Skip to content

สตรีน่าตาย 8

  • by

Chapter 8 “หึ! สวะไร้ค่า”

จากนั้นหลินจื่อเซียนก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้องนอน เซี่ยจินเย่ก็ลุกขึ้นมา แล้วหอบผ้าห่มที่ใช้ห่มออกไปตากแดด เพราะเก็บไว้ในหีบมานานจึงมีกลิ่นอับ แต่เพราะเมื่อคืนไม่มีทางเลือกจึงต้องจำใจห่มไปก่อน ครั้นตากผ้าห่มแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา

“จินเย่ เสร็จหรือยัง?” หลินจื่อเซียนถาม เซี่ยจินเย่รีบบอก “เสร็จแล้วๆ”

นางรีบวางชามตักน้ำ แล้วเดินออกไปก็เห็นพี่จื่อเซียนยืนบิดตัวอยู่หน้าเรือน

“มาๆ ข้าจะพาเจ้าไปซื้ออาภรณ์ใหม่ ชุดนี้เหม็นเต็มทน” หลินจื่อเซียนกวักมือ เซี่ยจินเย่รีบเดินไปหา “เจ้าค่ะ”

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไป ส่วนม้าก็ปล่อยให้มันเล็มหญ้าอยู่ในบ้านนั้นแหละ

เมื่อไปถึงร้านขายอาภรณ์ที่ใหญ่โตร้านหนึ่ง หลินจื่อเซียนกับเซี่ยจินเย่ก็ก้าวเข้าไปในร้าน ลูกจ้างในร้านกำลังจะอ้าปากเอ่ยต้อนรับลูกค้า แต่พอเห็นสารรูปของคนที่เข้ามา เขาก็ไล่ตะเพิดว่า “ไปๆ นังขอทาน ไปให้พ้นร้านข้านะ!”

หลินจื่อเซียนจึงบอกว่า “ข้าไม่ได้มาขอทาน ข้ามาซื้ออาภรณ์”

“เฮอะ! น้ำหน้าอย่างพวกเจ้าจะมีปัญญาซื้ออาภรณ์ในร้านข้ารึ!? น่าขัน แม้แต่เศษผ้าในร้านข้าเจ้ายังไม่มีปัญญาซื้อเลย ไปๆ” ลูกจ้างแค่นเสียงเหยียดหยาม ขับไล่อย่างไม่ไว้หน้า พลัน! เถ้าแก่ก็เดินออกมา “เอะอะอะไรกัน?”

“ข้ามาซื้ออาภรณ์” หลินจื่อเซียนเอ่ยน้ำเสียงสงบราบเรียบ เถ้าแก่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองจนคนถูกมองคงหน้าชาไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับหลินจื่อเซียน จะบอกว่าหน้าเธอหนา หรือว่าไร้ความรู้สึกดีล่ะ เถ้าแก่มองขึ้นมองลง มองลงมองขึ้น แล้วโบกมือไล่ “ขอทานอย่างพวกเจ้ารีบไปเสีย ก่อนที่ข้าจะให้คนตีพวกเจ้าแล้วโยนออกไป ร้านข้าไม่ต้อนรับขอทานอย่างพวกเจ้า ไปๆ”

เซี่ยจินเย่หน้าแดงด้วยความอับอาย เม้มปากเน้น แอบอยู่ด้านหลังพี่จื่อเซียน หลินจื่อเซียนก็ไม่ต่อปากต่อคำอะไร เพียงจับมือเซี่ยจินเย่เดินออกจากร้านไป ก็ในเมื่อเจ้าของร้านไม่ต้อนรับลูกค้า คิดว่าเธอจะง้อเหรอ? เชอะ!

ด้านหน้าร้านมีคนหยุดมองไม่น้อยเพราะเสียงของลูกจ้างกับเถ้าแก่ไม่เบาเลย คนมองๆ แล้วก็พูดคุยกัน

“เฮอะ! ไม่เจียมตัว”

“ดูสารรูปแล้วก็สมควรแล้วที่จะถูกไล่ออกมา”

“คนเช่นนี้จะมีปัญญาซื้ออาภรณ์ได้อย่างไร คงจะคิดเข้าไปขออาภรณ์ซินะ”

ฯลฯ

เซี่ยจินเย่ฟังคนพูดกันแล้วก็ยิ่งอับอาย ตาแดงๆ น้ำตาเจียนจะหยดให้ได้ หลินจื่อเซียนได้ยินเสียงสูดน้ำมูกจึงหันไปมองคนข้างกาย แล้วปลอบว่า “มีเงินจะซื้อของร้านไหนก็ได้ แต่ถ้าเจ้าของไม่ต้อนรับลูกค้าแบบนี้ก็อย่าได้คิดที่จะเอาเงินของเราไปให้มัน เข้าใจไหม?”

