Skip to content

วุ่นรักแดนสวรรค์ 53

  • by

Chapter 53

อสูรทะเลทราย 3

ธิดาสามฝืนลอยตัวอยู่กลางอากาศจนฝุ่นทรายจางหายไป นางจึงลอยตัวลงยืนบนผืนทราย

ความรู้สึกใต้ฝ่าเท้ายังรู้สึกได้ว่าพวกมันยังคงอยู่ใต้ผืนทราย นางก้มมองแล้วก็พบดวงตาคู่หนึ่งผุดออกมาจากทราย

ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนาง นางจ้องมองมัน ขยับเท้าเคาะๆ ผืนทรายสองสามที นางจ้องมันคล้ายกับจะถามว่า ยังอยากสู้กับข้ารึ?

นางเอียงขวดหยกทำท่าจะราดน้ำลงไป ดวงตาคู่นั้นเบิกตาโตอย่างหวาดผวา ไม่! อย่านะ!

แล้วรีบผลุบลงไปใต้ผืนทรายทันที ผืนทรายสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหวคึกๆ ฝุ่นทรายฟุ้งอีกครา ธิดาสามรีบยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า ดวงตากวาดมองไปรอบๆ ความรู้สึกใต้ฝ่าเท้าบ่งบอกว่าพวกมันหนีห่างไปไม่ไกลนัก คล้ายกับว่าพวกมันยังคงดักรอจู่โจมนางทีเผลอ

“ยังอีก! อยากถูกน้ำราดกันนักใช่ไหม?” นางเข่นเขี้ยวพูดออกมาเสียงดังกังวาน

ผืนทรายสั่นสะเทือนคึกๆ อีกครา คราวนี้ความรู้สึกใต้ฝ่าเท้าจางลงไปมากทีเดียว คาดว่าพวกมันคงถอยห่างไปไกลอีกนิด

“หึ!” ธิดาสามแค่นเสียงเยาะ หากพวกมันบุกเข้ามาอีกนางจะเอาน้ำราดพวกมันให้ชักดิ้นชักงอเชียว อีกทั้งนางมีน้ำในขวดหยกมากพอที่จะราดพวกมันสักครึ่งฝูงได้กระมัง ปริมาณน้ำมีมากขนาดไหนนะหรือ ก็น่าจะประมาณเท่าลำธารเล็กๆ สายหนึ่งกระมัง แล้วนางมีขวดหยกอยู่ในถุงผ้านับสิบใบได้ ดังนั้นต่อให้นางต้องเดินอยู่กลางทะเลทรายก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดน้ำตาย

เมื่อพวกมันหนีไปนางจึงเงยหน้ามองดวงดาวแล้วออกเดินทางต่อ ต้องรีบเดินทางออกจากทะเลทรายแห่งนี้ให้ไวที่สุด อีกทั้งแสงแดดตอนกลางวันก็ร้อนเกินกว่าที่นางจะทนไหว ดังนั้นนางจึงมีเวลาเดินทางแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้น ตอนกลางวันก็ค่อยหาที่นอนพักเอาแรงดีกว่า

นางวางแผนคร่าวๆ ในใจแล้วจึงก้าวเดินไป

พวกอสูรทะเลทรายค่อยๆ โผล่ลูกตาออกมาจากผืนทราย มองดูเหยื่อตัวจ้อยเดินไปอย่างไม่ยินยอม ดังนั้นพวกมันจึงแอบตามเหยื่อตัวจ้อยไป จ้องหาโอกาสจับกินให้ได้ ก็นานๆ ทีถึงจะมีเหยื่อมาให้พวกมันล่านี่นา ดังนั้นพวกมันจะยอมปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้อย่างไร ไม่ยอม! อย่างไรก็ไม่ยอม!

