Chapter 3
ช่วยชีวิต
ธิดาสามหันซ้ายหันขวาคิดหาทางช่วย จะแบกไปแดนบุปผาก็แบกไม่ไหว จะไปตามใครมาช่วยก็กลัวจะไม่ทันการณ์
พลัน! นางก็นึกได้…จริงซิท่านหนิงเฟิ่งบอกว่าเลือดสิงห์ขาวของเรารักษาบาดแผลได้นี่น่า
นางไม่รอช้ารีบกัดปลายนิ้วให้เลือดไหลแล้วก็หยดเลือดลงบนบาดแผลใหญ่บนหน้าอกบุรุษผู้บาดเจ็บ
ดวงตาผู้บาดเจ็บค่อยๆ ลืมขึ้นเห็นแมวป่าขาวสะอาดกำลังหยดเลือดลงบนบาดแผลตนเอง “แมว…งั้นรึ?”
เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง
ธิดาสามรีบพูด “อย่าเพิ่งขยับซิ ข้าอุตส่าห์สละเลือดช่วยรักษาเจ้าอยู่นะ”
เขานอนลงตามเดิม “เลือดแมวอย่างเจ้าช่วยรักษาแผลให้ข้าไม่ได้หรอก อย่าพยายามเลย แต่ถ้าดื่มเลือดเจ้าคงช่วยแก้กระหายน้ำได้อยู่หรอก”
“ฮึ! ท่านดูถูกเลือดข้าเกินไปหน่อยแล้วนะ” ธิดาสามค้อนขวับ เมื่อเห็นว่าบาดแผลเริ่มสมานตัวนางก็ปิดปากแผลบนนิ้ว
ผู้บาดเจ็บยิ้มให้ “ขอบใจที่เจ้าพยายามช่วยเหลือ แต่เจ้ารีบไปซะเถอะ หากจอมมารตามมาเจอข้าเกรงว่าเจ้าจะมีอันตรายไปด้วย”
“จอมมารเหรอ!” ธิดาสามตกใจ “ผู้ที่ทำให้ท่านบาดเจ็บคือจอมมารงั้นหรือ”
“เจ้ารีบหนีไปเถอะ” ผู้บาดเจ็บบอกอย่างเป็นห่วง
“งั้นข้าจะรีบไปตามคนมาช่วยแบกท่านกลับไป รออยู่นี่นะ” ธิดาสามพูดแล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่ถ้ำแมวป่า
บุรุษผู้บาดเจ็บมองตามจนลับร่างสีขาวสะอาดตา เขาค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงหน้าอกแล้ว เขาก้มลงมองตัวเอง
“แผลหายแล้วหรือ?” เขาครุ่นคิดอย่างสงสัย “แผลหายด้วยเลือดแมวขาวงั้นรึ? ข้าเคยได้ยินแต่ว่ามีแต่เลือดสิงห์ขาวเท่านั้นที่รักษาบาดแผลได้”
“อาจารย์ท่านอยู่ที่ไหน?”ๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงเรียกดังก้องไปทั่ว พร้อมกับร่างของชายชุดขาวหลายคนปรากฎขึ้น
“ข้าอยู่นี่” ชายผู้บาดเจ็บตอบกลับไป
“อาจารย์!” เหล่าชายชุดขาวกรูกันเข้าไปหาชายผู้บาดเจ็บอย่างดีใจ “ท่านบาดเจ็บ ข้าว่าพวกเรารีบกลับตำหนักดีกว่าขอรับ”
“แล้วพวกจอมมารล่ะ” ชายผู้บาดเจ็บถาม
“ล่าถอยกลับแดนมารไปแล้วขอรับ ตั้งแต่องค์รัชทายาทส่งทัพมาช่วยพวกเรา” ลูกศิษย์คนหนึ่งรายงาน
ชายผู้บาดเจ็บพยักหน้ารับรู้ “ดีแล้ว เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ”
“ขอรับ” บรรดาลูกศิษย์รับคำ ชายผู้บาดเจ็บหันไปมองตามทางที่แมวน้อยวิ่งหายไป…ไว้ข้าหายดีแล้วข้าจะมาพบเจ้าเพื่อตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือข้า
ภาพแมวน้อยยังตราตรึงในความทรงจำไม่มีวันลบเลือน แล้วเขาและบรรดาลูกศิษย์ก็หายวับไป
ธิดาสามวิ่งไปถึงถ้ำแมวป่า “พวกเจ้าตามข้ามาเร็ว มีคนบาดเจ็บอยู่ทางโน้น”
“พะย่ะค่ะธิดาสาม” แมวป่ารับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งตามเจ้านายไป
แต่เมื่อธิดาสามไปถึงจุดที่พบคนเจ็บก็ไม่เห็นใครเลย “อ้าว! หายไปไหนแล้วล่ะ?”
