก็เท่านั้น เพียงแต่ฉากสุดท้ายในความฝันทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นมา มีเพลิงโทสะพลุ่งพล่าน
“ซีจิ่ว เจ้าฝันถึงตี้ฝูอีอีกแล้วหรือ?” หลัวจั่นอวี่ซักถาม นางตะโกนประโยคนั้นเสียงดังถึงเพียงนั้น จะให้เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ยากแล้ว
ในใจของกู้ซีจิ่วหงุดหงิด “อย่าเอ่ยถึงเขา!”
เอ่ยถึงเขาแล้วเธอโมโหนัก
คนผู้นั้นมอบร่างของเธอให้แก่ผู้อื่นแล้ว ยังมาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำได้อย่างไรว่ารักเธอเพียงคนเดียว?
จอมหลอกลวง!
หลัวจั่นอวี่นิ่งงัน เขานั่งลงหน้าเตียงกู้ซีจิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ซีจิ่ว เจ้าบอกความจริงข้ามาเถอะ เขาเคยรังแกเจ้าใช่หรือไม่? หลอกลวงอันใดเจ้า?”
นี่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา เขาทนดูนางถูกรังแกไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะอยากหนุนหลังนาง เขาแสดงท่าทีว่า ‘เจ้าพูดมาเลยพี่จะ
ไปเชือดเขาเอง’
หัวใจกู้ซีจิ่วอบอุ่นเล็กน้อย แต่บัญชะะหว่างเธอกับตี้ฝูอีมิใช่เรื่องที่เล่าให้กระจ่างได้ในไม่กี่ประโยค ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้พวกเธอถูกขังไว้ที่นี่ ไม่มีทางไปพบตี้ฝูอีได้ อยากเชือดเขาก็ไปหาเขาไม่ได้อยู่ดี…
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงใช้ข้ออ้างว่า ‘เพียงฝันไปเท่านั้นไม่จำเป็นต้องยึดถือเป็นจริง’ มาบ่ายเบี่ยงไปอย่างลวกๆ
เธอมองดูท้องฟ้าด้านนอก ฟ้ายังไม่สว่าง ด้านนอกยังคงมืดมิดอยู่ เธอฉงนใจอยู่บ้าง “พี่ ท่านมาได้อย่างไร?”
หลัวจั่นอวี่เอ่ยตอบ “เมื่อคืนเห็นเจ้าเมาค่อนข้างหนัก กลัวว่าจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงทำนํ้าแกงสร่างเมามาให้เจ้า…เห็นว่าเจ้ากำลังถูกฝันร้ายคุกคามอยู่พอดี ดังนั้นเลยปลุกเจ้า…”
จากนั้นก็หยิบชามนํ้าแกงที่มีไอกรุ่นจากบนโต๊ะมาส่งให้ถึงมือเธอ
“เอ้าดื่มลงไปสิ ทำให้สร่างเมาได้และบรรเทาอาการปวดหัวได้”
เนื่องจากเกี่ยวพันกับอาการเมาค้าง กู้ซีจิ่วจึงปวดหัวอยู่บ้างจริงๆ เธอดื่มนํ้าแกงชามนั้นลงไป สงบใจลงเล็กน้อย จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ เมื่อก่อนเธอก็เคยฝันถึงตี้ฝูอีอยู่หนหนึ่งเช่นกัน ตอนนั้นตี้ฝูอีกำลังอาบนํ้าอยู่ เขายังบังคับจูบเธอด้วย…ต่อมาเมื่อเธอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตี้ฝูอีก็บอกเธอว่านั่นเป็นความจริง มิใช่ความฝันเพียงข้างเดียวของเธอ…
ถ้างั้นครั้งนี้ล่ะ?
เป็นความฝันที่ไม่เกี่ยวข้องกัน หรือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง?
ครั้งก่อนกล่าวไว้ว่าเธอถอดวิญญาณ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงมองเธอได้ สัมผัสเธอได้ แต่ครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนเขาจะมองไม่เห็นเธอเลย บางที
อาจเป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่การถอดวิญญาณ ไม่ถูกสิ ตอนที่เธอพุ่งออกไปตะโกนใส่เขาสองสามประโยคนั้น เห็นได้ชัดว่าเขามองเห็นเธอ ดังนั้นถึงลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกตะลึงเช่นนั้น…
ฟ้ายังไม่สาง กู้ซีจิ่วจิ่วนอนมุดผ้าห่มต่อ “พี่ ขอบคุณสำหรับนํ้าแกงสร่างเมาของท่าน ข้ายังอยากนอนต่ออีกสักงีบ…”
หลัวจั่นอวี่หลังจากจบงานเลี้ยงรอบกองไฟก็ตรงมาหาเธอเลย ยังไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน ดังนั้นจึงเอ่ยกำชับเธอสองประโยคแล้วหันหลังจากไป
กู้ซีจิ่วหลับตาลงอีกครั้งกลับ พบว่าได้รับผลกระทบจากความฝันจึงนอนไม่หลับอยู่บ้าง เธอยังโมโหอยู่…