เธอสอนไปในตัว เพราะกบในกะลาข้างกายเธอยังต้องได้รับการสั่งสอนอีกมาก เซี่ยจินเย่พยักหน้ารับ

หลินจื่อเซียนพาเซี่ยจินเย่เดินไปร้านอาภรณ์อีกร้าน แต่พอเถ้าแก่เห็นก็ออกปากไล่ทันที “ไปๆ นังขอทานสกปรก”

หลินจื่อเซียนจึงชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปในร้านทันทีแล้วหมุนตัวเดินจากไป จนไปหยุดอยู่หน้าร้านอาภรณ์เล็กๆ ร้านหนึ่ง เธอกำลังยืนมองอาภรณ์จากนอกร้าน เถ้าแก่มองเด็กสาวสองคนที่มายืนอยู่หน้าร้านครู่หนึ่งแล้วเดินออกมา “เชิญเข้ามาดูในร้านซิขอรับ”

หลินจื่อเซียนมองเถ้าแก่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าไม่ไล่ข้ารึ?”

“เจ้าคงต้องการซื้ออาภรณ์ใหม่ ร้านข้าขายอาภรณ์จะไล่ลูกค้าได้อย่างไร” เถ้าแก่ตอบ หลินจื่อเซียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น “ข้าเป็นขอทาน จะไปมีปัญญาซื้ออาภรณ์ได้อย่างไร”

“ขอทานแบบใดกันที่มีแหวนเก็บของหลายวง?” เถ้าแก่เอ่ยออกมา หลินจื่อเซียนยกมุมปากขึ้นอีก คนๆ นี้ช่างสังเกตดี เธอกับเซี่ยจินเย่สวมแหวนเก็บของที่เอามาจากคนพวกนั้นไว้บนนิ้วมือ เซี่ยจินเย่สวมไว้ 2 วง ส่วนเธอสวมไว้ 3 วง ในแหวนแต่ละวงล้วนเก็บทรัพย์สินไว้อย่างละเท่าๆ กัน เธอจึงจูงมือเซี่ยจินเย่เดินเข้าไปในร้าน

“เชิญขอรับ” เถ้าแก่กล่าวต้อนรับ ยิ้มน้อยๆ หลินจื่อเซียนยิ้มตอบ แล้วหันไปพูดกับเซี่ยจินเย่ว่า “เจ้าเลือกตัวที่เจ้าชอบซิ”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่พยักหน้ารับ แล้วมองดูอาภรณ์ที่แขวนเรียงรายเอาไว้ หลินจื่อเซียนก็ดูอาภรณ์ไปเรื่อยๆ เมื่อเจออาภรณ์ที่เข้าตาเธอก็ชี้ให้เถ้าแก่หยิบลงมา “ตัวนั้น ตัวนู้น ตัวนี้…”

“เถ้าแก่ ข้าชอบตัวนี้ ตัวนั้น ตัวนู้น…” เซี่ยจินเย่ก็ชี้ให้เถ้าแก่หยิบลงมา แต่พอหลินจื่อเซียนเห็นแล้วก็ส่ายหน้า “หรูหราหมาเห่ามาก”

คำพูดของเธอทำให้เซี่ยจินเย่กับเถ้าแก่ชะงักงัน งุนงงกับคำๆนี้เป็นอย่างยิ่ง เซี่ยจินเย่ก็ถามทันที “หรูหราหมาเห่ามาก คืออะไรเจ้าคะ?”

หลินจื่อเซียนจึงอธิบายว่า “ก็หมายความว่าดูสวยงามแต่ไร้ประโยชน์น่ะซิ”

“อ่อ” เซี่ยจินเย่พยักหน้ารับรู้ หลินจื่อเซียนจึงพูดต่อว่า “เจ้าเลือกที่มันธรรมดาๆ กว่านี้หน่อย แบบนี้จะเดินจะก้าวก็ไม่คล่องตัว ชายยาวลากพื้นแบบนี้ เจ้าจะไปกวาดถนนรึ?”

