Chapter 10
“เจ้าเด็กน่าตาย!”
ที่ปากนางก็เปื้อนเลือด นางมองเด็กสาวทั้งสองแล้วก็พูดว่า “อา…ทำพวกเจ้าตกใจแล้ว”
“ท่านป่วย…” หลินจื่อเซียนพูดยังไม่ทันจบป้าฉีก็ทรุดลงไปล้มลงตึง!
“ป้าฉี!” เซี่ยจินเย่ตกใจ วางของในมือลงแล้วรีบเข้าไปประคองป้าฉี หลินจื่อเซียนก็ยื่นมือไปแตะจุดชีพจร ปล่อยพลังจิตเข้าไปในร่างป้าฉีตรวจดูอาการป่วย สักพักก็พบว่าป้าฉีเป็นโรคปอดอักเสบ เธอชักมือออก แล้วสั่งเซี่ยจินเย่ว่า “เจ้าเก็บของตามข้ามา ข้าจะแบกป้าฉีเข้าไปเอง”
“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่พยักหน้า รีบเดินไปเก็บของมาถือ หลินจื่อเซียนก็จัดแจงแบกป้าฉีขึ้นหลัง แล้วเดินเข้าไปในบ้าน บานประตูเปิดอ้าอยู่ เธอจึงยกเท้ายันประตูให้เปิดออกแล้วแบกป้าฉีไปนอนที่เตียง เซี่ยจินเย่เดินตามเข้ามา วางของไว้หน้าประตูเรือน แล้วเดินเข้าไปในเรือน นางมองป้าฉีแล้วก็เดินไปตักน้ำใส่อ่าง เอาผ้าชุบน้ำแล้วไปเช็ดคราบเลือดออกให้ มือค่อยๆ เช็ดอย่างเป็นห่วง เพราะป้าฉีดีกับนาง นางก็ย่อมต้องดีกับป้าฉี เมื่อเช็ดเลือดเสร็จก็หันไปถามพี่จื่อเซียนว่า “ท่านพี่ ท่านป้าป่วยเป็นอะไร?”
“โรคปอดอักเสบ” หลินจื่อเซียนบอก แล้วก็สั่งนางว่า “เจ้าไปต้มน้ำร้อนไว้ คนเป็นโรคปอดไม่ควรดื่มน้ำเย็นๆ ต้องดื่มน้ำอุ่นจึงจะดี”
“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่รับคำแล้วก็เดินออกไป ตรงไปที่ครับจัดแจงต้มน้ำร้อน ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ‘โรคปอดอักเสบ’ คืออะไร เป็นโรคแบบไหน แต่ในเมื่อพี่จื่อเซียนบอกว่าต้องดื่มน้ำอุ่นก็ดื่มน้ำอุ่น ดูจากสภาพแล้วป้าฉีอยู่คนเดียว คาดว่าสามีนางคงตายไปแล้ว ลูกสาวกับลูกเขยก็ตายแล้ว ช่างอาภัพนัก เฮ้อ…
หลินจื่อเซียนรอจนป้าฉีได้สติแล้ว จึงถามว่า “ท่านป่วยมานานเท่าไหร่แล้ว?”
“แค่กๆ นานแล้ว” ป้าฉีตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง หลินจื่อเซียนขมวดคิ้ว “นานแล้ว แล้วทำไมท่านไม่ไปหาหมอ?”
“ข้าไม่มีเงิน” ป้าฉีตอบตรงๆ หลินจื่อเซียนยิ่งขมวดคิ้ว ชักสงสัยแล้วว่าค่ารักษาของคนโลกนี้ประมาณเท่าไหร่กันแน่? ถึงได้ทำให้คนไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนักอย่างโรคปอดอักเสบที่น่าจะเกิดจากการเป็นไข้หวัด แล้วติดเชื้อลงปอด เธอจึงถามต่อ “ค่ารักษาเท่าไหร่รึ?”