นางมองหา “พวกเจ้าช่วยกันหาเร็ว”
“พะย่ะค่ะ” บรรดาแมวป่าต่างกระจายกำลังออกค้นหา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
“ไม่พบใครเลยพะย่ะค่ะ” หัวหน้าแมวป่ารายงาน
“ไม่เจอเลยหรือ” ธิดาสามมองไปรอบๆ
“ข้าคิดว่าผู้ที่ท่านพบคงกลับไปแล้วเป็นแน่พะย่ะค่ะ” หัวหน้าแมวป่าคาดคะเน
“งั้นหรือ” ธิดาสามพยักหน้า “หวังว่าเขาคงกลับไปอย่างปลอดภัยนะ”
นางมองไปรอบๆอีกครั้ง “ถ้างั้นพวกเจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าก็จะกลับถ้ำสิงห์แล้วล่ะ”
“พะย่ะค่ะ” หัวหน้าแมวป่ารับคำสั่งแล้วก็เดินกลับถ้ำแมว
ธิดาสามก็กลับถ้ำสิงห์ ก่อนถึงถ้ำสิงห์นางก็คืนร่างเป็นสิงห์ขาวดังเดิม
วันรุ่งขึ้นเทพพฤกษาก็มารับธิดาสามตามสัญญา
“หนิงเฟิ่ง เจ้าต้องดูแลเจ้าสามดีๆล่ะ” ราชินีสิงห์พูดอย่างเป็นห่วงพระธิดาน้อย
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้าต้องดูแลเจ้าสามดีอยู่แล้ว” เทพพฤกษาตอบ
“ถ้าเจ้าสามซุกซนมาก เจ้าก็รีบบอกข้าล่ะกัน ข้าจะตีนางเอง” ราชาสิงห์บอก วางท่าพระบิดาผู้ดุดัน
“เฮอะ! อย่างเจ้าหรือจะตีนางลง” เทพพฤกษาเยาะ “ตั้งแต่นางเกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าตีนางลงซักแปะ”
ดวงตางามค้อนให้ทีหนึ่งตามประสาสหายสนิท
ราชาสิงห์สะอึกไปที่ถูกจี้จุดอ่อน “เจ้าสามเจ้าก็อย่าซุกซนให้มากนักรู้ไหม”
“ข้ารู้แล้วเสด็จพ่อ” ธิดาสามรับคำ
“เจ้าสามรีบไปรีบมานะ” องค์ชายทั้งสองกอดน้องด้วยความรัก
“อื้ม” ธิดาสามพยักหน้า
“ไปกันเถอะ ข้าจะได้รีบกลับมาดูแลสวนของข้าต่อ” เทพพฤกษาบอกแล้วก็ยื่นมือไปหาธิดาสาม
ธิดาสามผละจากพี่ชายหันไปจับมือเทพพฤกษาพลางโบกมืออีกข้างให้พี่ชายทั้งสอง แล้วเทพพฤกษากับธิดาสามก็หายวับไป
ราชาสิงห์และราชินีพร้อมองค์ชายทั้งสองก็เสด็จกลับเข้าถ้ำสิงห์ด้วยท่าทางเหงาหงอย เพราะไร้เจ้าตัวป่วนตัวน้อย
ณ หน้าประตูทางเข้าตำหนักซีฮัน เทพพฤกษากับธิดาสามก็ปรากฎกายขึ้น
“ที่นี่เหรอตำหนักซีฮัน” ธิดาสามมองผ่านประตูเข้าไป
“ใช่แล้ว” เทพพฤกษาพยักหน้า “เจ้าใช้มุกวิญญาณแมวแปลงเป็นแมวป่าเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ธิดาสามรับคำแล้วก็แปลงเป็นแมวป่า
เทพพฤกษามองอย่างพอใจแล้วก็ร่ายเวทมายาใส่แมวป่าแสนสวย “เอาล่ะตอนนี้เจ้าเป็นแมวป่าตัวผู้แล้วล่ะ อย่าให้ใครจับได้ล่ะว่าเจ้าเป็นหญิงน่ะ เพราะหนิงจ้านตั้งกฎว่าไม่รับสตรีเข้าตำหนักซีฮัน ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือบ่าวไพร่ของที่นี่ล้วนเป็นชายทั้งสิ้น”
“ห๊า! มีกฎอย่างนี้ข้าก็อดเป็นศิษย์น่ะซิ” ธิดาสามตกใจ
“ข้าถึงได้ร่ายเวทมายาให้เจ้าอย่างไรล่ะเจ้าสาม” เทพพฤกษาแย้มยิ้ม “ต่อไปนี้เจ้าก็คือแมวป่าตัวผู้ชื่อว่าไป๋เมา(白猫) จำเอาไว้ให้ดีล่ะไป๋เมา”