“ก็ข้าเห็นพวกฮูหยิน พวกคุณหนูทั้งหลายก็ล้วนแต่ใส่อาภรณ์เช่นนี้กันทั้งนั้นนี่เจ้าคะ” เซี่ยจินเย่บอกเสียงเบา หน้าเจื่อนจ๋อยเล็กน้อย นางก็อยากจะใส่อาภรณ์เช่นนี้บ้าง หลินจื่อเซียนยิ้มบางๆ แล้วติชุดที่เซี่ยจินเย่เลือก “ข้อแรกอาภรณ์ที่เจ้าเลือก ชายยาวเกินไป ไม่เหมาะที่จะเดินเหินนัก ถ้าเจ้าไม่คอยจับชายอาภรณ์ยกไว้ เจ้าเดินไม่เกินสองก้าวก็สะดุดล้มหัวแตกแล้ว ข้อสอง สีสันฉูดฉาดเกินไป ใส่แล้วดูเหมือนนกยุงรำแพนมากกว่า ข้อสาม ขนาดใหญ่เกินไป”

พอได้ฟังคำติแล้ว เซี่ยจินเย่ก็พูดไม่ออก นางจึงบอกว่า “เช่นนั้น ท่านพี่ก็เลือกให้ข้าเถอะ”

หลินจื่อเซียนยิ้มแล้วเงยหน้ามองอาภรณ์ที่แขวนเรียงราย มองจนทั่วรอบหนึ่งแล้วก็ชี้นิ้ว “ตัวนั้น ตัวนั่น ตัวนู้น ตัวริมสุดนั้น…”

“ขอรับๆ” เถ้าแก่ก็หยิบลงมานับสิบตัว เซี่ยจินเย่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าพี่จื่อเซียนจะเลือกเป็นสิบๆตัวเช่นนี้ เถ้าแก่ก็ผายมือ “เชิญแม่นางทั้งสองเข้าไปลองในห้องขอรับ หากหลวมไปจะได้ให้ช่างเย็บปักแก้ไขให้ขอรับ”

“อืม” หลินจื่อเซียนพยักหน้า แล้วจูงมือเซี่ยจินเย่เดินตามเถ้าแก่เข้าไปในห้องด้านใน

ภายในห้องมีสาวใช้สองคนคอยช่วยสวมใส่

หลังจากลองอาภรณ์ที่เลือกๆ มาจนครบทุกตัวแล้ว หลินจื่อเซียนก็ซื้อทั้งหมด แล้วเอาของตัวเองใส่ไว้ในแหวนเก็บของ ส่วนของเซี่ยจินเย่ก็ให้นางเก็บไว้ในแหวนเก็บของบนนิ้วมือของนาง สองสาวก็สวมใส่อาภรณ์ตัวใหม่ ส่วนตัวเก่าก็ถอดทิ้งไป

“โอกาสหน้า เชิญอีกนะขอรับ” เถ้าแก่ยืนส่งลูกค้าอยู่หน้าร้าน มองดูเด็กสาวทั้งสองเดินจากไป

หลินจื่อเซียนเดินจูงมือเซี่ยจินเย่เดินมุ่งหน้าไปทางจวนอ๋องเซี่ย ตอนที่เลือกๆ อาภรณ์อยู่นั้นเธอก็ถามเถ้าแก่แล้วว่าจวนอ๋องเซี่ยอยู่ที่ไหน เถ้าแก่ก็บอกทางให้อย่างยินดี

เมื่อไปถึงหน้าประตูจวนอ๋องเซี่ย มีทหารยืนเฝ้าอย่างแข็งขัน ทั้งสองก็เงยหน้ามองป้ายเหนือประตู ‘จวนอ๋องเซี่ย’

เซี่ยจินเย่ตื่นเต้นจนมือกำแน่น ความรู้สึกประเดประดังพลุ่งพล่านอยู่ในใจ ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งกังวล ทั้งกลัว

ยังไม่ทันทีนางจะเอ่ยปาก ทหารหน้าประตูจวนก็ตวาดว่า “ใคร! มีธุระอันใด? หากไม่มีธุระก็รีบจากไปเสีย”

“ขะ…ข้า…” เซี่ยจินเย่พูดตะกุกตะกัก ทหารก็มองอย่างเหยียดหยาม “ข้าๆอะไร ไปๆ ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้เด็กอย่างเจ้ามาวิ่งเล่น”

“ข้า…” เซี่ยจินเย่พูดไม่ออก หันไปกระตุกแขนพี่จื่อเซียน “ท่านพี่…”

หลินจื่อเซียนจึงเอ่ยปากแทน “นางคือคุณหนูสามเซี่ยจินเย่ ต้องการพบอ๋องเซี่ยผู้เป็นบิดา”

“คุณหนูสาม? เฮอะ!” ทหารแค่นเสียงเยาะหยัน “คุณหนูสามอะไรกัน? พวกเจ้าอย่าได้คิดแอบอ้างหน่อยเลย เห็นแก่ที่พวกเจ้ายังเด็ก ข้าจะไม่เอาความ รีบไปเสีย!”