“แพง แพงนัก” ป้าฉีตอบแล้วส่ายหน้า “ข้านั้นเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว จะตายวันไหนก็ตายเหมือนกัน จะอยู่หรือตายก็มีค่าเท่ากัน”
หลินจื่อเซียนฟังแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…ป้าฉี ชีวิตคนมีค่าเสมอนะ ท่านมีชีวิตอยู่ก็ได้ช่วยเหลือคนอื่น อย่างเช่นข้ากับน้อง ท่านก็ให้ที่อยู่เปล่าๆ ไม่เอาเงิน ทำไมถึงได้คิดว่าชีวิตตัวเองไร้ค่าล่ะ?”
แล้วเธอก็เอาโอสถระดับสิบออกมาจากแหวนเก็บของ ยื่นไปให้ป้าฉี “นี่เป็นโอสถรักษาอาการอักเสบ ท่านกินเถอะ จะได้หาย”
ป้าฉีมองโอสถที่ยื่นมาตรงหน้า เบิกตากว้าง แล้วดันมือเล็กๆ เอาไว้ บอกว่า “เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ โอสถเม็ดนึงนั้นแพงนัก กว่าเจ้าจะหาซื้อมาได้คงหมดเงินไปไม่น้อย อย่าได้เอาโอสถล้ำค่ามาเสียเวลากับชีวิตไร้ค่าอย่างข้าเลย”
“ป้าฉี โอสถจะล้ำค่าอย่างไรก็เป็นแค่โอสถ แต่ชีวิตถ้าตายแล้ว แม้แต่ยาสวรรค์ยาเซียนที่ไหนก็ฟื้นชีวิตคนไม่ได้หรอกนะ” หลินจื่อเซียนดุอย่างไม่ชอบใจที่ป้าฉีไม่รักชีวิตตัวเอง คำพูดของหลินจื่อเซียนทำให้ราชันย์โอสถถึงกับยิ้มชอบใจ “พูดได้ดีๆ”
“ท่านกินเถอะ โอสถข้าไม่ได้มีแค่เม็ดเดียว” หลินจื่อเซียนจับมือป้าฉีแล้วยัดโอสถใส่มือนาง ป้าฉีกลับยัดคืนมา “เจ้าเก็บไว้เถอะ ยามขัดสนก็ยังเอาไปขายได้”
“ท่านนี่นะ” หลินจื่อเซียนดุ แล้วก็รีบโอสถมา จากนั้นก็พุ่งประชิดตัว จับป้าฉีบีบปากแล้วยัดโอสถเข้าไป ป้าฉีตกใจ “อ้าเจ้า!”
นางจะคายโอสถก็ไม่ทัน เพราะเมื่อโอสถเข้าปากแล้วก็ละลายเป็นน้ำไหลลงคอไปแล้ว อีกทั้งเจ้าเด็กนี่ก็ปิดปากนางไว้อีก น่าตาย! เจ้าเด็กนี่นี่! คนเขาอุตส่าห์หวังดีด้วยแท้ๆ
หลินจื่อเซียนกะว่ายาลงคอไปแล้วจึงได้ถอนมือออก พูดว่า “ขออภัย ล่วงเกินท่านป้าแล้ว”
พอปากเป็นอิสระ ป้าฉีก็ด่าทันที “เจ้ารู้ไหมว่าโอสถเม็ดหนึ่งราคาเท่าไหร่! เจ้าหลอมเองได้หรือไร! หรือเก็บได้จากฟ้า! ชีวิตแก่ๆ อย่างข้าจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ไยต้องให้เจ้ามาสิ้นเปลืองโอสถด้วยเล่า! เจ้าเด็กนี่นี่! น่าตีให้ขาหักนัก!”
“ข้าลาล่ะ” หลินจื่อเซียนกุมมือคารวะแล้วก็รีบเผ่นไปทันที เมื่อออกมาด้านนอกก็ตะโกนเรียก “จินเย่ รีบไปกันเถอะ ข้าทำป้าฉีโกรธแล้ว”
พูดจบเธอก็หยิบข้าวของที่ซื้อมาขึ้นมา เหลือไว้แต่ของที่ให้ป้าฉี จากนั้นก็เดินจากไป เซี่ยจินเย่ได้ยินว่าทำป้าฉีโกรธจึงรีบตามไป ป้าฉีได้ยินคำพูดของเจ้าเด็กน่าตายก็โกรธจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุ้บๆ ตะโกนด่าว่า “เจ้าเด็กน่าตาย! กลับมาให้ข้าหักขาเดี๋ยวนี้นะ!”