ธิดาสามเดินไปเรื่อยๆ ตามองดวงดาวนำทางไปด้วย

เหล่าอสูรทะเลทรายก็เคลื่อนตัวอยู่ใต้ผืนทรายตามเหยื่อไปห่างๆ จ้องหาโอกาสจับกินอย่างไม่ลดละ

จนกระทั่งแสงตะวันเริ่มจับขอบฟ้า เหล่าอสูรทะเลทรายก็มุดทรายลงไปลึกยิ่งกว่าเดิม พวกมันไม่ชอบแสงแดดเพราะแสงแดดทำให้ดวงตาพวกมันพร่ามัว อีกทั้งพวกมันกลัวน้ำเพราะน้ำทำให้ผิวหนังพวกมันแสบร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา

ธิดาสามเดินไปเรื่อยๆ นางยังไม่รีบหาที่หยุดพัก เพราะแสงแดดยังไม่ร้อนเท่าไหร่ ยังพอมีเวลาให้นางเดินต่อไปอีกนิด อีกทั้งดูเหมือนว่านางจับการเคลื่อนไหวของพวกไส้เดือนยักษ์เหล่านั้นไม่ได้แล้ว คล้ายกับว่าพวกมันหายไปจากระยะสัมผัสของนาง

จนกระทั่งแสงแดดเริ่มร้อนเกินไปนางจึงมองหาที่หยุดพัก นางเจอโพรงใต้ชะง่อนหินจึงเลือกที่นั่นเป็นที่หยุดพัก

นางนั่งลงเอาผลไม้ออกมากิน ครั้นกินอิ่มก็ดื่มน้ำจากสระมรกตเข้าไปจนอิ่ม จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน

จอมมารรอจนเช้าแล้วจึงออกจากค่ายพร้อมกับขุนพลและทหารบางส่วน พวกเขารีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงดังเมื่อคืนนี้

จนกระทั่งไปถึงบริเวณหนึ่ง พวกเขาเห็นสีแดงคล้ำบนผืนทรายแตกต่างจากบริเวณอื่น ทหารรีบวิ่งไปดูทันที

“ท่านขุนพล เลือดขอรับ” ทหารคนหนึ่งตะโกนบอก

คนอื่นรีบพุ่งไปดูทันที พวกเขาหยุดยืนบนผืนทรายที่มีสีแดง

ขุนพลก้มลงไป ใช้นิ้วเขี่ยๆ ทรายสีแดงดู เป็นเลือดย้อมทรายจนกลายเป็นสีแดงคล้ำๆ

จอมมารก็ก้มลงไปใช้นิ้วเขี่ยทรายไปมา เป็นเลือดสาดย้อมผืนทราย

“นี่เป็นเลือดของอสูรทะเลทราย” ขุนพลพูดขึ้นมา เขายืดตัวขึ้นแล้วมองดูร่องรอยรอบๆ

จอมมารฟังการวิเคราะห์ของขุนพลอย่างไม่โต้แย้ง เพราะขุนพลอยู่ที่นี่มาร้อยปีแล้วย่อมมีความชำนาญพื้นที่มากกว่าใครๆ

“ข้าว่าเจ้าคนเคราะห์ร้ายผู้นั้นคงฟันอสูรทะเลทรายได้ แต่ตัวเขาก็คงไม่รอดแล้วกระมัง ป่านนี้คงกำลังถูกย่อยสลายอยู่ในท้องอสูรแน่พะย่ะค่ะ” ขุนพลพูดแล้วมองไปรอบๆ อีกครา ด้วยความที่มีลมพัดอยู่ตลอดเวลาทำให้ผืนทรายเปลี่ยนแปลงทุกเวลา ร่องรอยต่างๆ จึงถูกทรายกลบหายไป หลงเหลือร่องรอยอยู่เท่าที่เห็นเท่านั้น

จอมมารพยักหน้าคล้อยตาม เขามองไปรอบๆ แล้วสั่งว่า “เช่นนั้นก็ออกตามหาธิดาสิงห์เถอะ”

“พะย่ะค่ะ” ขุนพลรับคำสั่งแล้วหันไปสั่งพวกทหารอีกที “พวกเจ้าแบ่งกลุ่มแยกย้ายกันไปค้นหาให้ทั่ว จำไว้ว่าให้รีบกลับค่ายก่อนค่ำ”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วรีบแบ่งกลุ่มแยกย้ายไปทันที

ขุนพลกุมมือแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวไปตามหาธิดาสิงห์ก่อนพะย่ะค่ะ”

“อืม” จอมมารพยักหน้า

ขุนพลจึงพาทหารอีกกลุ่มแยกย้ายจากไป

จอมมารมองตามแล้วแยกไปอีกทางหนึ่ง เขาเหาะไปอย่างไร้จุดหมาย สายตากวาดไปทั่วๆ ผืนทรายราวกับจะไม่ให้มีสิ่งใดเล็ดลอดจากสายตาไปได้

ธิดาสามหลับอยู่ในโพรงอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าทหารมารเข้ามาใกล้มากแล้ว นางหลับสนิทยิ่ง ด้วยเพราะเมื่อคืนนางสู้กับฝูงอสูรทะเลทรายค่อนคืน อีกทั้งยังเดินทางจนสายจึงได้หยุดพัก

ทหารมารช่วยกันมองหาไปเรื่อยๆ พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าใต้เท้าพวกเขามีโพรงๆ หนึ่ง พวกเขามองทอดสายตาไปไกล ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงพากันเดินจากไป

“เฮ้อ ตามหาคนๆ หนึ่งกลางทะเลทราย นี่ดั่งงมเข็มในมหาสมุทรชัดๆ” ทหารคนหนึ่งบ่นขึ้นมา

“หาต่อไปเถอะ คำสั่งของท่านจอมมารใครเล่าจะกล้าขัดขืน อีกทั้งก็แค่หาคน ท่านไม่ได้สั่งให้พวกเราไปรบราฆ่าฟันใครเสียหน่อย เจ้าจะบ่นทำไม” ทหารอีกคนพูดขึ้นมา

“ใช่ๆ ท่านจอมมารดูแลพวกเราดีมากนับตั้งแต่ท่านขึ้นครองบัลลังก์ แค่หาคนๆ หนึ่งให้ท่านแค่นี้ก็หาๆ ไปเถอะน่า” ทหารอีกคนพูด

“ข้าก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนเสียหน่อย ก็แค่ทะเลทรายมันกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะหาคนๆ หนึ่งให้เจอได้อย่างไร” ทหารคนแรกรีบอธิบาย

“หาไปเถอะน่า” ทหารคนที่สองพูด

จากนั้นพวกเขาก็เดินมองหาไปเรื่อยๆ พลัน! ทหารคนที่สามก็เตือนว่า “นี่ๆ อย่าลืมเผื่อเวลาตอนขากลับด้วยนะ ข้ายังไม่อยากลงไปอยู่ในท้องอสูรหรอกนะ”

ทหารคนอื่นๆ รีบพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขามองหน้ามองตากันเองอย่างรู้สึกขนลุกชันเมื่อคิดถึงอสูรทะเลทราย จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินหาคน

เสียงพูดคุยกันดังแว่วมาทำให้ธิดาสามสะดุ้งตื่น นางหูผึ่งตามสัญชาตญาณ “หือ?”

นางนอนฟังเสียงแว่วมานั้นจับใจความได้ว่าคนพวกนี้กำลังตามหาคนให้จอมมาร และคนๆ นั้นย่อมไม่อาจเป็นคนอื่นได้นอกจากนาง นางค่อยๆ ขยับตัวอย่างไร้เสียง โผล่หน้าออกไปนอกโพรง หูก็ฟังเสียงไปด้วย

นางรู้สึกว่าคนพวกนั้นเดินห่างจากนางไปไกลขึ้นเรื่อยๆ นางจึงค่อยๆ โผล่ออกจากโพรงเล็กๆ มองไปทางคนพวกนั้น นางมองไม่เห็นพวกเขาเพราะพวกเขาอยู่บนเนินทราย ส่วนนางอยู่ตีนเนินทราย

นางค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนเนินทราย ชะเง้อมองออกไป แล้วก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองหาคน ซึ่งคนๆ นั้นก็คือนาง

พวกเขาคงเป็นมารระดับปลายแถว พลังมารต่ำต้อย ประสาทสัมผัสปกติจึงไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนนางที่อยู่ห่างจากพวกเขาได้