“ข้าไม่ได้แอบอ้าง” เซี่ยจินเย่เถียงเสียงเบา ทหารขยับไปจะไล่เด็กทั้งสองไปให้พ้นๆ ยังไม่ทันก้าวขาไป ก็มีเสียงตะโกนจากด้านในว่า “เปิดประตู ท่านอ๋องเสด็จ”

ทหารจึงรีบไล่ “ไปๆ รีบไปซะ”

“ข้าไม่ไป! ข้าจะพบท่านพ่อ!” เซี่ยจินเย่ตะโกน ทหารจึงผลักนาง “ไป!”

“โอ๊ย!” เซี่ยจินเย่ถูกผลักจนเซไปสองก้าว หลินจื่อเซียนจึงดึงเซี่ยจินเย่ไปหลบข้างหลังตัวเอง แล้วมองจ้องทหารคนนั้น สายตาเยียบเย็นจนทหารรู้สึกขนลุกชัน หนังหัวชายิบๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้ แต่เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็ก เขาจะถูกเด็กคนหนึ่งทำให้กลัวได้อย่างไร! จึงชี้ดาบทั้งฝักใส่หน้าเด็กทั้งสอง ตวาดว่า “ยังไม่รีบไปอีก! ถ้ายังไม่ไป ข้าจะตีพวกเจ้าให้ขาหัก!”

แอ๊ดดดดด… บานประตูเปิดออก ทหารคนนั้นจึงรีบผลักเด็กทั้งสองคนให้พ้นทาง หลินจื่อเซียนจึงดึงเซี่ยจินเย่ถอยไปด้านข้าง รถม้าก็เคลื่อนออกมา รถม้าเคลื่อนเลยไปนิดก็มีเสียงดังว่า “หยุด!”

รถม้าหยุดลง มีเสียงถามดังออกมาจากในรถม้า “เอะอะอะไรกัน?”

ทหารรีบหันไปกุมมือคารวะรถม้า “ทูลท่านอ๋อง เด็กสองคนนี่อ้างว่าเป็นธิดาท่านพะย่ะค่ะ”

“ลูกข้า?” เสียงจากในรถม้าดังอีกครั้ง หลินจื่อเซียนรู้สึกได้ว่ากำลังถูกคนในรถม้ามองมา จึงก้าวไปยืนด้านข้างของเซี่ยจินเย่ แล้วพูดว่า “นางคือคุณหนูสามเซี่ยจินเย่ ต้องการพบอ๋องเซี่ย”

“หึ! สวะไร้ค่า” เสียงเดิมแค่นเสียงเหยียดหยาม เซี่ยจินเย่กัดปากจนห้อเลือด สองมือกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ แล้วเสียงเดิมจากในรถม้าก็ดังว่า “ไล่ไปซะ ข้าไม่มีลูกเป็นสวะไร้ค่า”

ทหารรับคำสั่งทันที “พะย่ะค่ะ”

แล้วก็หันไปไล่เด็กสาวทั้งสองว่า “พวกเจ้ารีบไปซะ นี่ถือว่าท่านอ๋องทรงเมตตาไม่เอาผิด หากยังกล้าแอบอ้างอีก ต้องถูกตัดหัว!”