หลังตะโกนแล้วนางก็แปลกใจ “เอ๋? ไม่เจ็บแล้ว? ไม่ไอแล้ว?”
นางตบ อกตัวเองตุบๆ ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางโก่งคอไอแค่กๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง “ข้าหายแล้ว!?”
“เป็นโอสถที่ล้ำค่านัก!” นางยิ่งเสียดายโอสถที่กินเข้าไปมากยิ่งขึ้น แล้วก็ยิ่งโกรธเจ้าเด็กน่าตายที่เอาโอสถล้ำค่ามาให้นางกิน แทนที่จะเก็บไว้ใช้เอง หรือไม่ก็เอาไปขายยามขัดสนเงินทองขึ้นมา “เจ้าเด็กโง่!”
หลินจื่อเซียนถือของเดินกลับบ้าน เซี่ยจินเย่ก็เดินตามไปอย่างเป็นกังวล “ท่านป้าดูท่าจะโกรธมาก ท่านพี่ไปทำอะไรให้ท่านป้าโกรธหรือ?”
“ก็แค่เอาโอสถให้กินเท่านั้นเอง” หลินจื่อเซียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ เซี่ยจินเย่ยิ่งสงสัย เอาให้กินอย่างไรถึงได้ทำท่านป้าโกรธจนตะโกนด่าถึงขนาดนั้น? คงไม่ใช่ว่าบังคับให้กินหรอกนะ?
นางได้แต่คิด แต่ก็ไม่กล้าถาม
เมื่อกลับถึงบ้าน เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผ้าห่มผืนใหม่แล้ว เซี่ยจินเย่ก็เอาผืนที่เปื้อนเลือดไปซัก พยายามซักอย่างไร คราบเลือดก็จางไปนิดเดียวเอง ขยี้อยู่นานจนต้องถอดใจ เอาล้างน้ำแล้วเอาไปตาก พลางคิดว่า นางจะเอาผ้าเปื้อนเลือดนี้เก็บไว้ใช้เอง แล้วเอาของตัวเองไว้ให้ท่านพี่ใช้
“จินเย่ ซักเสร็จยัง? ถ้าเสร็จแล้วก็ไปวิ่งกันเถอะ” หลินจื่อเซียนตะโกนถาม เซี่ยจินเย่จึงรีบตอบ “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปวิ่งในสุสาน จากที่กลัวๆ ในตอนแรก เซี่ยจินเย่ก็เลิกกลัวแล้ว พยายามวิ่งตามพี่จื่อเซียนให้ทัน หมายใจว่าสักวันหนึ่งนางจะต้องวิ่งแซงท่านพี่ให้ได้!
กลางคืน เซี่ยจินเย่ก็หลับเป็นตาย ส่วนหลินจื่อเซียนก็นั่งฝึกจิต เมื่อเธอเข้าไปในห้วงสติ ก็เจอราชันย์โอสถคอยอยู่แล้ว ราชันย์โอสถยิ้ม ชมว่า “ศิษย์ข้าต้องมีจิตใจดีงามเช่นนี้ เหมาะสมแล้วๆ”
เมื่อโอกาสลอยมาตรงหน้า หลินจื่อเซียนก็ไม่รีรอที่จะคว้าไว้ กุมมือคารวะ พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ก็ควรจะส่งเสริมศิษย์ให้ช่วยเหลือคน ข้ายังต้องหลอมโอสถอีกมากนัก หากท่านอาจารย์จะช่วยสนับสนุน ข้านั้นยังขาดสมุนไพร”
ราชันย์โอสถหน้ากระตุกยึกๆ เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นมา ด่าว่า “เจ้าคิดจะปล้นสมุนไพรของข้าให้หมดเลยหรือ!?”