นางมองพวกเขาแล้วค่อยๆ ไต่กลับลงไปที่โพรง นางมุดเข้าไปในโพรงแล้วครุ่นคิด ถ้าจะออกเดินทางตอนนี้นางคงเจอพวกทหารที่กำลังตามล่าตัวนางอยู่แน่นอน ดังนั้นนางรอให้มืดค่ำก่อนดีกว่าแล้วค่อยออกเดินทาง เพราะความมืดจะช่วยอำพรางนางทำให้คนพวกนั้นมองเห็นไม่ชัด นางย่อมปลอดภัยมากขึ้น

เมื่อคิดได้แล้วนางก็เอาผลไม้ออกมาจากถุงผ้า ค่อยๆ กัดกินทีละคำ…ทีละคำ กระทั่งกินหมดแล้วนางก็ดื่มน้ำจากสระมรกตอีกหลายอึก พลังเทพเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับกองทัพมารหรอกนะ

หลังจากกินอิ่มแล้วนางก็นอนหลับพักผ่อนต่อ แดดข้างนอกยังร้อนแรงมาก แต่ในโพรงไม่ร้อนมากนักทำให้นางหลับได้สบาย

ทหารมารแยกย้ายกันตามหาคน แต่จนบ่ายคล้อยแล้วนอกจากแมงป่องและตะขาบ พวกเขาก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นเลย

“รีบกลับค่ายเถอะ เดี๋ยวกลับไปไม่ทันจะกลายเป็นอาหารอสูรนะ” ทหารคนหนึ่งชวน เพราะบ่ายคล้อยเต็มที

“อืมๆ” ทหารคนอื่นเห็นด้วย

จากนั้นพวกเขาก็หันหลังกลับไปตามทางเดิม

เนินทรายเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางเพราะพวกเขามีกระจกนำทาง

กระจกนี้เชื่อมโยงกับเวทป้องกันของค่าย ต่อให้พวกเขาอยู่ที่ใดก็สามารถกลับค่ายถูก ขอเพียงไม่ทำกระจกหายก็พอ

แต่หากทำกระจกหาย พวกเขาก็จะหลงอยู่ในทะเลทราย ยากจะหาทางกลับค่ายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรักษากระจกเท่าชีวิตเลยทีเดียว

จอมมารออกค้นหาธิดาสิงห์ไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งบ่ายจวนเย็น เขาจึงรีบหาที่หยุดพัก เขาไม่คิดจะกลับไปที่ค่ายอีก เพราะเขาตั้งใจว่าจะไปข้างหน้าจนถึงชายแดน หากถึงชายแดนแล้วยังไม่ได้ข่าวธิดาสิงห์เขาก็จะไปตามหานางทางอื่นต่อไป

เขาเจอที่พักเหมาะๆ ที่หนึ่ง เป็นเนินหินขรุขระ ซึ่งเนินเช่นนี้มีกระจายอยู่ทั่วไปในทะเลทราย เนินหินเหล่านี้อสูรทะเลทรายไม่ค่อยย่างกรายเข้าใกล้เพราะอาจทำให้พวกมันติดอยู่ตามซอกหินได้ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเต็มสิบส่วน เพราะบางครั้งอาจจะมีอสูรทะเลทรายบางตัวขึ้นมาบนเนินก็ได้

เขาเลือกนั่งอยู่ใต้ชะง่อนหินแห่งหนึ่ง เมื่อนั่งลงแล้วเขาก็เอาน้ำออกมาดื่ม สายตามองออกไปเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย

จวบจนเย็นค่ำ ฟ้ามืดสลัว รอบด้านมืดมิด ไอร้อนสลายไปอย่างรวดเร็ว อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ จอมมารนั่งอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็นเพราะพลังมารของเขาสูงล้ำจนไม่กลัวร้อนหนาวแล้ว

เมื่อมืดค่ำแล้วธิดาสามจึงออกจากโพรง นางเริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ ใต้ฝ่าเท้านางรู้สึกว่าอสูรพวกนั้นเคลื่อนไหวอยู่ห่างๆ

