Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 292

บทที่ 292

เจ้าเรียกบ้าอะไร?!

สตรีชุดแดงนางนั้นยืนอยู่ที่นั่น ราวกับกำลังมองนางอย่างเย็นชา… ฝ่าเท้าเหลิ่งเซียงอวี้พลันลื่นไถล หล่นลงมาจากรถเสียงดังตึง! แทบจะเหมือนสุนัขที่ล้มคลุกฝุ่น!

“ฮูหยิน!” สาวใช้รีบเข้ามาประคองนาง “ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

เหลิ่งเซียงอวี้ก็มีวรยุทธ์ ถึงจะเป็นเพียงหมัดเท้าปักบุปผา[1] แต่ยามเดินเหินปกติก็กระฉับกระเฉงว่องไว เป็นครั้งแรกที่ผู้คนเห็นนาง หล่นลงมาจากรกม้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เหลิ่งเซียงอวี้หน้าซีดเผือด โพล่งออกมาชื่อหนึ่ง “หลัวซิงหลาน!”

เสียงนางแหลมสูง ถึงขั้นแหลมเสียดหู ทำให้ฝูงชนสะดุ้งตัวโยน

นางไม่สนใจสภาพทุลักทุเล เงยหน้ามองไปยังทิศทางนั้นทันที

ฝูงชนงงงัน…

สายตาของพวกเขาย่อมมองตามนางไปยังทิศทางนั้น แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร ตรงนั้นมีเพียงกลุ่มคนที่สัญจรผ่านไปมา

เหลิ่งเซียงอวี้ก็มองไม่เห็นสตรีชุดแดงนางนั้นแล้ว จึงทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่าเดิม

นี่คือวิญญาณพยาบาทของหลัวซิงหลานที่มาหานางเพื่อทวงแค้นหรือ?

ขณะที่จิตใจนางกำลังกระสับกระส่าย จู่ๆ สาวใช้ข้างกายก็คุกเข่ากันหมด “ท่านแม่ทัพ!”

เหลิ่งเซียงอวี้สะดุ้งโหยง ยังไม่ทันได้เงยหน้าก็ถูกคนดึงคอเสื้อขึ้น

“เจ้าเรียกบ้าอะไร?!” น้ำเสียงแข็งขันทรงพลัง ทั้งยังแฝงความเกรี้ยวกราดไว้ เป็นเสียงของกู้เซี่ยเทียน

จะอย่างไรเหลิ่งเซียงอวี้ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะย้อนกลับมา นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก พูดโพล่งว่า “ท่านแม่ทัพ…น้องเห็น นาง…”

“นาง? ใคร?” นํ้าเสียงกู้เซี่ยเทียนเร่งเร้า

ในที่สุดเหลิ่งเซียงอวี้ก็ได้สติ ตอบเสียงอ่อยว่า “นะ…น้องน่าจะมองผิดไป…”

“ข้าผู้เป็นแม่ทัพถามว่าเจ้าเห็นใคร?! หลัวซิงหลานหรือ? เมื่อกี้เจ้าเรียกชื่อนาง…”

กู้เซี่ยเทียนกวาดตามองรอบด้าน มองออกไปไกลเท่าที่สายตาจะมองได้ ก็ไม่เห็นเงาร่างใดที่คล้ายคลึงกับสตรีผู้นั้น

แววตาเหลิ่งเซียงอวี้วูบไหวเล็กน้อย รีบปฏิเสธทันที “น้องคงตาฝาด จำคนผิด พี่หลัวไปนานแล้ว…จากโลกไปนานแล้ว จะปรากฏตัวอีกได้อย่างไร…”

กู้เซี่ยเทียนมองสภาพทุลักทุเลของนางอยู่พักหนึ่ง ยังไม่ยอมถอดใจ “จำคนผิดหรือ? คนผู้นั้นอยู่ที่ใด? แต่งกายเช่นไร?” ซ้ำยังมองสาวใช้ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวา “พวกเจ้าเห็นหรือไม่?”

เหล่าข้ารับใช้ย่อมส่ายหน้า พวกนางก็ไม่เห็นอะไรเลยสักนิด อีกอย่างพวกนางเข้าตระกูลกู้มาภายหลัง เคยได้ยินเพียงชื่อของหลัวซิงหลานเท่านั้น ไม่เคยเห็นตัวคน ต่อให้เดินอยู่ตรงหน้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้จัก…

เหลิ่งเซียงอวี้ย่อมไม่ยอมรับ ตอบอย่างขอไปทีสองประโยคแค่ว่า เห็นเรือนร่างที่คล้ายคลึงเพียงแวบเดียวเท่านั้น ความจริงอาจไม่ใช่เช่นนี้…

สายตาที่แต่เดิมลุกโชติช่วงดุจเปลวไฟคุโชนของกู้เซี่ยเทียนพลันมืดสลัวลง ปล่อยมือจากเหลิ่งเซียงอวี้ แล้วหันหลังจากไป

เดิมทีเขาคิดจะสั่งการให้ผู้คุ้มกันข้างกายไปค้นหาตามถนนสายต่างๆ แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็มิใช่ผู้คุ้มกันเดิมแล้ว พวกเขาย่อมไม่รู้จักสตรีผู้นั้น…

เขายังไม่ถอดใจ เดินวนเวียนรอบถนนสายต่างๆ ราวกับตนเป็นแมลงวันหัวขาดก็มิปาน อย่าว่าแต่หลัวซิงหลานเลย แม้แต่เงาร่างที่คล้ายคลึงสักร่างก็ไม่เห็น

เขายืนคอตกอยู่บนถนนใหญ่ สายลมฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บพัดโชย จิตใจของเขาก็เหน็บหนาวเฉกเช่นสายลมฤดูใบไม้ร่วงนี้

“อาซิง ลูกสาวของพวกเรามือนาคตสดใสยิ่ง แต่นางก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ใหญ่มหันต์เจ้าไม่คิดจะมาเยี่ยมบ้างหรือ?” เขากระซิบกับความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ

เขายืนอยู่สักครู่ถึงจากไปอย่างห่อเหี่ยว แผ่นหลังนั้นดูอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน

………………………….

บนสันหลังคาสูงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สตรีชุดแดงนางหนึ่งยืนท้าลมอยู่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดแพรโปร่งบางบนหมวกม่านของนางปลิวไสว นางหันหน้าไปยังทิศทางที่กู้เซี่ยเทียนจากไป นิ่งเงียบราวกับรูปปั้น

“หัวหน้า ท่านไม่ลงไปพบเขาหรือเจ้าคะ?” มีดรุณีน้อยอาภรณ์เขียวสองคนยืนอยู่ข้างกายนาง มองไปทางทิศนั้นเช่นกัน เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

……………………………..

[1] หมัดเท้าปักบุปผา หมายถึง เพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่า ทว่าใช้การจริงไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version