“จุ๊ๆ อาจารย์พูดผิดแล้ว” หลินจื่อเซียนชูนิ้วโบกไปโบกมา “ถ้าบอกว่าปล้น ข้าก็ต้องเอามีดจี้คอท่านแล้วขู่บังคับเอามาซิ แต่นี่ข้าขอท่านอยู่นะ ปล้นที่ไหนกัน”
“เจ้า! เจ้า!” ราชันย์โอสถเถียงไม่ออก ได้แต่ชี้หน้านิ้วสั่นระริกๆ หลินจื่อเซียนยิ้มแย้ม กุมมือ ค้อมตัวต่ำ “อาจารย์จะสนับสนุนไหม?”
“…” ราชันย์โอสถพูดไม่ออก ด่าออกมาหนึ่งประโยค “เจ้าเด็กหน้าหนา”
“ขอบคุณที่ชม” หลินจื่อเซียนยืดตัวขึ้นยิ้มรับ ทำราชันย์โอสถหมดคำจะด่า เขาถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ…ใครใช้ให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์เล่า”
“ของๆ อาจารย์ ย่อมตกทอดให้ศิษย์ ของๆ ศิษย์ก็เป็นของๆ ศิษย์” หลินจื่อเซียนแกล้งแหย่ ยิ้มๆ ราชันย์โอสถค้อนขวับ “เฮอะ! เจ้านี่นะ!”
“อาจารย์รีบไปเถอะ เวลาไม่คอยท่า ดั่งที่ว่าค่ำคืนวสันต์มีค่าพันตำลึง” หลินจื่อเซียนแกล้งแหย่อีก ทำราชันย์โอสถหน้ากระตุกยึกๆ “ปากเจ้านี่นะ ผีเจาะปากหรือไร!”
“น่าๆ อาจารย์เวลาไม่คอยท่า กลางวันข้ายังต้องสอนจินเย่อีก” หลินจื่อเซียนพูดท่าทางเป็นการเป็นงาน ราชันย์โอสถจึงพานางเข้าไปในโลกใบเล็กของตัวเอง หลินจื่อเซียนก็หลอมโอสถไม่หยุดไม่หย่อน จนแม้แต่ราชันย์โอสถยังตกตะลึง นับตั้งแต่ที่เจ้าเด็กนี่หลอมโอสถ ก็ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่จะไม่สำเร็จ อีกทั้งยังหลอมได้ทั้งสิบระดับดั่งใจนึก นี่เป็นพรสวรรค์ฝืนลิขิตฟ้าโดยแท้ ฮ่าๆๆๆ อาจารย์เก่งย่อมต้องมีศิษย์ล้ำเลิศไว้ชูหน้าชูตา
จวบจนเช้า หลินจื่อเซียนก็ออกมาจากโลกใบเล็กของอาจารย์ พร้อมกับโอสถหลายขวด เธอเก็บขวดโอสถเข้าไปในโลกใบเล็กของตัวเอง แล้วก็เอาโอสถทั้งหมดที่เก็บอยู่ในแหวนเก็บของย้ายไปไว้ในโลกใบเล็กด้วย อุตส่าห์หลอมมา ถ้าถูกคนอื่นแย่งไปเธอคงแค้นใจตายแน่ รอยแยกที่ปรากฏขึ้นดูแล้วก็ไม่แตกต่างจากทางเข้าออกของแหวนเก็บของ จึงทำให้ราชันย์โอสถไม่รู้เลยว่าเจ้าปีศาจน้อยสามารถสร้างโลกใบเล็กได้แล้ว อีกทั้งเขาไม่ได้ตามดูนางทุกช่วงเวลาเสียหน่อย ตอนที่เห็นว่านางฝึกฝน เขาจึงนั่งฝึกฝนพลังของตัวเอง จึงได้พลาดช่วงเวลานั้นของนางไป
หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว หลินจื่อเซียนก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปอาบน้ำ ราชันย์โอสถก็เข้าสู่การฝึกฝนของตัวเอง ตัดการรับรู้ทั้งหมด หลินจื่อเซียนเห็นในครัวติดเตาไฟอยู่ เซี่ยจินเย่กำลังหุงข้าว ทำกับข้าวอยู่ในครัว หลินจื่อเซียนจึงเดินเข้าไปอาบน้ำ แม้ว่าน้ำจะหนาวเย็น เธอก็อาบ ก็มันติดเป็นนิสัยแล้ว ตื่นมาต้องอาบน้ำ ก่อนนอนต้องอาบน้ำ เธอเอาสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพูที่ทำเมื่อคืนในโลกใบเล็กของอาจารย์ออกมาวางไว้บนชั้นไม้หยาบๆที่วางอยู่ในห้องอาบน้ำ แล้วก็ถอดเสื้อผ้าออก กลั้นใจครู่หนึ่งแล้วก็ตักน้ำราดตัว ราดได้สามชามก็รีบหยิบสบู่มาฟอกตัว ฟอกเสร็จก็รีบตักน้ำล้างตัว จากนั้นก็เช็ดตัวแล้วเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากแหวนเก็บของ ใส่เสื้อผ้าแล้วเธอก็แปรงฟันต่อ
เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เซี่ยจินเย่ก็ถือชามข้าวเดินมาพอดี “พี่จื่อเซียน ท่านตื่นแล้ว ดีเลย ข้าทำกับข้าวเสร็จพอดี มาเจ้าค่ะ”
“อืม” หลินจื่อเซียนพยักหน้า ยื่นมือไปรับชามข้าวจากเซี่ยจินเย่ เซี่ยจินเย่ก็ส่งให้แล้วเดินกลับไปยกกับข้าวมา หลินจื่อเซียนถือชามข้าวเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงชายคา เธอนั่งลงวางชามข้าวไว้ตรงหน้าตัวเอง อีกชามก็วางไว้อีกด้านของโต๊ะ เซี่ยจินเย่ถือชามใส่กับข้าว 2 อย่างเดินมา วางชามลงกลางโต๊ะ ในชามมีผัดเนื้อกับผัดผัก หลินจื่อเซียนมองแล้วก็ชมว่า “น่ากิน”
เซี่ยจินเย่ก็ยื่นตะเกียบให้ หลินจื่อเซียนรับตะเกียบมาแล้วก็ลงมือกินข้าว
หลังจากกินเสร็จแล้วหลินจื่อเซียนก็เดินไปบ้านป้าฉี เซี่ยจินเย่ก็ตามไปด้วย เมื่อไปถึงหน้าประตูรั้ว เซี่ยจินเย่ก็เคาะประตู
รออยู่ครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก แอ๊ดดดดดด…
แล้วป้าฉีก็โผล่มาแต่ใบหน้าเหมือนเช่นเคย พอเห็นว่าเป็นเด็กสาวทั้งสองคน นางก็พูดว่า “เข้ามาซิ”
นางเปิดประตูกว้างขึ้น หลินจื่อเซียนจึงเดินนำเข้าไป เซี่ยจินเย่เดินตามหลัง ป้าฉีเดินเข้าไปในเรือน หยิบถุงเงินของตัวเองออกมา นี่เป็นเงินทั้งหมดที่นางมี นางเดินไปหาเจ้าเด็กน่าตาย จับมือนางแล้วยัดถุงเงินใส่มือ พูดว่า “นี่เป็นค่าโอสถที่ข้ากินไปเมื่อวาน เจ้ารับไว้เถอะ”
หลินจื่อเซียนพลิกมือ จับมือป้าฉีหงายขึ้นแล้วยัดถุงเงินกลับไป พูดว่า “โอสถเมื่อวานถือเป็นค่าเช่าที่ข้าต้องจ่ายให้ท่าน ท่านไม่ติดค้างอะไรข้า เก็บเงินของท่านไว้เถอะ”
“จะได้อย่างไร! โอสถนั่นล้ำค่ามากนัก เงินนี่ยังเทียบไม่ได้แม้แต่ขี้ผงเลยด้วยซ้ำ เจ้ารับไว้เถอะ” ป้าฉีดุเสียงดัง จับมือเจ้าเด็กน่าตายให้หงายขึ้นแล้วยัดถุงเงินใส่มืออีกหน หลินจื่อเซียนกำถุงเงินไว้ แล้วยื่นไปให้เซี่ยจินเย่ “ถือไว้”
เซี่ยจินเย่ก็ยื่นมือมารับถุงเงินไปถือเอาไว้ หลินจื่อเซียนก็กุมรอบข้อมือป้าฉีไว้ ปล่อยพลังจิตสายเล็กๆ เข้าไปในร่างป้าฉี ตรวจดูอาการป่วย เมื่อเห็นว่าหายดีแล้วก็ปล่อยมือ จากนั้นก็ฉวยถุงเงินมา ก้มตัวลงวางถุงเงินไว้กับพื้น แล้วยืดตัวขึ้น คว้าแขนเซี่ยจินเย่เดินจากไปอย่างเร็ว
“อ่ะ” เซี่ยจินเย่ร้องออกมาคำหนึ่งเพราะจู่ๆ ก็ถูกจูงมือเดินไป ส่วนป้าฉีก็มองตาปริบๆ จะพูดอะไรก็ไม่ทันแล้วเพราะเจ้าเด็กสองคนจากไปอย่างรวดเร็วยิ่ง!