ดูเหมือนพวกมันจ้องจะหาโอกาสจู่โจมนางไม่เลิกรา

นางเหยียดยิ้มเยาะ ล้วงเอาขวดหยกใส่น้ำออกมาถือเตรียมพร้อมเอาไว้ เผื่อพวกมันพุ่งเข้ามานางจะเอาน้ำราดให้พวกมันชักดิ้นชักงอเชียว

อสูรทะเลทรายค่อยๆ โผล่ศีรษะขึ้นไปบนผืนทราย มันมองเหยื่อตัวจ้อยอย่างไม่ละความพยายาม พวกมันค่อยๆ มุดทรายตามนางไปห่างๆ พลัน! มีตัวหนึ่งแอบมุดอยู่ใต้ทราย พุ่งไปจนถึงตัวเหยื่อ มันพุ่งขึ้นไปหมายฮุบเหยื่อเข้าปากในคำเดียว

“หึ!” ธิดาสามรีบเหินลอยขึ้นไป แล้วเทน้ำราดลง

“กี๊ดดดดดดด—” อสูรทะเลทรายตัวนั้นกรีดร้องลั่นเมื่อถูกน้ำ มันรีบหันศีรษะมุดลงใต้ทรายอย่างไวยิ่ง

เสียงกรีดร้องดังแว่วไปจนถึงหูจอมมาร เขาหูผึ่งทันที “หือ?”

เขาลุกขึ้นยืน ก้าวเดินออกไปนอกชะง่อนหิน มองไปทางทิศที่ได้ยินเสียงดังแว่วมา

ธิดาสามเหินลอยไปเบื้องหน้า นางหันไปมองผืนทรายที่อยู่ด้านหลัง พูดเสียงดังกังวานว่า “พวกเจ้าอยากถูกน้ำราดก็เข้ามาซิ ข้ามีน้ำเหลือเฟือพอที่จะราดพวกเจ้าทั้งฝูง”

อสูรทะเลทรายได้ยินเหยื่อพูดเช่นนั้น พวกมันก็หนังลุกชันอย่างหวาดผวา ไอหยา!

แต่จะให้พวกมันตัดใจง่ายๆ ปล่อยเหยื่อไปพวกมันก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้นพวกมันจึงซุ่มหาโอกาสต่อไป น่า ต้องมีช่วงที่นางเผลอซิ!

อสูรตัวที่ถูกน้ำราดไปแล้วก็มุดลงใต้ทรายลึกอย่างยิ่ง ตรงที่ถูกน้ำราดแสบร้อนไปหมดดั่งถูกเพลิงแผดเผา มันมุดไปมุดมาอยู่ใต้ทรายเพื่อให้ตัวมันแห้งไวๆ หลังจากตัวแห้งแล้วมันก็มุดขึ้นไปคอยหาโอกาสกินเหยื่อตัวจ้อยต่อไป

ธิดาสามหันกลับไป นางเงยหน้ามองดวงดาวแล้วเดินทางต่อ

อสูรทะเลทรายก็เคลื่อนไหวตามไปห่างๆ อย่างไม่ลดละตัดใจ

จอมมารยืนมองฝ่าความมืดราวครึ่งชั่วยาม ขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปใต้ชะง่อนหิน พลันเขาก็เห็นจุดสีขาวรางๆ เคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ จุดสีขาวนั้นดูเลือนรางราวภาพฝัน ลมทะเลทรายก็พัดฝุ่นทรายปลิวเป็นละอองราวม่านหมอก ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนัก

บางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในทะเลทรายก็เป็นได้ สีขาวเล็กๆ นั้นคงเป็นอวัยวะของมันที่ใช้หลอกล่อเหยื่อกระมัง?

เงาร่างสีขาวนั้นค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทิศทางที่เงานั้นเคลื่อนไป ไม่ได้มุ่งตรงมายังเขา แต่ผ่านไปราวเส้นขนาน

เงานั้นมีรูปลักษณ์คล้ายแมว ยิ่งทำให้เขาคิดว่า สิ่งนั้นต้องเป็นเล่ห์กลของอสูรในทะเลทรายที่เอาไว้ใช้ล่อเหยื่อแน่นอน!

