บทที่ 856 แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!
ดูเหมือนความสูงของปรมาจารย์กู่คนนั้นจะเท่ากับความสูงของหลงซือเย่จริงๆ แต่รูปร่างดูเหมือนค่อนข้างต่างกัน ปรมาจารย์กู่คนนั้นอ้วนกว่าหลงซีเล็กน้อย แต่ความอ้วนความผอมของคนขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตในช่วงนั้น ต่อให้เป็นคนๆ เดียวกัน ก็ไม่สามารถรักษารูปร่าง ให้คงเดิมได้ตลอด ถึงอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างระหว่างวัยหนุ่มและวัยชรา…
เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนมนุษย์จะอวบท้วมได้ง่าย ปรมาจารย์กู่คนนั้นจะใช่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไหมนะ?
ดังนั้นเธอจึงถามอีกว่าในปีนั้นที่เธอไปศึกษาวิชากู่ที่เผ่าม้ง นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไร
ความจำของหลงซือเย่ดีจนน่าตะลึง เขาบอกเธอว่าปีนั้นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องป่วยหนัก หลบไปรักษาตัวในสถานที่ลับแห่งหนึ่งตลอดปี ไม่พบปะใคร รวมถึงหลงซีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายด้วย…
กู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญการวิเคราะห์หาเหตุผล ตามพื้นฐานแล้วสามารถอนุมานต่อยอดออกไปได้ ดังนั้นเธอประมวลอยู่ในสมองพักหนึ่ง พบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องจะเป็นปรมาจารย์กู่คนนั้น!
หรือว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไม่เพียงแต่วิจัยเรื่องการโคลนนิ่งเท่านั้น ยังวิจัยวิชากู่ด้วย?!
แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!
คนผู้นี้ทำถึงขนาดนี้เพราะกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น หรือว่ามีแผนการอื่นอยู่?
เธอนึกถึงหุ่นเชิดชุดม่วงที่คล้ายคลึงกับตี้ฝูอีของอวิ๋นชิงหลัวตัวนั้นอีกครั้ง หนก่อนที่หุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นเดินเที่ยวเทศกาลความเป็นเพื่อนอวิ๋นชิงหลัว แม้แต่เจ้าหอยยักษ์ก็แยกแยะกลิ่นอายเจ้าของเก๊ตัวนี้ไม่ออก หรือว่ามันจะไม่ใช่หุ่นเชิดที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอี?!
ยิ่งคิดถึงข้อนี้ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าหนังศีรษะค่อนข้างด้านชาแล้ว หันไปถามหลงซือเย่ “คุณว่าหุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นจะใช่ร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอีหรือเปล่า?”
หลงซือเย่ไม่ทราบว่าความคิดของเธอดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จึงตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่น่าใช่มั้ง? ฉันได้ยินอวิ๋นชิงหลัวพูดแว่วๆ ว่าเขาไม่มีองคาพยพทั้งหน้า บนใบหน้าเหมือนปกติ ทั้งหน้ามีแค่ตากับปาก ต้องสวมหน้ากากไว้ถึงจะเหมือนกันมาก…โดยทั่วไปแล้วร่างโคลนจะเหมือนร่างต้นแบบอย่างสมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเครื่องหน้า นอกเสียจากว่ามนุษย์โคลนตัวนี้พอสร้างออกมาอวัยวะบนใบหน้าส่วนอื่นๆ ของเขาก็ถูกทำลายทิ้งทันที…เพียงแต่ข้อนี้มีความเป็นไปได้ไม่มาก เธอดูปฏิกิริยาของอวิ๋นชิงหลัวสิ เขาเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้นแหละ…”
“ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นร่างผสมระหว่างหุ่นเชิดกับการโคลนนิ่ง? เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเราไม่รู้จัก?”
หลงซือเย่ชะงักแล้วหน้าซีดเล็กน้อย เขาศึกษาค้นคว้าเรื่องการโคลนนิ่งอย่างลึกซึ้งยิ่ง แต่ไม่ได้ค้นคว้าเรื่องหุ่นเชิดเลย แม้กระทั่งวิชากู่เขาก็ไม่รู้ แต่สถานการณ์อย่างที่กู้ซีจิ่วพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…
เขาก็เป็นบุคลฉลาดลํ้าเลิศ มีความสามารถในการเชื่อมโยงวิเคราะห์ เมื่อนำเรื่องราวที่เคยประสบมารวมเข้าด้วยกัน ประมวลอยู่ในใจพักหนึ่ง หัวใจก็เริ่มหนาวสะท้านขึ้นมาเช่นกัน!
เขาทราบเรื่องราวมากกว่ากู้ซีจิ่วนัก เขายังทราบเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นวิจัยเรื่องการโคลนนิ่งด้วย นั่นเป็นเพราะเขาต้องการเป็นอมตะ สร้างร่างโคลนนิ่งที่เหมือนตัวเองทุกประการแถมยังอ่อนเยาว์อย่างยิ่งออกมาสักร่าง จากนั้นก็ยืมสวมร่างกำเนิดใหม่ เช่นนี้ดวงวิญญาณของเขาก็คงอยู่ได้ตลอดกาลแค่เปลี่ยนร่างบ่อยๆ ก็พอ
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดเพ้อฝันของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเท่านั้น จวบจนหลงซือเย่ตาย เขาก็ยังไม่ได้ยินว่าชายคนนั้นประสบความสำเร็จเลย บางทีปรมาจารย์กู่คนนั้นอาจเป็นบิดาผู้คลั่งวิทยาศาสตร์ของเขาก็ได้?!
เขานั่งไม่ติดบ้างแล้ว “ซีจิ่ว เธอยังจำหน้าตาของปรมาจารย์กู่คนนั้นได้ไหม? เธอวาดให้ฉันดูหน่อยสิ!”
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงวาดออกมา
พอวาดเสร็จก็ส่งให้หลงซือเย่ดู หลงซือเย่ก็ไม่กล้ายืนยันอยู่บ้าง
ชายเคราเฟิ้มที่กู้ซีจิ่ววาดออกมาไม่ค่อยเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในความทรงจำของเขาเลย อย่างไรเสียรูปร่างและการแต่งกายก็เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!
เพียงแต่ทั้งสองก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่จริงๆ