หลินจื่อเซียนจูงเซี่ยจินเย่กลับบ้าน จากนั้นก็จูงม้าเดินเข้าไปในสุสาน เซี่ยจินเย่ก็เดินตามไป เมื่อเข้าไปในสุสานแล้วหลินจื่อเซียนก็บอกว่า “วันนี้ฝึกขี่ม้า”
“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่พยักหน้ารับ สีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย เพราะไม่เคยขี่ม้า ได้ขี่ครั้งแรกก็คือขี่กับพี่จื่อเซียน มาตอนนี้ ต้องมาฝึกขี่ม้าจึงเกิดความกลัวไม่น้อย กลัวว่าจะถูกม้าเตะ กลัวว่าจะถูกม้าพยศสะบัดตก หลินจื่อเซียนเห็นสีหน้าของเซี่ยจินเย่จึงพูดปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้งคน”
คำว่า ‘ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้งคน’ ทำให้เซี่ยจินเย่คลายความกังวลลงไปได้มาก หลินจื่อเซียนก็สอนวิธีขี่ม้า เซี่ยจินเย่ก็พยายามเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ม้าก็เชื่องดี เพราะคุ้นเคยกับคนทั้งสอง อีกทั้งเซี่ยจินเย่ยังเป็นคนคอยเอาน้ำให้มันกิน ทำให้มันคุ้นเคยกับเซี่ยจินเย่ไม่น้อย
ตกเย็น 2 คน 1 ม้าก็กลับบ้าน เซี่ยจินเย่ระบมก้นไม่น้อยเลย หลินจื่อเซียนจูงม้าไปเข้าคอก จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะใต้ชายคา เซี่ยจินเย่ก็เดินไปตักน้ำ 2 ชาม แล้วมานั่งใกล้ๆ พี่จื่อเซียน นางยกชามน้ำขึ้นดื่ม บ่นว่า “อูย คืนนี้ข้าคงนอนหงายไม่ได้แน่”
หลินจื่อเซียนยิ้ม เพราะนี่เป็นปกติสำหรับคนที่หัดขี่ม้าใหม่ๆ ก็ต้องเจ็บระบบก้นกันทุกคน จนกว่าจะเคยชินแล้วนั่นแหละถึงไม่เจ็บอีก เธอยกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็นับเงินในแหวนเก็บของ พลางพูดว่า “พวกเราต้องหาอาชีพทำแล้ว จะอยู่เฉยๆ โดยไม่มีรายได้ไม่ได้”
“อาชีพหรือ?” เซี่ยจินเย่ชะงักไป นางทำเป็นแค่ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าวเท่านั้น อ่านออกเขียนได้ก็เพราะท่านแม่จ้ำจี้จ้ำไชคอยสอน เพราะนางมีพลังธาตุต่ำนัก ไม่อาจฝึกฝนได้ ท่านแม่จึงหวังให้นางเป็นเสมียรตามร้านค้าหาเลี้ยงตัวยามเติบใหญ่ แต่นางยังไม่ทันเติบใหญ่ ท่านแม่ก็สิ้นใจไปก่อนแล้ว นางคิดๆ แล้วก็บอกว่า “ข้าอ่านออกเขียนได้ ข้าจะไปเป็นลูกจ้างตามร้านค้า”
“อืม ก็ดี” หลินจื่อเซียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้พวกเราลองไปเดินดูก่อนล่ะกัน บางทีข้าอาจจะเอาของที่ได้มาจากคนพวกนั้นไปขาย เพราะของพวกนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเรา สู้ขายไปดีกว่า”
