ตอนที่ 170
เหตุใดต้องถึงขั้นฆ่าแกง
นํ้าเสียงเขาเสนาะหูดั่งลมฤดูใบไม้ผลิแปรสายฝน แต่วาจาที่เอ่ยกลับร้ายกาจยิ่ง
หากสาวน้อยคนอื่นถูกเขาพูดแบบนี้ใส่ คาดว่าคงหน้าแดงด้วยความโกรธอยู่นาน เป็นทุกข์เพราะถูกทำลายความมั่นใจในตัวเอง อับอายจนต้องก้มหน้า
แต่กู้ซีจิ่วไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เธอยังยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม มองเขาด้วยความสุขุมเยือกเย็น
ตี้ฝูอีมองเธออีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นํ้าเสียงอ่อนโยนนัก “เจ้าอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถให้หรือ?”
“เจ้าค่ะ ความสามารถของข้ามีคนถ่ายหอดให้ในความฝัน ก็น่าจะเป็นสวรรค์ประทานให้กระมังเจ้าคะ” กู้ซีจิ่วตอบอย่างมีเชิงยิ่ง
หลงซือเย่มองกู้ซีจิ่วด้วยแววตาซับซ้อน ทั้งยังหันไปประสานมือคำนับตี้ฝูอี อีกครั้ง “นางไม่น่าจะใช่ผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถให้ แต่…แต่…อาจมียอดฝีมีอสักท่านที่เห็นว่านางเป็นหน่ออ่อนที่ดี ดังนั้นจึงเข้าฝันมาถ่ายทอดวิชาแพทย์และวรยุทธ์ให้นาง ถึงอย่างนางก็ยังเด็ก ไม่เข้าใจความแตกต่างของสิ่งนี้กับความสามารถที่สวรรค์ประทานให้ จึงกล่าวว่าได้รับความสามารถมาจากสวรรค์”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีมาก รอยยิ้มครานี้ดูเกียจคร้านนัก “หาได้ยากนักที่เจ้าสำนักหลงจะออกปากเพื่อผู้อื่น หรือว่าเจ้าสำนักหลงมีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง?”
หลงซือเย่เงียบงัน นํ้าเสียงเฉยชาเป็นอันมาก “ไม่มีความเกี่ยวข้องใด เพียงแต่เห็นว่าเด็กคนนี้เป็นหน่ออ่อนที่ดี จึงคิดจะรับนางเป็นศิษย์เท่านั้น”
“เด็กที่สวรรค์ประทานความสามารถให้ เจ้าก็กล้ารับเป็นศิษย์หรือ?” ตี้ฝูอี ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้าบอกแล้ว นางไม่แน่ว่าจะใช่ผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถให้” หลงซือเย่ก็ไม่ยอมแพ้
“นางจะใช่ผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถให้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของข้า ไม่ใช่คำพูดท่าน” ตี้ฝูอีคลี่ยิ้มงามสง่า นํ้าเสียงกล่าวได้ว่าอ่อนโยน แต่วาจาที่เอ่ยกลับไม่อ่อนโยนสักนิด
“ในเมื่อนางอ้างตัวว่าได้รับความสามารถที่สวรรค์ประทานให้ ข้าก็จำเป็นต้องตรวจสอบนางดู หากนางเป็นสานุศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน ท่านจะรับนางเป็นศิษย์ไม่ได้ ถ้าหากว่าไม่ใช่ก็ต้องจัดการ ลงโทษนางฐานพูดจาเหลาไหลว่าได้รับความสามารถจากสวรรค์ ทำลายวรยุทธ์ทั้งร่าง แล้วโยนเข้าป่าทมิฬ ให้นางใช้ชีวิตตามยถากรรม ท่านก็ยังรับนางเป็นศิษย์ไม่ได้เหมือนเดิม”
หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง! คำพูดหาสาระได้ไม่ เหตุใดต้องถึงขั้นฆ่าแกง?”
ตี้ฝูอีสีหน้าเรียบเฉย “ในทวีปซิงเยวี่ย ต่อให้เป็นเด็กก็ยังทราบว่า ‘สวรรค์ประทานความสามารถ’ ถ้อยคำเหล่านี้ไม่อาจพูดพล่อยๆ ได้ในเมื่อนางพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาภายหลัง”
“ใช่แล้วๆ”ในที่สุดองค์ชายหรงฉู่ที่อยู่ด้านข้างมาตลอดก็สอดปากพูดขึ้นมาได้ “ปีนั้นเด็กน้อยอายุแปดขวบคนหนึ่งก็เคยพูดเหลวไหลว่าได้รับความสามารถจากสวรรค์ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตรวจสอบออกมาว่าเป็นตัวปลอม จึงถูกทำลายพลังวิญญาณทั้งร่างทิ้งตรงนั้น แล้วโยนเข้าไปเป็นปุ๋ยในป่าดำ ยามนี้ก็ย่อมไม่สามารถผ่อนปรนได้ ท่านเจ้าสำนักหลงหลีกทางเสียเถอะ ให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตรวจดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที บางทีนางอาจเป็นตัวจริงก็ได้ ใครจะรู้?”
นํ้าเสียงขององค์ชายหรงฉู่เจือความปรีดาในคราวเคราะห์ของผู้อื่นไว้เล็กน้อย เพียงแต่เขาพูดยังไม่ทันจบก็ถูกจักรพรรดิซวนบิดาบังเกิดเกล้าของตนตัดบท “หรงฉู่ หุบปาก! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับเจ้าสำนักเผชิญหน้ากันอยู่ มีที่ให้เจ้าสอดปากพูดหรือ?”
องค์ชายหรงฉู่นิ่งงัน เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นทันที!
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเป็นที่สุด และไม่ชอบให้มีคนสอดปากพูดตามอำเภอใจที่สุด
ได้ยินมาว่าทายาทท่านโหวคนหนึ่งในอาณาจักรเจาหยางเคยหันหน้าไปสนทนากับผู้อื่นตอนที่เขาพูดอยู่ พูดเสียงดังไปหน่อย เลยถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้สั่งตัดลิ้นครึ่งหนึ่ง ทายาทท่านโหวผู้นั้นจึงพูดไม่ชัดมาจนถึงบัดนี้…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หยาดเหงื่อบนหน้าผากขององค์ชายหรงฉู่ก็ยิ่งมากขึ้น เงยหน้ามองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ดันสบเข้ากับแววตาอมยิ้มคู่นั้นของเขาพอดี!
องค์ชายหรงฉู่หัวใจบีบรัดขึ้นมาทันที ถอยกรูดไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีคลี่รอยยิ้มงดงามดั่งลมฤดูใบไม้ผลิแปรสายฝน “ระยะนี้องค์ชายสี่คงลำพองใจมากเลยสินะ หรือคิดว่าตัวท่านมีคุณสมบัติพอจะขึ้นครองราชย์แล้ว จึงรู้สึกว่าอยู่ในระดับเดียวกับข้า ถึงได้พูดจาไร้มารยาทเช่นนี้?”
……………………….
[1] คำว่า ‘เจ้าวัง’ และ คำว่า ‘องค์หญิง’ ในภาษาจีนนั้นออกเสียง ว่า ‘กงจู่’ เหมือนกัน แต่เขียนไม่เหมือนกัน จัดเป็นคำพ้องเสียงไม่พ้องรูป
[2] นาม ฝูอี (拂衣) แปลตรงตัวหมายถึง สะบัดอาภรณ์ สอดคล้องกับส่วนที่ว่า เรื่องจบคนจาก (事了拂衣去) หรือเสร็จเรื่องแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที โดยไม่คิดรับความดีความชอบ