“อื้ม ข้าจะจำไว้” เจียวหลิงหรือที่ตอนนี้ได้ชื่อใหม่ว่าไป๋เมาพยักหน้า
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เทพพฤกษาบอกแล้วก็เดินนำหน้าไป๋เมาผ่านประตูเข้าไป ไป๋เมารีบเดินตามไปอย่างตื่นเต้น
เมื่อถึงหน้าตำหนักซีฮัน ศิษย์เอกของตำหนักก็ออกมาต้อนรับแขก
“น้อมคำนับท่านเทพธิดา” ศิษย์เอกกุมมือคารวะนอบน้อมท่วงท่าองอาจ
เทพพฤกษาค้อมศีรษะรับการเคารพจากผู้อ่อนวัย “ข้ามาพบหนิงจ้าน”
“ขออภัยด้วยขอรับท่านเทพธิดา อาจารย์กำลังเข้าฌานอยู่ขอรับ”
“งั้นรึ เช่นนั้นข้าคงต้องรอแล้วล่ะ” เทพพฤกษาพยักหน้ารับรู้ “แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ?”
“ข้าชื่อลี่จิ่น(丽紧) เป็นศิษย์คนแรกของอาจารย์ขอรับ” ลี่จิ่นตอบนอบน้อม
“นี่ท่านหนิงเฟิ่ง ถ้าต้องรอนาน งั้นข้าไปเดินเล่นก่อนนะ” ไป๋เมาพูดแทรก
“ไปเถอะไป๋เมา แล้วอย่าซุกซนให้มากล่ะ” เทพพฤกษาพยักหน้าอนุญาต
ลี่จิ่นมองตามไป๋เมาไปพลางคิดในใจว่า…เจ้าแมวป่านี่ช่างไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย เรียกชื่อท่านเทพธิดาอย่างสนิทสนมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แต่เมื่อได้ยินชื่อแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ‘หนิงเฟิ่ง’ คือชื่อของเทพพฤกษา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของอาจารย์นั่นเอง
“ข้าขอตัวไปยกน้ำชามาให้ท่านนะขอรับ” ลี่จิ่นขออนุญาต
เทพพฤกษาพยักหน้า
พอศิษย์พี่เดินออกมา ศิษย์น้องก็กรูกันเข้าไปถาม “นั่นใครหรือศิษย์พี่ใหญ่?”
“เทพพฤกษา” ศิษย์พี่ตอบแล้วก็บอกว่า “รีบไปเตรียมน้ำชามาต้อนรับท่านเทพธิดาเร็วเข้า”
“เป็นวาสนายิ่งนักที่ได้เห็นเทพพฤกษาผู้เร้นกายจากพิภพ” บรรดาศิษย์น้องพูดอย่างปลื้มใจที่มีโอกาสได้เห็นท่านเทพธิดาผู้ที่ถูกร่ำลือว่างามสุดในพิภพ
“ไปๆๆๆ อย่ามัวพูดมาก” ศิษย์พี่ไล่บรรดาศิษย์น้อง
ครู่ต่อมา ลี่จิ่นก็ยกน้ำชาและผลไม้ไปต้อนรับเทพพฤกษา “น้ำชาขอรับ”
“ขอบใจ” เทพพฤกษาแย้มยิ้มให้
ลี่จิ่นถอยออกไปอย่างรู้จักวางตัว
ไป๋เมาเดินเล่นเรื่อยไปจนกระทั่งถึงสวนแห่งหนึ่ง “มีแต่ไม้ใบ ไม่มีไม้ดอกบ้างเลย ดูแล้วเฉาๆ ยังไงก็ไม่รู้”
นางเดินเล่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตำหนักด้านใน ด้วยความซุกซนอยากรู้อยากเห็นนางจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปบนระเบียงหน้าตำหนัก
ประตูเปิดออกเทพสงครามเดินออกมา ไป๋เมาชะงักมองหน้าชายผู้นั้น
เทพสงครามก็ชะงักไปเช่นกัน เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้าเป็นใครหรือ? เข้ามาถึงในนี้เชียว?