“อ่อ พวกเจ้ากลับมาแล้ว” ป้าฉีพูดอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว นางผลักประตูเข้ามา ถือกล่องไม้เป็นชั้นๆ มาด้วย ลักษณะคล้ายปิ่นโตแบบสมัยโบราณ ทำให้หลินจื่อเซียนกับเซี่ยจินเย่ชะงักบทสนทนา ป้าฉีเดินลิ่วๆ มาถึงก็วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะ แล้วเปิดปิ่นโตหยิบอาหาร ขนม ออกมาวางเรียง “ข้าทำให้มาพวกเจ้าน่ะ”
“ขอบคุณท่านป้า” หลินจื่อเซียนกุมมือคารวะ ป้าฉีโบกไม้โบกมือ “เล็กน้อยๆ พวกเจ้ากินเสียซิ”
“ขอบคุณท่านป้า” หลินจื่อเซียนพูดอีกครั้ง เซี่ยจินเย่ก็กุมมือ “ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ”
“ตอนกลางวัน พวกเจ้าไปไหนกัน? ข้ามาหารอบหนึ่งแล้วไม่เจอ” ป้าฉีถามแล้วก็พูดว่า “ข้าเอาขนมมาให้น่ะ แต่พวกเจ้าก็ไม่อยู่ ข้าเห็นม้าไม่อยู่ คิดว่าพวกเจ้าคงออกไปนอกเมืองกระมัง”
“พวกข้าอยู่ในสุสาน ข้าพาจินเย่ไปหัดขี่ม้า” หลินจื่อเซียนตอบ ป้าฉีจึงพยักหน้ารับรู้ “อ่อ”
นางนั่งลงเยื้องๆ กับเจ้าเด็กน่าตาย แล้วถามว่า “จริงซิ พวกเจ้าชื่ออะไร?”
“ข้า จื่อเซียน น้องข้า จินเย่” หลินจื่อเซียนบอก นิ้วก็ชี้ไปที่เซี่ยจินเย่ เธอไม่ได้บอกแซ่ของเซี่ยจินเย่ออกไป เพราะยังไม่อยากเจอปัญหาวุ่นวาย แซ่เซี่ย ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นแซ่ของราชวงศ์แคว้นเฟิง ป้าฉีมองๆ “อ่อ จื่อเซียนกับจินเย่”
หลินจื่อเซียนเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเซี่ยจินเย่ บอกว่า “เจ้าไปต้มชามาให้ป้าฉีซิ”
เธอบอกแล้วก็หยิบกล่องชาออกมาจากแหวนเก็บของ
“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่ก็รับกล่องชาไปแล้วถือจานขนมเดินเข้าครัว ป้าฉีมองตามแล้วก็หันมาพูดกับเจ้าเด็กน่าตายว่า “เมื่อกี้ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังหางานทำหรือ?”
“ใช่” หลินจื่อเซียนพยักหน้า แล้วก็ถามว่า “อ่อ ท่านป้าพอจะรู้ไหมว่าร้านไหนรับซื้อเหล้าบ้าง?”
“เหล้าหรือ?” ป้าฉีครุ่นคิด หลินจื่อเซียนจึงเอาไหเหล้าออกมาจากแหวนเก็บของ ซึ่งเหล้าพวกนี้เป็นเหล้าที่อยู่ในแหวนเก็บของวงแรกที่เธอได้มาจากคนตายพวกนั้น ไหเหล้านับร้อยๆ วางเรียงรายอยู่กับพื้นด้านหนึ่ง ป้าฉีเบิกตาโตมองไหเหล้านับร้อยเหล่านั้นอย่างตะลึง “ฮ๊ายยยยย…นี่บ้านเจ้าหมักเหล้าขายหรือไร?”