“ไป” เสียงจากในรถม้าสั่ง รถม้าก็เคลื่อนจากไป ประตูจวนก็ปิดสนิทอีกครั้ง หลินจื่อเซียนจึงจูงมือเซี่ยจินเย่ “ไปเถอะ”

เซี่ยจินเย่เดินตามไปราวกับหุ่นไม้ จิตใจแตกสลายเป็นผุยผง ความหวังที่จะมาอาศัยพึ่งพิงบิดาพังทลายลง

ไม่รู้กลับมาถึงเรือนตอนไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเดินกลับมาอย่างไร หลินจื่อเซียนก็ปล่อยให้นางนั่งซึมกะทืออยู่ในห้อง ส่วนตัวเธอก็เดินออกไปหาซื้อของกินของใช้

เมื่อกลับมาก็ยังเห็นเซี่ยจินเย่ยังนั่งซึมกะทือเช่นเดิม เธอเดินไปตรงหน้าเซี่ยจินเย่ ยื่นซาลาเปาใส้เนื้อไปให้ แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็ต้องทำใจนะ ผู้ชายเลวๆที่ทอดทิ้งลูกเมียมีเยอะแยะ เป็นพ่อแล้วยังไง เขาก็ทิ้งเจ้ามาตั้งแต่เจ้าเล็กๆ แล้วนี่นา จะต้องไปใส่ใจกับพ่อแบบนั้นทำไม มีก็เหมือนไม่มี แทนที่จะมานั่งเสียใจอยู่ เอาเวลาไปฝึกฝนตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? คนไร้ค่าพรรค์นั้นไม่ควรเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย”

“พี่จื่อเซียน ฮือออออ….” เซี่ยจินเย่โผกอด ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้า หลินจื่อเซียนจึงได้แต่กอดๆ ลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจ

เซี่ยจินเย่ร้องไห้อยู่นานมาก จนในที่สุดก็ค่อยๆ หยุดร้อง พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ทะ…ท่านพี่…อึก…อึก…ยะ…อย่าทิ้งข้า…นะ”

“เลิกร้องได้แล้ว ข้าไม่ชอบดูคนร้องไห้” หลินจื่อเซียนบอกน้ำเสียงอ่อนโยน เซี่ยจินเย่จึงพยายามหยุดร้อง ยกมือเช็ดน้ำตา หลินจื่อเซียนดันตัวเซี่ยจินเย่ออก แล้วยื่นซาลาเปาให้ “กินซิ กินเสร็จแล้วจะได้เริ่มฝึกฝน อยากแข็งแกร่งไม่ใช่เหรอ? ข้าไม่อาจปกป้องเจ้าได้ตลอดไปหรอกนะ”

เซี่ยจินเย่รับซาลาเปามา มองหน้าพี่จื่อเซียน แล้วก็กัดซาลาเปาจนเหมือนกับจะยัดซาลาเปาทั้งลูกเข้าปาก

เมื่อเซี่ยจินเย่กินหมด 1 ลูก หลินจื่อเซียนก็ยื่นให้อีกลูก “เอ้า กินให้อิ่ม เจ้ายังต้องใช้แรงอีกเยอะ”

เซี่ยจินเย่รับมากัดกร๊วมๆ

หลังจากกินเสร็จแล้ว หลินจื่อเซียนจึงใช้ให้เซี่ยจินเย่ไปตักน้ำใส่ตุ่ม หลังจากตักน้ำใส่ตุ่มเสร็จก็พาเซี่ยจินเย่ไปวิ่งในสุสาน

“เจ้าต้องฝึกวิ่ง ยิ่งเจ้าวิ่งได้ไว เจ้าก็จะหนีศัตรูได้ไว อีกทั้งยังบุกจู่โจมได้ไวด้วย” หลินจื่อเซียนบอกเหตุผล เซี่ยจินเย่ฟังแล้วก็พยักหน้า “เจ้าค่ะ”

จากนั้นทั้งสองก็วิ่งไปด้วยกัน แรกๆ เซี่ยจินเย่ก็วิ่งสุดแรง นำหน้าหลินจื่อเซียน แต่วิ่งไปได้แป๊บเดียวก็เหนื่อยจนหอบหายใจ หลินจื่อเซียนวิ่งเหยาะตามมาทันก็พูดว่า “มาๆ รีบมา อยากแข็งแกร่งก็ต้องอดทน”

เซี่ยจินเย่เม้มปากฮึดสู้ แล้ววิ่งตามไป นางวิ่งๆ หยุดๆ จนเหงื่อท่วมตัว ในใจก็คิดว่า หากนางสวมใส่อาภรณ์ที่เลือกเองคงเดินได้แค่ก้าวเดียวก็สะดุดล้มแล้ว อาภรณ์ที่ท่านพี่เลือกให้ข้าช่างดียิ่งนัก