“ข้าชื่อไป๋เมา แล้วท่านละเป็นใคร?” ไป๋เมาถามกลับ
“ข้า…หนิงจ้าน” เทพสงครามตอบ สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าหนุ่มน้อยไปได้เลย…ใบหน้านี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก พลัน! ภาพแมวป่าสีขาวในความทรงจำก็ทับซ้อนขึ้นมา อ่า…เจ้าแมวน้อยนั่นเอง
“ท่านคงเป็นศิษย์เทพสงครามล่ะซิ อาจารย์ของท่านอยู่ที่ไหนเหรอ? ข้าอยากพบยิ่งนัก” ไป๋เมาพูดแล้วก็หันไปมองรอบๆ
“เจ้าอยากพบเทพสงครามด้วยเรื่องอะไรหรือ?” เทพสงครามถามอย่างเอ็นดู
“ข้าจะมาขอเป็นศิษย์น่ะ” ไป๋เมาบอกแล้วก็หันไปมองต้นไม้ในสวน “ข้าอยากเห็นว่าเขามี 9 เศียรพันมืออย่างที่ร่ำลือกันจริงหรือไม่ จึงได้เก่งกาจนัก”
เทพสงครามแย้มยิ้มขำขัน
“อาจารย์ของท่านอยู่ที่ไหนหรือ?” ไป๋เมาหันมาถาม “เอ…แล้วนั่นท่านขำอะไรหรือ?”
เทพสงครามรีบทำหน้าขรึม “ไม่มีอะไรหรอก”
ไป๋เมาเดินลงจากตำหนัก เทพสงครามเดินตามไป พลางคิดไปด้วยว่า…ในเมื่อเจ้าต้องการเป็นศิษย์ข้า เช่นนั้นข้าก็จะรับเจ้าไว้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยข้าในครั้งนั้น
“เอ…อาจารย์ท่านอยู่ที่ไหนล่ะ? ข้าอยากพบจริงๆนะ” ไป๋เมาหันกลับไปพูดทำให้ตัวเองชนคนข้างหลัง “โอ๊ะ!”
เทพสงครามรีบช่วยประคองร่างเล็กไว้ไม่ให้ล้มลง “ระวังหน่อย”
“เอ่อ…” ไป๋เมาชะงัก ไม่รู้จะพูดอะไรดี พอตั้งสติได้ก็รีบพูดว่า “ขอบคุณ”
“อาจารย์” เสียงเรียกดังมาพร้อมกับลี่จิ่นเดินเข้ามา “ท่านออกจากฌานแล้ว”
แล้วเขาก็เหลือบมองร่างเล็กในอ้อมแขนอาจารย์ “อ้าว…อยู่นี่เองรึ”
ไป๋เมามองหน้าลี่จิ่นแล้วก็มองหน้าผู้ที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อย่างงงๆ “อาจารย์?”
นางหันไปมองลี่จิ่น ถามย้ำ “อาจารย์งั้นเหรอ?”
ลี่จิ่นพยักหน้า “ก็อาจารย์น่ะซิ”
ไป๋เมาหันขวับไปมองหน้าผู้ที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์?…ท่านคือเทพสงครามงั้นหรือ?”
เทพสงครามพยักหน้า “ใช่”
เขาปล่อยมือจากร่างเล็กพร้อมกับขยับถอยห่างไปนิดนึง
“จริงหรือ?” ไป๋เมาถามย้ำ
เทพสงครามพยักหน้า “จริง”
ไป๋เมาหน้าตื่น “ท่านมี 9 เศียรพันมือจริงๆหรือ? แล้วท่านซ่อนไว้ตรงไหนกันล่ะ?”
“ข้าไม่ได้มี 9 เศียรพันมือหรอก ข้ามีเพียงหัวเดียวและสองมือนี้เท่านั้น” เทพสงครามตอบ
ไป๋เมาอึ้งไป ตาก็มองเทพสงครามไม่กะพริบเลย
“มีอะไรหรือ?” เทพสงครามหันไปถามลี่จิ่น
“เทพพฤกษาเสด็จมาขอรับ” ลี่จิ่นตอบ
“งั้นรึ” เทพสงครามพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไป ลี่จิ่นเดินตามไป ไป๋เมารีบตามไป
เทพพฤกษาละสายตาจากถ้วยชา มองผู้ที่ค่อยๆ เดินเข้ามา “เจ้าออกจากฌานแล้ว”
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่ นานๆ เจ้าจะมาหาข้าสักครั้ง มาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ?” เทพสงครามทักทาย