“ไม่ใช่ นี่เป็นของชดใช้จากคนที่มีเรื่องกับข้าน่ะ” หลินจื่อเซียนตอบกำกวม ป้าฉีอ้าปากค้าง “ของชดใช้?”
นางกะพริบตาปริบๆ เข้าใจคำว่า ‘ของชดใช้’ สงสัยว่าใครกันที่มีเรื่องกับจื่อเซียนจนต้องยินยอมชดใช้ด้วยเหล้าตั้งมากมายหลายร้อยไหเช่นนี้?
“ท่านป้า น้ำชาเจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่ยกชามาให้ป้าฉี ป้าฉีพยักหน้ารับ ยกชาขึ้นจิบ เซี่ยจินเย่ก็เดินกลับไปที่ครัว
“ท่านป้าพอจะรู้ไหมว่า ที่ไหนรับซื้อเหล้าพวกนี้บ้าง?” หลินจื่อเซียนถาม ป้าฉีดึงสติกลับมา แล้วบอกว่า “มีเหลาอาหารอยู่หลายแห่ง เจ้าลองไปถามดูซิ แต่ถ้าเป็นเหล้าขึ้นชื่อ เหล้าหายาก ส่วนใหญ่จะเอาไปเปิดประมูลที่จินไป๋”
“จินไป๋?” หลินจื่อเซียนทวนคำ ป้าฉีจึงอธิบายว่า “จินไป๋เป็นโรงประมูลน่ะ เดือนนึงจัดประมูลครั้งนึง จัดทุกคืนวันที่ 5 ของเดือน ของที่ประมูลในนั้นมีทั้งแพรพรรณ เครื่องเรือนล้ำค่า เครื่องประดับงามๆ โอสถ อาวุธ เหล้า สตรี บุรุษ สัตว์หายาก ล้วนมีประมูลทั้งนั้น”
“อ่อ” หลินจื่อเซียนพยักหน้ารับรู้ ป้าฉีก็พูดว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นวันเปิดประมูล เจ้าเพิ่งมาจากต่างถิ่น เจ้าก็ลองไปดูซิ จินไป๋หาไม่ยาก เจ้าเดินเข้าไปตามถนนสายหลักก็จะเห็นเรือนใหญ่ๆ สามชั้น อยู่ใกล้ๆ กับกำแพงวัง เปิดให้ใครเข้าไปก็ได้ เพียงเจ้ามีเงินพอที่จะประมูล เจ้าก็ประมูลได้ ไม่มีกฎอะไรมาก บางคนก็เอาของไปประมูล บางคนก็ไปประมูลของ”
“ขอบคุณท่านป้าที่แนะนำ” หลินจื่อเซียนพูด แล้วก็เก็บเหล้าใส่ไว้ในแหวนเก็บของ คิดว่าพรุ่งนี้จะไปหาเหลาอาหารติดต่อขายเหล้าธรรมดาพวกนี้ แล้วค่อยไปดูที่จินไป๋
“เอาล่ะ ข้าเอาอาหารมาให้แล้ว ข้ากลับล่ะ” ป้าฉีพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน หลินจื่อเซียนจึงกุมมือคารวะ “ท่านป้ากลับดีๆ นะ”
“อืม” ป้าฉีส่งเสียงคำหนึ่งแล้วก็เดินออกไป
ตกกลางคืน หลินจื่อเซียนก็เข้าไปในโลกใบเล็กของราชันย์โอสถ ราชันย์โอสถก็ถามว่า “พรุ่งนี้ เจ้าจะไปที่จินไป๋หรือ?”
“อืม” หลินจื่อเซียนพยักหน้า ราชันย์โอสถก็ส่งขวดให้หนึ่งขวด บอกว่า “เอาโอสถของข้าไปประมูลด้วย”
“ได้” หลินจื่อเซียนรับขวดโอสถมา มองดูเม็ดโอสถในนั้น พูดว่า “ทะลวงฟ้า ระดับสิบ”