นางวิ่งจนวิ่งไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจนคลานแล้วลงไปนอนแผ่บนผืนหญ้า หอบหายใจจนตัวโยน หลินจื่อเซียนยืนดูอยู่ใกล้ๆ ยืนกอดอกมอง ทอดสายตาออกไปไกล เซี่ยจินเย่เห็นพี่จื่อเซียนไม่มีเหงื่อท่วมตัวเหมือนตัวเองก็พูดว่า “เมื่อไหร่กันนะที่ข้าจะวิ่งได้เหมือนท่านพี่”

“ฝึกทุกวัน” หลินจื่อเซียนดึงสายตากลับมามองนาง แล้วพยักหน้า “ไป กลับบ้านกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่ยันตัวลุกขึ้นมา สองขาสั่นระริก แต่ก็พยายามฝืนก้าวขาเดินตามกลับเรือน

หลังจากอาบน้ำ กินอาหารแล้ว เซี่ยจินเย่ก็หลับเป็นตาย หลินจื่อเซียนเห็นเซี่ยจินเย่หลับไปแล้ว เธอก็เดินไปยังห้องนอนอีกห้อง เดินไปนั่งอยู่หน้ากระจก แล้วเอาสิ่งของที่ซื้อมาออกมาวางเรียงบนโต๊ะ จากนั้นก็จัดการลอกใบหน้าปลอมบนหน้าตัวเองออก เมื่อลอกออกมาแล้วก็เผยใบหน้างดงามบนกระจก มือก็จัดการกับใบหน้าปลอมที่ลอกออกมา เธอหาซื้อสารเคมีที่คุ้นเคยไม่ได้ คงต้องผสมเองเสียแล้ว บางทีในโลกใบเล็กของราชันย์โอสถอาจจะมีสสารที่เธอต้องการอยู่ล่ะมั้ง เห็นทีเธอคงต้องเดินสำรวจโลกใบเล็กของท่านอาจารย์ผู้เย่อหยิ่งเสียหน่อย ฮี่ๆๆๆ

เมื่อจัดการใบหน้าปลอมเสร็จแล้วเธอก็ใส่กลับเข้าไป กลายเป็นใบหน้าสุดแสนธรรมดา กระด่างกระดำดังเดิม เมื่อจัดการหน้าตัวเองเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเข้าไปในห้วงสติ หรือที่เรียกว่าห้วงจิตนั้นแหละ ปากก็เรียกหา “อาจารย์ๆๆๆ”

เงาราชันย์โอสถปรากฏขึ้น “ปีศาจน้อย”

หลินจื่อเซียนกุมมือคารวะ แล้วบอกจุดประสงค์ของตัวเองทันที “ข้าต้องการสารบางอย่าง ไม่รู้ว่าในโลกใบเล็กของท่านมีไหม? ถ้าท่านจะกรุณา ก็ให้ข้าเข้าไปในโลกใบเล็กของท่านได้ไหม?”

“ของอะไรที่เจ้าต้องการ?” ราชันย์โอสถถาม หลินจื่อเซียนก็ตอบว่า “ข้าต้องดูเอง บอกไปอาจารย์ก็ไม่รู้จักหรอก”

“ฮึ! มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้จัก” ราชันย์โอสถแค่นเสียงอย่างเย่อหยิ่ง หลินจื่อเซียนจึงบอกชื่อสารที่เธอต้องการออกมา “……..ฯลฯ”

“เอ่อ…” ราชันย์โอสถอ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่เจ้าปีศาจน้อยเอ่ยออกมา เขาไม่รู้จักเลยจริงๆ พอสบตากับเจ้าปีศาจน้อยที่ทำหน้ารอคอยอยู่เขาก็ไออกมาสองที “แค่กๆ เจ้าไปดูเองเถอะ”

หลินจื่อเซียนจึงออกจากห้วงสติ ลืมตาขึ้นก็เห็นรอยแยกเล็กๆ ตรงหน้า แล้วจิตเธอก็ถูกดูดเข้าไปในโลกใบเล็กอีกครั้ง จากนั้นเธอก็เดินสำรวจหาสิ่งที่เธอต้องการ ราชันย์โอสถก็เดินตามอยู่ข้างๆ หลินจื่อเซียนเดินสำรวจไปพลางเก็บสิ่งที่เธอต้องการไปด้วย มีทั้งพืช ดิน หิน แร่ หลากหลายชนิด จนราชันย์โอสถต้องเอากระบุงมาให้นางใส่ของเหล่านั้น

เมื่อได้ของที่ต้องการจนครบแล้ว หลินจื่อเซียนก็หันไปพูดว่า “อาจารย์ ท่านมีเตา มีหม้อ มีมีดไหน?”