ก็จะมีแมวที่ไหนมาเดินอยู่ในทะเลทรายซึ่งชุกชุมไปด้วยอสูรทะเลทรายแห่งนี้ได้ล่ะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ขณะที่เงานั้นเคลื่อนไป เขาเพ่งมองฝ่าม่านฝุ่น พลัน! เขาก็ตกตะลึงทึ่มทื่อ!

เงานั้น มองอย่างไรก็เหมือนไป๋เมายิ่งนัก!

จนกระทั่งเงานั้นเคลื่อนไปไกลจนเกือบจะลับตา จอมมารจึงได้สติ เขาคิดจะตามเงานั้นไป แต่แล้วเท้าก็สะดุดกับแง่หินทำให้เขาเกือบจะล้มลงไป เขาทรงตัวแล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“หรือว่านั่นจะเป็นภาพลวงตาของอสูรทะเลทรายที่ต้องการจะล่อข้าออกไปแล้วจับกิน?”

เขาเคยได้ยินว่ามีอสูรบางชนิดที่สามารถลวงตาเหยื่อได้ ทำให้เหยื่อตกหลุมพรางเข้าไปใกล้มัน แล้วก็จะถูกมันจับกินได้อย่างง่ายดาย

ดูท่าเจ้าอสูรตัวนั้นคงจะมีเล่ห์กลนี้กระมัง?

ไอหยา! เกือบไปแล้วเชียว ข้าเกือบถูกมันหลอกแล้ว ใช่ซิ จะเป็นไป๋เมาไปได้อย่างไร? ไป๋เมาตายไปแล้ว

สีหน้าเขาโศกเศร้าอีกครั้ง เขาก้าวถอยหลังแล้วกลับเข้าไปใต้ชะง่อนหิน เขารู้สึกได้ว่าใต้ผืนทราย อสูรทะเลทรายกำลังเคลื่อนไหวตามเงาสีขาวนั้นไป บางทีเงานั้นอาจจะเป็นเจ้าเผ่าอสูรฯกระมัง?

ธิดาสามเดินไปเรื่อยๆ นางคอยระวังพวกอสูรทะเลทรายที่อยู่เบื้องหลังตลอดเวลา บางครั้งพวกมันบางตัวฉวยโอกาสพุ่งมา นางก็ลอยตัวขึ้นคราหนึ่งแล้วราดน้ำใส่มัน

“กี๊ดดดดดด—” มันร้องลั่นแล้วรีบมุดลงไป

นางถูกพวกมันจู่โจมบ่อยครั้ง พวกมันก็ไม่ละความพยายามที่จะกินนางเสียที ยังคงติดตามอยู่ห่างๆ ทำให้นางต้องคอยระวังตัวอย่างยิ่งยวด สายตาก็คอยมองดวงดาวบนท้องฟ้าไปด้วย

นางไม่รู้ว่านางต้องเดินทางอยู่กลางทะเลทรายนานเท่าไหร่ แต่จะนานเท่าไหร่ก็ช่างมัน ขอเพียงให้ออกไปจากแดนมารได้ก็พอ

อีกทั้งยังต้องคอยหลบหลีกเหล่าทหารมารที่กำลังตามล่านางไปด้วย นางเชื่อว่าปานนี้ครอบครัวของนางต้องออกตามหานางอยู่แน่ๆ บางทีหากโชคช่วยนางอาจจะได้เจอพวกเขาก็ได้ ขอเพียงไม่ถูกจับไปอีกก็พอ

ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ ลมก็พัดม้วนมา เสียงลมหวีดหวิวดังยิ่งนัก ลมนั้นรุนแรงราวพายุอย่างไรอย่างนั้น นางรีบขุดทรายไวอย่างยิ่ง เพราะหากนางยังยืนอยู่กลางที่โล่งเช่นนี้คงถูกลมนั้นพัดหอบม้วนไปแน่แท้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version