“เจ้าจะปรุงอาหารรึ?” ราชันย์โอสถถาม หลินจื่อเซียนพยักหน้า “คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ”

“เช่นนั้นก็ไปที่เรือนข้าเถอะ” ราชันย์โอสถบอกแล้วก็เดินนำไป หลินจื่อเซียนเดินตามไปจนถึงเรือนไม้หลังหนึ่ง ราชันย์โอสถเดินนำเข้าไปแล้วกวักมือ “เข้ามาซิ”

หลินจื่อเซียนจึงก้าวเข้าไป ราชันย์โอสถก็ชี้นิ้วไป “ครัวอยู่นั่น”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินจื่อเซียนยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว เป็นครัวแบบโบราณ มีเตาฟืน เครื่องครัวแบบโบราณ หม้อ ไห กระทะ จาน ชาม ถ้วย วางเรียงเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวาง เธอวางกระบุงลง แล้วหยิบของในกระบุงออกมาวางเรียงรายบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบครกออกมา แล้วลงมือสกัดสสารจากพืช ดิน หิน แร่ ที่เธอเก็บมา

ราชันย์โอสถก็เดินมายืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตัวใหญ่ มองดูเจ้าปีศาจน้อยปรุงอาหาร เขาสงสัยยิ่งนักว่าเจ้าปีศาจน้อยจะปรุงอาหารอะไร?

ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ เห็นนางตำๆ บดๆ ก่อไฟ ตั้งกระทะ แล้วใส่ของที่นางบดลงไป ใส่นั่นนิด ใส่นี่หน่อย อืม…จะเป็นอาหารแบบไหน?

หลินจื่อเซียนสกัดสสารตามความรู้เดิม จนเวลาล่วงเลยไปค่อนคืน เธอจึงสกัดสสารเสร็จ ยืนมองดูสสารต่างๆ อย่างภูมิใจ ราชันย์โอสถยื่นมือไปหยิบกระปุกที่ใส่น้ำที่ข้นกว่าน้ำมาดู “นี่คืออะไร?”

“กรีเซอร์ลีน” หลินจื่อเซียนตอบ ราชันย์โอสถขมวดคิ้ว “ใช้ทำอะไร?”

“ใช้เป็นสารประกอบในยาสีฟัน แชมพู สบู่ได้ เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารเคมีชนิดอื่นๆได้” หลินจื่อเซียนตอบ ราชันย์โอสถยิ่งขมวดคิ้ว ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ชี้ไปที่กระปุกอื่นๆ ถามทีละอย่าง หลินจื่อเซียนก็อธิบายสสารแต่ละตัวให้ฟัง ราวกับเป็นอาจารย์เคมีที่กำลังสอนลูกศิษย์โข่งยังไงอย่างงั้น

เมื่ออธิบายจบ ราชันย์โอสถก็ยังทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจ หลินจื่อเซียนจึงโบกมือ “อาจารย์อย่าสนใจเลยว่ามันใช้ทำอะไรบ้างน่ะ”

“อืม” ราชันย์โอสถพยักหน้าอย่างง่ายๆ หลินจื่อเซียนก็ถามว่า “ตอนท่านสร้างโลกใบเล็กนี่ ท่านสร้างยังไง?”

“ทำอย่างไรหรือ? ข้าก็เริ่มจากสร้างโลกขึ้นก่อน จากนั้นก็สร้างพื้นดิน ท้องฟ้า สายน้ำ เมื่อข้าเจอสมุนไพรอะไรข้าก็จะเอามาปลูกไว้ในนี้น่ะซิ”

“อ่อ” หลินจื่อเซียนฟังแล้วก็ครุ่นคิด อืม…น่าจะคล้ายๆ กับสร้างบ้านคือสร้างโครงบ้านขึ้นมาก่อน จากนั้นใส่พื้น ใส่หลังคา ใส่ประตู หน้าต่างซินะ

หลังจากคิดแล้ว เธอก็กุมมือคารวะ “เช่นนั้นข้าลาล่ะ”

“เจ้าจะรีบไปไหน?” ราชันย์โอสถถาม หลินจื่อเซียนตอบว่า “ข้าจะลองไปคิดดูว่าข้าจะสร้างโลกใบเล็กแบบท่านได้อย่างไร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version